"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 
13 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
แนะนำเรื่องสั้น ของ เจียวต้าย ชุด เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา .. เรื่องของเพื่อน




เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา

เรื่องของเพื่อน

" เพทาย "




เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายสิบกับผม เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ นั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๑๐๘ คน ซึ่งแบ่งออกเป็นสองกองร้อยสี่หมวด เฉพาะหมวดที่ ๑ กองร้อยที่ ๑ ซึ่งผมอยู่ด้วยกันเกือบสามสิบคนนั้น ต่างก็สนิทสนมกันเป็นอันดี เพราะได้กินนอนเรียนเล่น ร่วมกันมาเป็นเวลา ๖ เดือนเต็ม แต่ที่ใกล้ชิดกันมากจนจำพฤติกรรมของแต่ละคนได้ดี และยังคบหาสมาคมกันต่อมา หลังจากออกรับราชการแล้วอีกหลายปี ก็มีอยู่หลายคน

มีอยู่คนหนึ่ง เป็นนักกีฬาที่ทำชื่อเสียงให้แก่หน่วยอย่างระบือลือลั่น เมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้ว เขาได้เคยเป็นตัวแทนของกองทัพบก เข้าแข่งขันกีฬาสี่เหล่าทัพ ซึ่งรวมถึงตำรวจด้วย ต่อจากนั้นก็เป็นนักกีฬาทีมชาติไปแข่งขันกีฬาแหลมทอง หรือเซียพเกมส์ ซึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นซีเกมส์ กีฬาเอเชียนเกมส์ และโอลิมปิคเกมส์ตามลำดับ

เขาผู้นี้เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนนายสิบแล้ว ก็ได้ออกไปรับราชการทางภาคใต้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการวิ่งมาแต่กำเนิด วิ่งได้เร็วโดยไม่ต้องฝึกหัด หรือฝึกซ้อมมาก่อนเลย ในต่างจังหวัดมีการแข่งขันวิ่งเร็ว แบบแข่งขันกันสองคนตัวต่อตัว ใครวิ่งไปชิงธงที่ปลายทางได้ ก็เป็นผู้ชนะ มีทั้งเดิมพันในระหว่างนักวิ่ง และมีการพนันขันต่อกัน ในระหว่างผู้ดูด้วย ไม่ว่าระยะทางที่วิ่งจะใกล้ไกลสักเท่าใด เพื่อนของผมคนนี้ก็คว้าเอารางวัลมาได้ทุกครั้ง ไม่เคยแพ้ใครเลย เมื่อมีคนรู้จักมากขึ้นในจังหวัดนั้น ก็ย้ายไปท้าแข่งที่จังหวัดอื่นต่อไป

ครั้นได้ย้ายเข้ามารับราชการในกรุงเทพมหานคร ก็เลยได้เป็นนักกีฬาของหน่วยหลายประเภท แต่ที่ทำชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ ชนะเลิศการแข่งขันวิ่ง ๑๐๐,๒๐๐ และ ๔๐๐ เมตร ของประเทศไทย และเป็นตัวแทนไปแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่ประเทศญี่ปุ่น และกีฬาโอลิมปิค ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เรียกว่าตลอดเวลาที่รับราชการอยู่ เขาไม่เคยทำงานอื่นใดเลย นอกจากเข้าค่ายซ้อมกีฬาทั้งปี และทุกปี

ความเร็วในการวิ่งของเขาสมัยนั้น เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาก แต่ที่ผมได้เห็นด้วยตาตนเอง ที่สนามศุภชลาศัยหรือสนามกีฬาแห่งชาติ เขาจะวิ่งระยะทางเท่าใด ในกีฬาระดับไหนก็ จำไม่ได้ พอออกจากจุดสตาร์ทเขาก็วิ่งนำโด่งไปคนเดียวสามสี่ช่วงตัว เหมือนกับว่าคนอื่นไม่ได้วิ่งอย่างนั้นแหละ เขาเกิดนึกอย่างไรไม่ทราบ จึงเหลียวหน้ากลับมาดูนักวิ่งที่แข่งกับเขา เมื่อเห็นว่ามีผู้วิ่งตามมาแน่แล้วเขาก็เข้าเส้นชัยไปอย่างสบายอารมณ์ ดูเหมือนจะยังไม่ทันเหน็ดเหนื่อยเสียด้วยซ้ำไป

ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้น สังขารก็ร่วงโรยลง มีนักวิ่งหนุ่ม ๆ เกิดขึ้นมาใหม่ สามารถเอาชนะเขาได้ จนตำแหน่งชนะเลิศตกไปเป็นของนักวิ่งสังกัดกองทัพอากาศแล้ว เขาก็เบื่อการกีฬา จึงขอลาออกจากราชการ ไปประกอบอาชีพส่วนตัว ซึ่งก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ หลายอาชีพตามความเบื่อง่ายของเขา แต่ส่วนใหญ่นั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการบันเทิงเริงรมย์ทั้งนั้น เพราะนอกจากจะเป็นนักกีฬาแล้ว เขายังเป็นนักรักด้วย

ครั้งหนึ่งผมเคยพบเขา เป็นคนต้อนรับแขก อยู่ที่ภัตตาคารใหญ่โต มีชื่อเสียงโด่งดังแถวสะพานยมราชหรือสี่แยกอุรุพงษ์ เมื่อก่อนที่ยังไม่มีทางด่วนพาดผ่าน ผมบังเอิญได้รับเชิญไปในคณะผู้ปฏิบัติงานออกอากาศ ของทีวีวิกสนามเป้าสมัยขาวดำ จากผู้จัดรายการของทางราชการคณะหนึ่ง เขารีบทักทายผมก่อน พร้อมกับโค้งคำนับอย่างล้อเลียน ผมไต่ถามเขาเพราะจากกันมานาน ก็ได้ความว่าเพิ่งมาอยู่ไม่กี่เดือน จึงถามต่อว่าพนักงานเสริฟหญิงมีทั้งหมดเท่าไร ก็ได้รับคำตอบว่ากว่าสองร้อยคน ผมซักว่ารู้จักอย่างลึกซึ้งแล้ว กี่คน เขาบอกว่าหลายสิบแล้ว

จนกระทั่งเกิดสงคราม ภายในสามประเทศของอินโดจีน เขาจึงได้อาสาสมัครไปเป็นเสือพราน ต้นกำเนิดของทหารพรานในปัจจุบัน ได้ออกไปปฏิบัติงานนอกประเทศอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ทุ่งไหหินในประเทศลาวจะแตก ด้วยฝีมือคอมมิวนิสต์

เขาจึงมีประสบการณ์ในการสงคราม มากพอที่จะเอามาเขียนหนังสือขาย ได้เงินมากมาย และมีชื่อเสียงโด่งดัง ยิ่งกว่าการเป็นนักกีฬาหลายเท่าตัว ในยุคสมัยของเขานั้น เรื่องบู๊ปนเซ็กส์กำลังฮิตติดตลาดมาก มีผู้เขียนหลายนามปากกา แข่งขันกันเต็มที่ เขาเขียนเรื่องได้อย่างรวดเร็ว และมากมายจนตัวเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง เขาเคยเขียนเรื่องยาวลงในหนังสือพิมพ์หัวเขียวรายวัน แล้วต่อมาไปผิดเส้นอะไรก็ไม่ทราบ เลยย้ายมาลงในหัวชมพูคู่แข่งเป็นรายวันเหมือนกัน

ผมไปเจอเขาเข้าอีก ในงานวันนักเขียนที่ ๕ พฤษภาคม ปีหนึ่ง ซึ่งจัดขึ้นที่สมาคม นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน หน้าวชิรพยาบาล เขายังจำผมได้ดี แต่ผมจำเขาไม่ค่อยได้ เพราะผมบนศรีษะของเขา หายไปมากกว่าครึ่ง

เขาโด่งดังอยู่ในวงวรรณกรรมหลายปี แต่แล้วก็เงียบหายไปจากวารสารต่าง ๆ ที่เคยลงพิมพ์ รวมทั้งที่เป็นเล่มขนาดพ็อคเก็ตบุ๊คส์ ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใด ผมพยายามติดตามข่าวคราวของเขา ก็ได้ยินว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ลอยชายอยู่ระหว่าง กรุงเทพกับนครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา แม้แต่น้องชายหญิงของเขาที่ทำงานอยู่หน่วยเดียวกับผม ก็ไม่เคยได้เจอหน้าเขาเลย

จนกระทั่งได้ทราบจาก เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายสิบ ว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ด้วยโรคเส้นโลหิตอุดตัน และผมได้ไปพบกับร่างอันไร้วิญญาณของเขา เป็นครั้งสุดท้าย ที่วัดแห่งหนึ่งในย่านห้วยขวาง ซึ่งเป็นงานฌาปนกิจศพที่เงียบเหงา ไม่สมกับความมีชื่อเสียงอันโด่งดังอย่างสูงสุด ทั้งในด้านการกีฬา และการประพันธ์ มาแล้วในอดีตเลย

ชื่อและนามสกุลจริงของเขาที่เขียนไว้บนกรอบรูปถ่ายหน้าเมรุนั้นคือ จ.ส.อ.ประจิม วงษ์สุวรรณ น่าเสียดายที่ไม่มีหน่วยใด บันทึกเกียรติประวัติในการแข่งขันกรีฑาของเขาไว้เลย ใน ปัจจุบันจึงหาคนที่จะจำชื่อของเขาได้อยู่เพียงไม่กี่คน

แต่เพื่อนของผมคนนี้ เมื่อเป็นนักเขียน ใช้นามปากกา

สยุมภู ทศพล

ซึ่งคงจะมีผู้อ่านหลายท่าน จำได้อย่างแน่นอน.

##########

จาก นิตยสารโล่เงิน
ธันวาคม ๒๕๔๓


โดย : เจียวต้าย วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา: 7:04:23 น.


Create Date : 13 กันยายน 2554
Last Update : 13 กันยายน 2554 7:19:01 น. 13 comments
Counter : 665 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ


ที่จริง นามสกุล วงษ์สุวรรณ ก็เป็นนามสกุลใหญ่ งานไปไม่กลับ ทำไมมีคนน้อย ไม่สมกับความดังของเขาเลยนะคะ

เหมือนกับที่นาถเคยพูดไว้ว่า "สยุมภู ทศพล" ทั้งชื่อ นามสกุล หมายถึงพระพุทธเจ้า ชื่อนามปากกานี้ อาจจะแรงเกินไปก็ได้ เกินไปกว่าที่จะใช้เขียนนิยายบู๊

หากเขียนเรื่องธรรมะ อาจจะดีเลิศก็ได้ค่ะ

คนบางคน ตั้งชื่อเกินตัว เกินฐานะ ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะแพ้ชื่อ

เขาล้อๆ กันว่า ชื่อ "พักตร์พริ้งพิไลเลขา" หน้าดำยังกะจรกา ในนิยายเจ๊ทม

อย่าให้เพิ้งแร้งไม่ทึ้ง ชื่อ "เพลินทัศนาพึงพิศ" ก็แล้วกัน ฮ่าๆๆๆ

วันนี้ ขึ้นอันดับ ๑ ค่ะ



โดย: nart (sirivinit ) วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:7:29:08 น.  

 
นาถเพิ่งตื่นค่ะ

เปิดเครื่อง เห็นมีข้อความหลังไมค์

เพื่อนถามว่า ทำไมวันนี้ไม่เปิดบ้านให้เพื่อนคุย

เมื่อคืนนี้ มีสแปมคอมเมนท์ บล็อกนี้ เมื่อสามนาทีก่อน
นาถก็คอมเมนท์ไม่ไปค่ะ

ไม่ทราบว่าบล็อกเป็นอะไรไปค่ะ

นาถเบื่อจังเลยที่มีคนบ้าเล่นแบบนี้ค่ะ



โดย: nart (sirivinit ) วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:13:06:44 น.  

 

ทำใจค่ะพี่นาถ ไม่รู้จะทำยังไงนะคะ เรายังรักอยากเขียน อยากคุยเล่นกับเพื่อนพ้องน้องพี่...ขานั้น จ้องอยู่แล้วคงรู้เวล่ำเวลาเป็นอย่างดีค่ะ


เรื่องของเพื่อน...อ่านจนถึงตอนท้ายแล้วขนลุกค่ะ สยุมภู ทศพล เคยได้ยินชื่อค่ะ

อะไรๆ ก็ไม่เที่ยงนะคะ แป๊บเดียวคนลืมหมดแล้ว...ความดีที่เคยมี...เคยทำไว้





โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:14:49:34 น.  

 
แบบนั้นเลยจริงๆ น้องหนู มาป่วยก่อนคนอื่นเลยค่ะ

น้องต้อย ก็เรียกเข้าบ้านพี่นาถไม่ได้ด้วย


ความตายสิเที่ยงแท้
ทุกคนต้องตาย





โดย: nart (sirivinit ) วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:15:45:59 น.  

 
เมื่อเช้าก่อนจะวางเรื่องนี้ ก็ยังนึกว่าเคยคุยกับคุณนาถ
ถึงเรื่องชื่อ สยุมภู ทศพล
แต่เลื่อนไปหาไม่เจอ ก็เลยวางลงไปให้คุณนาถทัก
แต่จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้
ว่าเคยคุยกันในคอลัมน์ไหนครับ

ความไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุดในโลก ตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ครับ คุณ สายหมอกและก้อนเมฆ
ไม่มีใครจะคาดได้ว่า
ชั่วโมงข้างหน้า นาทีต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นกับเราครับ

และความมีเกียรติยศชื่อเสียง (รวมอยู่ในโลกธรรมแปด)ก็อยู่ในความไม่เที่ยงอย่างยิ่งครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:17:20:20 น.  

 
นาถ มัวแต่ไปหาเรื่องที่คุยกัน ... สยุมภู ทศพล

อยู่ที่ กรุ๊พบล็อก ๒๙ ชื่อ
บล็อกมงคล ไว้สนทนากับท่านเจียวต้าย บล็อกแรก แต่ไม่มีเลข เพราะบล็อกต่อไป มีเลข ๒ ค่ะ
แม้...กว่าจะหาเจอ

ขัดใจมาก อ่านงานเก่าทุกเรื่องเลยค่ะ ฟื้นความจำไปในตัว

ความที่เราคุยกันทุกวัน เหมือนเรื่องไม่นานนะคะ

เรื่องนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ ส.ค. ค่ะ
อีกไม่กี่วัน ครบเดือนที่พี่ห่อกรุณามาวางเรื่องสั้นให้นาถและเพื่อนๆ อ่านแล้วค่ะ

สนุกนะคะพี่ห่อ สงสัยมาดามอากิโกะ จะไม่ค่อยสบาย
ไม่ได้มาบล็อกนาถ และบล็อกนี้ด้วยค่ะ

พี่ห่อ เปิดเจอหน้าไหน ก็วางเรื่องสั้นได้เลยนะคะ นาถยกไปแล้ว ลบได้ค่ะ

จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปิดหลายหน้า นาถไปทำดักไว้ ให้พี่ห่อวางทุกที่เลยค่ะ

ไม่ทราบว่าคนวางยาอะไรไว้ เพื่อนเข้าบล็อกนาถไม่ได้หลายคน ได้แต่โทร.มาบอกค่ะ

พี่ห่อทานข้าวต้มแล้วดึกๆ ถ้าหิว ทำอย่างไรคะ

เมื่อคืนนาถทานก๊วยจั๊บตอนสี่ทุ่ม มันทนหิวไม่ไหว ดูอะคาเดมี่แฟนเทเชียค่ะ เด็กๆ วัยเขายังสดใส...



โดย: nart (sirivinit ) วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:19:15:51 น.  

 
เรื่องทายนามสกุล ไม่ลืมนะคะ
แต่ยังหาคำแปลแบบนั้นไม่ได้

สะดุด อยู่สองสกุล แถมในพจนานุกรมก้ไม่มี

นาถเอาไว้ฝึกสมอง ฝึกความทรงจำค่ะ คุยกันสบายๆ อยากให้พี่ห่อเพลินค่ะ

เผื่อจะมีบุญตอนอายุมาก หากอยู่ถึงอายุเท่าพี่ห่อ จะได้มีน้องๆ หลานๆ มาคุยด้วยค่ะ

เมื่อครู่ใหญ่ๆ ไปบันทึก คำสั่ง หากนาถตาย ให้ทำอะไรบ้าง .. ใหม่ค่ะ

นาถไม่อยากเป็นอาจารย์ใหญ่ สั่งให้เผาวัดชลประทานฯ วัดที่ไม่เห็นแก่เงิน
ไม่เป็นพุทธพาณิชย์ คนตายบางรายเห็นค่าจัดงานศพแล้ว
หากเป็นได้ คงขอฟื้นกลับมา ด้วยสงสารคนเป็น...



โดย: นาท (sirivinit ) วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:19:26:43 น.  

 
เออหนอ ใส่ชื่อไทยผิด นานๆ ใส่ได้ทีค่ะ

ขออภัย...


โดย: นาถ (sirivinit ) วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:19:28:29 น.  

 
พี่ห่อ เปิดเจอหน้าไหน ก็วางเรื่องสั้นได้เลยนะคะ นาถยกไปแล้ว ลบได้ค่ะ

จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปิดหลายหน้า นาถไปทำดักไว้ ให้พี่ห่อวางทุกที่เลยค่ะ

ผมชอบรวมไว้เป็นหมวดเป็นหมู่ครับ และไม่ทราบว่าคนที่ไม่ใช่เจ้าของบล็อกก็ลบได้ครับ เดี๋ยวจะลองดู

เรื่องนามสกุลไม่อยากให้คุณนาถต้องเสียเวลา เปิดดูในนามสกุลอักษร น.ซีครับ ชัดเจนมาก

ผมเองเมื่อวันก่อนออกไปซื้ออาหารเช้า โดนฝนพรำ แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อปล่อยให้แห้งไปกับตัวเลย เย็นสบายดีครับ
ตอนเย็นก็ตากฝนอีก คราวนี้หนักกว่าเช้า ปกติไม่กางร่มใส่หมวกผ้าใบเดียว
แต่ก็ไม่ยักเป็นหวัดครับ


โดย: เจียวต้าย วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:20:19:59 น.  

 
ผมลองลบแล้ว ลบไม่ได้หรอกครับ

พรุ่งนี้เรื่อง ผู้น่าสงสาร
ผมจะวางต่อท้ายเรื่องนี้

คุณนาถยกไปแล้วก็ลบเลยครับ

แล้วต่อไปผมก็จะลงต่อเรื่องสุดท้ายเสมอครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:20:26:29 น.  

 
"พี่ห่อ เปิดเจอหน้าไหน ก็วางเรื่องสั้นได้เลยนะคะ นาถยกไปแล้ว ลบได้ค่ะ"


ขออภัยค่ะ หมายถึง นาถ ลบได้ค่ะ
ใจร้อน พูดสั้นๆ เรื่อยเลยค่ะ

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ



โดย: nart (sirivinit ) วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:20:57:45 น.  

 
เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา

ผู้น่าสงสาร

" เพทาย "

ในสมัยก่อนคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ ที่หลั่งไหลเข้ามาทำมาหากินในแผ่นดินไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครนั้น ส่วนมากจะมีอาชีพค่อนข้างต่ำ และยากจนค่นแค้น ส่วนน้อยที่เข้ามาค้าขายเป็นเจ้าสัว แต่ทุกคนก็มีอาชีพ แตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ และภาษา ซึ่งล้วนแต่ทำงานกันตัวเป็นเกลียว ไม่มีคนจีนนั่งขอทานเลย นอกจากจะมีนักดนตรีจีนคณะเล็ก ๆ สองหรือสามคนที่มีซอเป็นหลัก หรือคณะเชิดสิงห์โตเท่านั้น ที่จะเดินเรี่ยรายไป ตามหน้าร้านค้าของคนจีนด้วยกันเอง ในเทศกาลตรุษหรือสารทจีน

จนกระทั่งถึงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ พวกที่เป็นพ่อค้าก็กลายเป็นมหาเศรษฐี ส่วนกลุ่มที่ทำมาหากินในระดับรองหรือระดับล่าง ส่วนใหญ่ก็มีฐานะดีขึ้นกว่าเดิม หรือไม่ก็มั่งคั่งสมบูรณ์ จนแทบจะไม่มีผู้ใดต้องลำบากยากแค้นเหมือนบรรพบุรุษอีกต่อไป เขาเหล่านั้นเดิมเรียกกันว่าลูกจีน แต่ในปัจจุบันถือว่าเป็นคนไทย เชื้อสายจีน

เขาเหล่านั้นเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ก็ด้วยความขยันหมั่นเพียร ความมานะอดทน ความมัธยัสถ์ อดออมถนอมใช้ จนถึงปัจจุบันคนรุ่นที่สาม ก็ได้กลายเป็นไทยแท้และอยู่ในทุก วงการทุกสาขาอาชีพ ทุกระดับชั้นจนถึงระดับบริหารประเทศ

ดังนั้นจึงมีผู้แสดงตนอย่างภาคภูมิใจว่า เขานั้นเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ให้ได้เห็นได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอมา อย่างมากมาย ไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร

ส่วนคนไทยที่เป็นไท้ยเป็นไทยนั้น ไม่ค่อยจะมีอะไรโอ้อวดสักเท่าใดนัก นอกจากจะเป็นผู้ที่ด้อยโอกาส ขาดแคลนในสิ่งต่าง ๆ จนต้องชุมนุมกันเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์กันอยู่บ่อย ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ตามสถานการณ์ ซึ่งมักจะก่อความรำคาญให้แก่ผู้บริหารบ้านเมืองอยู่เสมอ

นานมาแล้ว ผมเคยเห็นลูกจีนคนหนึ่งเป็นหญิง บิดามารดามีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ เธอผู้นั้นเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเด่นมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ตอนเย็นที่เธอกลับจากเรียนหนังสือ ยังไม่ทันจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เพียงดึงชายเสื้อสีขาวออกนอกกระโปรง สีดำเท่านั้น แม้แต่เข็มเครื่องหมายสถาบันก็ยังไม่ได้ปลดออกด้วยซ้ำไป เธอก็รีบเข้ามาช่วยบริการยกอาหารที่ลูกค้าสั่ง เก็บถ้วยชามไปให้คนล้าง ซึ่งเชื่อว่าเธอได้ทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่เด็กเรียนชั้นประถม และเชื่อต่อไปอีกว่า ในการเรียนหลายปีที่ผ่านมา บิดามารดาของเธอคงไม่มีเวลาหรือความรู้พอที่จะช่วยเธอทำการบ้าน ดังเช่นที่พ่อแม่ทั้งหลายต้องทำอยู่ในเวลานี้ อย่างแน่นอน แต่เธอก็ได้สอบผ่านเข้าไปจนถึงมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง

เด็กอย่างนี้คงมีอยู่อีกมากมาย ซึ่งในปัจจุบันได้ดำเนินชีวิตอยู่ในอาชีพที่มีเกียรติสูงแทบทุกสาขา ต่างกับเด็กไทยในสมัยนี้ ซึ่งเมื่อเลิกเรียนแล้วก็เที่ยวไปเดินอยู่ในศูนย์การค้า พลาซ่า หรือเข้าบาร์เข้าผับไปเลย จึงมองเห็นแต่ชุดขาวดำเต็มไปหมด ทั้งที่มีเข็มและไม่มีเข็มเครื่องหมาย เมื่อรับปริญญากันมาทีละมากมาย ก็ต้องเดินหางานทำจนแทบจะชนกันตาย

ผมจึงเกิดความชื่นชมอย่างมาก เมื่อได้เห็นเด็กสาวผู้หนึ่ง ที่เธอนั่งรถเก๋งคันเล็กสีแดงสด ไปทำงานแต่เช้าตรู่ ขณะที่ผมเพิ่งเดินออกไปหาซื้ออาหารหวานคาวใส่บาตร เธอจะยื่นหน้าจากรถออกมาสั่งซื้อข้าวและแกง ใส่ถุงหลายอย่าง คงจะนำไปรับประทานยังที่ทำงาน แต่เมื่อกลับมาตอนเย็นค่ำ เธอก็จะต้องช่วยแม่ขายข้าวและแกงถุง เช่นเดียวกับเจ้าที่ออกขายเมื่อตอนเช้า โดยแทบจะไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว จากชุดสาวสำนักงานเลย

กิริยามารยาทของเธอขณะที่ขายของ ก็คล่องแคล่วกระฉับกระเฉงเป็นมืออาชีพ และเป็นกันเองกับลูกค้า ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสน่ารัก เพราะไม่ได้ฝืนทำ ผมจึงมักจะสะสมถุงพลาสติกที่สะอาดและยางเส้นที่ใช้รัดปากถุง เอาไปให้เธอบ่อย ๆ ซึ่งเธอก็แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ และมักจะคิดราคาลดให้เป็นพิเศษเมื่อผมซื้ออาหารถุงของเธอ ซึ่งผมก็ต้องขอร้องไม่ให้ทำเช่นนั้น เพราะผมไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทนในการเอื้อเฟื้อเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากเพื่อสนับสนุน การกระทำความดีของเธอเท่านั้น

ในการเดินเข้าออกหมู่บ้านของผมนั้น ผมมักจะพบเห็นคนขอทานอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน บนสะพานลอย และตามสี่แยกเล็ก ๆ ของซอยภายในหมู่บ้าน ทั้งคนพิการทางตา ซึ่งตั้งวงดนตรีมีเครื่องขยายเสียง ที่ดังจนก่อความรำคาญให้แก่ผู้อยู่ใกล้เคียง มากกว่าที่จะชวนฟัง บางทีก็มีออร์แกนเล็ก ๆ ตัวเดียวดีดไปร้องไป หรือชายดีดหญิงร้อง สุดท้ายใช้การเป่าใบไม้ให้เป็นเพลงก็ยังมี

ส่วนที่พิการอย่างอื่นนั้น ส่วนใหญ่จะขออย่างเดียว บางทีก็ชอบนั่งหรือนอนตากแดด เพื่อให้ดูน่าสงสารมากขึ้น อีกหลายรายที่ชอบอุ้มทารก หรือปล่อยให้คนหนึ่งนอนคนหนึ่งนั่งเล่นดินทราย ซึ่งว่ากันว่าเป็นขบวนการที่มีผู้ควบคุม เอารถมาส่งในพื้นที่และรับกลับด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาเอง ขบวนที่ว่านี้เดี๋ยวนี้หายไปแล้ว

แต่มีอยู่คนหนึ่งเป็นหญิงอายุค่อนข้างชราแล้ว นุ่งผ้าถุงเรียบร้อย สวมเสื้อที่ดูดี แต่มีลักษณะเป็นคนชนบท ชอบนั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงหัวมุมซอยเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ลักษณะไม่น่าจะใช่คนขอทาน ผมไม่ทราบว่าแกมาจากไหน ดูคล้ายกับผู้เฒ่าผู้แก่ที่มานั่งรอรับลูกหลาน ซึ่งกลับจากโรงเรียนอนุบาลประเภทที่มีรถรับส่งมากกว่า สายตาที่มองดูรอบ ๆ กายอย่างเหม่อลอยนั้นชวนให้น่าสมเพช

เวลาผมเดินผ่านแกจะมองตามผม ด้วยสายตาเศร้า ๆ เช่นนั้นเสมอ ทำให้ผมนึกถึงคนชราที่ถูกลูกหลานทอดทิ้ง ไม่สามารถจะทำมาหากินอย่างอื่นได้ นอกจากรอความเมตตาจากเพื่อนมนุษย์ที่มีจิตเป็นกุศล ช่วยบริจาคเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ พอหาอาหารประทังชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้น

ผมไม่ค่อยได้พบแกทุกวัน แต่วันหนึ่งเห็นแกเอามือวางแบอยู่บนหัวเข่าที่นั่งชันอยู่ข้างหนึ่ง โดยไม่พูดว่าอะไร ผมจึงควานหาเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกง ใจก็คิดว่าไม่น่าจะให้เพียงบาทเดียว เพราะไม่ได้เห็นภาชนะอื่นใดที่จะใส่เงิน เหมือนคนอื่น พอดีเจอเหรียญห้าบาท ก็ใส่ลงในฝ่ามือนั้นแล้วก็รีบเดินเลยไป

หลังจากนั้นถ้าผมเจอแกอีกก็ให้เหรียญห้าบาท หรือกำเศษเหรียญบาทให้ไปโดยไม่ได้นับ ผมก็ไม่ทราบว่าแกจะมีรายได้วันละเท่าไร เพราะที่ตรงนั้นไม่ใช่ทางที่จะมีผู้เดินผ่านมากมาย แต่เป็นทางที่ผมต้องผ่านเป็นประจำ นาน ๆ จึงจะพบแกสักครั้ง ทุกครั้งที่เจอก็ไม่ได้ยินคำขอ และไม่ได้มีคำขอบคุณ ออกจากปากของแกเลยสักครั้งเดียว มีแต่แววตาเท่านั้นที่บอกถึงความรู้สึก

ยิ่งบางครั้งผมมีแต่เหรียญสิบบาท และตัดใจส่งให้ไป แกจะเงยหน้าสบตาผม และมีแววของความตื่นเต้นยินดีปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน

วันนี้เมื่อผมกลับเข้าบ้านก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว พอผ่านบริเวณที่ว่าก็มองเห็นหญิงชราเจ้าเก่านั่งอยู่อย่างเคยแต่ไกล ผมจึงควานมือลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยความเคยชิน แต่ปรากฎว่าไม่มีเศษเหรียญอยู่เลย เพราะควักจ่ายค่ารถเมล์ไปจนหมดสิ้นแม้แต่เหรียญสลึง ครั้นเปิดกระเป๋าสตางค์ดูก็มีธนบัตรใบละยี่สิบบาทเหลืออยู่เพียงใบเดียว ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเดินมาถึงตัวแกแล้ว จึงตัดใจยัดธนบัตรใบนั้นใส่ลงในฝ่ามือ แกเงยหน้าขึ้นมองดูผมเหมือนจะไม่เชื่อใจ ผมยิ้มให้แล้วก็ขยับจะเดินเลยไป

ก็พอดีมีรถเก๋งขนาดใหญ่สีดำวาววาม แล่นเฉียดเข้าซอยมา แกรีบเก็บธนบัตรยัดใส่ชายพกอย่างเร่งร้อน แล้วรีบลุกขึ้นยืนจะเดินออกจากที่นั้น รถเก๋งคันนั้นก็เบรคหยุดลงตรงหน้า ประตูรถเปิดออกโดยแรง แล้วก็มีเสียงดังลั่นซอย

" ต๊าย...คุณแม่ มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ "

รู้สึกว่าหญิงชราตกใจงก ๆ เงิ่น ๆ ไม่ทันจะทำอย่างไร เจ้าของเสียงก็ก้าวลงมาจากรถ จากเครื่องแต่งตัวและเครื่องประดับครบครัน แสดงถึงฐานะอันสูงส่งของเธอผู้นั้น ทำให้ผมพลอยตกตลึงไปด้วย

" เย็นค่ำแล้วมาเดินอยู่ได้ เดี๋ยวก็กลับบ้านไม่ถูกหรอก ไปขึ้นรถเถอะ หนูจะไปส่ง "

ว่าแล้วเธอก็จูงมือหญิงผู้เป็นมารดาให้ก้าวขึ้นนั่งบนรถด้านหลัง แล้วหันมาหาผมซึ่งยืนเบิ่งอยู่ อย่างที่ไม่รู้ว่าจะทำตนอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น

" คุณแม่เป็นโรคสมองเสื่อมค่ะ ทำอะไรไปไม่ค่อยรู้ตัว นี่เอามาพักอยู่กับหลานสาว เพราะที่บ้านต้องออกไปทำงานกันหมด ไม่มีใครดูแล คนใช้ก็หายาก "

ผมคงจะยิ้มอย่างแหยเต็มที เธอจึงพูดต่อโดยไม่สนใจ

" เห็นเขาว่าชอบออกมาเดินเล่นบ่อย ๆ แล้วก็กลับบ้านไม่ค่อยจะถูก ต้องออกมาตามกันอยู่เสมอ ห้ามก็ไม่ฟัง พอเผลอก็ออกมาทุกที เคราะห์ยังดีที่ไม่ไปไกล หรือขึ้นรถเมล์ไปถึงไหน ๆ ละก็ยุ่งกันใหญ่แน่ "

ผมก็ยังคงเป็นเบื้ออยู่อย่างเดิม

" นี่หนูจะมาเยี่ยมน่ะค่ะ ก็เจอเข้าพอดี ถ้าคุณลุงเจออีกกรุณาพาไปส่งบ้านด้วยนะคะ ไม่ไกลหรอกค่ะ บ้านสีเขียวหัวมุมแยกหน้านี้เอง "

และโดยไม่สนใจฟังว่าผมจะเอ่ยอะไรออกมา เธอก็ขึ้นรถ ขับออกไปจากที่นั้น ผมมองตามท้ายรถไปไม่ไกล ก็เห็นเลี้ยวเข้าไปในบ้านหลังที่เธอชี้บอก

ผมก้าวเดินไปทางบ้านผม ซึ่งเป็นคนละทางกับบ้านนั้น ความคิดหลายอย่างประดังขึ้นมาในใจ นึกถึงหญิงชราผู้น่าสงสาร แต่แม้จะช่วยตนเองไม่ค่อยได้ ก็ยังดีที่มีลูกหลาน คอยเอาใจใส่ดูแลอยู่ ไม่ได้ทอดทิ้งอย่างที่ผมคิด

ส่วนผมนั้นแม้จะช่วยตนเองได้ แต่ขณะนี้ก็ไม่เหลือเงินติดตัวเลย และที่สำคัญก็คือ อีกตั้งสองวัน กว่าเงินบำนาญจะออก.

##########

จาก นิตยสารทหารปืนใหญ่
ตุลาคม ๒๕๔๔


โดย: เจียวต้าย วันที่: 14 กันยายน 2554 เวลา:6:22:16 น.  

 


โดย: sirivinit วันที่: 14 กันยายน 2554 เวลา:8:49:13 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.