นั่งรถสุดโหดก่อนถึงสิบสองปันนา
ทริปนี้ เป็นทริปที่นั่งรถนานมากทั้ง ขาไปและขากลับ แล้วก็ได้เที่ยวจริง ๆ เพียงวันเดียว ไม่คุ้มค่ากับการนั่งรถนานเป็นวัน ๆ เพื่อได้เที่ยวแค่วันเดียว ฉันจึงตั้งชื่อเรื่องว่า " นั่งรถสุดโหดก่อนถึงสิบสองปันนา"จ้ะ
ทริปนี้ เป็นทริปที่ไม่คุ้มค่ากับการเที่ยว ด้วยราคา 10,500 บาท ถึงจะเป็น 5 วัน ตัดวันไปนอนในรถก็หมดไป 1 วัน ขากลับนอนในรถคืนที่ 4 มาเช้าวันที่ 5 ก็นับเป็นอีก 1 วัน ก็จะเหลือเพียง 3 วัน นั่งอยู่ในรถอีก 2 วัน ก็เหลือเที่ยวจริง ๆ เพียง 1 วัน ฉันจึงบอกว่า ทริปนี้ ไม่ประทับใจในเรื่องของการเที่ยวเลย เมื่อเหลือเที่ยวเพียง 1 วัน สถานที่เที่ยวที่ แพลนเอาไว้ จึงต้องเที่ยวแบบรวดเร็ว รีบร้อน ความเหนื่อยก็มาเยือนมากยิ่งขึ้น แล้วส่วนใหญ่ที่ไปนี่ ก็สูงอายุกันทั้งนั้น บางคน ก็ไม่ไปเลย นั่งอยู่กับที่ ใน 1 วันที่เที่ยวนี้ ยังต้องให้พวกเราไปเข้าร้านขายของจีนอีก 2-3 ร้าน โอ! พระเจ้า เป็นสิ่งที่น่าเบื่อมากที่สุดสำหรับการไปเที่ยวเมืองจีนกับทัวร์
แต่อย่างไร ก็ตาม เมื่อมาเที่ยวแล้ว ก็ต้องเที่ยวและเก็บเกี่ยวสถานที่ไปเที่ยวให้ได้มากที่สุด ทำใจให้ได้ ไม่งั้นเราก็จะไม่สนุกกับการเที่ยว นั่นเอง
การไปเที่ยวครั้งนี้ กำหนดเวลา คือ วันที่ 26-30 พ.ย. 58 ฉันหาสมาชิกให้คุณปราโมทย์ อีก 3 คน คือ วัชรี พี่วิลาวัณย์ และคุณบุญสม รวมฉัน ก็เป็น 4 คน ทริปนี้ สบาย ๆ ไม่แออัด มีเพียง 28 คนเท่านั้น ฉันนั่งที่เดิม คือ ตรงบันไดที่จะลงไปจากชั้นสอง ส่วนพี่เจ๋กับลุงสม ฉันเลือกให้นั่งตรงกับที่นั่งฉันกับวัชรี จะได้นั่งคุยกันได้สะดวก ไม่ต้องเอี้ยวคอไปคุยกัน อิอิ
ครั้งนี้ เจ้าเม้ง ไม่ได้มารับ มาส่ง เขาบอกมาไม่ได้ ฉันก็เซ็งไม่รู้จะว่าอย่างไร จึงนัดกับวัชรีว่า ให้เขานั่งแท็กซึ่จากบ้านเขาที่สวนหลวง มารับฉันที่บ้าน แล้วไปด้วยกันที่วิภาวดี 20 ที่ทัวร์นัดหมายเอาไว้ พอดี ลูกชายคนเล็กของวัชร์ เขาสามารถไปส่งแม่ของเขาได้ ฉันเลยได้อาศัยเขา มารับฉันที่บ้านไปด้วยกัน
พวกเราไปถึงที่นัดหมายยังไม่ถึงบ่ายสามโมงตามเวลานัดของทัวร์เลย ส่วนพี่เจ๋กับลุงคิด มาช้ากว่าเราสักพัก สมาชิกครั้งนี้มีหน้าเก่า ๆ ที่ไปเที่ยวเขมรอยู่น่าจะประมาณ สิบกว่าคน นอกนั้นเป็นสมาชิกที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า เท่ากับ สมาชิกเก่ากับใหม่ มีเกือบเท่า ๆ กัน
อีกสักพักใหญ่ พี่เจ๋กับลุงสม ก็มาถึง ทีมของฉัน 4 คนก็ครบแล้ว ครั้งนี้ ออกรถเร็ว สมาชิกก็มีเพียง 28 คนเท่านั้น มัคคุเทศก์เป็นสเน็ก คนเดิมที่เราไปเขมรกันนั่นเอง รถก็ออกเร็วไม่มีปัญหาเหมือนครั้งที่แล้ว 15.30 น. รถก็เคลื่อนออกจากปั๊มน้ำมันมุ่งเข้าสู่เชียงของเป็นเป้าหมายแรก สเน็ก เริ่มแจกข้าวกล่อง ซึ่งเป็นอาหารมื้อเย็น แจกน้ำ คนละ 1 ขวด ให้ลูกทัวร์ ก็เหมือนเดิม มีการแนะนำตัวกันเป็นธรรมเนียม คุณปราโมทย์ให้ฉันเป็นผู้แนะนำสมาชิกของฉันเอง สมาชิกใหม่ มีครอบครัวของคู่เขยด้วย ดูเหมือนอีกคนเป็นนายพล ด้วย ฉันก็จำไม่ได้ เป็นสมาชิกใหม่ที่เพิ่งมาครั้งนี้ มาชมภาพ ค่ะ ฉันกับเพื่อนเริ่มทานข้าวประมาณ 17.00 น. ทุก 2-3 ชั่วโมง เขาก็จะแวะปั๊มน้ำมันให้ทุกคนเข้าห้องน้ำ คุณปราโมทย์ ก็พยายามให้สมาชิกในรถได้สนุกสนานร้องเพลงกับคาราโอเกะ ไป ทริปนี้ไม่มีการตอบปัญหา ชิงรางวัลเหมือนทริปเขมร อิอิ ดูภาพการร้องเพลงที่ฉันถ่ายมาฝากเล็กน้อย จ้ะ ใกล้เที่ยงคืนแล้ว ทุกคนคงง่วงแล้ว เริ่มเข้าสู่นิทรารมย์ เป็นส่วนใหญ่ ฉันก็หลับ ๆ ตื่น ๆ เขามีผ้าห่มให้ด้วย แต่ไม่รู้ว่าสะอาดไหม รู้สึกมันคัน ๆ ฉันเลยใส่เสื้อผ้าร่มกันหนาวแขนยาวที่เตรียมมาสวมทับก่อน แล้วใช้ผ้าห่ม ห่มอีกที รู้สึกดีขึ้น
เรามาถึง โรงแรมเชียงของ ตอนตีสามครึ่ง เป็นโรงแรมที่ทางทัวร์คงประสานกันเพื่อทานอาหารเช้าที่นี่ เขาจึงให้พวกเราเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตากัน ฉันเข้านั่งห้องน้ำก่อนเพื่อนตามภารกิจที่จะต้องทำทุกเช้า อิอิ ห้องน้ำที่นี่ก็มีหลายห้อง มีสองฝั่ง แต่ต้องเดินลงบันไดไป สงสารคนสูงอายุ ต้องปีนขึ้นปีนลง หลังจากเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ผัดหน้าผัดตากันเรียบร้อยแล้ว พวกเรา 4 คน ก็เริ่มหามุมถ่ายรูปกันแล้ว อิอิ เพราะไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้ กว่าเราจะได้ทานอาหารเช้า โน่นต้องหกโมงกว่า ตอนนี้เพิ่งตีสี่เท่านั้น บรรยากาศที่เชียงของ ไม่ได้หนาวมากอะไรเลย รู้สึกเย็น ๆ เท่านั้น เสื้อผ้าร่มก็อยู่แล้ว บรรยากาศเงียบสงบ ชาวบ้านบริเวณนี้ ยังอยู่ในนิทรารมย์อย่างสุขสบาย ร่องรอยของร้านรวงแุถวนี้ปิดเงียบ ไม่มีใครสัญจรไปมา เพราะมันเป็นยามวิกาล มาดูรูปที่ฉันรวบรวมมาให้ชม จ้ะ
กว่าจะได้ทานอาหารมื้อเช้า ก็ประมาณ 6.30 น. ห้องอาหารเขาถึงได้เปิด พวกเราก็รีบเข้าไป เพื่อหาโต๊ะที่ได้บรรยากาศ คือ โต๊ะที่ติดอยู่กับริมน้ำโขง บรรยากาศตอนนี้ อากาศเย็นสบาย พระอาทิตย์กำลังจะโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า เป็นทิวทัศน์ เป็นบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติค โรงแรมนี้ คิดว่าที่พักคงแพงพอสมควรนะ เพราะบรรยากาศติดริมโขง นั่นเอง อาหารเช้า เป็นอาหารบุฟเฟ่ ก็เหมือน ๆ กับโรงแรมทั่วไป โรงแรมนี้ มีข้าวต้มเครื่อง ข้าวต้มกุ๊ยด้วย สลัดผัก พวกเราทานข้าวเช้าไป ชื่นชมกับความงามของธรรมชาติไป มาชมภาพกัน จ้ะ
อาหารเช้าที่แสนโรแมนติค ผ่านไปแล้ว พวกเราก็เตรียมเข้าห้องน้ำห้องท่ากันให้เรียบร้อย เพราะต่อจากนี้ไป จะไปประเทศลาวแล้ว ไม่มีห้องน้ำในปั๊มเหมือนของไทยเรานะ เข้าที ก็เสีย 5 บาท อิอิ ประมาณ 8 โมง พวกเราก็ขึ้นรถและเคลื่อนออกจากโรงแรมแห่งนี้ไป ทิวทัศน์ยามเช้าของเชียงของ ตามทางที่ผ่าน ๆ ไป ดูเป็นเมืองสงบนะ มีร้านค้าเปิดขายของ ผ่านสถานที่ต่าง ๆ วัดวาอารม ฉันก็ถ่ายรูปหนทางที่ผ่านทะลุกระจกรถออกไป ภาพไม่ค่อยแจ่มนะ มาชมกัน แล้วพวกเรา ก็มาถึงด่านเชียงของ ซึ่งเป็นด่านไทย ที่จะต้องผ่านการตรวจคนเพื่อออกจากประเทศไทยไปยังฝั่งลาว มาดูภาพฝั่งไทยที่ด่านเชียงของ จ้ะ
ออกจากด่านเชียงของ ก็เข้าด่านลาวที่มีชื่อว่า ด่านแขวงบ่อแก้ว เมืองห้วยทราย ก่อนที่จะถึงด่านของลาวดังกล่าว เราจะต้องนั่งรถประจำทางของเขา เพื่อข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 เพื่อที่จะมาลงที่ด่านนี้ ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งจะมีมัคคุเทศก์ลาวมาคอยอำนวยความสะดวกให้กับพวกเรา เอาพาสปอร์ตของเราไปประทับตราเข้าประเทศเขา พวกเราเดินเข้าด่านไปโดยสะดวกสบายไม่ต้องไปเข้าแถวประทับตราทีละคน มาชมฝั่งด่านลาว ของเรา ค่ะ
เมื่อได้ขึ้นรถ คือ เปลี่ยนรถเป็นของฝั่งลาวแล้ว มัคคุเทศก์ลาว ก็ได้มากับพวกเราและแนะนำตัวเองว่า ชื่อ จันทร์ศุกร์ (สุข) และอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้พวกเราฟัง ได้สักพัก คงเห็นว่าพวกเราไม่ค่อยสนใจฟังเท่าไร แกเลยให้พวกเราพักผ่อน อิอิ ทิวทัศน์ระหว่างทางที่ผ่าน ส่วนใหญ่ก็เป็นเทือกเขาเตี้ย ๆ มีร้านค้าบ้าง ประปราย ไม่มีอะไรสวยงาม ถนน ก็เป็นสายสองเลน เท่านั้น รถราไม่มาก แล้วประมาณเที่ยงกว่า แล้ว จันทร์ศุกร์ก็พาพวกเรามาถึงร้านอาหารที่กว้างพอสมควรแต่ไม่โออ่าอะไร เหมือนร้านชาวบ้านธรรมดา อาหารก็เหมือนของไทยเรา มีไข่เจียว ผัดผัก ต้มยำ ปลาราดพริก แล้วมีส้มตำใส่กะปิด้วย ทุกคนทานส้มตำอย่างเอร็ดอร่อย ชมภาพ จ้ะ หลังอาหารมื้อเที่ยงแล้ว ก็เดินทางต่อไปเพื่อออกจากฝั่งลาวที่บ่อเต็น เพื่อเข้าสู่ประเทศจีน ที่ด่านบ่อหาน ซึ่งที่นี่ มัคคุเทศก์จันทร์ศุกร์ก็อำนวยความสะดวกเพื่อประทับตราออกจากประเทศลาว โดยที่พวกเราไม่ต้องไปให้ประทับตราทีละคน แต่พอออกจากด่านบอเต็นเข้าด่านบ่อหานของประเทศจีน ก็ยุ่งยาก คือ ต้องไปถ่ายรูป ทำวีซ่า เพื่อเข้าประเทศจีน ต้องเอากระเป๋าเข้าเครื่องเอกซเรย์ เข้าแถวประทับตราเข้าประเทศจีนทีละคน แต่ก็มีมัคคุเทศก์จีน ชื่อ น้ำทิพย์ มาบริการความสะดวกในการทำวีซ่า ให้ จ้ะ พวกเราขณะที่รอ ก็ไม่วายถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก จ้ะ
ระหว่างทาง มีร้านค้าของชาวบ้านตั้งขาย มีของหมักดอง เช่น มะม่วงดอง มีสับปะรด ที่ปอกเสร็จแล้ว มีผลไม้ เช่น ส้ม ราคาก็ไม่ได้ถูกกว่าเมืองไทยเลย จ้ะ
หลังจากที่ มัคคุเทศก์ น้ำทิพย์จัดการเรื่องวีซ่า เสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองเชียงรุ้ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ สิบสองปันนา ต้องใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 3 ชั่วโมง ไปถึงเมืองเชียงรุ้ง ก็เป็นเวลามืดแล้ว ถนนหนทางทีผ่าน มีแสง สี สวยของไฟกลางคืนสว่างไสว มัคคุเทศก์ เล่าให้ฟังว่า สัญลักษณ์ของเมืองเชียงรุ้ง คือ ช้าง และ นกยูง ได้เล่าเรื่องราวของ รัฐสิบสองปันนา และเมืองเชียงรุ้ง ให้ฟัง ที่นี่ ประชากรส่วนใหญ่จะเป็นชาวเผ่าไทลื้อ เผ่าไทลื้อ หรือ ไตลื้อ เป็นชาวไทที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในสิบสองปันนาของจีน เอกลักษณ์โดดเด่น คือ มีภาษาไทลื้อเป็นของชนเผ่าตนเอง มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่า เช่น การแต่งกาย ศิลปะ ประเพณีต่าง ๆ ที่มาของคำว่า สิบสองปันนา เล่ากันว่า มีวีรบุรุษไทลื้อ ชื่อว่า เจ้าเจี๋ยงหาญ ได้รวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ ในสิบสองปันนา (ในปัจจุบัน) ตั้งเป็นอาณาจักร ชื่อ แจ่ลื้อ ได้ตั้งศูนย์อำนาจการปกครองเอาไว้ที่หอคำเชียงรุ้ง นานถึง 790 ปี ต่อมาในสมัยของพระเจ้าอิ่นเมือง ครองราชย์ในปี พ.ศ. 2122-2126 ได้แบ่งการปกครองเป็น สิบสองหัวเมือง แต่ละหัวเมืองให้มีที่ทำนา 1000 หาบข้าว (เชื้อพันธุ์ข้าว) ต่อนา 1 ที่ต่อหนึ่งหัวเมือง จึงเป็นที่มาของชื่อ สิบสองพันนา แล้ว เพี้ยนมาเป็น สิบสองปันนา ชาวไทลื้อ อาศัยอยู่สองฝั่งแม่น้ำโขง ทั้งด้านตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ำ ทางด้านตะวันตก มี 5 เมือง ทางตะวันออกมี 6 เมือง รวมเมืองเชียงฮุ่ง (เชียงรุ้ง) เป็น 12 ปันนา ทั้ง 12 ปันนายังแบ่งเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยอีก สองข้างทางและทางเดินไปเพื่อหาร้านอาหารที่นัดไว้ น้ำทิพย์เองก็ไม่รู้ว่า ร้านตั้งอยู่ที่ไหน กว่าจะหาเจอ ต้องใช้โทรศัพท์ติดต่อและให้มานำทางไป กว่าจะได้ทานมื้อเย็น ก็น่าจะสองทุ่มมั้ง
หลังจากทานข้าวมื้อเย็นเสร็จแล้ว เรามีเวลาในการเดินเที่ยวในบริเวณ เจดีย์ 9 จอม 12 เจียง อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็ให้เรากลับโรงแรมแล้ว เลยไม่ได้มีโอกาสได้เดินตามซอกตามซอย เขาว่า จีนฉลาด สร้างที่นี่ให้มีลักษณะเหมือน เชียงใหม่ ของเรา เพื่อกันไม่ให้ประชาชนของเขามาเที่ยวเชียงใหม่ เงินจะได้ไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ ไงล่ะ เรามาทราบประวัติความเป็นมาของ สถานที่แห่งนี้สักเล็กน้อย เป็นความรู้ ก่อนที่จะไปชมภาพ ค่ะ เจดีย์ 9 จอม 12 เจียง ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ใจกลางที่ดินประมาณ 600 ไร่ ด้านตะวันออกของเมือง เชียงรุ่ง(รุ้ง) ซึ่งเป็นเมืองเอกแห่งเขตปกครองตนเองของ สิบสองปันนา แปลนการก่อสร้างของเจดีย์แห่งนี้ เป็นการจำลองแบบเจดีย์เก่าแก่ของ สิบสองปันนา ที่เคยถูกทำลายช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมจีนในอดีต มีการออกแบบรูปทรงหลังคาอาคารทันสมัยในโครงการให้คล้ายคลึงเหมือนปีกหงส์ รวมถึงตึกสูงรูปเจดีย์ 9 หลัง ที่จะสร้างเป็นสัญลักษณ์แห่งสิ่งก่อสร้าง สิบสองปันนา ถือเป็น "อัญมณี แห่งสามเหลี่ยมทองค่ใหญ่ แหล่งรวม 1 แม่น้ำ 2 ประตู 9 เจดีย์ (จอม) และ 12 หมู่บ้าน (เจียง) ผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทลื้อและประเทศไทย กับวิถีสมัยใหม่ เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว เมืองแห่งธุรกิจนานาชาติ เมืองแห่งวิถีไทยและไทลื้อ ถือเป็นเชียงใหม่แห่งที่ 2 เป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง ไทย-จีน ตามยุทธศาสตร์ GMS โครงการนี้ สร้างขึ้นเพื่อรองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการลงทุนของจีนตอนใต้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ ถนนสาย คุนหมิง- กรุงเทพฯ ซึ่งต้องผ่านสิบสองปันนา ลงทุนไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้าน น่าเสียดายที่พวกเรามาถึงที่นี่ เป็นเวลามืดแล้ว ไม่มี โอกาสได้เดินชมเมืองนี้เลย ได้แต่รูปบริเวณใกล้ ๆ ร้านอาหารที่ไปทาน ในยามค่ำคืนมาฝากเท่านั้น ไม่ได้เห็นวิถีชีวิตของพวกไทลื้อเลย
อยู่บริเวณนี้ถึงประมาณ 3 ทุ่มได้ พวกเราก็ต้องกลับโรงแรมไปพักผ่อน เพราะนอนอยู่ในรถ และนั่งรถทั้งวันอีก ทุกคนคงเพลียมากแล้ว โรงแรมที่มาพัก ก็ดีพอสมควร นะ มาดูหน้าโรงแรม จ้ะ
วันที่ 28 พ.ย. 58 นัดเวลา 6 :7: 8 ตามเวลาของจีน ซึ่งเวลาของจีนจะเร็วกว่าของไทย 1 ชั่วโมง นาฬิกาที่นี่ ก็ไม่ปลุกอีกต่างหาก แต่วัชร์เขาตื่นก่อน เลยปลุกกันได้ อิอิ แต่งตัวเสร็จลงมาทานข้าว ที่ห้องอาหารของโรงแรม เพื่อน ๆ ทัวร์ มากันเยอะเหมือนกัน พี่เจ๋ กับ ลุงสม ลงไปก่อน อาหารก็เหมือน ๆ กับที่ผ่าน ๆ มา แต่ไม่อร่อยนัก มีข้าวต้มทั้ง ข้าวต้มเครื่องและข้าวต้มกุ๊ย อาหารค่อนข้างน้อย จำกัดไข่คนละ 1 ฟอง ต้องไปรับเอง เขาว่า ไข่ที่นี่แพงมาก ขำดี อ่ะ หลังอาหารเช้าแล้ว เราขึ้นห้องพักเพื่อทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนขึ้นรถ เพื่อไปเที่ยว วันนี้โปรแกรมเที่ยวอัดแน่น เพราะว่า เรามีเวลาเที่ยวแค่วันเดียว พรุ่งนี้ เช้าเราก็ต้องเดินทางกลับแล้ว อากาศเช้านี้ มีหมอกลงค่อนข้างหนา เมื่อคืนฝนตก เช้านี้ ก็ตกโปรย ๆ นิด ๆ ถนนหนทางเฉอะแฉะ มีรูปจากกล้องเพื่อนมาฝากด้วย
แห่งแรกที่ มัคคุเทศก์พาเราไปเที่ยว ก็คือ สวนป่าดงดิบ ซึ่งป่าของที่นี่ เขียวขจี และเป็นแหล่งวัฒนธรรมของชนเผ่า ไทลื้อ อีก้อ และ จูโน่ด้วย รถมาถึงที่นี่ เราต้องเดินเข้าไปอีกไกลเหมือนกัน ระหว่างทางเดินไปตามถนน ซึ่งเขาไม่ให้รถนักท่องเที่ยวเข้า สองข้างทางร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ มีรูปติดอยู่ตามทางผ่าน เป็นการโฆษณาสวนแห่งนี้ ฉันก็ถ่ายรูปไปด้วย ระหว่างมัคคุเทศก์ไปซื้อตั๋ว เราก็ถ่ายรูปกับหุ่นที่เขาทำไว้ ให้ถ่ายรูปกัน เรามาชมรูปที่ฉันเก็บมาฝากค่ะ
เมื่อได้รับบัตรเข้าชมสวนป่าแล้ว มัคคุเทศก์แจกบัตรคนละใบ แล้วเข้าแถวเป็นรูปโค้งหลายโค้งเพื่อเข้าไปในสวนป่า
เมื่อเข้าแล้ว ก็มีรถกอล์ฟ เป็นรถไฟฟ้า ให้พวกนักท่องเที่ยวนั่งไป ชมสวนและการแสดงต่าง ๆ ตามจุดต่าง ๆ ด้วย ไม่ต้องเดินเยอะนัก
เรามาทราบ ความเป็นมาของสวนป่าดงดิบสักนิดหนึ่ง ค่ะ สวนนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเชียงรุ่ง ห่างจากตัวเมืองเชียงรุ้ง 8 กิโลเมตร ถือเป็นป่าดงดิบเขตร้อนที่อยู่ใกล้เมืองเชียงรุ้งมากที่สุด มีพื้นที่ประมาณ 1.5 หมื่นไร่ ภายในป่าสวนดงดิบนี้ สภาพป่ามีความอุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้เขตร้อน สัตว์ป่านานาพันธุ์ อาศัยอยู่มากมาย ในสวนนี้ มีหมู่บ้าน ได้จำลองวิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อย มีร้านจำหน่ายอาหาร เรือนรับรองแขก แล้วก็มีการแสดงโชว์ต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เช่น การโชว์เป่านกยูงเรียกนกยูงที่เลี้ยงให้ลงจากบนเขา การแสดงของชนเผ่าพื้นเมือง การแสดงของ เสือ สิงโต (เสียดาย เราไม่ได้ชม เพราะเวลาน้อยมาก)เรามาดูภาพการแสดงของการเป่านกหวีดเรียกนกยูง ค่ะ
ชมการแสดงเรียกยูง ซึ่งเขาเลี้ยงไว้บนเขาสูง คิดว่า คนเลี้ยงคงฝึกมันจนรู้ว่า ถ้าได้ยินเสียงนกหวีดที่เป่า มันบินลงมายังลานกว้าง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมายืนดู (มีเป็นรอบ ๆ ต้องรู้เวลาด้วย) มันจะได้อาหารเม็ดที่คนเป่านกหวีดโปรยให้กิน มันฉลาดนะ คนโปรยเดินไปทางไหน มันก็จะเดินตามไปเรื่อย ๆ พอโปรยอาหารเม็ด มันก็ก้มหน้าก้มตาหาอาหารกินกัน อย่างเป็นระเบียบนะ ไม่แย่งกัน จิกกัน อิอิ แต่นกยูงช่วงนี้ ไม่สวยนัก ตัวยังเล็ก ๆ มีตัวโตน้อยตัว แล้วก็ไม่เห็นมันรำแพนเลย ได้ความรู้ว่า มันไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้จะไม่รำแพนล่อตัวเมีย อิอิ ประมาณสัก 20 นาที เห็นจะได้ ก็มีการไล่ต้อนให้มันบินขึ้นเขาไป บางตัวสงสัยแก่แล้ว บินได้ไม่ไกลนัก ก็ตกน้ำ ว่ายน้ำกันไป ในสระน้ำ ก็มีหงส์ดำ เป็ดน้ำว่ายอยู่หลายตัวเหมือนกัน หลังจากนั้น มัคคุเทศก์น้ำทิพย์ ก็ให้พวกเราขึ้นรถกอล์ฟไฟฟ้า ขับไปชมหมู่บ้านของชนเผ่ากลุ่มน้อย ไปดูการแสดง ดูวิถีชีวิตของพวกเขา มีการหุงข้าวแบบเตาโบราณ มีเครื่องไม้เครื่องมือของพวกชนเผ่า แสดงให้ชมด้วย มาชมการนั่งรถกอล์ฟ กัน ค่ะ
ต่อจากนี้ เราก็ไปชมการแสดงของชนเผ่า จูโน่ แต่ก็ดูไม่จบ เพราะต้องรีบไป ทริปนี้ ก็ต้องมีการพาเข้าร้านขายยา นวดเท้า ร้านหยก ฯลฯ น่าเบื่อมาก มาดูการแสดงของ เผ่าจูโน่ มีการตีฆ้อง ตะโพนโชว์ด้วย ลองมาชมภาพดู ค่ะ
ชมการแสดงของเผ่าจูโน่ ยังไม่ทันจบ ก็ถูกเลือกให้ไปนั่งรถกอล์ฟไฟฟ้า กลับไปนั่งรถคันใหญ่ของเรา และเดินทางไปร้านขายยา นวดเท้า ซึ่งฉัน วัชร์ พี่เจ๋ ลุงสม และอีกหลายคนไม่ได้เข้าไป เพราะก็รู้ ๆ อยู่แล้ว ไม่อยากซื้ออะไรอีกเลย จึงเดินเล่น ถ่ายรูปกันอยู่ด้านนอกสักรูปสองรูป แก้เซ็ง หลังจากอยู่ที่ร้านขายยา และนวดเท้าประมาณชั่วโมงได้ ก็ไปทานข้าวเที่ยงกัน อาหารไม่ค่อยอร่อยนัก
หลังจากอาหารเที่ยงแล้ว พาไปร้านหยกและขายเครื่องประดับ ตามที่ทัวร์จีนต้องพาเข้า ซึ่งเป็นสิ่งน่าเบื่อ แต่ก็ต้องเข้าไปไม่อย่างนั้น มัคคุเทศก์ จะโดนปรับ อะไรประมาณนั้น ตามที่มัคคุเทศก์บอกเรา จะซื้อหรือไม่ซื้อ ไม่เป็นไร ขอให้พานักท่องเที่ยวเข้าร้านก็แล้วกัน เฮ้อ ! วิทยากรก็จะมาบรรยายให้ฟัง
จากร้านขายหยก เราก็ไปเที่ยว สวนม่านทิง เรามาศึกษาความเป็นมาของสวนนี้ สักเล็กน้อย ค่ะ ตามที่มัคคุเทศก์น้ำทิพย์เล่าให้ฟังบ้าง ฉันค้นหามาบ้าง สวนม่านทิง หรือ เรียกอีกชื่อว่า สวนม่านถิ่นในภาษาคำไทลื้อ สวนแห่งนี้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเชียงรุ้ง มีเนื้อที่ประมาณ 1.54 หมื่น ตารางเมตร สวนนี้มีอายุมากกว่า 1300 ปีและเป็นสวนที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองเชียงรุ้ง มีประวัติเล่าสืบกันมาว่า เจ้าแผ่นดินผู้ปกครองแขวงสิบสองปันนา องค์หนึ่งในอดีต ชายาของพระองค์ ทรงพระประชวรบ่อย ๆ มีหมอดูให้คำแนะนำว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่า ไม่เหมาะที่จะอยู่ในวัง ให้สร้างสวนดอกไม้ ให้มีบ้านในสวนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ พระสวามี จึงได้สร้างสวนดอกไม้ตามคำแนะนำของหมอดู สวนนี้ ก็คือ สวนม่านทิง ให้เป็นที่พักผ่อนของพระองค์และชายา ประกอบด้วยขุนนางชั้นสูง เหล่านางสนมกำนัล ด้านหน้าของสวน มีรูปปั้นทองเหลืองของ นายกรัฐมนตรี โจวเอินไหล ในมือของท่านอุ้มขันน้ำและมีใบมะกอก เล่นสงกรานต์กับชาวบ้าน รูปปั้นนี้ สร้างเพื่อระลึกถึงท่านที่ให้ความเป็นกันเองกับชาวบ้านชาวไทลื้อ ตอนที่ท่านได้มาดูงานที่สิบสองปันนาและได้ร่วมเล่นน้ำสงกรานต์ สร้างความประทับใจแก่ชาวไทลื้อเป็นอย่างมาก ภายในสวนนี้ มีต้นโพธิ์ 2 ต้น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างไทย จีน ที่สมเด็นพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ ได้ทรงปลูกไว้ ตอนพระองค์เสด็จมาเยือนเมืองเชียงรุ้ง ภายในสวนแห่งนี้ ประกอบด้วย ต้นขี้เหล็ก และต้นไม้ใหญ่ ๆ มากมาย ร่มรื่น มีสระน้ำ กรงนกยูง และ ศาลาสำหรับพักผ่อน ด้านหลังของสวนม่านทิง มีเจดีย์ขาวและเจดีย์แปดเหลี่ยม ในสวนนี้ นอกจากรูปปั้นนายกโจวเอินไหลแล้ว ยังมีเจดีย์ขาว วัดป่าเจย์ วัดหลวงเมืองลือ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกันในบริเวณเดียวกันโดยนั่งรถกอล์ฟไฟฟ้า ฉันคงไม่สามารถแยกรูปว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน เพราะแต่ละสถานที่ อยู่ใกล้ ๆ กันในสวน เชื่อมต่อไปดูและชมด้วยรถกอล์ฟไฟฟ้า จ้ะ มาชมรูป นะคะ
ในสวนม่านทิง มีวัดป่าเจย์ (ฉันก็แยกรูปไม่ออกว่าเป็นส่วนไหน ที่เรียกว่า วัดป่าเจย์ ตรงไหน เป็น วัดหลวงเมืองลื้อ อิอิ เพราะมันอยู่ในบริเวณเดียวกัน ) มาอ่านความรู้ที่ฉันฟังมัคคุเทศก์และค้นคว้าเพิ่มมา นะคะ
วัดป่าเจย์ หรือ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า วัดป่าเจย์มหาราชฐานสิบสองปันนา เป็นวัดพุทธหินยาน (เถรวาท) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสวนม่านทิง เนื้อที่ 3,000 ตารางเมตร กล่าวกันว่า ในอดีต เป็นวัดที่เจ้าผู้ครองเมืองสิบสองปันนา ใช้เป็นสถานที่ไหว้พระ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนกิจ ภายในวัดแห่งนี้ มีวิหารและอุโบสถ กุฏิ เป็นที่จำวัดของพระสงฆ์ มีอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของพระพุทธวิทยาลัย ศาสนาของมณฑลยูนนาน วัดป่าเจย์ นับเป็นศาสนสถานสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเชียงรุ้ง เพราะปัจจุบันนี้ มีชาวไทลื้อและนักท่องเที่ยว เดินทางเข้ามา นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ขาดสายเลยทีเดียว
อีกวัดหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นวัดสำคัญในบริเวณ สวนม่านทิงนี้ ก็คือ วัดหลวงเมืองลื้อ วัดนี้ มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก มีพระพุทธเจ้าองค์น้อยปางประสูติ ต้องซื้อตั๋วเข้าไปชม เป็นวัดพุทธหินยานที่ใหญ่ที่สุดของจีน สร้างขึ้นด้วยเงินถึง 350 ล้าน หยวน ภายในวัดมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ เป็นสถานที่แสดงวัฒนธรรมทางศาสนา วัฒนธรรมทางพื้นเมืองที่ตกทอดมาช้านาน ยังเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยศาสนาพุทธสิบสองปันนา เพื่อใช้เป็นที่ศึกษาวิจัยศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนิกายเถรวาทเก่าแก่กว่า 3,000 ปี มีการสร้างใหม่ขึ้นมา มีพระพุทธรูปไม้สักขนาดใหญ่ วัดนี้ มีการผสมผสานศิลปะพุทธ หินยาน มหายานและทิเบต รอบ ๆ วัด จะมีท้าวจตุรบาลแบบจีน ยืนตระหง่านอยู่สุดเชิงบันไดนาค ตรงกลางของที่พักช่วงแรก เป็นที่ประดิษฐานองค์พระพรหมสี่หน้า องค์ทองเหลืองอร่าม ถัดขึ้นไป มีพระพุทธรูปปางประสูติ ซึ่งเป็นรูปปั้นเด็ก มีเพียงผ้าคลุมกายพองาม ประทับยืนชี้นิ้วขึ้นฟ้าและลงดิน เหมือนจะแสดงปริศนาธรรมอะไรบางประการให้ผู้พบเห็นได้ขบคิด ในส่วนของตัวโบสถ์ ได้สร้างด้วยศิลปะผสมผสานกันระหว่างไทลื้อ พม่า ลาว ภายใน เป็นจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ ได้วาดภาพเล่าพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน
ฉันได้รวบรวมรูปภายในสวนม่านทิงและมุมต่าง ๆ ที่สวยสดงดงาม เท่าที่จะมีเวลาเก็บรูปและอาศัยได้จากกล้องเพื่อน ๆ ร่วมทริปส่งมาให้ด้วย เชิญท่านผู้อ่านได้ชื่นชมและแยกแยะตามความรู้ที่ให้มา ค่ะ
โปรแกรมเที่ยวครั้งนี้ มีเพียงเท่านี้เองจ้ะ แหล่งสุดท้ายที่ต้องไปเข้าร้านค้า ก็คือ ร้านผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเยื่อไผ่ ซึ่งฉันเคยซื้อมาใช้ เช่น กางเกงใน ถุงดับกลิ่นอับในห้อง ในตู้เสื้อผ้า เข็มขัดรัดเอวเพื่อแก้ปวดเอว ปวดเข่า ยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกมากมาย คุณภาพที่เคยซื้อมาใช้ครั้งก่อน ทำให้ฉันได้เสียเงินซื้อ กางเกงในตัวละเกือบสองร้อย 2 ตัว ซื้อถุงดับกลิ่น กันชื้น เสียไปสองร้อยกว่า หยวน คนอื่น ก็ซื้อกันเยอะเช่นกัน หลังจากฟังการบรรยายเสร็จ อิอิ
อาหารมื้อเย็นวันนี้ มัคคุเทศก์ น้ำทิพย์ พาไปกินในบ้านของไทลื้อ เพื่อทานอาหารพื้นเมือง และชมบ้านเรือนของชนเผ่าไทลื้อ ซึ่งเป็นเรือนไม้ ใต้ถุนสูง ด้านล่างเป็นโรงครัว ทำอาหาร เลี้ยงสัตว์ได้ด้วย เรามาลองดูภาพที่ฉันถ่ายรูปมาฝาก ค่ะ หลังจากทานอาหารไทลื้อมื้อนี้ ซึ่งเป็นข้าวเหนียว ไก่ย่าง ปลาย่าง แล้วอีกหลายอย่าง อย่างที่เห็นในกาละมังนั่นเป็นแกงอะไรไม่รู้ รสชาติแปลก ๆ ชิมแล้ว ไม่มีใครกิน เหลือเยอแยะ ขนมหวาน คือ ข้าวเหนียวกวนกับสับปะรด รสชาติแปลกดี ส่วนใหญ่พวกเราก็กินไก่กับข้าวเหนียว ปลาย่าง ดูเหมือนมีหมูย่างด้วยนะ อิอิ อิ่มแล้ว ก็ลงบันไดมาสำรวจบริเวณใต้ถุน ซึ่งมีเตาโบราณ มีครัว เห็นแม่ครัวทำกับข้าวอยู่ดังที่ได้ถ่ายรูปมาให้ชม กลับถึงที่โรงแรมได้สักพัก เน็ต ได้นำขนมที่กลุ่มฉันได้สั่งไว้ ห่อละสิบหยวน เพราะพวกเราซื้อกันคนละเกิน 10 ห่อ โดยการรวมกันให้ถึง ไม่งั้นเขาจะขายห่อละ 12 หยวน ฉันซื้อมา 15 ห่อ หลาย ๆ อย่าง เช่น ลูกบัว เม็ดทานตะวันเคลือบนม เกาลัก เป็นต้น เน็ต เอากล่องขนมกล่องใหญ่ ของเรารวมกัน 4 คน มาส่งที่ห้อง ฉันจัดการแบ่งสันปันส่วน ตามรายการที่เราสั่ง ปรากฏว่า ที่สั่งหายไปประมาณ 10 ห่อ จึงต้องตามเน็ตมาจัดการหามาให้ครบ อิอิ คืนนี้ พวกเราต้องจัดของใส่กระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อยเพราะพรุ่งนี้เช้า พวกเราก็จะต้องเดินทางด้วยระยะทางอันยาวไกล ซึ่งสุดแสนหฤโหดเหมือนตอนเดินทางมาเชียงรุ้งอีกครั้งหนึ่ง อิอิ วันที่ 29 ม.ค. 59
เช้านี้ พวกเราก็ตื่นตามปรกติ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ลากกระเป๋าใหญ่ลงมาจากห้องก่อน เพื่อนำไปไว้ที่ห้องล็อบบี้ แล้วจึงไปทานข้าวเช้ากัน อาหารก็เหมือน ๆ เดิม ก่อนจากโรงแรมนี้ ก็แอ๊กชั่นถ่ายรูปสักหน่อย อิอิ
ได้เวลาแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถ มัคคุเทศก์น้ำทิพย์มาทำหน้าที่ส่งพวกเราที่ บ่อหาน อำนวยความสะดวกในการทำเรื่องออกจากประเทศจีน ระหว่างเดินทาง ใกล้ ๆ ที่ทำการบ่อหาน คุณปราโมทย์ผู้จัดทัวร์ ก็เป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณ มัคคุเทศก์ น้ำทิพย์ อันเป็นธรรมเนียมของทัวร์ที่ต้องทำเป็นประจำอยู่แล้ว ทัวร์นี้ดี คือ เก็บค่าทิปรวมอยู่ในค่าทัวร์แล้ว ไม่ต้องมานั่งเก็บกันอีก อิอิ มาดูรูปที่ฉันถ่ายตอนมอบทิป ค่ะ หลังจากที่น้ำทิพย์ ส่งพวกเราที่ด่านบ่อหานแล้ว ก็หมดหน้าที่เขาแล้ว ล่ำลากันเสร็จ จันทร์สุข มัคคุเทศก์ฝั่งลาวก็มารับพวกเราที่นี่ ทำหน้าที่ต่อไป ออกจากด่านนี้ มีการแวะร้านดิวตี้ฟรี ซึ่ง จีนมาตั้งในประเทศลาว ให้พวกเราได้ช้อปปิ้งใช้เงินอีก รับเงินไทยด้วยนะ อิอิ ฉันซื้อช้อกโกแลต มา น่าจะ 5-6 อัน เพราะมันลดราคาอยู่ วัชรี และเพื่อนคนอื่น ก็ซื้อกันยกใหญ่ เทเงินหยวนที่เหลือซื้อเลย หอบกันขึ้นรถ จากนั้นก็แวะทานข้าวมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารเดิมที่มากินตอนขามา นั่นแหละ ทุกคนติดใจการตำส้มตำของร้านนี้ กินส้มตำกันอร่อยกว่ากับข้าวอีกนะเนี่ย จากนั้น รถก็แล่นไปเรื่อย ๆ แวะเข้าห้องน้ำบ้าง จนกระทั่งมาถึงด่านของลาวที่จะเข้าด่านไทยที่เชียงของ ก็มีการมอบสินน้ำใจให้กับ มัคคุเทศก์ จันทร์สุข โดยคุณปราโมทย์เป็นตัวแทนในการมอบเหมือนเดิม ค่ะ มาชมภาพที่ฉันถ่ายมาฝาก ค่ะ จันทร์สุข จัดการเรื่องพาสปอร์ต ซึ่งก็ต้องทำพิธีประทับตราออกจากประเทศลาว แต่ดูมีปัญหาเล็กน้อย เลยล่าช้าไปบ้าง พวกเรายืนรอกันอยู่พักใหญ่ แต่ไม่ให้เสียเวลา คุณตากล้องของคณะทัวร์เรา ก็ถ่ายรูปการชุลมุลวุ่นวายของการจัดการกับของที่ซื้อมามากมาย บางคนซื้อเป็น 10 กล่อง เดือดร้อนต้องไปจ้างคนมาช่วยแบกไปขึ้นรถของเราทางฝั่งไทย เรามาดูรูปสมบัติมากมายของพวกเรา ค่ะ ในที่สุด พวกเราก็ได้ขึ้นรถโค้ตของเราเอง เพื่อเดินทางออกจากด่าน และไปทานอาหารมื้อค่ำที่ โรงแรมเชียงของ เหมือนตอนขามา ต่างกันตรงที่ว่า ขามา เรามาทานมื้อเช้า ขากลับ มาทานกันมื้อเย็น มื้อนี้ มีนักท่องเที่ยวมาทานกันเต็มห้องไปหมด มื้อนี้ ไม่ใช่บุฟเฟ่ แต่เขาจัดให้นั่งทานเป็นชุด มีกับข้าวประมาณ 4-5 อย่าง ฉันได้ถ่ายรูปมาฝากด้วย ค่ะ
อาหารมื้อนี้ มีน้ำพริกด้วย ค่อนข้างอร่อยใช้ได้ แต่รายการอาหารน้อยไปหน่อย หลังจากทานเสร็จแล้ว พอมีเวลาเดินชมบริเวณรอบ ๆ โรงแรมบ้าง มีร้านค้า มีเกสเฮาส์ ที่ราคาถูกกว่าโรงแรมให้นักท่องเที่ยวที่ไม่ร่ำรวยนักมาพัก อิอิ มาดูรูปที่ฉันถ่ายมาฝากค่ะ
เดินไปเดินมา เจอคุณปราโมทย์และภรรยา เราเลยถ่ายรูปหมู่กับคณะของเรา 4 คน จ้ะ
หลังจากที่ทุกคนพร้อมแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถและออกเดินทางเพื่อกลับกรุงเทพฯ อันเป็นอีกคืนหนึ่งที่สุดโหด วันนี้เราก็นั่งรถมาทั้งวัน และคืนนี้ เราก็ต้องนอนในรถทั้งคืน ช่วงต้น ๆ ของคืน ก็ยังไม่เท่าไร เพราะมีกิจกรรมร้องเพลงกัน พี่เจ๋ และลุงคิด ก็ได้ร้องกับเขาด้วยแรงเชียร์ของคุณปราโมทย์ กับเพื่อน แกก็เลยร้องเพลง น่าจะค่อมจังหวะหรือไง ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องดนตรี อิอิ คุณปราโมทย์บอกว่า ต้องให้รางวัล ถึงแม้จะร้องไม่ได้ดี แต่ต้องให้รางวัลความกล้าหาญ กล้าแสดงออก ได้รางวัลทั้งสองคนเลย ห้าห้า
ฉันเองก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ขาแข้งไม่รู้จะยกไว้ท่าไหน มันเมื่อยไปหมดเลย เรียกว่า สุดโหดครั้งหนึ่งในการเที่ยวก็ว่าได้ ไม่ใช่โหดในการปีนป่าย แต่โหดกับความเมื่อยที่นั่งอยู่ในรถ ถึง 4 วัน ได้เที่ยวแค่ วันเดียวเท่านั้น มันเที่ยวไม่คุ้มเอาเสียเลยน่ะ อิอิ
เรามาถึงกรุงเทพฯที่ปั้มน้ำมันเดิม ตอนหกโมงเช้า ทุกคนต่างขนสมบัติที่ซื้อมา เตรียมเรียกรถแท็กซี่ ส่วนฉันโชคดีหน่อย เพราะ ลูกสาวของวัชรีมารับ ฉันเลยได้อาศัยรถของวัชรีกลับด้วย ส่วนพี่เจ๋กับลุงคิด ก็เรียกแท็กซี่กลับ
ลูกสาวของวัชรีขับรถมาส่งฉันถึงบ้าน ช่วยเปิดท้ายรถหิ้วกระเป๋าลงจากรถให้ด้วย เป็นเด็กสาวน่ารัก มีน้ำใจดีทีเดียว
ความสุขจากการท่องไปในโลกกว้างของฉันได้สิ้นสุดลงไป อีกครั้งหนึ่งแล้ว ฉันก็ขอให้ฉันมีสุขภาพแข็งแรง มีความแข็งแรงเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่ฉันยังไม่เคยไป เป็นกำไรของชีวิตโสดที่ฉันเลือกเอง ให้ได้มากที่สุด แล้วมีโอกาสมาเล่าสู่ให้โลกบรรณาพิภพอ่าน ได้ มีเรื่องเล่าของฉันประดับไว้ต่อไปเรื่อย ๆ นั่นถือเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยมในชีวิตโสดของฉันอย่างหนึ่ง ค่ะ ขอบใจทุกคนที่ได้เข้ามาอ่าน ทั้งแสดงความเห็นและอ่านเฉย ๆ แม้แต่เข้ามาดูรูปก็ตาม
สวัสดี ค่ะ แล้วพบกันใหม่เมื่อมีโอกาสได้เที่ยวและได้เขียน ค่ะ
Create Date : 17 ธันวาคม 2558 |
Last Update : 8 มีนาคม 2559 11:19:38 น. |
|
51 comments
|
Counter : 1817 Pageviews. |
|
|