มหาวิหารเดอแรม
มหาวิหารเดอแรม (Durham Cathedral) เป็นมหาวิหารนิกายอังกลิคัน ตั้งอยู่ที่เมืองเดอแรมใน สหราชอาณาจักร ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1093 มีชื่อเต็มว่า The Cathedral Church of Christ, Blessed Mary the Virgin and St Cuthbert of Durham
ลักษณะโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นแบบโรมาเนสก์ มีหอคอยสูง 66 เมตร มีบันไดขึ้นทั้งหมด 325 ขั้น
มหาวิหารเป็นที่เก็บวัตถุมงคลของคัธเบิร์ตแห่งลินเดสฟาร์น (Cuthbert of Lindisfarne) นักบุญจากศตวรรษที่ 7 นอกจากนั้นยังเป็นที่เก็บศีรษะของนักบุญออสวอลด์แห่งนอร์ธัมเบรีย (St Oswald of Northumbria) และร่างของนักบุญบีด
บาทหลวงของมหาวิหารเดอแรมเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตำแหน่งของบาทหลวงของสังฆมณฑลเดอแรมถือว่ามีความสำคัญเป็นที่สี่ของ Church of England แม้ในปัจจุบัน ก็ยังมีป้ายของมณฑลเดอแรมว่าเป็นดินแดนของ Prince Bishops
มหาวิหารได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโก ให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมกับปราสาทเดอแรม ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกันเหนือแม่น้ำเวียร์ (River Wear)
สมัยแซ็กซอน
สังฆมณฑลเดอแรมย้ายมาจากลินเดสฟาร์น ที่ก่อตั้งโดยนักบุญไอดาน (St Aidan) โดยการนำของนักบุญออสวอลด์ราวปี ค.ศ. 635. สังฆมณฑลอยู่มาได้ถึงปี ค.ศ. 664 ก็ย้ายไปรวมกับขึ้นกับบาทหลวงของสังฆมณฑลยอร์ค
แต่ก็ได้กลับมาเป็นสังฆมณฑลอิสระอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ. 678 โดยอาร์ชบิชอปแห่งแคนเตอร์บรี ในบริเวณนี้มีนักบวชที่ได้เป็นนักบุญหลายองค์รวมทั้งนักบุญคัธเบิร์ตแห่งลินเดสฟาร์น ผู้เป็นคนสำคัญในการสร้างมหาวิหารเดอแรม
หลังจากที่โดนถูกรุกรานโดยไวกิงหลายครั้ง พระก็หนีจากลินเดสฟาร์นเมื่อ ค.ศ. 875 ไปพร้อมกับวัตถุมงคลของนักบุญคัธเบิร์ต สังฆมณฑลลินเดสฟาร์นก็ไม่ได้อยู่เป็นที่เป็นทางมาจนราวปี ค.ศ. 882 เมื่อมีชุมชนก่อตั้งตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งที่เชสเตอร์เลอสตรีท (Chester-le-Street)
สังฆมณฑลก็ตั้งอยู่ที่นี่จนปี ค.ศ. 995 เมื่อถูกรุกรานอีกจนพระต้องอพยพหนีอีกครั้ง
ตามตำนานกล่าวว่าพระที่หนีการรุกราน ไปเจอหญิงรีดนมที่กำลังตามหาวัวสีน้ำตาล (Dun Cow) พระก็ตามไปด้วยจนไปถึงแหลมที่เป็นรูปห่วงที่แม่น้ำเวียร์ พอมาถึงที่นั้นโลงของนักบุญคัธเบิร์ตก็ไม่ยอมเคลื่อนไปไหน
พระจึงถือว่าเป็นสัญญาณว่าควรจะสร้างวัดตรงนั้น แต่เหตุผลหนึ่งที่น่าจะมีเหตุผลกว่าคือที่ดินที่เป็นแหลมตรงนั้น เป็นที่สูงซึ่งเป็นตำแหน่งที่ง่ายต่อการป้องกันตัวจากข้าศึก และชุมชนที่ตั้งหลักแหล่งก็จะได้รับการคุ้มครองจากเอิร์ลแห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์ด้วย
เพราะบาทหลวงแอลดุน (Aldhun) เป็นญาติสนิทกับเอิร์ล ทางผ่านทางหอด้านตะวันออกของลานปราสาท จึงเรียกว่า Dun Cow Lane
เมื่อเริ่มแรกทางวัดก็สร้างสิ่งก่อสร้างชั่วคราวจากไม้ เพื่อจะได้เป็นที่ตั้งนักบุญคัธเบิร์ต ต่อมาก็ย้ายไปตั้งในสิ่งก่อสร้างใหม่ ที่ถาวรกว่าที่อาจจะทำด้วยไม้ สิ่งก่อสร้างนี้เรียกว่า White Church
แต่วัดนี้ก็อยู่ได้เพียงสามปี ก็มีวัดใหม่สร้างด้วยหินขึ้นมาแทน เมื่อปี ค.ศ. 998 โดยยังใช้ชื่อเดิม พอมาถึงปี ค.ศ. 1018 หอด้านตะวันตกก็ยังสร้างไม่เสร็จ มหาวิหารเดอแรมกลายมาเป็น สถานที่ดึงดูดนักแสวงบุญของลัทธินิยมนักบุญคัธเบิร์ต
พระเจ้าคานุท (King Canute) เองก็ทรงนิยมนักบุญคัธเบิร์ต โดยพระราชทานสิทธิพิเศษและที่ดินให้แก่ชุมชนเดอแรม ชุมชนเดอแรมก็ขยายตัวเป็นชุมชนที่ใหญ่ขึ้นตามลำดับ
ยุคกลาง
มหาวิหารปัจจุบันออกแบบโดยสมเด็จบาทหลวงวิลเลียมแห่งเซ็นต์คาริเลฟ (Prince-bishop, William of St. Carilef) และเริ่มก่อสร้างเมื่อ ค.ศ. 1093 หลังจากที่วิลเลียมเสียชีวิต รานูลฟ แฟลมบาร์ด (Ranulf Flambard) ก็ดำเนินงานต่อ
ลักษณะหลังคาเหนือทางเดินกลางเป็นโค้งแหลมเล็กน้อย แบบมีสัน (ribbed vault) รับด้วยเสาอิงสลับกับเสากลมใหญ่ กำแพงค้ำยันซ่อนอยู่ภายในส่วนโค้งเหนือทาง เดินข้าง ลักษณะหลังคาของมหาวิหารเดอแรมเป็นลักษณะ ที่มาก่อนหน้าสถาปัตยกรรมกอธิคทางเหนือของฝรั่งเศสหลายสิบปีต่อมา
ซึ่งคงไปจากช่างสลักหินชาวนอร์มัน ถึงแม้โดยทั่วไปแล้วเดอแรมจะถือว่าเป็นมหาวิหารแบบโรมาเนสก์ก็ตาม การใช้เพดานโค้งแหลมและสันบนเพดานและกำแพงค้ำยัน ทำให้สามารถวางผังโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้นได้ ทำให้การตกแต่งทำได้สวยขึ้น และทำให้สิ่งก่อสร้างสูงขึ้น กว้างขึ้น และทำหน้าต่างได้กว้างขึ้น
เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 12 บาทหลวงฮิว เดอ พุยเซ็ท (Hugh de Puiset) ต่อเติมคูหาสวดมนต์กาลิลี (Galilee Chapel) ทางด้านตะวันตก หรือที่เรียกว่า Lady Chapel คูหาสวดมนต์กาลิลีเป็นที่เก็บบุญราศีบีด และบาทหลวงทอมัส แลงลีย์ ซึ่งที่ฝังศพขวางประตูด้านตะวันตกของมหาวิหาร ที่ฝังศพของนักบุญคัธเบิร์ตอยู่ทางด้านตะวันออก และครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ฝังศพที่หรูทำด้วยหินอ่อนสีครีมและทอง
โดยพรินซบิชอบวิลเลียมแห่งเซ็นต์คาริเลฟ รานูลฟ แฟลมบาร์ด และ บาทหลวงฮิว เดอ พุยเซ็ท ต่างก็ถูกฝังไว้ที่มหาวิหารนี้ที่ในห้องประชุมสงฆ์ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับระเบียงคดที่สร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. 1140
คูหาสวดมนต์ 9 แท่นบูชา (Chapel of the Nine Altars) มาสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทางด้านตะวันออกของมหาวิหาร เริ่มโดยริชาร์ด เดอ พัวร์ (Richard le Poore) หอกลางถูกทำลายโดยฟ้าผ่า หอปัจจุบันสร้างมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15
ยุบมหาวิหาร
ที่ฝังศพของนักบุญคัธเบิร์ตถูกสั่งให้ทำลาย โดยพระราชโองการของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 เมื่อปี ค.ศ. 1538 จนเหลือเพียงส่วนที่เป็นหิน สองปีต่อมาในปี ค.ศ. 1540 สำนักสงฆ์ที่เดอแรม ก็ถูกสั่งให้ยุบตามพระราชกฤษฎีกายุบอาราม
แต่ส่วนที่ยังเหลืออย่างสมบูรณ์แบบคือระเบียงคด และบาทหลวงองค์สุดท้ายฮิว ไวท์เฮดได้มาเป็น Dean คนแรกของมหาวิหาร
1600-1900
เมื่อปี ค.ศ. 1650 มหาวิหารเดอแรม กลายมาเป็นที่คุมขังเชลยศึกและขังนักโทษ จากสกอตแลนด์หลังจาก ยุทธการดันบาร์ ค.ศ. 1650 (Battle of Dunbar (1650)) นักโทษเสียชีวิตไปราว 5,000 คนถ้าไม่จากการเดินทางก็มาเสียชีวิตที่มหาวิหาร
ร่างของนักโทษเหล่านี้ถูกฝังในหลุมนิรนาม นักโทษที่รอดถูกส่งตัวไป อินเดียตะวันตก, มลรัฐเวอร์จิเนีย และ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ และอีก 150 คนถูกส่งไปมลรัฐเมน เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1650
คูหาสวดมนต์ 9 แท่นบูชา มีหน้าต่างกุหลาบขนาดใหญ่จากคริสต์ศตวรรษที่ 17 และมาซ่อมใหม่เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 และรูปปั้นของวิลเลียม แวน มิลเดิร์ท (William Van Mildert) ผู้เป็นสมเด็จบาทหลวงองค์สุดท้ายระหว่างปี ค.ศ. 1826 ถึงปี ค.ศ. 1836 ผู้เป็นแรงหนุนหลังในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเดอแรม
ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สิริสวัสดิ์จันทรวาร เปรมปรีดิ์มานรมณีย์นะคะ
Create Date : 20 ธันวาคม 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 20 ธันวาคม 2553 11:07:54 น. |
Counter : 1544 Pageviews. |
|
|
|