"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
28 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 

แนะนำ เรื่องสั้นชั้นครู ...เจียวต้าย เรื่อง วันที่ต้องจดจำ




เรื่องเล่าของคนวัยทอง

วันที่ต้องจดจำ

"เพทาย"




วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี ที่สิบเดือนกันยายน พ่อจำได้อย่างแม่นยำไม่มีวันลืมเลือน มันเป็นวันที่สำคัญ ที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของพ่อ ผู้ซึ่งไม่ค่อยจะมีวันสำคัญเท่าใดนัก

วันนั้นพ่อกลับจากงาน ที่ต้องเข้าเวรกลางคืน ถึงบ้านเกือบสี่ทุ่มจึงได้ทราบว่า แม่ไปโรงพยาบาลแล้ว นึกไม่ถึงจริง ๆ คิดว่าจะไปราวกลางเดือน มัวแต่วุ่นอยู่กับงานในหน้าที่ทั้งกลางวันกลางคืน จนลืมเรื่องนี้เสียได้ ดีแต่น้าเขาอยู่ที่บ้าน จึงได้พาไปส่งที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก เมื่อตอนเย็นวันนี้เอง จะไปเยี่ยมก็ไม่ได้ เพราะเลยเวลาไปนานแล้ว

แม่กำลังจะคลอดลูก ซึ่งเป็นลูกคนแรกของเรา พ่อเฝ้ารอวันนี้มาเป็นเวลาร่วมเก้าเดือน รอคอยอยู่อย่างใจจดใจจ่อ โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ก็ได้ตั้งชื่อไว้ให้แล้ว ทั้งชื่อจริงชื่อเล่น แม้ว่าจะอยากได้ลูกผู้ชายเป็นคนหัวปีตามทัศนะของคนหัวโบราณ แต่ก็ทำใจไว้แล้วว่า เป็นผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน จะได้เป็นเพื่อนแม่เมื่อโตขึ้น และจะได้ช่วยแม่เลี้ยงน้องด้วย พ่อคิดเรื่อยเจื้อยไปในขณะที่นอนไม่หลับ จะเป็นลูกหญิงหรือลูกชาย พ่อก็รักเจ้าเท่ากันนั่นแหละ ขอคุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองลูก ให้คลอดง่าย และมีร่างกายสมบูรณ์ก็พอใจแล้ว

รุ่งขึ้นพ่อโผล่เข้าไปในโรงพยาบาลแต่เช้า ก่อนที่เขาจะเริ่มทำงานกัน เขาจึงไม่อนุญาตให้เข้าไปเยี่ยม ได้แต่ข่าวว่าเป็นลูกชายคลอดเมื่อเวลาสามทุ่มเศษและแม่สบายดี เท่านั้นหัวใจก็พองโตด้วยความชื่นใจ ความวิตกกังวลเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งมีอยู่ตลอดคืนที่ผ่านมา ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น สามารถที่จะเดินยิ้มออกมาได้ อย่างสบายอารมณ์ ผู้คนในท้องถนนดูหน้าตาแจ่มใสไปเสียทั้งนั้น ขอขอบคุณสวรรค์ที่บันดาลให้มีการเกิด ขอบคุณหมอและพยาบาลที่ช่วยเหลือแม่ผู้ไม่ประสีประสา และขอบคุณแม่ที่ให้กำเนิดลูกชาย ซึ่งทำให้พ่อมีความสุขและความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณเจ้าหนูน้อยที่ช่วยให้แม่ไม่ต้องเจ็บปวดนานจนเกินไปด้วย รีบคลอดออกมาในเวลาเพียงไม่ถึงห้าชั่วโมง หลังจากที่แม่เจ็บท้อง

ตอนเที่ยงจึงได้เห็นหน้าลูก ตัวเล็กนิดเดียวยาวแค่ศอก หัวเถิกมาทางพ่อ ปากเชิดก็มาทางพ่ออีก ไม่รู้ว่าตรงไหนเหมือนแม่ เขาห่อผ้าอ้อมนอนเงียบอยู่ข้างแม่ ไม่ร้องไม่กวน คงจะเป็นเด็กดีแน่ แม่ยิ้มอย่างอ่อนแรงเมื่อเห็นหน้าพ่อ ทุกสิ่งทุกอย่างดู เรียบร้อยเป็นปกติ ไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นห่วง

แต่พอวันที่สอง ความสุขนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป เมื่อได้ทราบว่าลูกไม่สบาย ต้องส่งไปให้หมอเด็กตรวจ เพราะหายใจไม่ค่อยสะดวก ปอดก็ไม่ค่อยแข็งแรงจึงต้องฉีดยาทุกหกชั่วโมง ชักไม่ค่อยแน่ใจในความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อไป ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ลูกหายโดยเร็วเถิด จะได้กลับไปอยู่บ้านของเรา

ถึงวันที่สาม อาการของลูกดีขึ้น พยาบาลบอกว่าตัวไม่ร้อน แต่ไม่ยอมดูดนมแม่ ต้องใช้วิธีหยอด และเขาไม่ให้นอนกับแม่แล้ว แยกไปนอนในห้องอบ พ่อแอบมองผ่านทางหน้าต่างกระจก เห็นแต่ใบหน้าที่ซีดเซียวหลับตาอยู่ตลอดเวลา พ่อยืนดูลูกอยู่เป็นเวลานานนับชั่วโมง ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลย อยากจะให้ขยับตัวออกฤทธิ์เดช หรือร้องไห้ให้แสบแก้วหูจนหน้าตาแดง จะดีกว่านอนเฉยอยู่อย่างนี้ ดูแล้วเกิดความรู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูก

เช้าวันที่สี่ ใจซึ่งเหี่ยวแห้งอยู่แล้วยิ่งหดหู่ลงไปอีก เมื่อได้ทราบว่าเขาส่งตัวลูกชายไปตึกกุมารเวชกรรม ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพราะหอบมากขึ้นต้องให้อ็อกซิเจน เขาแยกไปก็เพื่อจะได้รักษาอย่างจริงจัง แสดงว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว สุดที่จะทำใจได้ เมื่อเห็นลูกนอนอยู่บนเตียง เล็ก ๆ มีลูกกรงล้อมรอบ เนื้อตัวเต็มไปด้วยสายระโยงระยาง ให้ทั้งเลือดและน้ำเกลือ เส้นเลือดก็เล็กนิดเดียว เล็กกว่าสายที่ส่งน้ำเกลือนั้นเสียอีก เกือบเท่ากับเข็มที่แทงใกล้ขมับและหลังมือ มีเชือกผูกทั้งข้อมือข้อเท้า กันไม่ไห้ดิ้นจนเข็มหลุด ได้แต่อ้าปากร้องด้วยเสียงอันแหบแห้ง พ่อแทบจะหมดแรงยืนทรงกายอยู่ได้ ทำไมลูกจึงโชคร้ายถึงเพียงนี้ เพิ่งจะเกิดมาได้แค่สี่วันเท่านั้น ยังไม่ได้ทำบาปกรรมอันใดเลย

หมอที่ทำการรักษาบอกว่า โลหิตเป็นพิษต้องถ่ายเลือดให้ลูก และให้พ่อไปถ่ายโลหิตพรุ่งนี้ เขาบอกว่าเลือดของพ่อดีที่สุดในโลก ก็ไม่ได้ว่าอะไรจะให้ทำอย่างไร ก็ทำได้ทั้งนั้น แม้จะสูบเลือดออกจนหมดตัว ขอเพียงแต่ให้ลูกหายจากโรคอันร้ายกาจนี้ โดยเร็วที่สุดก็แล้วกัน

พ่อเดินออกมาด้วยความรู้สึก ที่อัดอั้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เดี๋ยวนี้ลูกก็อยู่ในมือของนายแพทย์และพยาบาล ซึ่งมีทั้งหยูกยาและเครื่องไม้เครื่องมืออันทันสมัยที่จะช่วยรักษาชีวิตคนไข้พร้อมมูลอยู่แล้ว พ่อหมดปัญญาที่จะทำอะไรได้อีก ไม่มีที่พึ่งอื่นใดที่จะขอให้ช่วยชีวิตลูกของพ่ออีกแล้ว

นอกจากจะกราบไหว้วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอได้โปรดช่วยอย่าให้ลูกต้องเจ็บปวดทรมานไปนานนักเลย ถ้าไม่สามารถที่จะอยู่ได้ ในโลกอันแสนจะสกปรกใบนี้ ก็ขอให้หนีไปเสียโดยเร็วเถิด พ่อคงจะทนได้แม้ใจแทบจะขาด แต่ก็จะต้องทนให้ได้

วันที่ห้าพ่อมานอนให้เขาถ่ายเลือด ที่ตึกข้างเคียงกับที่ลูกนอนป่วยอยู่นั้น พ่อลืมตา มองเพดานห้องคิดวนเวียนไปมา ถึงเรื่องราวร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับลูก และครอบครัวของเรา ก็นึกไม่ออกเลยว่าได้ทำอะไรที่ผิดพลาดเลวร้าย เป็นเวรเป็นกรรมเมื่อใด และอย่างไร จึงต้องได้รับผลเป็นความทุกข์เดือดร้อนถึงเพียงนี้ เลือดแต่ละหยดที่ได้ไหลออกจากร่างกายของพ่อลงไปในขวดนั้น ดูช่างกินเวลานานเหลือเกิน นานพอ ๆ กับแต่ละหยดที่ไหลตามสายยางเข้าไปในร่างกายของลูก แม้ว่ามันจะช่วยรักษาชีวิตของลูก แต่มันก็แสนจะทรมานหนักหนา

เลือดของพ่อเป็นหมู่โอ ของลูกเป็นหมู่บี ซึ่งพอจะใช้กันได้ แต่ครั้นเอาเข้าจริงปรากฏว่าลูกไม่ต้องใช้แล้ว หมอเอาสายอ็อกซิเจน สายน้ำเกลือ และสายที่ถ่ายเลือด ออกจากตัวหมดแล้ว พ่อมองดูด้วยสายตาตนเองว่ามีอาการดีขึ้น เพราะลูกนอนหายใจเบา ๆ ไม่หอบตัวโยนเหมือนเมื่อวาน อาจจะพ้นอันตรายแล้วก็ได้ พ่อปลอบใจตนเอง ด้วยความหวังที่ริบหรี่เต็มที

วันนี้หมอตึกคลอดให้แม่กลับบ้านได้ จึงเล่าอาการของลูกให้ฟัง เพราะเมื่อวันก่อนพ่อได้แต่อ้อมแอ้มว่าไม่มีอะไรมาก และก่อนจะออกจากโรงพยาบาล ก็พาไปแวะดูลูกพักหนึ่ง นับว่าเป็นโชคดีของแม่ ที่ไม่ต้องเห็นภาพอันน่าสงสารอย่างที่พ่อได้เห็นเมื่อวันก่อน แต่ก็ยังไม่วายน้ำตาไหล อยากจะอุ้ม อยากจะกอดลูก แต่ก็จำต้องฝืนใจกลับไปนอนที่บ้านคนเดียว โดยไม่มีลูกให้ใครได้ชื่นชมเหมือนคนอื่น ที่เขามาคลอดลูกกันทั่วไป

แล้วก็ถึงวันที่หก พ่อมาเยี่ยมลูกแต่เช้า แต่ไม่มีลูกนอนอยู่ที่เตียงซึ่งเคยนอน มันว่างเปล่าเหมือนหัวใจของพ่อ พยาบาลบอกว่าลูกตายเมื่อหกโมงครึ่งเช้านี้เอง ฟังดูเหมือนเขาพูดกับคนอื่น เหมือนไม่ได้บอกกับพ่อ หูได้ยินเพียงแว่ว ๆ แต่ใจไม่อยากรับรู้ ประสาทชาไปหมดทั้งร่าง

จบสิ้นกันไปแล้ว ชีวิตที่สั้นแสนสั้น ลูกชายคนหัวปีที่ใฝ่ฝัน เฝ้ารอคอยมาเป็นเวลานาน แต่ได้เห็นหน้ากันเพียงห้าวัน ชีวิตกระจิดหริดนั้นบริสุทธิ์สอาดหมดจด ยังไม่เคยได้ก่อกรรมทำเวรอะไรกับใครเลย แต่โลกไม่ต้องการ ไม่ต้อนรับ แล้วยังทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมทารุณ จนสุดที่จะทนทานไหว จิตใจของพ่อชอกช้ำยับเยินเพียงไหน หัวใจของแม่ก็ยิ่งเพิ่มเป็นร้อยเท่าพันทวี

พ่อมอบให้ทางโรงพยาบาล นำศพลูกไปผ่าตัดเพื่อวิเคราะห์โรค และก็ได้ทราบผลในภายหลังว่า มีเนื้องอกเกาะอยู่ที่ปอด ทำให้การหายใจขัดข้อง โลหิตจึงได้เป็นพิษ ไม่มีทางที่จะรักษาได้ นอกจากการผ่าตัด ซึ่งย่อมจะทำไม่ได้กับทารกตัวแค่นี้

ทุกสิ่งทุกอย่างได้สิ้นสุดลงโดยรวดเร็ว เหมือนท้องทะเลในวันที่อากาศกำลังแจ่มใส แล้วจู่ ๆ เมฆก็มืดครึ้มพายุพัดกระหน่ำ ฝนตกไม่ลืมหูลืมตา น้ำหลากท่วมพัดบ้านเมืองพังพินาศ

แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดเงียบหายไป ทิ้งแต่ร่องรอยปรักหักพังเอาไว้เบื้องหลัง ทะเลก็กลับเป็นท้องน้ำที่ราบเรียบ เขียวใสอย่างเดิม เหมือนที่ได้เคยเป็นมาชั่วนิรันดร

พ่อจำวันสุดท้ายนั้นได้อย่างแม่นยำ ไม่มีลืมเลือน มันเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของพ่อ แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแสนนานแล้วก็ตาม

*************

ผมปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นลงอย่างทนุถนอม ด้วยเกรงว่ากระดาษที่มีรอยด่างเป็นดวงนั้น จะยับเยิน แล้วจึงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เมื่อหลับตาลงน้ำใส ๆ ก็ปริ่มอยู่ที่หางตา

อีกประเดี๋ยวก็จะสว่างแล้ว ผมจะต้องออกไปใส่บาตร เหมือนอย่างที่เคยทำในวันที่สิบหก เดือนกันยายน ของทุกปี.

#############

วารสารสรรพาวุธทหารบก
มกราคม ๒๕๓๙



โดย: เจียวต้าย 28 สิงหาคม 2554 4:57:29 น.




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2554
12 comments
Last Update : 28 สิงหาคม 2554 9:43:31 น.
Counter : 568 Pageviews.

 

สวัสดีค่ะ

อ่านแล้วเศร้าใจ บีบคั้นหัวใจมาก
เทวดาน้อยๆ ก้าวพลาดจากวิมานมาเยี่ยมหล้า
ชั่วเพียงเสี้ยววินาที

เป็นเรื่องราวชีวิตของใครก็ตาม
ขอได้รับความเห็นใจ
จากคนที่ มีคนที่รักที่สุดจากไปตั้งแต่เด็กเช่นกัน

นึกถึงหัวอกแม่
ไปนอนรอคลอดคนเดียว
สามีก็มัวแต่ยุ่งกับงาน
สี่โมง-ห้าโมงเย็นเขาให้เยี่ยมได้
ก็มาไม่ทัน...
หากเป็นคนเดียวกันกับ
คนที่ออกไปกับเพื่อนได้ในเวลาราชการ
แถมยังมีงานค้างอยู่คนนั้น
ก็น่าทำโทษนัก

เป็นธรรมดาของโลก
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
มันยังไม่ถึงเวลาที่จะมีความสุขกันเต็มที่ทุกคน

มันต้องรอ เวลา ..
ที่จะมีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตากัน

 

โดย: nart (sirivinit ) 28 สิงหาคม 2554 10:30:37 น.  

 

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ ๔๗ ปีมาแล้ว คือ พ.ศ.๒๕๐๗

พ่อในเรื่องยังเป็นนายสิบเสมียนต๊อกต๋อยอยู่ที่สะพานแดง

เลิกงานสี่โมงเย็นแล้ว ต้องรีบไปทำหน้าที่พนักงานกล้องถ่ายโทรทัศน์ที่สนามเป้า

จนหมดช่วงเข้าเวรสามทุ่ม จึงกลับถึงบ้านสี่ทุ่มครับ

ด้วยความประมาทว่ายังไม่ถึงเวลา จึงปล่อยให้ภรรยาอยู่คนเดียวที่โรงพยาบาล ตรงข้ามหมู่บ้าน
โทษสมควรตายสักพันครั้งครับ.

 

โดย: เจียวต้าย 28 สิงหาคม 2554 12:27:57 น.  

 

ขอประทานโทษค่ะ
ไปไม่ทันเพราะการงานบังคับ
เป็นเหตุที่ ควรเห็นใจค่ะ

ก็เทวดาน้อยๆ ก้าวพลาดนิดเดียว ตกบันไดสวรรค์
มาแค่ชั่วเสี้ยววินาที...

น่าจะกลับมาใหม่ เป็นคนที่ไปร้องเพลงไทยเดิม
แล้วได้ หลวงพ่อแดงมาน่ะซีคะ

 

โดย: nart (sirivinit ) 28 สิงหาคม 2554 12:48:39 น.  

 

จริง ๆ ด้วยซี น่าจะใช่นะครับ เพราะมาติด ๆ กันเลยครับ.

 

โดย: เจียวต้าย 28 สิงหาคม 2554 17:48:34 น.  

 

ถ้าเช่นนั้นก็อย่าได้เสียใจไปเลยค่ะ
น้อง เขามาเซิ๊บๆ ดูก่อนว่า พ่อแม่จะเป็นอย่างไร
เมื่อทราบว่าดีแน่แล้ว
จึงได้กลับไปลาที่ ที่จากมาอย่างเป็นกิจจลักษณะ
แล้วจึงกลับมาใหม่

จากบริบทของเรื่อง พ่อ เป็นคนอารมณ์อ่อนไหวมาก
แต่ พ่อ รักลูกเหลือเกิน
คนที่สักแต่เป็นพ่อ เป็นไปงั้นๆ แหละ มีถมไปในโลกนี้
เขาใจดำจิตกระด้างพอที่จะไข่แล้วทิ้ง สงสารเด็กตาดำๆ

หากแม่ดี ตั้งใจเลี้ยงดูก็ดีไป แต่ หากไม่มีใครเลี้ยงดู
นั่นน่ะ นอกจากเกิดมาแต่กรรมแล้ว ยังต้องเกิดมาใช้กรรมอีกด้วย

แต่กรรมดี เราสร้างได้
โดยทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์
คิดดี พูดดี ทำดี มีความมานะพยายาม ไม่ไปไหนเสีย

การได้เกิดมาเป็นคนนั้น ก็ถือได้ว่ามีบุญอยู่ส่วนหนึ่ง
แต่ เป็นคนแบบไหนเล่า เป็นคน หรือเป็นมนุษย์
มนุษย์ เวไนยสัตว์ สัตว์อันประเสริฐ
เพราะ มน แปลว่า ใจ ใจอันรู้จักคิด
รู้จักใคร่ครวญ ตริตรอง ตรึก จึงจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
คนก็ยกย่อง เทวดาก็ชื่นชม ยมบาลก็แซ่ซร้องสาธุการ

แต่ที่ให้เขาก่นด่าทั้งโคตร อยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่มนุษย์
เป็นเพียงแค่คน คนที่คอหยักๆ สักแต่ว่าเป็นคน
เป็นนาถ...ตายเสียดีกว่า
ตากหน้าระเหิดระเหยอยู่ได้ทั้งตระกูล

เพราะเขาศีลเสมอกัน จึงเป็นสามีภรรยากันได้ ชช. ดีแท้ๆ

 

โดย: nart (sirivinit ) 28 สิงหาคม 2554 18:11:13 น.  

 

อ่านแล้วไม่รู้จะเขียน comment ว่าอย่างไรดี

มันรู้สึกเจ็บในอกลึกๆ เพราะเราก็เป็นแม่คนเหมือนกัน

ถ้าเป็นลูกเราล่ะ? ถ้าต้องเสียลูกไปล่ะ?

 

โดย: Katai_Akiko 28 สิงหาคม 2554 19:10:24 น.  

 

ขอบคุณ คุณนาถ ที่กรุณาสรุปให้ผู้เป็นพ่อปลื้มไม่เลิก

ขอบคุณ คุณ Katai_Akiko ด้วยครับ ที่เข้าใจหัวอกพ่อ ที่อยากมีลูกชายคนแรก แล้วได้เห็นเพียง ๖ วัน
ยังไม่ทันได้อุ้มเลยครับ

ขอบคุณที่ติดตามอ่าน ถ้าว่างก็ย้อนไปอ่านเรื่องแรก ๆ ด้วยนะครับ.

 

โดย: เจียวต้าย 28 สิงหาคม 2554 19:52:13 น.  

 

อ่านแบบลุ้น...ลุ้น ลุ้นสุดตัวค่ะ
ลุ้นให้เรื่องจบอย่างที่ทุกคนได้ยิ้ม
คาดหวังไว้เช่นนั้น

ไม่คิดว่าชีวิตคนคนหนึ่งจะถูกเล่นตลกเป็นไม้หกตกกระดานแบบนี้
พ่อที่รักลูกอย่างยิ่ง จำทุกเสี้ยววินาทีที่เจ็บปวดแม้จะผ่านมาเนิ่นนานได้มิรู้ลืม

หากเป็นเรื่องเขียน ผู้เขียนก็ถอดหัวใจสร้างรอยคำได้อย่างกรีดความรู้สึก
แต่หากเป็นเรื่องจริง ทุกรอยคำก็จะยิ่งมีเสียงสะอื้นของผู้เขียนเป็นเพลงบรรเลงประกอบ

สมเป็นเรื่องสั้นชั้นครูของท่านเจียวต้ายจริงๆค่ะ

 

โดย: ร่มไม้เย็น 28 สิงหาคม 2554 21:46:18 น.  

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงถึงสองร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ

จริงทั้งเหตุการณ์ และจริงจากความรู้สึกเจ็บปวดในใจ
ซึ่งได้บันทึกไว้ในวันที่ผ่านมานั้นแต่ละวัน

จนเวลาค่อยชะล้างความเจ็บปวดนั้นให้สร่างซาลงแล้ว
จึงนำมาเรียบเรียงให้เป็นเรื่องสั้น

แม้ระหว่างเขียน และอ่านทบทวนนำตาก็จะไหลจริง ๆ ครับ

ขอบคุณที่อ่านด้วยความเห็นใจครับ.

 

โดย: เจียวต้าย 29 สิงหาคม 2554 5:18:01 น.  

 

เข้าไปเยี่ยมห้องรับแขกของคุณร่มไม้เย็นมาแล้ว

เป็นคนที่ ๑๐๐ เลยครับ.

 

โดย: เจียวต้าย 29 สิงหาคม 2554 5:44:55 น.  

 

ขอบคุณเรื่องดีๆ ที่นำมาฝากค่ะ...

พูดไม่ออกค่ะ ตื้อๆ อยู่ข้างใน ประสาคนมีลูกเหมือนกัน...คนเป็นพ่อเป็นแม่ ใดๆ ในโลกคงเหมือนกันหมดนะคะ นึกถึงโฆษณาของไทยประกันชีวิตที่ว่า แม้ไม่ได้เป็นพ่อที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นพ่อที่รักลูกที่สุด...พอจะเข้าใจอารมณ์ค่ะว่าเจ็บปวดมากแค่ไหน เพราะตัวเองแค่บางครั้งลูกป่วย...ยังบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกครั้ง ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมใดๆ ขอแม่รับไว้เองเุถอะ เค้าอายุยังน้อย...นี่จากไปในเวลาแค่นี้....

แอบอ่านคอมเมนท์ข้างบนด้วยค่ะ

เดี๋ยวหนูจะแวะไปอ่านเรื่องที่พี่นาถเคยลงไปก่อนหน้านี้นะคะ


ขอบคุณมากค่ะ





 

โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ 29 สิงหาคม 2554 12:07:52 น.  

 

ขอบคุณที่เข้าใจในความรู้สึกของคนเป็นพ่อครับ

ข้อความที่ว่า แม้จะไม่ได้เป็นพ่อที่ดีที่สุด
ก็ขอเป็นพ่อที่รักลูกที่สุด

เป็นความจริงครับ.

 

โดย: เจียวต้าย 30 สิงหาคม 2554 6:45:47 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.