คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
พฤศจิกายน 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
21 พฤศจิกายน 2556
space
space
space

ไปทอดกฐิน วัดภูแสนดาว
ไปทอดกฐิน วัดภูแสนดาว

หลังวันออกพรรษาแล้ว ประเพณีไทยเรา ก็จะมีพิธีทำบุญ โดยไปทอดกฐินตามวัด ต่าง ๆ ซึ่งจะต้องไปทอดกฐินภายใน 1 เดือนหลังออกพรรษาเท่านั้น และวัดหนึ่ง ๆ สามารถรับกฐินได้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้น จะเป็นการทำบุญที่เรียกว่า ทอดผ้าป่า การทอดผ้าป่า สามารถทอดได้ทั้งปีค่ะ ปีนี้ ฉันไปทอดผ้าป่าที่วัดพุคำบรรพต จังหวัดสระบุรี มาแล้ว ยังไม่ได้ไปทอดกฐินที่วัดไหนเลย พอดีก๋วย ลูกศิษย์ปี 2520 โทรศัพท์มาชวนไปทอดกฐิน ร่วมกับญาติของศักดาที่เราเคยไปพักบ้านเขาทีไร่ ภูผาสวรรค์ ฉันตอบตกลงทันที ยังไม่เคยไปทอดกฐินต่างจังหวัดเลย ฉันคงได้เห็นประเพณีการทอดกฐินที่ชนบทอีกรูปแบบหนึ่ง

ครั้งนี้ จำนวนสมาชิกไปน้อยกว่าครั้งแรก อาจจะเป็นเพราะว่า กระทันหันเกินไป เพราะก๋วยจำวันผิด จำจากวันที่ 9 พ.ย. เป็น 19 พ.ย. ก๊องก็ติดธุระ เบิ้ม ก็ไม่มีใครบอก เพราะก๋วยก็คิดว่า อ้อยจะบอก อ้อยก็คิดว่า ก๋วยจะบอก ครั้งนี้เลย ไปกันไม่มาก มีฉัน รวง ก๋วย ธวัชชัย ศักดากับหน่อย ศรีภรรยาและลูกสาว อ้อยและฮุย สุกัญญาและเล็ก ลูกสาวและว่าที่ลูกเขย และหน่อย กมรวรรณ รวมแล้ว 14 คน ก็นับว่า พอสมควร

เช้าวันที่ 9 พ.ย.นัดรวมพลที่บ้านฉัน โดยธวัชชัยขับรถไป เวลาที่นัดคือ7.00 น. ฉันตื่นตีห้าครึ่ง เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวเสร็จ ประมาณ 6 โมงเช้า ต้มข้าวต้มกินลงท้องก่อน เพราะต้องทานยาตอนเช้าด้วย 6.45 น. เปิดประตูบ้าน เตรียมรับคนที่จะมารวมพลที่บ้านฉัน เห็นมีรถเก๋งจอดอยู่บ้านฝั่งตรงข้าม คือบ้านของติ๊ก ไม่ได้สงสัยว่าเป็นรถของธวัชชัยหรอก นึกว่ารถของโจ้ เพราะสีเดียวกันและจอดหน้าบ้านเขาด้วยนั่นเอง แฟนรวง ขับรถมาส่งรวง น่าจะประมาณเกือบเจ็ดโมงได้ ถามว่า ธวัชชัยยังไม่มาเหรอ ฉันว่า ยังไม่เห็น รวงเล่าว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะตอนที่รวงโทรหาเขาตอนตีห้ากว่า ๆ เขาบอกว่า อยู่ ราม 2 แล้ว ป่านนี้น่าจะถึงนานแล้ว เลยไปดูรถคันที่จอดอยู่ ปรากฏว่า ตอนนี้ ธวัชชัยปรับเก้าอี้ขึ้นมา จึงเห็นเขา อ้อ เพราะปรับเก้าอี้นอน ฉันจึงมองไม่เห็นเขา นั่นเอง (เขาขับรถจากราชบุรีมากรุงเทพฯตอนตีสี่ ) จากนั้น ก็โทรตามก๋วย ซึ่งบ้านเขากับฉันอยู่ไม่ไกลกัน

เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว พวกเราก็ออกจากบ้าน ประมาณ 7.15 น. มุ่งหน้าไปนครราชสีมา "บ้านไร่ภูผาสวรรค์" ไปครั้งนี้ ก๋วยบอกว่า เราจะไม่ซื้อของไปทำกับข้าวกันแต่จะเก็บเงินคนละ 1,000 บาท ให้คุณจู๋ น้องเขยของศักดา ซึ่งเป็นคนชอบทำกับข้าวมาก เป็นคนจัดการทำ ก็สะดวกดี ( รวงถามฉันว่า แล้วเขาจะมาเก็บเงินค่าอาหารอาจารย์ไหมนะ อิอิ ฉันตอบว่า ถ้าเขาจะเก็บ ก็ไม่เป็นไร ฉันก็ให้ได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา อิอิ ความคิด ความหมายของรวง คงคิดว่า อาจารย์คนเดียวจะไปกินอะไรมากมายนัก จะต้องเก็บด้วยเหรอ นั่นเอง อิอิ )

ประมาณน่าจะเกือบ 10 โมงเช้า แวะที่ปั๊มน้ำมันเพื่อให้ธวัชชัยทานข้าวเช้า เพราะเขายังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลย เนื่องจากออกรถจากราชบุรีมาตั้งแต่ตีสี่ ส่วนพวกเราไปเข้าห้องน้ำ ปั๊มนี้มีการเก็บเงินเข้าห้องน้ำคนละ 2 บาทด้วย แปลกไม่เคยเจอป้๊มน้ำมันเก็บตังค์ด้วยนะเนี่ย เรียบร้อยแล้วก็เดินทางต่อ ไปถึง บ้านไร่ภูผาสวรรค์ ยังไม่เที่ยงเลย ปรากฏว่า พวกเราไปเป็นกลุ่มแรก บ้านช่อง เขาจ้างคนงานมาทำความสะอาดแล้ว ตู้เย็นก็ทำความสะอาดหมดจด ไม่เหมือนคราวที่แล้ว อิอิ พวกเราขนกระเป๋าลงจากรถ และไปเก็บที่บ้าน เดินชมบ้าน และบริเวณบ้านทั้งสองหลัง รำลึกถึงอดีตที่เคยมาพักที่บ้านนี้ เมื่อเดือน พ.ค.ของปีนี้ที่ผ่านมา ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ธรรมชาติยังคงสวยงาม ร่มรื่น อากาศเย็นสบายถึงจะเป็นช่วงเที่ยงแล้วก็ตาม ฉันกับรวงเดินชมทิวทัศน์ ถ่ายรูป ส่วนก๋วยไปได้เก้าอี้ผ้าใบมานอนพักผ่อนหลังจากเหนื่อยจากการขับรถแทนธวัชชัย เพราะธวัชชัยขับไม่ไหว เนื่องจากอดนอนมา
เดินไปถ่ายรูปที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นน้องเขยของศักดา ที่จะมาทำกับข้าวให้เรากิน ครั้งนี้ คุยกันว่า จะทำให้กิน 5 มื้อ (มื้อเที่ยงวันนี้เป็นมื้อแรก) แต่ปรากฏว่าถามคนงานแถวนี้ว่า เจ้าของบ้านมาหรือยัง เขาว่า ยังเลย จะมาเอาช่วงบ่ายกว่า ๆ อิอิ พวกเราต้องหาของกินรองท้องกันเองเสียแล้ว ล่ะ มาดูรูปสวย ๆ งาม ๆ ที่ฉันถ่ายมาจากบริเวณบ้านก่อนนะคะ







หลังจากชื่นชม ย้อนรำลึกถึงความหลังแล้ว ท้องพวกเราก็เริ่มร้องแล้ว เพราะเที่ยงกว่าแล้ว พวกเราขับรถออกไปจากบ้านพัก ได้นิดเดียว ก็เจอร้านค้าเล็ก ๆ มีขายก๋วยเตี๋ยว พวกเราเลยเสี่ยงกินร้านนี้ดู เพราะถ้าขับรถต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าจะมีร้านอาหารไหม คนขาย เป็นหญิงสาว อายุประมาณน่าจะ 40 ต้น ๆ ได้ ขายคนเดียว ไม่มีผู้ช่วย พวกเราก็สั่งกันคนละชาม มีหมูชิ้นกับลูกชิ้นหมู พักใหญ่ ๆ พวกเราก็ได้กินแล้ว รสชาติก็ใช้ได้ดีทีเดียว ก๋วยกับธวัชชัย สั่งเพิ่มอีกคนละชาม ฉันกับรวง สั่งส้มตำไทย 1 จาน รสชาติก็โอเคเลย แต่เผ็ดไปหน่อย อิอิ มื้อนี้ ก๋วยจ่ายไปไม่น่าจะถึงสองร้อย เพราะชามละ 25 บาทเท่านั้น ไม่แพงเลย ได้เส้นเยอะพอควรด้วย



อิ่มแล้ว พวกเราก็ไปเที่ยวน้ำตก วะภูแก้ว กัน กลับที่พัก ก็ไม่มีอะไร นอกจากนอนชมวิวเท่านั้น ยังไม่มีใครมากันเลย ไหน ๆ มาทั้งที ก็ไปเที่ยวให้คุ้มดีกว่า ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดของฉัน ทั้งครูและลูกศิษย์ความเห็นตรงกัน ขับรถมุ่งหน้าไปน้ำตก ตลอดทางก็ถามชาวบ้านไปเรื่อย ในที่สุดเราก็เจอน้ำตก วะภูแก้ว ทางลงไปน้ำตก อยู่ติดริมถนนเลย มีรถจอดอยู่คันสองคัน มีร้านค้าเล็ก ๆ ขายของอยู่ตรงทางลงด้วย พวกเราพกกล้องกันและเดินลงไปเพื่อหาน้ำตก เสียงน้ำตกดังแว่ว ๆ มา ทางลงไม่ลำบากมากนัก ช่วงนี้ฝนคงไม่ตกแล้ว ทางจึงแห้ง มีโขดหินตามทางบ้าง ทางไม่วิบากนักและไม่ไกลมากนักสองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นมากมาย พอให้เราจับ เกาะ เวลาลงที่ชันหน่อย น่าจะประมาณ 10 นาที เราก็ได้เห็นลานหินลาด เป็นแผ่นใหญ่ ๆ ลาดเป็นลานกว้าง มีลำน้ำจากน้ำตกไหล เอื่อย ๆ มา พวกเราเดินบ้าง ข้ามทางน้ำไหลไปบ้าง นับเป็นน้ำตกที่สวยแปลกตาไปอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าเป็นช่วงหน้าฝน มีน้ำมาก คงไหลท่วมลานหินลาดเหล่านี้ น่าจะสวยงามมากกว่านี้แน่นอน พวกเรา จับมุมสวย ๆ ของน้ำตกตรงลานหินลาดก่อน ถ่ายรูปสวย ๆ มุมนี้ แล้วจึงเดินลึกเข้าไป ซึ่งมีโขดหินมากมาย และมีน้ำที่ไหลตกลงมาแรงพอสมควร เมื่อน้ำไหลปะทะกับโขดหิน จะแตกเป็นฟองขาว กระเซ็นไปตามแรงที่ปะทะ ดูแรงพอสมควร บางแห่งเป็นแอ่งใหญ่พอสมควร มีเด็ก ๆ มาเล่นน้ำอยู่กลุ่มหนึ่ง ประมาณ 4-5 คน บรรยากาศน่ารื่นรมย์มากเหลือเกิน แดดก็ไม่ร้อนจัดจนเกินไป ฉันและเหล่าลูกศิษย์ เก็บภาพมาฝาก หลายภาพค่ะ เชิญท่านผู้อ่านชืนชมและไปเที่ยวกับเราได้ค่ะ











พวกเราชื่นชมอยู่กับความสวย ความร่มรื่น ชื่นใจของน้ำตกนี้ น่าจะเกือบสองชั่วโมงได้นะ ศักดาโทรหาก๋วยบอกว่า เดินทางมาถึงที่พักแล้ว คงเหงา หาเพื่อนดื่มด้วยไม่ได้ อิอิ รีบโทรตามสหายรักไปร่วมวงไพบูลย์ด้วย

ครอบครัวของศักดามากัน 3 คน มีหน่อย ศรีภรรยาและลูกสาวมาด้วยเป็น 3 คน พักใหญ่ครอบครัวของอ้อย มาอีกสองคน คือ อ้อยกับสามี คือ ฮุย ตอนนี้ ดูบ้านจะคึกคักแล้ว เพราะเพื่อน ๆ มากันอีกสองครอบครัว เหลือครอบครัวของสุกัญญา ยังมาไม่ถึง เพราะว่า ลูกซ้อมรับปริญญา ต้องไปถ่ายรูปกันก่อน ส่วนอีกบ้านหนึ่ง น้องเขยศักดา คือคุณจู๋ ก็มาแล้ว บ้านนั้นก็เพื่อนมาเยอะแยะเหมือนกัน กางเต็นท์นอนกันด้วย ดูน่าสนุกดี วันนี้ คุณจู๋ ได้แสดงฝีมือในการทำกับข้าวได้เต็มที่เลย อิอิ

อาหารมื้อเย็น เริ่มทยอยกันมา มีอะไรบ้าง ท่านผู้อ่านชมจากภาพก็แล้วกันนะคะ แต่ละอย่างอร่อย เลิศรสทั้งนั้นค่ะ เห็นแล้วโปรดเก็บน้ำลายที่กำลังจะไหลออกมาด้วยนะ ไม่ได้แกล้งชม แต่เป็นความจริงทุกประการ ห้าห้า





สมาชิกกลุ่มสุดท้ายที่มาถึงที่พัก คือ สุกัญญา เล็ก (สามี) ลูกสาวและว่าที่ลูกเขยอีก 4 คน มาสมสทบเป็นกลุ่มปิดท้ายอาหารมื้อเย็นของวันนี้ อิอิ



ฉันคุยกับสมาชิกที่มาใหม่ได้พักใหญ่ ๆ แล้วก็ไปดูโทรทัศน์ เรื่อง เดอะ ซิกเซนท์ ปล่อยพวกเด็ก ๆ คุยกัน พวกผู้ชายคุยไปดื่มไป เหล้านั้น อภินันทนาการ จากศักดา นั่นเอง

ครั้งนี้ สงสัยคนไม่มาก พรรคพวกจึงคุยกันถึงเที่ยงคืนเท่านั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายไปนอน ฉันกับรวงและหน่อย (กมรวรรณ) นอนห้องเดียวกันและนอนห้องเดิมที่เคยนอนครั้งที่แล้ว

รุ่งเช้า คือ วันที่ 10 พ.ย. เป็นวันที่พวกเราตั้งใจมาร่วมทอดกฐินกับครอบครัวของคุณจู๋และศักดา โดยนัดกันออกจากที่พักประมาณ 10.00น. เพราะจะเริ่มพิธีประมาณ 11.00 น. ทอดที่วัด ภูแสนดาว ซึ่งไม่ไกลจากที่พักนัก

อาหารเช้าวันนี้ คือ ขนมปังหน้าหมู พร้อม อาจาด ตามด้วย ข้าวต้มไก่ มีหมูหวานและกระเพาะหมูให้เติมด้วย พร้อมผักชี ต้นหอม พริกไทย พริกน้ำส้ม พร้อม อร่อยอีกแล้ว น่าเสียดาย กล้องของฉันมีปัญหา ถ่ายไม่ได้เสียแล้ว จึงต้องอาศัยกล้องของก๋วยกับของธวัชชัยหลังจากอาหารเช้ามื้อนีั้ ค่ะ







ประมาณ 10 โมงเช้า พวกเราทั้งสองบ้าน ก็เคลื่อนพลตามกันไป โดยคุณจู๋และครอบครัวแห่ต้นกฐินไปกับรถกระบะ พวกเราตามกันเป็นขบวน หนทางที่เข้าวัดค่อนข้างทุรกันดาร ถนน ไม่เรียบ ขรุขระ ถ้าเป็นหน้าฝน รถอาจติดหล่มได้ ถนนเป็นลูกรัง ไม่ได้ลาดปูนซิเมนต์หรือยางมะตอย ที่ร้ายกว่านั้น คือ ถนนแคบมาก เวลารถจะสวนกัน ต้องคอยหลบ หรือให้รถอีกคันหนึ่งไปก่อน กว่าจะเดินทางไปถึงวัดก็ใช้เวลาน่าจะเกือบชั่วโมงได้มั้ง ลานจอดรถของวัดแออัดไปด้วยรถที่มาก่อนพวกเรา เยอะมาก แสดงว่า กฐิน วันนี้ไม่ใช่มีเฉพาะของเรา ฉันนับแล้ว มีตั้ง 5 ต้น ซึ่งมาทอดกฐินพร้อม ๆ กันในวันนี้ นั่นคือ วัดจะรับจองทอดกฐินได้แค่วันเดียว นั่นเอง แสดงให้เห็นว่า ชาวบ้านในที่นี้ มีความศรัทธาในงานบุญ งานประเพณีทอดกฐินมากทีเดียว เห็นแล้วก็ชื่นใจ ที่เห็นประเพณีอันดีงามนี้ ยังคงดำรงอยู่ไม่เสื่อมสลายหายไป ก่อนพิธีทอดกฐิน จะมีพิธีสวดมนต์ เพื่อทำพิธีเบิกเนตรพระพุทธรูป พระอริยสงฆ์ ที่ชาวบ้านเขาสร้างถวายวัด เพื่อให้ประชาชนได้มาบูชา มีการจารึกชื่อคนสร้างด้วย ตอนนี้ ฉันจึงได้รู้ว่า คุณจู๋ หรือ มีชื่อจริงว่า พงษ์เทพ บุรีทาน นามสกุล บุรีทาน เป็นนามสกุลของ วรากร (ก้อง) บุรีทาน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ 6/2 ปี 2529 ของฉันนั่นเอง สอบถามจึงได้ความว่า คุณจู๋เป็นพี่ชายของ ก้อง นั่นเอง เออหนอ โลกมันช่างกลมจังเลยนะ เขาทำกับข้าวให้กินตั้งแต่มาพักครั้งที่แล้ว เพิ่งมารู้ว่า เขาเป็นพี่ชายของ ก้อง







หลังจากพิธีเบิกเนตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เข้าโบสถ์ เพื่อติดต้นกฐินเพิ่มขึ้น มีไม้ให้เสียบด้วย ชาวบ้านเข้าโบสถ์ไปรอกันมากมาย ส่วนฉันแวะไปที่โรงทาน ไปเดินชมว่า เขาจัดอะไรบ้าง มีเด็กมาแสดงดนตรี และมีขันใส่เงินให้คนฟังบริจาคด้วย ฉันก็บริจาคไปเหมือนกันตามศรัทธาที่จะให้เด็ก ๆ อาหารก็เหมือนกับที่เราเคยเห็นทั่วไป เช่น ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ ขนมจีนน้ำยา น้ำดื่มประเภทต่าง ๆ เช่น น้ำอัดลม น้ำลำไย เป็นต้น แต่ฉันกับรวงสนใจน้ำดื่ม คือ น้ำคลอโรฟิลล์ (chlorophyll)ที่เขาแช่เย็นแล้ว ก็รสชาติจืด ๆ เขาเข้าแถวเพื่อขอเป็นขวดด้วย เลยไปเข้าแถวด้วย ฉันกับรวง ได้กันคนขวดเสร็จแล้ว จึงเข้า โบสถ์ไปต่อพิธีทอดกฐิน



เราไปที่ต้นกฐิน และเอาไม้เพื่อไปเสียบเงินทำบุญ ฉันทำบุญไปสองร้อย ทำบุญให้เยาว์ เพื่อนรัก 100 บาท ตามที่เขาเคยบอกไว้ว่า ถ้าฉันจะทำบุญอะไร ก็ทำเผื่อเขาด้วย ชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นเพื่อนรักกันอีก (เขาฝากเงินไว้ที่ฉันให้ช่วยจัดการ) และร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูปที่คุณจู๋และครอบครัวสร้างอีก 100 บาท อธิฐานให้สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน กว่าพระท่านจะเริ่มพิธีทอดกฐิน ก็เที่ยงกว่าแล้ว (พระฉันเพลเรียบร้อยแล้ว) ฉันกับรวงนั่งเก้าอี้ไม่ได้ไปนั่งพับเพียบอยู่ในพิธีทอดกฐิน เพราะเจ็บเข่า ธวัชชัยกับก๋วยช่วยฉันเก็บรูปเพื่อที่จะได้นำมาประกอบการเขียนเรื่องนี้ เพราะกล้องของฉันเสียไปแล้ว คงต้องเสียเงินซ่อมไม่น้อย น่าเบื่อ เพิ่งซื้อมาได้ปีกว่า ๆ เท่านั้น ยี่ห้อ พานาโซนิค ชื่อเสียงก็ดี แต่ทำไมมันเจ๊งง่ายอย่างนี้หนอ มาชมรูปในพิธีทอดกฐินที่ฉันได้จากกล้องของก๋วยและธวัชชัยดีกว่า ค่ะ











หลังจากเสร็จพิธีทอดกฐินแล้ว ก็น่าจะเป็นเวลาเกือบบ่ายสองแล้ว ทุกคนรู้สึกหิวเอาการ เพราะตอนมา บอกว่า ไม่ต้องไปทานอาหารที่วัดนะ ให้มาทานของอร่อยที่บ้าน อิอิ ดังนั้นจึงไม่มีคนทานที่วัดเลย แต่มีบางคนบอกว่า เห็นก๋วยจั๊บดูน่าอร่อย เลยไปกินสักชาม แล้วเขาก็บอกว่า อร่อยจริง อิอิ

กลับมาถึงที่พักใหญ่ ๆ อาหารแสนอร่อยก็เริ่มทยอยมาให้ทานกัน มีทั้งปูม้านึ่ง กุ้งตัวใหญ่มาก ที่สำคัญน้ำจิ้มอร่อยมาก ๆ มีปีกไก่เล็ก ๆ ทอดกรอบ อร่อยมากเช่นกัน น่าเสียดาย ฉันไม่มีกล้องถ่ายรูป เลยไม่ได้ถ่ายมาให้ชม ทุกคนทานกุ้ง ทานปูกันอย่างอร่อย คนละตัว อิอิ ตัวใหญ่มาก ยังมีรายการน่ากินอีกหลายอย่าง ผักกระหล่ำกับน้ำปลาก็อร่อยมากทีเดียว ฉันไม่เคยทาน ผัดกระหล่ำกับน้ำปลาเฉย ๆ แปลกที่มันอร่อยได้ อิอิ

อิ่มหนำสำราญกันแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ ขณะที่ช่วยกันเก็บจาน ชาม ไปให้เด็ก ๆ ล้างนั้น ก๋วยมาบอกฉันว่า ให้ฉันช่วยเก็บเงินกับทุกคนที่มางาน คนละพันบาทเป็นค่าอาหารให้ศักดาเอาไปให้ คุณจู๋ ผู้ทำกับข้าวให้พวกเรากิน ฉันบอกก๋วยว่า เรื่องเก็บเงินนี้ ก๋วย ต้องเป็นคนเก็บเอง เพราะที่มานี้ ฉันเคยสอนอยู่เพียงรวงและธวัชชัยและก๋วยเท่านั้น นอกนั้น เขาไม่ได้เรียนกับฉันนี่นา ศักดาบอกก๋วยว่า ไม่ต้องหรอก เขาจะจัดการเอง ซึ่งฉันกับก๋วยบอกว่า เรามากันหลายคน ต้องช่วยกันจ่าย ฉันไปหยิบกระเป๋าเงิน เพื่อเตรียมจ่ายให้ก๋วยเป็นคนเก็บเงินเอง พอศักดาเห็นฉันจะจ่ายเงิน ก็พูดขึ้นว่า "อาจารย์ไม่ต้องจ่ายเลย อาจารย์คนเดียวกินได้สักเท่าไร ที่มาร่วมงาน ร่วมเที่ยวด้วยนี่ ก็ถือว่า เป็นการให้ เกียริติแก่พวกผมแล้ว" ฉันได้ฟังคำพูดของศักดาแล้ว รู้สึกปลื้มใจเหลือเกินที่เขาให้เกียรติ ให้ความรู้สึกดี ๆ กับฉัน ฉันแย้งไปว่า ฉันก็กินกุ้งแพง ๆ ไปหลายตัวนะ กินปูอีกด้วย แต่เขาก็บอกว่า ไม่เป็นไรเลย มาร่วมด้วยก็ดีใจแล้ว ฉันก็ขอบคุณเขาที่มีความรู้สึกดี ๆ เช่นนั้น ส่วนสุกัญญา ซึ่งมา 4 คน ก๋วยก็เก็บไปสองคนเท่านั้น ลูกและว่าที่ลูกเขย ถือเป็นหลาน ไม่ได้เก็บ พอดีธวัชชัยกับรวงไม่ได้อยู่ในที่นั้นด้วย ก๋วยคงเก็บได้ประมาณ 6 คน แล้วก็คงให้ศักดาไป พอรวงและธวัชชัยลงมาเป็นสองคนสุดท้าย ก๋วยจึงไม่ได้เก็บ รวงเองก็ไม่ค่อยสบายใจที่ไม่ได้ช่วยออกค่าอาหาร

พวกเราออกจากที่บ้านพักเป็นรถคันสุดท้าย เพราะรอรวง อาบน้ำ ตอนนั้นน่าจะประมาณ บ่าย 3 โมงได้แล้ว ขากลับ ธวัชชัยขับเอง บางช่วงรถติดมากเหมือนกัน กว่าจะถึงกรุงเทพฯ เราแวะปั๊มเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำครั้งเดียว ระหว่างทางปรึกษากันว่า เราควรหาข้าวมื้อเย็นทานก่อนกลับบ้าน เพราะกว่าจะถึงบ้านคงดึกพอควร ฉันเสนอว่าไปหาข้าวต้มโต้รุ่งกันทานดีกว่า ร้อน ๆ ดี ทุกคนเห็นด้วย แต่ระหว่างทางก็มองหาร้านกัน ไม่ได้เจอเลย จนถึงกรุงเทพฯ ก๋วยบอกว่า แถวคลองตันจะมีร้านข้าวต้มเยอะให้เลือกกินได้ ในที่สุด มาถึงคลองตัน เจอร้านข้าวต้มร้านแรก พวกเราก็จอดรถเลย ที่ร้าน คนเยอะพอสมควร บริกรมาต้อนรับ บอกมีห้องปรับอากาศให้นั่งโดยไม่ชาร์ทเพิ่ม พวกเราก็เลยเอาห้องปรับอากาศ ซึ่งก็มีผู้นั่งทานกันหลายคนอยู่ เป็นร้านที่มีขายอาหารอีสานด้วย คือ พวกส้มตำ ลาบ ไก่ย่าง ต้มแซบ ฯลฯ พวกเราสั่งข้าวต้มทั้งหมด 6 ชาม ธวัชชัยขอข้าวสวยอีก 1 ชาม กับข้าว ก็มี ผัดผักบุ้งไฟแดง ผัดผักกระเฉด ผัดเห็ดน้ำมันหอย ยำปลาสลิด และ ผัดกูช่ายขาวกับเต้าหู้ ขณะที่รออาหาร รวงก็ถามว่า เห็นเขาค้อไหม ฉันว่า ไม่เห็น เพราะตอนเดินเข้าร้านมา ยังงัวเงียอยู่ ไม่ได้มองใครเลย รวงบอกว่า เมื่อกี้ เขาค้อยิ้มต้อนรับพวกเราด้วย อิอิ เดี๋ยวขากลับ กินอิ่มแล้ว จะมองหาสักหน่อย

อาหารที่นี่ ราคาพอประมาณ 60 บาท 80 บาท รสชาติของอาหาร ก็ใช้ได้ ยกเว้นปลาสลิดที่ฉันและทุกคน รู้สึกว่า ไม่อร่อย อาจจะไม่กรอบ รสชาติไม่กลมกล่อม นั่นเอง มื้อนี้ รวงเป็นคนจ่าย น่าจะ สี่ร้อยกว่าบาท

หลังจากอิ่มแล้ว เราก็เดินออกจากห้องปรับอากาศ ก็เห็น เขาค้อ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ฉันมองหน้าเขา เออ ก็เหมือนรูปที่ฉันเคยเห็นในจอโทรทัศน์ นั่นแหละ พอเขาเห็นฉันมองเขา เขาก็ส่งยิ้ม ผงกหัว เหมือนเป็นการทักทายแขก นั่นเอง ฉันก็เลยยิ้มให้และผงกหัวรับ เช่นกัน อิอิ

ธวัชชัยขับรถมาส่งฉันและก๋วยเสร็จ ก็ต้องไปส่งรวงที่บ้านฝั่งธน บางแค แล้วกลับราชบุรีอีก เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เพราะมันดึกมากแล้ว ได้แต่อธิษฐานให้เขาเดินทางโดยสวัสดิภาพ

ฉันเข้าบ้าน มองดูนาฬิกา ห้าทุ่มแล้ว รื้อเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเดินทาง เพื่อผึ่งไว้ ผ้าเช็ดตัวยังชื้น ๆ เพราะว่ารุ่งเช้าอาบน้ำเช็ดตัว ไม่มีเวลาตากแห้ง นั่นเอง แล้วก็อาบน้ำ คืนนี้ไม่ได้สวดมนต์แล้ว เหนื่อย ค่ะ แต่ก็สุขใจเหลือเกิน ที่ลูกศิษย์มาพาไปทำบุญด้วย อิ่มสุขที่ได้พบปะลูกศิษย์ อิ่มบุญที่ได้ไปร่วมทอดกฐิน ชีวิตฉันถึงจะไม่สมบูรณ์ในเรื่องครอบครัว แต่ฉันก็สมบูรณ์ไปด้วยลูกศิษย์ลูกหาหลาย ๆ รุ่น หลาย ๆ คน ที่เขาไม่เคยลืมฉันเลย นี่เป็นความสุขอย่างยิ่งในชีวิตโสดของฉัน ค่ะ ขอนำบุญกุศลครั้งนี้มาฝากท่านผู้อ่านทุกคนและฝากถึงลูกศิษย์ที่รักทุกคนด้วย ค่ะ

สวัสดี ค่ะ โอกาสหน้าพบกันใหม่นะคะ







Create Date : 21 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2556 11:33:57 น. 2 comments
Counter : 2261 Pageviews.

 

สวัสดีปีใหม่ 2557

ขอให้อาจารย์มีความสุข
สดชื่น สมหวัง และมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะคะ





อาจารย์สบายดีนะคะ
คิดถึงจังเลยค่ะ


โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 2 มกราคม 2557 เวลา:5:26:41 น.  

 
คุณได้ทำการแปะ ให้กับคุณ อาจารย์สุวิมล เรียบร้อยแล้วนะคะ

คุณเหลือ อีก 6 ดวง สำหรับวันนี้ค่ะ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:11:16:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space