1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31
ไปเที่ยว ลั่วหยาง เส้าหลินและหลงเหมิน กันจ้ะ (ตอนที่ 6)
ไปเที่ยว ลั่วหยาง เส้าหลินและหลงเหมิน กันจ้ะ (ตอนที่ 6) ความเดิมตอนที่ 5 ฉันพาไปเที่ยงเมือง คัชการ์ (คาร์สือ) เที่ยวทะเลสาบ คาราคูล จากนั้น พวกเราก็ต้องนั่งรถไฟ เพื่อไปลงที่เมือง ฮามิ ค่ะ วันที่ 21 ตุลาคม 2559 เมื่อคืน เราขึ้นรถไฟตอนเย็น ได้ตู้ที่ 15 ลากกระเป๋าไปไกลมากพอสมควร ตามบัตรรถไฟ ฉันได้นอนเตียงล่าง ของวัชร์ได้เตียงกลาง เลยขอแลกกับจุก อยู่เตียงล่าง จุกแข็งแรง ปีนป่ายได้คล่องแคล่วกว่า และใจดี ยอมให้แลก มีน้ำใจเอื้อเฟื้อแก่ผู้อาวุโสกว่า เช้าวันนี้ ฉันตื่นขึ้นมาตอนตี 4 เพื่อเข้าห้องน้ำ ถ้าตื่นสาย เราจะต้องแย่งห้องน้ำกับคนอื่น ๆ นอนต่ออีก จนเวลา 8.30 น. ซึ่งเทียบกับเมืองไทย ก็ 7.30 น. เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน ล้างหน้า เตรียมอาหารมื้อเช้าทานกัน อาหารก็คือ ของที่เหลือจากเมื่อคืนและที่ซื้อเตรียมเผื่อไว้ หลังอาหารเช้ากันแล้ว พวกเราก็นั่งคุยกันไป ชมวิวทะเลทรายกันต่อไป มาถึงสถานีรถไฟ ฮามิ เป็นเวลาประมาณ 13.42 น.ที่ด่านตรวจเข้มงวดมาก ต้องเอาพาสปอร์ตของเราไปสแกน มีการให้เซ็นชื่อ และให้จดเบอร์โทรศัพท์ของเราไว้เป็นหลักฐาน เสียเวลาผ่านด่านนี้ เป็นชั่วโมงทีเดียว กว่าจะหลุดออกจากด่านนี้ได้ เจรจากันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ที่พวกตำรวจ ต้องตรวจอย่างเข้มงวด เพราะ จีนกับรัสเซียมีปัญหาเรื่องชายแดน ที่คัชการ์ ฉันเห็นมีตำรวจ ยืนตามถนนเป็นจุด ๆ ข้าง ๆ โรงแรมที่ฉันพัก ก็มีรถถังมากมาย เหมือนการเตรียมพร้อม หลังจากออกจากด่านแล้ว เราก็ไปซื้อตั๋วรถไฟ ตั้งใจจะนั่งรถไฟไปเที่ยวตุนหวงต่อไป ปรากฎว่า ไม่มีรถไฟไปที่ตุนหวง เราจึงต้องตีตั๋วรถไฟไปที่เมืองลี่วหยางแทน ได้ตั๋วรถไฟแล้ว น่าสงสารพวกเราเหลือเกิน รถไฟออก ตีหนึ่ง สี่สิบสองนาที ต้องใช้เวลา ถึง 28 ชั่วโมง จึงจะถึงเมืองลั่วหยาง ข้อสำคัญ ตอนนี้ เราต้องอยู่บริเวณสถานีรถไฟ ถึงตีหนึ่งกว่า เป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อหน่ายมากทีเดียว พวกเราเดินเที่ยวอยู่ที่รอบ ๆ บริเวณสถานีรถไฟ ไปหาอาหารทานกัน ซื้อข้าว ซื้อไก่ย่าง ผลไม้ เตรียมอาหารไว้ทาน 3-4 มื้อ ที่ต้องอยู่ในรถไฟ โดยเฉพาะต้องเข้าห้องน้ำและทำความสะอาดร่างกาย ได้เฉพาะส่วนร่างเท่านั้น ห้าห้า แล้วเปลี่ยนกางเกงในและกางเกงตัวใหม่ ซึ่งทำให้สดชื่น ขึ้นบ้าง ไม่รู้สึกสกปรกมาก เพราะไม่ได้อาบน้ำมา สองวันสองคืนและกำลังจะต้องค้างในรถไฟ อีก 2 คืน เฮ้อ! ซื้อมันเทศ ผลไม้ และอีกหลาย ๆ อย่าง เดินชมร้านค้าต่าง ๆ ในเมืองฮามิ ซึ่งมีของขาย มากมาย ถือเป็นเมืองที่มีความเจริญพอสมควร แต่ถามคนจีนในรถไฟแล้ว เขาว่า ไม่ค่อยมีที่เที่ยว เมื่อถึงเวลาตีหนึ่งกว่า ตามเวลาในตั๋วรถไฟที่เราซื้อกำหนดไว้ คนก็เข้าแถวเพื่อจะขึ้นรถไฟ เป็นแถวยาวเหยียดเลย พวกที่นอนรออยู่บนเก้าอี้บ้าง บนพื้นบ้าง ทุกคนเตรียมพร้อม อยากขึ้นรถไฟ ไปนอนเตียงกันแล้ว รวมทั้งพวกเราด้วย เพราะรอมาค่อนวันแล้ว นั่นเอง สภาพบนรถไฟ ก็เหมือน ๆ กับที่เราขึ้นรถไฟมา ฮามิ นั่นเอง เพียงแต่เราขึ้นมาตอนดึก เดินหาเตียงของเรา ลำบากหน่อย ไม่ใช่สถานีต้นทาง มีคนมากับขบวนรถไฟนี้แล้ว วันที่ 22 ตุลาคม 59 วันนี้ อยู่บนรถไฟ ตลอดวัน และต้องนอนอีก 1 คืนของวันที่ 22 นี้ ก็น่าเบื่อ เพราะสองข้างทาง มีแต่ทะเลทราย ดูแห้งแล้ง ได้แต่เดินบ้าง คุยกับชาวจีนที่อยู่ใกล้ ๆ กับ ล็อกเตียงของเราบ้าง ก็ได้ความรู้ จากคนจีนที่ร่วมเดินทางเล่าว่า ฮามิ ไม่มีที่เที่ยวอะไรมากนัก แต่ถ้าเป็นตุนหวง จะมีที่เที่ยวมากกว่า เสบียงจุกหมดแล้ว เลยซื้ออาหารบนรถไฟ ทาน 1 กล่อง อิอิ วันที่ 23 ตุลาคม 60 พวกเรามาถึงสถานีรถไฟ ลั่วหยาง เป็นเวลาประมาณ ตี 5 ครึ่งของที่นี่ พวกเราลากกระเป๋า ลงจากรถไฟ เจอบันไดอีก กรรม จะยกขึ้นบันไดอย่างไรไหว จุก มีน้ำใจช่วยฉันลากกระเป๋า ลงบันไดไป ส่วนนุ่นก็ช่วย วัชรี ลากกระเป๋า ช่วงนั้น เป็นช่วงฟ้ายังมืดมากอยู่ ฝนก็ตกพรำ ๆ ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังพยายามพูดกับ เอก และ หมัย ซึ่งก็คงไม่รู้ว่า เอกและหมัยฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่อง ฉันเลยบอกเขาว่า หันมาทางฉัน เพื่อนฉันเขาฟังเธอไม่รู้เรื่องหรอก อิอิ เขาค งดีใจ รับหันมาหาฉัน พร้อมกับโบว์ชัวร์ในมือ อ้อ ! เขาต้องการมาหาลูกค้าไปพักที่โรงแรมนั่นเอง เขาอธิบายว่า โรงแรมที่เขาแนะนำนี้ อยู่ใกล้ ๆ นี้เอง ข้ามถนนไปเดินไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว ราคาคืนละ 100 หยวน ให้ไปดูโรงแรม ดูห้องก่อน ถ้าไม่ชอบใจ ก็ไม่ต้องเอาโรงแรมเขาก็ได้ ฉันถามพรรคพวก และอธิบายตามที่ได้ฟังจากหญิงที่มาหาลูกค้าไปพักที่โรงแรม ตามราคาที่เขาบอก ทุกคนตกลง เพราะเราจะได้ไม่ต้องเร่ร่อนไปหาโรงแรมเอง อีกอย่าง ราคา 100 หยวน อยู่ในเมืองใหญ่ ก็ไม่แพงเลย หญิงคนนั้น ก็ช่วยพวกเราลากกระเป๋าเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง โรงแรมนี้ อยู่ในซอย ห่างจากถนนใหญ่ไม่มากนัก พวกเราไปถึง เขาก็พาไปดูห้องนอน ห้องนอน ห้องน้ำ ก็โอเค ข้อสำคัญห้องของพวกเรา 3 ห้องอยู่ชั้นล่างหมดเลย ที่น่ารักกว่านั้น คือ เขาให้เราเข้าห้องนอนได้เลย ไม่ต้องรอเช็คอินตอนเที่ยง และคิดค่าโรงแรม เพียงคืนเดียวเท่านั้น เป็นโรงแรมที่น่าแนะนำให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการมาก ๆ จ้ะ นี่คือ โรงแรมที่เราพักในลั่วหยางค่ะ ชื่อ จิ่วตูว์ โฮเทล พวกเราอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวที่อัดอั้นอยู่ในรถไฟ มา 2 คืน แล้วก็นอนงีบสักพักก่อน นัดกันออกจากโรงแรม ประมาณ 9 โมงกว่า สิ่งแรกที่พวกเราจะทำวันนี้ ก็คือ ต้องไป จองตั๋วรถไฟหัวจรวดเพื่อไปซีอานในวันพรุ่งนี้ เราจะไปกันอย่างไร ล่ะ ฉันก็หาทางโดยใช้ปาก ของฉันถามเจ้าหน้าที่ผู้ใจดีของโรงแรมนี้แหละว่า เราจะไปจองตั๋วรถไฟหัวจรวดที่ไหน อย่างไร แล้วต้องนั่งรถโดยสารประจำทาง สายไหน เจ้าหน้าที่สาวของโรงแรม น่ารัก อธิบายให้ฉันทราบ ต่อจากนั้น ก็ต้องอาศัย น้องนุ่น หาจากกูเกิลแมพ ช่วยด้วย พวกเราเดินหาป้ายรถโดยสาร ขึ้นรถ เบอร์ 77 เพื่อไปสถานีรถไฟหัวจรวด เรียกว่าสถานีหลงเหมิน แต่ว่า เมื่อลงป้าย รถตามที่กูเกิลแนะนำแล้ว เรายังต้องเดินอีกไกลมากทีเดียว ระหว่างทาง เราก็ถ่ายรูปไปด้วย บรรเทาความเมื่อยขาไง ล่ะ ใช้ปากถามถึงที่ตั้งของสถานีรถไฟหัวจรวดไปตลอดทางจนเจอเลย ลงจากรถโดยสารประจำทาง ก็ต้องเดินไปถามทางไป ค่ะ เจอรถหน้าตาแปลกดี ถ่ายไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อย อิอิ ในที่สุด เราก็หาสถานีรถไฟหัวจรวดพบ เป็นสถานีที่ใหญ่ปานกลางนะ บริเวณนอกที่ทำการ จัดเป็นสถานที่ที่จอดรถ มีรถทัวร์ รถรับจ้างเหมือนที่เราเช่าเสี่ยวหม่าที่คาร์นาสือ เช่นกัน แล้วยังมีห้องน้ำบริการให้ประชาชนที่มาติดต่อซื้อตั๋วรถไฟ หรือติดต่อธุระด้วย ห้องน้ำสะอาดดี เรามาถึง ก็มีคนมารอซื้อตั๋วเหมือนกัน ฉันก็ไปต่อแถวกับเขาด้วยเช่นกันโดยมีน้องหมัยอยู่ใกล้ ๆ เพื่อเตรียมจ่ายเงิน เมื่อถึงคิวเราที่รออยู่ ฉันก็บอกเขาว่า เราจะไปที่เมือง ซีอานจำนวน 6 ที่ เจ้าหน้าที่ขอพาสปอร์ตของพวกเรา พิมพ์ชื่อพวกเราไว้ในคอมพิวเตอร์ และคำนวณเงินให้เราดู บัตร คนละ 174.5 หยวน ซึ่งเราจะออกเดินทางจากลั่วหยางพรุ่งนี้ หลังจากจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกมาจากสถานี เดินไปห้องน้ำของสถานี ส่วน เอก คงเรียบร้อยแล้วเห็นยืนคุย กับผู้ชายสองคน ได้ความว่า คนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ เอกพอคุยกับเขาได้บ้าง อีกคนเป็นคน มีรถให้เช่า ซึ่งไม่สามารถ พูดภาษาอังกฤษได้ ผู้ชายที่พูดภาษาอังกฤษได้เป็นล่ามให้อีกที คนขับรถกำลังชวนเรา จ้างรถเขาไปเที่ยว นั่นเอง พอเอกเห็นฉันมาแล้ว เลยบอกว่า ลองคุยกันดู ว่า เราจะไปเที่ยวเส้าหลิน เช่ารถไป ราคาคนละ 10 หยวน แค่ขาไปนะ แล้วขากลับเราก็ต้อง เสียค่ารถกลับอีก ราคานี้ ถ้าเราไปรถทัวร์ของสถานีนี้ ก็ราคาคนละ 10 หยวนเหมือนกัน หลังจากที่คุยต่อรองกันแล้ว ฉันต่อรองว่า ที่เที่ยวที่นี่ เราอยากไปสองแห่ง คือ เส้าหลิน และหลงเหมิน ให้เขาเหมาเลย เขาเรียกทั้งหมด 600 หยวน ฉันบอกเขาว่าแพงไป เพราะเวลามีน้อย เหลือเวลาเที่ยวไม่มาก วันนี้ฝนก็ตกปรอย ๆ คนจ้างรถไปเที่ยวคงมีน้อยด้วย เราให้มากที่สุด คือ 500 หยวน แต่ มีข้อแม้ว่า ขากลับต้องไปส่งพวกเราที่โรงแรมที่เราพักด้วย เอาแผนที่โรงแรม ชื่อโรงแรม ให้เขาดู เขาบอกว่า ไม่ไหว ไกลเหมือนกันนะ ฉันใจแข็งบอกว่า ไม่เอาก็ไม่เป็นไร ก็ไปส่งพวกเรา ที่เส้าหลิน คนละ 10 หยวน เขาก็จะได้ 60 หยวน เท่านั้น วันนี้ ส่งพวกเรากลับแล้ว คุณจะได้รับนักท่องเที่ยวอีกกี่รอบจึงจะได้เงินถึง 500หยวน ฉันให้เหตุผลเขา เขาก็นั่งคิดสักพัก เห็นว่าเราไม่ยอมเพิ่มเงินให้เขาแน่ ประกอบกับวันนี้ตั้งแต่เช้ามา เขายังไม่ได้รับ นักท่องเที่ยว สักเที่ยวเดียวเลย ในที่สุดเขาก็ยอมรับเงื่อนไขของฉัน คือ เที่ยวสองแห่ง และขากลับต้องไปส่งพวกเราที่โรงแรม คนขับให้นามบัตรฉันมาด้วย เขาเป็นคนแซ่ หลี่ ตัวเล็ก ดูแคระแกรน แต่เป็นคนดูสุภาพ เรียบร้อย ทุกครั้งที่เช่ารถ น้อง ๆ จะให้ฉันนั่งข้างหน้า กับคนขับ เพื่อจะได้คุยสื่อสารได้รู้เรื่อง นั่นเอง มาทราบถึงประวัติเมืองลั่วหยางอย่างคร่าว ๆ สักหน่อยก่อนจะไปเที่ยวสถานที่ทั้งสองแห่งที่เลือกไว้ เมืองลั่วหยาง เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณของจีน ในยุคที่พระพุทธศาสนามีความเจริญ รุ่งเรืองถึงขีดสุด เป็นสาเหตุทำให้เกิดประติมากรรมโบราณและมีวัดพุทธเกิดขึ้น ตั้งอยู่หลาย ๆ แห่ง ของเมือง ลั่วหยาง เมืองนี้ ตั้งอยู่ที่ภาคกลางของประเทศจีน เป็นเมืองที่แวดล้อม ไปด้วยภูเขา แม่น้ำ ลำธาร ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดี เพราะข้าศึกที่มารุกราน จะเข้าโจมตีได้ยากลำบาก เมืองลั่วหยางจึงได้เป็นราชธานีของประเทศจีนหลายสมัย จนได้รับฉายาว่า "เมืองหลวง 9 ราชวงศ์" เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์เซี่ย ซาง ซ่ง โจว ฮั่น เว่ย สุย หยวน และถัง เป็นช่วงที่ พระพุทธศาสนามึความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด ที่ลั่วหยาง มีสถานที่ที่เราอยากไป 2 แห่ง แห่งแรก ก็คือ วัดเส้าหลิน ซึ่งบรรดาคอหนังบู๊ของจีน จะต้องรู้จักและได้ยินชื่อวัดนี้อย่างแน่นอน วันนี้พวกเราโชคไม่ค่อยดี เพราะฝนตกตลอดตั้งแต่เช้า ตกปรอย ๆ จนกระทั่งตกหนัก จึงไม่ได้เที่ยววัดเส้าหลินอย่างเต็มที่ เสี่ยวหลี่บอกว่า ให้พวกเรา เที่ยวที่นี่ประมาณ 2 ชั่วโมง คือ ต้องออกจากวัดเส้นหลินบ่าย 3 โมง เพื่อเดินทาง ต่อไปเที่ยว หลงเหมิน เสี่ยวหลี่พาพวกเราไปซื้อตั๋วเข้าไปเที่ยววัดเส้นหลิน ปรากฏว่า คนขายตั๋ว ไม่ลดราคาสำหรับคนอายุ 60 ปีขึ้นไปให้คนต่างชาติ ลดเฉพาะคนจีนในประเทศของเขาเท่านั้น อิอิ เรามาทราบประวัติความเป็นมาของวัดเส้าหลิน อย่างคร่าว ๆ ค่ะ วัดนี้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ของเทือกเขาซงซาน อำเภอ เติงเฟิง มณฑลเหอหนาน สร้างขึ้น เมื่อ ค.ศ. 495 สมัยของจักรพรรดิ เสี้ยวเหวินตี้ แห่งราชวงศ์ วุ่ย(ค.ศ. 471-499) จุดมุ่งหมายในการสร้าง เพื่อให้เป็นที่พำนักในระยะยาวของเหล่าพระภิกษุ ที่มาจากประเทศอินเดีย ได้พำนัก มีหัวหน้า คณะ ชื่อว่า ป๋าถัว เป็นพระอาจารย์ที่มีลูกศิษย์มากมาย และต้องการเข้ามา ประเทศจีนเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่หลังจากที่พระอาจารย์ ป๋าถัว มรภาพไปแล้ว วัดเส้าหลินก็เสื่อมถอยลงไป ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนถึงปี ค.ศ. 527 จึงกลับมา รุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง ยุคนี้ ที่เรารู้จักกันดี คือ ยุคของปรมาจารย์ตั๊กม้อ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า พระโพธิธรรม ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวอินเดีย ได้เข้ามาเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา นิกาย เซ็นในประเทศจีน ตรงกับยุคสมัยของพระเจ้าเหลียวอู่ตี้ อยู่ในช่วง ค.ศ.502-549) ตามที่เล่า ๆ สืบกันมาว่า ปรมาจารย์ตั๊กม้อได้เข้าเฝ้า องค์จักรพรรดิ เพื่อเทศนาหลักธรรม คำสอนให้พระองค์ฟัง แต่ทว่า พระองค์ไม่เข้าใจหลักธรรมคำสอนของปรมาจารย์ตั๊กม้อ มากนัก ท่านตั๊กม้อจึงเดินทางต่อไป ขึ้นเขา ซงซาน ไปที่วัดเส้าหลิน แต่ท่านไม่ได้เข้าไปอยู่ที่วัด แต่กลับไปอยู่ที่ถ้ำใกล้ ๆ วัดเส้าหลิน ทำสมาธิอยู่ที่วัดนี้ เป็นเวลา 9 ปี และออกจากถ้ำ เริ่มถ่ายทอดพระธรรมคำสอนและวิทยายุทธให้แก่ลูกศิษย์ในวัดเส้าหลินจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ปรมาจารย์ตั๊กม้อ ได้ถึงแก่มรณภาพที่ อี่ว์เหมิน ในมณฑลเหอหนาน ถ้ำที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อ เคยนั่งสมาธินั้น ปัจจุบันเรียกว่า "ถ้ำตั๊กม้อ" เป็นสถานที่เที่ยวแห่งหนึ่งในวัดเส้าหลิน ยังมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า วิทยายุทธของศิษย์วัดเส้าหลินนั้น ที่ท่านตั๊กม้อสอนลูกศิษย์นั้น มาจากท่านตั๊กม้อเห็นว่า วัดนี้ตั้งอยู่ในหุบเขา เป็นป่า มีสัตว์ชุกชุม พระภิกษุที่นั่งสมาธินาน ๆ โดยไม่ได้เคลื่อนไหว จะทำให้สุขภาพไม่ดี ท่านได้พินิจพิเคราะห์ถึงการเคลื่อนไหว ตามธรรมชาติของสัตว์ต่าง ๆ ท่านตั๊กม้อนำท่าทางเหล่านั้น มากำหนดท่าทาง ออกกำลังกายและใช้ป้องกันตัว เน้นไปทางความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ และกระดูก เน้นการเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วและมีพละกำลัง หลังจากนั้น เป็นต้นมา และศิษย์วัดเส้าหลินได้ถือปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันตั้งแต่นั้นตลอดมา ต่อมา เนื่องจากวัดเส้าหลินได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง และถูกขุนศึก สือหย่าซาน แห่งแมนจู เผาทำลายทั้งวิหาร ศาลา ตึก ตำราวิทยายุทธต่าง ๆ มากมาย วอดวายอยู่ ในกองเพลิง บันทึกไว้ว่า กว่าไฟจะมอดหมด เป็นเวลาถึง 40 วัน อ่านดูแล้วน่ากลัว น่าสลดใจมาก และแสดงให้เห็นว่า อาณาบริเวณของวัดเส้นหลิน จะต้องกว้างใหญ่ไพศาลอย่างมากทีเดียว พวกเรา ตีตั๋วเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าไปในวัด ระหว่างทาง ก็ถ่ายรูปกันไปแต่ก็ไม่ค่อยได้รูปสวย หรอก เพราะฝนตก แต่ละคนกลัวกล้องถ่ายรูปเสียหาย หาคนกางร่ม อีกคนก็ถ่าย ผลัดกันไป จุกและนุ่น เดินนำไป เพียงสองคน เหลือ เอก ฉัน วัชร์ หมัย ยังเกาะกลุ่มกันอยู่ คนมาเที่ยววันนี้ มีมากพอสมควร ถือร่มบ้าง ใส่เสื้อฝนบ้าง บางช่วงน้ำท่วมขังตามถนนหนทาง ต้องลุยน้ำกันไป เปียกแฉะกันไปหมด กางเกงเปียกชื้นมากเหมือนกัน เสื้อฝนก็กันไม่ค่อยได้ มาชมรูปที่พวกเราถ่ายกัน รวบรวมกันมา น่าเสียดาย ไม่มีเวลาพอ ไม่ได้ไปดูเขาสาธิต การแสดงกังฟูให้ดู เพราะเขาแสดงเป็นรอบ ๆ เราได้แต่ถ่ายรูปทั่ว ๆไปตามสถานที่ต่าง ๆ เท่านั้น ระหว่างทางที่จะเดินเข้าไปในวัดเส้าหลิน ลีลาท่าวิทยายุทธ ของ ท่านเอก อิอิ เข้าแถวเข้าไปชมด้านใน เจอนักเรียนมาทัศนศึกษา แออัดมากเลย ถ่ายให้ เอก ถ่ายกับเทวดาเฝ้าประตู ที่นี่เป็นที่แสดงกังฟู แสดงเป็นรอบ ๆ เสียดายคนเยอะ ไม่มีเวลาเพียงพอ พวกเราเลยไม่ได้ดู รูปวาดที่กำแพง เป็นท่าวิทยายุทธ เส้าหลิน ประตูทางเข้าไปที่วัดเส้าหลิน นักท่องเที่ยวมากันมากมาย เป็นร้านค้าภายในส่วนหนึ่งของวัดเส้าหลิน มีของที่ระลึกขาย มีพระพุทธรูปต่าง ๆ ให้ชม พวกเราขอถ่ายรูปอย่างเดียว ไม่ได้ซื้อ เพราะแพงมาก ห้าห้า ถ่ายกับภาพวาด นะ อิอิ เห็นสวยดีน่ะ ต้องขึ้นบันไดไปชมด้านใน ค่ะ บริเวณทางเดินที่จะเข้าไปชมด้านใน ประดับประดาอย่างสวยงาม ต้นไม้ด้านหลัง ต้นโตมากเก่าแก่มาก เลยถ่ายไว้เป็นที่ระลึก จ้ะ อีกมุมหนึ่งในวัดเส้าหลิน ท่ามกลางสายฝนอันชุ่มฉ่ำ อิอิ เจ้าจุก ไปชื่นชมพระพุทธรูป จ้ะ คงพอหอมปากหอมคอ ในการชมภาพจากวัดเส้าหลิน นะคะ ต่อไป เราก็จะไปเที่ยวที่ หลงเหมิน กัน ก่อนไปเที่ยวที่หลงเหมิน เรามาทราบประวัติ ความเป็นมาของ หลงเหมิน ก่อนไปชมภาพ นะคะ ถ้ำผา หลงเหมิน อยู่ห่างจากเมืองลั่วหยางไปทางใต้ประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นหมู่ถ้ำ ที่สลักบนผาหิน สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นเมื่อ ศตวรรษที่ 5-7 ถือเป็น 1ใน 3 ของประติมากรรมถ้ำ ทางพุทธศาสนาที่สำคัญ ที่สุดของประเทศจีน ซึ่งมีทั้งหมด 3 แห่งคือ ถ้ำหินโม่เกา เมืองตุนหวง มณฑล กานซู ถ้ำหินหยุนกัง เมืองต้าถง มณฑลซานซี และที่ถ้ำผาหลงเหมิน ถ้ำผาหลงเหมิน ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2000 เพราะความสวยงามวิจิตร ตระการตาและพิสดารที่เป็นถ้ำสลักพระพุทธรูปได้งดงามมากที่สุด ใบหน้าของพระพุทธรูป มีพระพักตร์คล้ายคนจีนมากที่สุดด้วย และที่ยอดเยี่ยมมากกว่านั้น ก็คือ เป็นถ้ำที่มีฮวงจุ๊ย ที่ดีมากที่สุดอีกด้วย เปรียบเสมือน ประตูมังกร กล่าวคือ ภูมิประเทศติดภูเขา และแม่น้ำที่ชื่อ "อีเหออัน" หรือแม่น้ำ "อี้" แม่น้ำสายนี้ ไหลจากทิศใต้ไปทิศเหนือ มีภูเขาสูงชันสองลูกขนาบแม่น้ำไว้ ภูเขาลูกแรกชื่อ หลงเหมินซัน อยู่ทิศตะวันตก ลูกที่สองชื่อว่า เซี่ยงซัน อยู่ทิศตะวันออก ภูเขาสองลูกและแม่น้ำ อี้ รวมกันเรียกว่า "ถ้ำผาหลงเหมิน" เป็นถ้ำบนผาสูง ทั้งสองฝั่งเชื่อมถึงกันด้วยสะพาน สร้างอยู่ บริเวณหัว - ท้ายของภูเขา ถ้ำผาหลงเหมิน ประกอบด้วยหมู่ถ้ำเกือบ 2500 ถ้ำ ถ้ำเหล่านี้เรียงรายยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ประมาณ ร้อยละ 70 อยู่บนผาหลง เหมิน อีก ร้อยละ30 อยู่ที่ ผาเซียนซัน ส่วน ประติมากรรมในถ้ำ มีประมาณ 1 แสนชิ้น ตั้งแต่รูปแกะสลักจิ๋ว ไปจนถึงสูง 17เมตร เป็นการแกะสลักพระพุทธรูปมากที่สุด แกะเป็นศิลาจารึก ประมาณ 2500 กว่าแท่ง บางตำราเรียกว่า "ป่าศิลาจารึกโบราณ" มีเจดีย์อีก 60 องค์ พระพุทธรูปหินสลักกว่าแสนองค์เหล่านี้ ไม่ได้สร้างรวดเดียว แต่ทยอยสร้างต่อเนื่อง ถึง 600 ปี และเฟื่องฟูมากที่สุดในสมัยราชวงศ์ ถัง ถ้ำที่โดดเด่นด้วยพระพุทธรูป คือ "ถ้ำปิงหยัง" พระพุทธรูปมีใบหน้าวงรี รูปไข่ สูงเพรียว และอรชร ถ้ำแห่งนี้ยังแกะสลักรูปฮ่องเต้ "เสี้ยวเหวินตี้"และไทเฮา กำลังประกอบพิธีกรรม ทางศาสนา มีอีกถ้ำหนึ่ง คือ ถ้ำดอกบัว เป็นที่ประดิษฐานของพระประธาน เป็นพระพุทธรูปประทับ อยู่บนดอกบัว มีลักษณะพิเศษ คือ บนเพดานถ้ำ แกะสลักดอกบัวขนาดใหญ่ สัญลักษณ์แห่งศาสนาพุทธไว้เหมือนองค์พระประธาน พระพุทธรูปที่เป็นไฮไลท์ใหญ่ที่สุดของที่นี่ ไม่ได้อยู่ในถ้ำ แต่อยู่ที่หน้าผาแกะสลักหิน เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่โตมาก มีนามว่า "พระโรจนะ"สูงถึง 17.4 เมตร มีพระเศียรสูง 4เมตร ข้างองค์พระประธาน ยังมีรูปแกะสลักของสาวกและเทพเจ้า ขนาดรองลงมา ยืนอยู่ที่ผนังทั้งสองด้าน มีขั้นบันไดทางขึ้นไปนมัสการสะดวก เชื่อกันว่า " พระพักตร์ของพระโรจนะ แกะมาจากพระพักตร์ของ พระนางบูเช็กเทียน ฮ่องเต้หญิงองค์เดียวของประเทศจีน มาถีงที่ หลงเหมิน ฝนฟ้าหยุดตกแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย เสี่ยวหลี่ ก็พาพวกเราไปซื้อตั๋ว เพื่อเข้าชม หลงเหมิน เรามีเวลาที่จะเดินชมแค่ ชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้น เพราะ หลงเหมิน จะปิดประมาณ 6 โมง เป็นอะไรที่รีบด่วนเหลือเกิน ราคาค่าเข้าชมก็แพงมากพอสมควร เวลาที่เดินเข้าไปชมก็ต้องเสียค่ารถก๊อปเข้าไปคนละ 10 หยวนด้วย เก็บทุกอย่างเลย ท่านคงเห็นราคาในบัตรแล้ว นะคะ 100 หยวน ค่ะ ค่ารถก๊อปเข้าไปที่ประตูเข้าชมหินผาอีก 10 หยวน มาชมรูปที่พวกเราถ่ายกันอย่างรีบด่วน เพื่อเก็บภาพให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเก็บได้ในมุมสวยงามต่าง ๆ ประตูที่เราเข้ามาชม หินผาแกะสลัก แม่น้ำ อีเหออัน หรือแม่น้ำ อี้ ที่คั่นภูเขาหลงเหมินซัน และเซียนซัน อีกมุมหนึ่งของ หลงเหมิน ก่อนเข้าไปถึงตัวหินผา ค่ะ มุมสวยงามมุมหนึ่งของ หลงเหมิน พระพุทธรูป ไฮไลท์ใหญ่ที่สุด เรียกว่า พระโรจนะ สูง 17.4 เมตร แต่ละถ้ำ จะมีบันไดให้เดินต่อเนื่องไปชมได้ ถ่ายหมู่กันสักรูป เห็นฝั่งของภูเขา เซี่ยงซัน ถึงบันได จะยาว เดินเหนื่อยแต่พวกเราก็ไม่หวั่นเลยค่ะ ถ่ายมาให้เห็นเป็นหลักฐานเลย ค่ะ อีกมุมหนึ่งของ ถ้ำผาหิน หลงเหมิน มุมสวยงามของพระพุทธรูปที่แกะสลักบนผาหิน อีกมุมหนึ่ง มุมนี้สวยมาก ชอบมาก เลยแช้ะ มาให้ชม ค่ะ เราชื่นชมได้เฉพาะ หลงเหมินซัน ด้านตะวันตก เท่านั้น ก็ หกโมงเย็นแล้ว ต้องหาทางออก จาก หลงเหมิน เดินไปข้ามสะพาน ได้แช้ะรูปกันอีกเล็กน้อยตรงสะพานที่เชื่อม ภูเขาทั้งสองลูก ตอนขากลับ พวกเราชักงง กับทางออก รถก๊อปคนละ 10 หยวน ก็ไม่เห็นเสียแล้ว จะเดินออกจากหินผาหลงเหมิน ก็กลัวจะผิดทาง เพราะมันกว้างใหญ่ไพศาลมากเหลือเกิน ก็มีมอเตอร์ไซด์รับจ้าง มาบอกให้พวกเรานั่งรถของเขาออกไป คนละ 10 หยวน พวกเราก็ไม่กล้าไป เพราะไม่รู้เขาจะพาไปถูกไหม โดยเฉพาะ ต้องไปทีละคน ทุกคนก็กลัวว่า จะพลัดหลงกัน แล้วก็พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง จึงไม่นั่งรถของเขาไป พวกนี้ก็ตื๊อเหลือเกิน พวกเราก็เดินไปตามทางเท้า พวกเขาก็ขับตามไปเรื่อย ๆ จนเห็นว่า พวกเราไม่ไปกับเขาแน่แล้วก็ไม่ขับตาม พวกเราจึงโทรศัพท์ เข้ามือถือถึงเสี่ยวหลี่ ให้เขาเข้ามารับพวกเราหน่อย ออกจากหลงเหมิน ไม่ถูกแล้ว เสี่ยวหลี่ ถามฉันว่า อยู่ที่ไหน ฉันก็บอกเขาว่า ออกมาจากหลงเหมินแล้ว ตรงที่มีมอเตอร์ไซด์เยอะ ๆ เขาก็ไม่รู้ว่าตรงไหน ให้พวกเราเดินไปตามทางเท้าเรื่อย ๆ เขาจะขับรถวนตามดูว่า อยู่ที่ไหน เฮ้อ ! มืดก็มืด เดินจนขาลากกันไปหมด เหนื่อยก็เหนื่อย โชคดี เดินไปเจอป้อมตำรวจ ป้อมหนึ่ง ก็ถามเขาว่า ทางที่จะไปที่ลานจอดรถไปทางไหน เขาก็ชี้ให้พวกเราเดินตรงไป ตามทางที่เราเดินนี่แหละ ถูกแล้ว เราก็เดินไปตามที่ตำรวจคนนั้นบอก แล้วกำลังใจก็กลับมา เมื่อทุกคนเพ่งไปที่รถคันหนึ่งที่จอดอยู่ จำได้ว่า เป็นรถของเสี่ยวหลี่ที่เราจ้างมานั่นเอง เสี่ยวหลี่มาดักพวกเราทางออกนี้ เพราะเขาไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ เพราะเป็นรถรับจ้าง เฮ้อ ! ก็ยังดี ย่นระยะทางอีกหน่อย ไม่ต้องเดินไปถึงลานจอดรถ ทุกคนมีแรงขึ้นมาอีกครั้ง ห้าห้า ได้ผจญภัยกันให้ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา เป็นทริปที่พวกเราจะลืมไม่ลงไปอีกนานทีเดียว ขณะที่พวกเราออกจาก หลงเหมินแล้ว เป็นช่วงที่พวกเรารู้สึกหิวมาก เพราะตั้งแต่กลางวัน เรากินแต่ขนมที่เหลือ ๆ เท่านั้น ไม่ได้แวะกินอะไรเลย เพราะกลัวเสียเวลาในการไปเที่ยว อีกอย่าง วันนี้เราก็เดินเยอะเหลือเกิน ช่วงเช้าถึงบ่าย ๆ ฝนก็ตกตลอด มาหยุดตก ตอนเราถึงหลงเหมิน เราจึงบอกให้เสี่ยวหลี่ หาร้านอาหารที่ราคาไม่สูงนักให้พวกเราทานอาหาร มื้อเย็น เสี่ยวหลี่ เป็นคนรอบคอบ ถามว่า พวกเราชอบทานอะไรบ้าง เนื้อวัว เนื้อแพะ ทานไหม ฉันบอกเสี่ยวหลี่ว่า ไม่ทาน พวกเราจะทานหมู ปลา ไก่ อะไรก็กิน ยกเว้น เนื้อวัว เนื้อแกะ ราคาก็อย่าให้แพงมากนักงบประมาณไม่เกิน 300 หยวน เขาก็น่ารักมากนะ บอกว่า รับรอง ไม่ให้เกิน แน่นอน แล้วเขาก็พาไปร้านอาหาร ซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ปานกลาง มีคนนั่งทาน กันมากมายอยู่ ก็คิดว่า น่าจะอร่อย เพราะคนเยอะ บริกรก็ใช้ได้ให้การต้อนรับดี เขาให้เราดูเมนูอาหารและราคาอาหาร ก็ไม่แพงนัก เขาก็ช่วยแนะนำอาหารให้พวกเราว่า อะไร อร่อย น่าสั่งทาน อาหารน่าจะ 7-8 อย่างนะ พวกเราก็ได้ถ่ายรูปเอาไว้ด้วย บางอย่างก็แหว่งไป เพราะลืมถ่าย ด้วยความหิวนั่นเอง ห้าห้า หลังจากอาหารมื้อเย็นผ่านไปแล้ว ด้วยสนนราคาไม่เกิน 300 หยวน จริง ราคาเพียง 266 หยวน เท่านั้น ต้องยกนิ้งให้เสี่ยวหลี่ เขาทานข้าวไม่มากเลย คงห่วงใย อยากกลับไปทานพร้อมภรรยา ที่บ้านมากกว่า อิอิ กว่าเขาจะมาส่งเราถึงโรงแรม ก็น่าจะ สามทุ่มแล้ว พวกเราจ่ายเงิน 500 หยวน ให้เขา พร้อมกับขอบใจเขา ที่บริการพวกเราอย่างดี ไม่ขาดตกบกพร่องและไม่บ่น ไม่พูดมาก หรือ หน้าหงิก หน้างอ วันที่ 24 ตุลาคม 59 เช้านี้ ฉันต้มน้ำร้อนในห้องนอน แล้วฉีกซอง ยำยำ ทานเป็นอาหารมื้อเช้า แล้วฉันกับวัชรี ก็ลงไปเดินเล่นรอบ ๆ บริเวณโรงแรม สำรวจ ชมบริเวณร้านค้าของเมืองลั่วหยาง ถ่ายรูป เอาไว้เป็นที่ระลึก แล้วเราสองคน ได้น้ำเต้าหู้คนละแก้ว เดินไปอีกร้านหนึ่ง ขายผลไม้ ก็ซื้อส้มกันอีก 1 กิโลกรัม ต่อได้เหลือ 5 หยวน มานั่งคุยกับเจ้าหน้าที่โรงแรม ซึ่งเป็นหญิงน่าจะวัยประมาณ 40 กว่าเศษ ๆ ภาษาที่เขาใช้ สำเนียงฟังค่อนข้างง่าย ได้ทราบเรื่องราว ของเขา เขามีลูกชายเพียงคนเดียว เขาถามฉันบ้าง ฉันบอกไม่มี ฉันเป็นโสด เขาบอกว่า ดีแล้ว มีอิสระ ได้ไปเที่ยวไหนต่อไหนได้ ชมว่า ฉันใช้ภาษาจีนกับเขาได้ชัดเจนมาก ๆ เรื่องที่คุยต่อ ก็คือเรื่องของการจ้างรถเพื่อที่จะไปที่สถานีรถไฟหัวจรวดเขาน่ารักมาก ช่วยโทร ถามรถรับจ้าง บอกว่า เขาเอา 150หยวน แต่ถ้าใช้แท็กซี่ ก็ต้องใช้ 2 คัน ราคาประมาณคันละ 50 หยวน ฉันเลยบอกเขาว่า ถ้าต่อรถรับจ้างได้ 120 หยวน แพงกว่าเล็กน้อยจะได้ไปด้วยกัน และได้วางกระเป๋าได้มากกว่าด้วย หล่อนน่ารักมากเลย เดินออกจากโรงแรมไปต่อราคา รถรับจ้างซึ่งจอดอยู่ใกล้ ๆ โรงแรม ได้ราคา 100 หยวนเท่านั้น พวกเราประหยัดไปอีก 20 หยวน ฉันขอบใจเขามาก บอกเขาว่า จะเขียนหนังสือเชียร์ให้คนไทยไปพักโรงแรมเขา เพราะเขาเป็นคนน่ารัก มีน้ำใจ เขายิ้มดีใจ ขอบใจฉันเช่นกันได้มอบนามบัตรโรงแรมให้ฉันด้วย ฉันเชิญเขามาถ่ายรูปหมู่ กับพวกเรา ไว้เป็นที่ระลึกด้วยค่ะ มาชมรูป ค่ะ เจ้าหน้าที่หญิงที่น่ารัก ช่วยต่อราคารถรับจ้างให้ ด้านหน้า คือ สถานีรถไฟ ลั่วหยาง ค่ะ ร้านค้าต่าง ๆ บริเวณโรงแรมที่เรามาพักค่ะ อีกมุมหนึ่งของทางเดินเท้า ที่มีร้านค้า มากมาย ประมาณ 11.30 น.รถรับจ้างที่เจ้าหน้าที่ไปต่อรองให้เรานั้นก็มาจอดที่หน้าโรงแรม และช่วยยกกระเป๋าพวกเราขึ้นหลังรถ พวกเราก็ลาเจ้าหน้าที่โรงแรม โบกมืออำลากัน ถนนหนทางที่เราผ่านจะไปสถานีรถไฟฟ้าหัวจรวด ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็ถึงสถานีรถไฟหัวจรวด หลงเหมิน พวกเราต้องยกกระเป๋า เข้าเครื่องเอกซเรย์ แต่ไม่เข้มงวดเหมือนที่ คาร์สือ ฮามิ เราเข้าไปยังสถานีและถามเจ้าหน้าที่ เพราะรถไฟหัวจรวดมีถึง 4 สาย ได้ความว่า พวกเราต้องขึ้นไปที่ชั้น 2 แล้วไปลงบันได อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นขบวนที่จะพาเราไปที่เมือง ซีอาน ยังมีเวลาอีกเยอะ เราก็นั่งเล่นอยู่ที่ชั้น 2 แต่ก็คอยดู ตัวหนังสือที่วิ่งอยู่ซึ่งจะบอกให้รู้ว่า ขบวนไหนไปไหนนั่นเอง ฉันขอจบการพาเที่ยวที่เมืองลั่วหยาง คือ วัดเส้าหลินและผาหิน หลงเหมินไว้เพียงเท่านี้ โปรดติดตามตอนที่ 7 ซึ่งเป็นตอนปิดฉากของ ทริป ซินเกียง ในครั้งนี้ สวัสดี ค่ะ พบกันใหม่ นะคะ
Create Date : 27 มีนาคม 2560
Last Update : 2 เมษายน 2560 22:56:57 น.
65 comments
Counter : 2984 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณกะว่าก๋า , คุณClose To Heaven , คุณเรียวรุ้ง , คุณบ้านต้นคูน , คุณชีริว , คุณภาวิดา คนบ้านป่า , คุณRinsa Yoyolive , คุณข้ามขอบฟ้า , คุณThe Kop Civil , คุณtoor36 , คุณkae+aoe , คุณสองแผ่นดิน , คุณmultiple , คุณอุ้มสี , คุณฟ้าใสวันใหม่ , คุณmambymam
โดย: sawkitty วันที่: 2 เมษายน 2560 เวลา:23:40:23 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 เมษายน 2560 เวลา:6:19:03 น.
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 3 เมษายน 2560 เวลา:12:08:32 น.
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 3 เมษายน 2560 เวลา:16:15:20 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 เมษายน 2560 เวลา:21:08:50 น.
โดย: จี๊ดจ๊าด (บ้านต้นคูน ) วันที่: 3 เมษายน 2560 เวลา:21:15:07 น.
โดย: ชีริว วันที่: 3 เมษายน 2560 เวลา:21:15:25 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 3 เมษายน 2560 เวลา:22:01:08 น.
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 4 เมษายน 2560 เวลา:2:28:15 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 เมษายน 2560 เวลา:6:12:10 น.
โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 4 เมษายน 2560 เวลา:11:11:56 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 4 เมษายน 2560 เวลา:11:39:44 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 เมษายน 2560 เวลา:21:32:43 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 4 เมษายน 2560 เวลา:22:22:44 น.
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:3:26:15 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:6:23:23 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:14:28:52 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:15:17:06 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:20:03:16 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:22:43:50 น.
โดย: sawkitty วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:23:14:53 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 5 เมษายน 2560 เวลา:23:20:07 น.
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 6 เมษายน 2560 เวลา:2:00:17 น.
โดย: multiple วันที่: 6 เมษายน 2560 เวลา:5:21:26 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 เมษายน 2560 เวลา:6:30:46 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 เมษายน 2560 เวลา:15:53:35 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 6 เมษายน 2560 เวลา:16:50:08 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 6 เมษายน 2560 เวลา:17:09:41 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 เมษายน 2560 เวลา:6:32:01 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 7 เมษายน 2560 เวลา:10:29:29 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 เมษายน 2560 เวลา:11:32:05 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 7 เมษายน 2560 เวลา:17:38:55 น.
โดย: multiple วันที่: 8 เมษายน 2560 เวลา:5:50:21 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 เมษายน 2560 เวลา:6:40:49 น.
โดย: อุ้มสี วันที่: 8 เมษายน 2560 เวลา:7:24:50 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 เมษายน 2560 เวลา:15:38:18 น.
โดย: multiple วันที่: 8 เมษายน 2560 เวลา:15:56:06 น.
โดย: ชีริว วันที่: 8 เมษายน 2560 เวลา:18:23:48 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 เมษายน 2560 เวลา:6:36:58 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 เมษายน 2560 เวลา:15:45:07 น.
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 9 เมษายน 2560 เวลา:19:50:00 น.
โดย: ชีริว วันที่: 9 เมษายน 2560 เวลา:21:58:42 น.
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 10 เมษายน 2560 เวลา:4:24:19 น.
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 10 เมษายน 2560 เวลา:4:29:17 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 เมษายน 2560 เวลา:6:42:12 น.
โดย: อุ้มสี วันที่: 10 เมษายน 2560 เวลา:21:01:00 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 เมษายน 2560 เวลา:22:07:19 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 เมษายน 2560 เวลา:6:21:41 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 เมษายน 2560 เวลา:15:38:02 น.
โดย: ชีริว วันที่: 11 เมษายน 2560 เวลา:22:47:07 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:6:29:00 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:21:57:07 น.
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 12 เมษายน 2560 เวลา:23:02:26 น.
โดย: mambymam วันที่: 13 เมษายน 2560 เวลา:2:01:51 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 เมษายน 2560 เวลา:6:26:22 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 เมษายน 2560 เวลา:15:29:26 น.
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [? ]
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif