คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
space
space
21 ตุลาคม 2555
space
space
space

ดินแดนแห่ง สมญานามว่า "สวรรค์บนดิน" ที่ฉันได้สัมผัส ตอนที่ 1
ดินแดนแห่ง สมญานามว่า "สวรรค์บนดิน" ที่ฉันได้สัมผัส ตอนที่ 1

สมญานาม "สวรรค์บนดิน" ที่หลาย ๆ คนอยากไปสัมผัส เฉกเช่นเดียวกับฉันก็เช่นกัน และแล้ว ฉันก็มีโอกาสได้ไปสัมผัสมาสมใจแล้ว จึงมีโอกาสนำเรื่องราวต่าง ๆ พร้อมด้วยภาพแห่งความสวยงามสมดังคำ
ล่ำลือ กับคำว่า "สวรรค์บนดิน" มาฝากท่านผู้อ่าน ค่ะ

เกตุ ลูกศิษย์ฉัน ได้โทรศัพท์มาชวนฉันไปเที่ยวที่แคชเมียร์
(Kashmir) เพราะเขาจะไปหาคาราเมล ลูกสาวของเขาที่ไปเรียนอยู่ที่
ซิมลา (Shimla) ครั้งแรกตั้งใจจะไป 10 วัน จะไปเล่ห์ (Leh) ด้วย แต่ติดที่ หญิง จะต้องรีบกลับ เพราะจะมีการประมูล 3 G ซึ่งเขาเป็นคนซื้อหุ้น จำเป็นต้องติดตามข่าวคราวเรื่องการประมูลเพื่อเก็งการซื้อขายหุ้น เราจึงลดเวลาเหลือเพียง 6 วันเท่านั้น ในราคาลงขันกันคนละ 3 หมื่นบาท เที่ยวเฉพาะแคว้นแคชเมียร์ เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นราคาถูกกว่าไปทัวร์อยู่หลายพันบาท อีกประการหนึ่งเราไปกันเพียง 6 คนเท่านั้น จึงเป็นราคาที่ถูกมากแล้ว ฉันชวนหญิง ติ่ง จุ๊บ คุณบุปผาและเฮียใช้ ปรากฏว่า คุณบุปผาและเฮียใช้ ไม่ไป เพื่อนเกตุที่จะไปด้วยก็ไม่ไป เพราะเขาจะไปเลห์ด้วย เราเลยเหลือเพียง 6 คน มีฉัน จุ๊บ หญิง ติ่ง เกตุและคาราเมล เท่านั้น ค่าใช้จ่ายก็เลยต้องหารเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าปรกติ อันเป็นเรื่องธรรมดาของการไปน้อยคน อำนาจการต่อรองในการจองที่พัก ก็มีน้อย นั่นเอง

เกตุจัดการติดต่อและทำวีซ่าไปอินเดียให้พวกเรา โดยมีฉันไปเป็นเพื่อนเขาที่สถานทูตอินเดีย ซึ่งปัจจุบันยุ่งยากพอสมควร ต้องใช้รูปถ่ายสองนิ้วเป็นรูปจัตุรัส เหมือนรูปที่จะทำวีซาของอเมริกา ซึ่งเกตุไม่ทราบล่วงหน้า พวกเราจึงต้องไปจัดการกับรูปถ่ายใหม่ เสียเวลาไป 1 วัน รุ่งขึ้นจึงจะไปที่สถานทูตใหม่ แต่ฉันติดธุระไม่ได้ไปด้วย ไปเป็นเพื่อนรับวีซ่าอีกอาทิตย์หนึ่งต่อมาเท่านั้น

วันที่ 30 กันยายน 55 เป็นวันที่พวกเราจะต้องบินไปที่อินเดียตามกำหนดการ ยายเกตุเดินทางไปล่วงหน้าแล้วตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน เพราะจะต้องขึ้นซิมลา รับคาราเมล ที่โรงเรียนก่อน แล้วนัดเจอกันที่สนามบิน อินทิรา คานธี ที่เมืองเดลลี โดยให้ แอง สามีเขาเป็นผู้จัดการมาส่งและจัดการกับเอกสารขาเข้า ขาออก จากสนามบินให้เรียบร้อย นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ที่ฉันเดินทางโดยไม่ได้ไปกับทัวร์ ถึงจะเคยไปแคนาดา ครั้งที่ไปเที่ยวอาลัสกา ฉันก็มีคนช่วยดูเอกสารให้ แต่ไปครั้งนี้ ฉันต้องช่วยเหลือตัวเอง และต้องรับผิดชอบเพื่อน ๆ ที่ฉันชวนเขาไปด้วย จึงเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่น่าตื่นเต้นและได้เห็นความตื่นกลัวของเพื่อน ๆ ด้วย ก็เป็นพฤติกรรมที่แปลกดี ส่วนฉันไม่ตื่นอะไรมากนัก อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พระพุทธองค์ท่านจึงตรัสว่า เวลาที่มีปัญหา "สติ" ตัวเดียว ที่สำคัญที่สุด ถ้าขาด "สติ" ก็จะแก้ปัญหาไม่ได้แน่ อิอิ

ฉันนัดกับเม้ง เหลนของฉันมารับตอนตีห้าครึ่ง เครื่องบินจะออกบินเวลา 08.40 น. นัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ 06.30 น. การบินครั้งนี้ เราไปกับสายการบิน เจท แอร์เวย์ ( Jet Airway) เม้งมารับฉันเช้ากว่าปรกติเล็กน้อย ขนาดที่กำลังเดินทาง จุ๊บและหญิงต่างโทรเข้ามือถือฉัน ถามกันว่า ถึงไหนกันแล้ว พวกเราไม่เคยไปกันเอง ฉันเองก็ไม่เคยไปกับเกตุ แต่ก็มั่นใจในตัวเขา เพราะเขาเคยไปอินเดียกับลูกแล้วสองครั้งมั้ง แล้วเป็นเด็กรุ่นใหม่ คงรู้เรื่องดี แต่เพื่อน ๆ ฉันไม่รู้จักเกตุ อาจจะใจตุ๊ม ๆ ต่ำ ๆ บ้าง มั้ง อันเป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา แต่พวกเขาคงเชื่อมั่นและเชื่อใจฉัน เลยร่วมเป็นร่วมตายกันไปกับฉัน อิอิ ฉันถือว่าเป็นทริปเที่ยวที่มันมากทีเดียวนะ

เม้งส่งฉันที่ประตูทางเข้าประตูที่ 7 ตามที่แองโทรนัดกันไว้ ฉันมองหากันอยู่ สักพักเจอจุ๊บก่อนเจอแอง แองจัดการกรอกข้อความใบขาออก ขาเข้า ทั้งที่สนามบินอินทิราด้วย และมอบเอกสารที่อาจจะจำเป็นต้องใช้ไว้ที่ฉัน พักใหญ่ ๆ หญิงกับติ่งก็มา เลยคุยกันสนุกเฮฮา และคิดว่า ได้ไปแน่แล้ว แต่จะเจออะไรที่สนามบิน อินทิราว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง เกตุบอกว่า ไม่เป็นปัญหา ไม่ต้องกลัว เพราะมีเพื่อนเขาที่มีลูกเรียนอยู่ที่อินเดีย เขาก็จะไปพร้อมพวกเราด้วย เขาจะช่วยเหลือพวกเราได้หากมีปัญหาเกิดขึ้น แอง จัดแจงโหลดกระเป๋าเดินทางของพวกเราเข้าเครื่อง พร้อมของเกตุซึ่งเป็นกระเป๋าเสบียงอาหาร กระเป๋าใบนี้แหละที่เป็นปัญหา เพราะว่า น้ำหนักของเพื่อนเกตุน่าจะเกิน ของเกตุเลยต้องหิ้วขึ้นเครื่อง ผ่านเครื่องเอกซเรย์แล้ว มีปัญหาเพราะว่า มีของเหลวอยู่ในนั้นมั้ง เขาจะให้เปิดกระเป๋าให้ดู กุญแจก็อยู่ที่เกตุ เดือดร้อน ต้องออกไปเอากระเป๋าโหลดขึ้นเครื่อง เฮ้อ ! ดูชุลมุนวุ่นวายดีแท้ แต่ในที่สุดก็ผ่านไปด้วยดีทุกอย่าง ได้ขึ้นเครื่องบินไปอย่างเรียบร้อย

กว่าเครื่องจะบินก็ประมาณ 09.00 น. ใช้เวลาบินประมาณ สามชั่วโมงครึ่ง ระหว่างอยู่บนเครื่องบิน ก็มีโอกาสได้ถ่ายรูปสวย ๆ ของปุยเมฆบนท้องฟ้า ที่เครื่องบินตัดผ่านไป เป็นภาพที่สวยงามและให้ความรู้สึกอ้างว้าง เดียวดาย เพราะความกว้างใหญ่ไพศาลของเวหาหาว นั่นเอง ค่ะ



ในที่สุด เครื่องบินก็พาพวกเราเหินฟ้ามาถึงสนามบินอินทิรา คานธี เมืองเดลลี (Dellhi) เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ต้องตื่นเต้น เพราะเกตุจะ
เข้ามาที่สนามบินรับเราไม่ได้ จะอาศัยคุณเพื่อนของเกตุที่ว่าจะคอยให้ความช่วยเหลือเราก็ไม่เห็นเขาจะช่วยอะไรได้ เพราะเขาเองก็ดูเหมือนไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรนัก เกตุสั่งนักสั่งหนาว่า อย่าเพิ่งออกจากสนามบิน เพราะออกไปแล้ว จะหากันยาก ให้มองหาเขาที่จะยืนอยู่นอกสนามบิน เสาต้นที่ 14 หรืออะไรประมาณนั้น เฮ้อ ! การผ่านเข้าเมืองของเขาก็ยุ่งยากมาก โดยเอกซเรย์กี่ครั้งนับไม่ถ้วน น่าเบื่อมาก ๆ กว่าจะหลุดออกมาจากด่านเข้าเมือง แล้วก็ยืนรอเพื่อนที่เกตุฝากฝังพวกเราไว้กับเขา เขาก็ไม่รู้ว่าเดินไปตรงไหน เราจะต้องต่อเครื่องไปที่แคชเมียร์ ก็ไม่รู้ว่าจะต่อที่สนามบินนี้หรือเปล่า ต้องเอากระเป๋าไปด้วยไหม แต่ในที่สุด เพื่อนของเกตุบอกว่า ต้องไปรับกระเป๋า เพราะไปแคชเมียร์ไม่ใช่มาขึ้นเครื่องที่นี่ ต้องไปขึ้นเครื่องบินอีกสนามบินหนึ่ง เป็นสนามบินภายในประเทศ เฮ้อ ! พอได้กระเป๋า มาครบแล้ว ก็ยืนรอกันอยู่ ฉันลองเดิน ๆ ไปที่ต้นเสาที่นัดกับเกตุไว้ มองทะลุกระจกออกไป พลันหูก็ได้ยินเสียงเรียกดังลั่น ว่า "อาจารย์" มองออกไปที่กระจก เห็นยายเกตุ ยกมือสองข้างชูโบกไปมาพร้อมกระโดดด้วย ใส่กางเกงสีชมพูแป๊ด รองเท้าเหลืองอ๋อย เป็นสีเด่นจริง ๆ เฮ้อ ! รอดตายแล้วพวกเรา เตรียมไปที่ประตูตะโกนถามว่า "ให้ออกประตูไปใช่ไหม" เมื่อได้รับสัญญาณแล้ว พวกเราก็เข็นรถออกไป ดีใจกันใหญ่ แนะนำให้รู้จัก จุ๊บ หญิง ติ่ง ยายคาราเมล อ้วนและขาวขึ้นหน่อย อิอิ ผมยาวสยายเหมือนเดิม ฉันมีรูปที่สนามบินนี้มาฝากด้วย ค่ะ



หลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้ว เกตุก็พาพวกเราขึ้นรถประจำทางจากสนามบินอินทิรา คานธี ไปอีกสนามบินหนึ่ง เพื่อต่อเครื่องไป แคชเมียร์ ใช้เวลาแล่นไม่นานนัก ไม่น่าจะถึงครึ่งชั่วโมง ก็ถึงสนามบินเล็กนี้ เกตุพาไปกิน K.F.C. ซื้อน่องไก่ ปีกไก่ กินกันที่สนามบิน เป็นอาหารมื้อแรกที่อินเดียของพวกเรา คนที่ร้านนี้เยอะมาก กว่าจะได้โต๊ะก็หลายนาทีอยู่ อิ่มหนำสำราญแล้ว เราก็ไปรอต่อเครื่องบินที่จะพาพวกเราไปที่แคว้นแคชเมียร์ ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณชั่วโมงเศษ ๆ

เมื่อไปถึงที่สนามบินนี้แล้ว ก็มีคนขับรถที่เกตุติดต่อกับบริษัททัวร์มารับพวกเรา เป็นชายหนุ่ม ผิวค่อนข้างดำ ผอมสูง ไว้หนวดเครารุงรังพอควร เขาจะเป็นทั้งคนขับรถและพาพวกเราไปเที่ยวตามสถานที่ที่เกตุได้ตกลงกับเขาแล้ว ชื่อของเขาเป็นภาษาแขก เรียกยากมาก ฉันเลยจำไม่ได้ แต่ดูท่าทางจะเป็นคนใจเย็น ไม่ค่อยพูด เกตุถามคำ เขาก็จะตอบคำ แต่ใจดี ให้ซิมโทรศัพท์ให้เกตุใช้ ทำให้เกตุไม่ต้องไปหาซื้อซิมโทรศัพท์ใหม่ เพียงแต่ให้เขาพาไปเติมเงินเพิ่มเท่านั้น

ระหว่างทางจากสนามบินเพื่อที่จะเดินทางไปพักที่บ้านเรือ ซึ่งการพักบ้านเรือ ถือเป็นไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่แคชเมียร์



แคว้นแคชเมียร์ ( Kashmir) เป็นแคว้นที่อยู่ทางเหนือสุดของประเทศอินเดีย มีเมือง ศรีนาคาร์ (Srinagar) เป็นเมืองหลวง เมืองนี้มีระดับความสูง 1,730 เมตร เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทะเลสาบและสายน้ำ มีสวนดอกไม้หลาย ๆ สวน ประกอบด้วยทิวทัศน์ หุบเขาสลับซับซ้อนลดหลั่นกันไป มีงานศิลปะที่ประดิษฐ์จากไม้ สวนดอกไม้ของที่นี่ ได้ชื่อว่า มีการจัดสวนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่ละสวนจะจัดแต่งเป็นศิลปะที่ผสมผสานจากหลาย ๆ รูปแบบ

ที่นี่ นักท่องเที่ยวที่มาจะต้องไปพักที่ บ้านเรือ (House Boat) อย่างก็สักสองคืน บ้านเรือนั้น จะก่อสร้างเป็นรูปเรือ นานาลักษณะ ตั้งอยู่ในทะเลสาบดาล (Lake Dal) เวลาเราจะไปพักที่บ้านเรือ เราจะต้องนั่งเรือ ที่เรียกว่า เรือ "ชิคารา" เป็นเรือโบราณ และใช้เป็นเรือในการทำมาหากินของชาวแคชเมียร์ที่มีบ้านเรือนอยู่ริมทะเลสาบ ที่น่ารักมาก ก็คือ ใบพายของเรือ ชิคารา นั้น จะเป็นรูปหัวใจ ในทะเลสาบ จะมีสวนผักลอยน้ำ เป็นสาหร่าย เยอะแยะมาก น้ำใส เห็นต้นสาหร่ายในทะเลสาบทั่วทุกแห่ง ทะเลสาบดาลดูท่าจะไม่ลึกมากนัก ในทะเลสาบดาล จะมีพ่อค้าแม่ค้า (ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้ามากกว่า) มาค้าขายกัน พายเรือมาขายนักท่องเที่ยว เช่น พวกผ้าพันคอ เครื่องประดับ ของที่ระลึก งาน เปเปอร์มาเซ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของที่นี่
ทะเลสาบดาล ถือว่า เป็นทะสาบที่ใหญ่ที่สุดของแคชเมียร์

บ้านเรือ (House Boat) มีประวัติความเป็นมาว่า เกิดขึ้นในสมัยประเทศอังกฤษเข้ามาที่แคว้นแคชเมียร์ เจ้าผู้ครองแคว้นในขณะนั้นมีอำนาจคานกับอังกฤษมากพอสมควร มีการออกกฎไม่ให้ชาวอังกฤษปลูกบ้านในดินแดนแคชเมียร์ ชาวอังกฤษก็ฉลาดไม่ย่อย เมื่อไม่ให้ปลูกบ้านบนบก อังกฤษก็สร้างเรือในน้ำเป็นที่อยู่อาศัยแทน ถือเป็นการไม่ผิดกฎ เพราะไม่ได้ลงหลักปักเสาตามที่กฎห้ามไว้ ต่อมาเมื่อชาวอังกฤษย้ายกลับประเทศไปแ้ล้ว บ้านเรือเหล่านี้ ชาวพื้นเมืองก็ยึดไปใช้เป็นที่อยู่อาศัย และปัจจุบันบ้านเรือเหล่านี้ตกเป็นของชาวเมืองที่เป็นคนดั้งเดิมของที่นี่

นักท่องเที่ยวนิยมมาพักที่บ้านเรือ เพราะว่า ทิวทัศน์รอบ ๆ ทะเลสาบดาล สวยงามมาก บ้านเรือ มีขนาดต่าง ๆ กันไปตามแต่เจ้าของจะตกแต่ง ข้างในบ้านเรือ จะตกแต่งตามสไตล์เปอร์เซีย เหมือนวังของสุลต่าน มีห้องนั่งเล่น พื้นห้องทุกห้องปูด้วยพรม มีเตาผิง ใช้ความร้อนจากฟืนเป็นเหมือนฮีสเตอร์ มีห้องอาหารแยกเป็นสัดส่วน มีห้องครัวสำหรับปรุงอาหาร เป็นห้องพักสำหรับแขก เรือ หนึ่ง ลำ จะมีห้องพักแยกไปประมาณ 3-4 ห้อง มีห้องน้ำในห้องทุกห้อง มีผ้าห่มไฟฟ้า เรือ 1 ลำ จะมีพ่อบ้านให้การดูแลแขกที่มาเช่าพัก 1 คน เป็นคนอยู่ประจำเรือ ทำทุกอย่าง ตั้งแต่เตรียมอาหาร ทำความสะอาด (แต่เรือที่เรามาพัก มีพ่อบ้าน 1 คน และคนทำกับข้าวอีก 1 คน )

เชิญท่านชมภาพงาม ๆ ที่ฉันนำมาฝากนะคะ









เมื่อเรือ มาจอดที่ท่าเรือของบ้านเรือที่เราจะมาพัก คิดว่า หลายคนคงไม่ประทับใจนัก เพราะมันไม่ได้เป็นห้องพักที่ติดกับทะเลสาบ มันอยู่ลึกเข้าไปจากทะเลสาบมากทีเดียว ดีที่พ่อบ้านที่นี่กับคนทำครัวมาช่วยหิ้วกระเป๋าและสัมภาระของกินต่าง ๆ เข้าที่พัก ที่พักก็ดูอับ ๆ สภาพดูเก่าแต่ปูพรมเหมือนที่บรรยายไว้ เป็นพรมที่ค่อนข้างเก่า น้ำอุ่นก็ไม่มีให้อาบ พ่อบ้านที่เป็นคนต้อนรับ ก็นำน้ำร้อนที่ชงด้วยชาของเขา กลิ่นแปลกประหลาดดีพิลึก แต่ก็พอดื่มได้ อาหารเขากว่าจะได้ทาน ก็เกือบสี่ทุ่มของไทย ที่นี่เวลาเขาช้ากว่าของไทย หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ดังนั้นอาหารมื้อเย็นที่บ้านเรือ ก็ไปทานเอาตอน สามทุ่ม พวกเราเลยใช้เวลาที่รออาหารมื้อนี้ ด้วยการไปที่ท่าเรือ ซึ่งเป็นบ้านเรือที่น่าจะราคาแพงกว่าที่เราพักมากพอสมควร คืนนี้เป็นคืนวันเพ็ญ เป็นวันที่ชาวจีนไหว้พระจันทร์ด้วย พระจันทร์บนฟ้าทอแสงนวลขาว สะอาด เฮ้อ! ฉันไม่อยากมองพระจันทร์เท่าไรนัก มองเห็นแล้ว ก็อดคิดถึงคนที่ชอบแสงจันทร์ไม่ได้สักที น้ำในทะเลสาบ สะท้อนเป็นเงา บาง ๆ ด้วยแสงของดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าไกล พวกเราก็เริ่มโพสต์ท่าถ่ายรูปกันไปเป็นการฆ่าเวลาก่อนที่อาหารมื้อเย็นนี้จะเสร็จ ลองชมภาพที่พวกเราถ่ายได้เลยค่ะ





หลังจากทานอาหารมื้อเย็นกันเสร็จแล้ว พวกเราก็ทยอยกันไปอาน้ำ ห้องที่ติ่งกับหญิงอยู่จะสบายหน่อย ไม่ต้องแย่งห้องน้ำกัน ส่วนห้องใหญ่ เรานอนกัน 4 คน เกตุ กับ เมล นอนเตียงเล็ก ส่วนเตีงใหญ่ฉันกับจุ๊บนอน อากาศคืนนี้ หนาวเย็นพอสมควร

1 ตุลาคม 55

เช้านี้ ฉันตื่นนอนแล้ว หญิงและติ่งมาชวนไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ฉันก็ไปกับพวกเขาด้วย ส่วน จุ๊บ เกตุ และเมล นอนอุตุ ไม่ยอมลุกจากเตียง คงหนาว ดูเหมือนจุ๊บจะนอนไม่ค่อยหลับ เขาค่อนข้างขี้หนาวอยู่ ตอนเช้าแต่ละคนไม่ยอมอาบน้ำ มีฉันอาบคนเดียว อาบแล้วจะรู้สึกว่าสบายตัวดี จุ๊บบ่นว่า คันตัว หนาวด้วย เลยนอนไม่ค่อยหลับ อิอิ

บรรยากาศตอนเช้าของท้องทะเลสาบ สดสวยงดงามสุดที่ฉันจะพรรณนาให้เห็นจริงได้ อากาศหนาวเย็นพอสมควรแต่ก็ไม่มากนัก เรามากันที่ท่าน้ำ ดวงอาทิตย์ไม่โผล่จากขอบฟ้า มีแต่แสงเรืองเรื่อ เป็นสีส้มอ่อน ๆ ลมพัดมาเบา ๆ ทำให้น้ำในทะเลสาบพลิ้วเป็นละลอก ชาวบ้านพายเรือออกมา สัญจรกันเป็นระยะ ๆ เสียงนกกา ร้องเสียงดัง กา ก้า กา ออกหากินแต่เช้าตรู่ มีเป็ดน้อยลอยคออยูในทะเลสาบ ดำผุดดำว่าย และสอดส่ายหาปลากิน เป็นบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติค ดวงจันทร์ดวงโต ยังคงลอยเด่นอยู่กลางนภา ยังไม่ลับฟ้า คงเนื่องจาก แสงสุริยายังไม่แรงกล้าพอที่จะขับไล่แสงแห่งจันทราไปนั่นเอง ชมภาพที่ฉันนำมาฝาก นะคะ จะได้เห็นภาพตามที่ฉันพรรณนาได้แจ่มชัดขึ้น



ทานอาหารมื้อเช้า ซึ่งส่วนใหญ่อาหารที่เขาทำให้พวกเราไม่ค่อยได้ทานหรอก เกตุเตรียม ม่าม่า น้ำพริก โจ๊กคัฟ ปลาสลิดมาให้กินด้วย เช้านี้ ทางบ้านเรือ ก็ปิ้งขนมปังให้ ฉันกินม่า ๆ ไป 1 ถ้วย
แบบต้มยำ รู้สึกอร่อยจริง ๆ

เมื่อทานกันเสร็จ ก็มารอเรือมารับเราขึ้นฝั่ง ซึ่งนัดคนรถมารับประมาณ 9.00 น. ระหว่างนั่งในเรือ ก็มีพ่อค้ามาขายของ จุ๊บประเดิมได้จี้พลอยแดงไป 1 อัน แล้ว พอถึงฝั่ง ก็มีพ่อค้ามารอขายของพวกเรามากมาย ต่างแย่งกันเสนอสินค้าที่เขาขาย เช่น หมวก ขนสัตว์ เสื้อกันหนาว ถุงมือหนัง กระเป๋าสะพายเล็ก ๆ ดูเป็นภาพที่วุ่นวายเหลือเกิน พวกเราก็ต่อรองราคากันเกินครึ่งกันทั้งนั้น หญิงกับจุ๊บได้หมวกสวย ๆ คนละใบ ต่อได้ใบละ 175 รูปี เกตุได้ถุงมือหนังน่ารัก 200 รูปี ซึ่งพวกพ่อค้าบอกตั้ง 600 รูปี คือ ต่อแบบไม่ได้ตั้งใจเอานั่นเอง จุ๊บยังได้กระเป๋าสะพายเล็ก ๆ 1 ใบ เป็นกระเป๋าหนังน่ารักดี ฉันยังไม่ได้อะไรสักอย่างเลย พอดีโชเฟอร์มาถึง พวกเราเลยรีบขึ้นรถไป เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปเที่ยวของเรา วันนี้เราจะไปเที่ยวที่สวนดอกไม้อันลือชื่อของ
ศรีนาคาร์ ระหว่างทางก็ได้ทิวทัศน์สวย ๆ มาฝากท่านผู้อ่านเช่นเคย นะคะ โดยเฉพาะน้ำพุที่อยู่ในทะเลสาบ ยามต้องแสงอาทิตย์ กลายเป็นสีรุ้งอย่างสวยงาม สุดบรรยายจริง ๆ



สวนดอกไม้ในศรีนาคาร์ ได้รับคำชมว่า เป็นสวนดอกไม้ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เรียกโดยรวมว่า การจัดสวนแบบสวนโมกุล ซึ่งมีการจัดสวนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ภายในสวน มีการประดับตกแต่งในแบบสไตล์สวนเปอร์เซีย ประกอบด้วย สระน้ำ ลำธาร และแปลงดอกไม้ วันนี้ คนขับรถพาเราไปชมสวนดอกไม้สวย ๆ ทั้งหมด 4 แห่ง พวกเราตื่นเต้นกับความสวยของสวนดอกไม้เหล่านี้ ถ่ายภาพ โพสต์ท่า สารพัดท่า ตามแต่ความพอใจของแต่ละนางแบบ อิอิ ไม่มีใครยอมใครกันละ ไม่ต้องกังวลในเรื่องเวลา เพราะว่า พวกเราไม่ได้ไปกับบริษัททัวร์ พอใจสถานที่ใดมาก เราก็อยู่นานหน่อย พอใจน้อย เราก็อยู่น้อย นี่คือ ส่วนดี ของการจัดเที่ยวแบบไปกันเอง พวกเราไม่สามารถจำชื่อแต่ละสวนได้ เพราะ มันเหมือน ๆ กันเป็นส่วนใหญ่ ขอสรุป สั้น ๆ ดังนี้นะคะ

สวนชาลิมาร์ (SHALIMAR ) น่าจะเป็นสวนที่สามที่พวกเราไปเที่ยวกัน ส่วนแห่งแรก จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว เพราะทุกคน พอเห็นดอกไม้ ก็ถลาไปอยู่กับดอกไม้และเตรียมโพสต์ท่า ผลัดกันถ่าย และที่แปลก ปรกติ ฉันจะหาป้ายชื่อของสถานที่ แต่ครั้งนี้ ฉันมองไม่เห็นป้ายชื่ออะไรเลย หรือฉันหาไม่เจอก็ไม่ทราบน่ะ สวนชาลิมาร์ เล่ากันว่า เป็นสวนที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์โมกุล ในเมือง ศรีนาคาร์ ผู้สร้าง คือ
จักรพรรดิ จาฮันจีร์ สร้างเพื่อมเหสีของพระองค์ที่มีพระนามว่า
Nur Gehan และใช้เป็นที่ประทับในฤดูร้อน ตอนที่เราไปถึงสวนแห่งนี้ น้ำพุของสวนนี้เสีย ปรกติ สวนนี้ ตลอดทางเข้าสวน จะมีน้ำพุ อยู่ตรงกลางของสวนตลอดทาง 7 ชั้น เลยไม่ได้เห็นความงามของน้ำพุสวนนี้เลย

สวนนิชาท (Nishat) เป็นส่วนที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก มีต้นเมเปิลอายุกว่า 400 ปี มีดอกไม้นานาชนิด ตามฤดูกาล ตั้งอยู่ริมทะเลสาบดาล มีภูเขา Zabarwan ตั้งเป็นฉากหลัง ที่นี่ น่าจะเป็นสวนที่ 4 พวกเรามาชมเป็นสวนสุดท้ายของการเที่ยวชมสวนในวันนี้

จากนี้ไป ก็ขอเชิญท่านผู้อ่านได้ชื่นชมกับดอกไม้สวย ๆ ที่ฉันถ่ายภาพมาฝากให้ชื่นชม นะคะ

















วันนี้พวกเราได้ชื่นชมกับความสวยความงามของสวนดอกไม้ในศรีนาคาร์ ทั้ง 4 แห่ง ด้วยอารมณ์ที่สดชื่น ทุกคนต่างมีความสุขกับบรรยากาศอันงดงามด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ โชเฟอร์ ถามว่า จะไปชมสวนดอกไม้สวนที่ 5 ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้นอีกไหม พวกเราต่างบอกว่า ไม่ไหวแล้ว ขาแข้งของแต่ละคนอ่อนล้าไปหมด วันนี้แสงแดดแรงกล้าเหลือเกิน ยายจุ๊บสู้แดดไม่ไหวตอนช่วงบ่าย ขอแอบไปนั่งพักกับยายเกด ส่วนหญิงกับติ่งและฉันลุยกันต่อไป ประกอบกับเย็นแล้ว สวนดอกไม้แห่งที่ 5 พวกเราจึงปฏิเสธไม่ไปแล้ว และคิดว่า มันก็คงสวยเหมือน ๆ กัน นั่นเอง คนขับรถพาเรามาส่งที่ท่าเรือ เพื่อนั่งเรือกลับที่พัก เวลานั้นประมาณ 6 โมงเย็นของที่นี่ (เท่ากับทุ่มครึ่งของเวลาไทย เวลาของอินเดีย ช้ากว่าไทยประมาณ ชั่วโมงครึ่ง) ทิวทัศน์ยามเย็นของทะเลสาบสวยงามเกินกว่าที่จะพรรณนา ขณะที่อยู่ในเรือ พวกเราก็ไม่วายถ่ายรูปให้กันและกันอีก อิอิ



วันที่ 2 ตุลาคม 55

วันนี้ฉันไม่ได้ตื่นขึ้นมาเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนเมื่อวานนี้แล้ว ถนอมแรงไว้ เพราะวันนี้พวกเราจะไปเที่ยวที่เขา โซนามาร์ค
(Sonamarg) สถานที่ที่เราจะไปนี้ ห่างจากเมือง ศรีนาคาร์ 80 กิโลเมตร อยู่ระหว่างเมืองศรีนาคาร์ กับ เมือง เลห์ (Leh) อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2740 เมตร มีป่าสนจำนวนมาก มีป่าวอลนัต ขนาดใหญ่ตลอดสองข้างทางที่รถแล่นผ่านไป (ลูกวอตนัตใช้รับประทานได้ พวกเราได้ซื้อกลับเมืองไทยด้วย เป็นลูกกลม ๆ เท่าลูกปิงปอง เปลือกสีน้ำตาล เปลือกจะแข็ง ต้องใช้ของแข็งทุบ แกะเอาเนื้อในมาทาน มีลักษณะกรอบ ๆ มัน ๆ ก็อร่อย และแปลกดี ) มีธารน้ำแข็งกราเซียร์ (Thajiwas Glacier ) ที่เกิดจากการทับถมของหิมะอันยาวนาน ละลายเป็นธารน้ำแข็งลงมาตามแนวเขา ดูแล้วงดงามมากเหลือที่จะพรรณนา ที่เขานี้ มีที่พักให้นักท่องเที่ยวพักแรมด้วย มีทั้งประเภทเป็นโรงแรมและเป็นแบบแค้มปิ้ง ตามความพอใจและกำลังเงินของนักท่องเที่ยว นั่นเอง

ระหว่างทางที่จะเดินทางไปโซนามาร์ค เป็นเส้นทางที่สวยงามมากเหลือเกิน คนขับรถคนนี้ ขับรถค่อนข้างหวาดเสียว การขับรถในเมืองนี้ ไม่มีระเบียบเอาเสียเลย แซงซ้ายแซงขวาตามใจคนขับ บางครั้งถึงตรงเลี้ยงโค้งของเขา ก็เลี้ยวอย่างเร็ว พวกเราก็เกาะรถแน่นแต่ก็ไม่ได้กลัวอะไรมากมายนักหนา บางครั้งจอดให้พวกเราไปซื้อของ เขาก็จอดอยู่ห่างจากริมถนน โดยไม่คิดว่าจะเกะกะรถที่แล่นกันบนท้องถนน ฉันจึงว่า เมืองนี้ การจราจรไม่มีระเบียบเอาเสียเลย ระหว่างทางที่ผ่าน เราจะเห็นทหารถือปืนตามถนนจุดต่าง ๆ คิดว่า น่าจะเป็นเพราะเมืองนี้เคยเกิดสงครามและยังไม่สงบร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงต้องมีการเฝ้าระวังกันไว้ นั่นเอง ระหว่างทาง ทิวทัศน์ที่สวยงามสุดที่จะพรรณนานั้น พวกเราก็พยายามเก็บภาพสวย ๆ เหล่านั้นมาฝากท่านผู้อ่าน เชิญชมภาพสวย ๆ งาม ๆ ที่ฉันนำมาฝากได้เลย ค่ะ









พวกเรานั่งรถมาประมาณน่าจะสองชั่วโมงกว่า ก็มาถึงเชิงเขาของโซนามาร์ค (Sonamarg) ตอนนี้ เป็นช่วงที่ทุกคนจะต้องพบกับความตื่นเต้นแล้ว เพราะเราทุกคนต้องขี่ม้าขึ้นเขา เพื่อจะได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงามบนเขาโซนามาร์ค หลายคนคงไม่เคยขี่ม้ามาก่อนแน่ โดยเฉพาะฉัน ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยขี่ม้ากับเขาหรอก จึงรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน ในความตื่นเต้นนั้นก็เจือด้วยความหวั่นใจด้วย เพราะเหตุว่า ฉันก็อายุมากพอสมควร ด้วยวัย 64 ปี อิอิ เกิดตกม้าขาแข้งหัก หรือ ตกเหว เป็นอะไรไป คงไม่มีใครคิดสงสารฉันเป็นแน่ อาจจะสมน้ำหน้าด้วยกระมังว่า แก่แล้วไม่เจียมสังขาร ยังมาขี่ม้ากับเขาอีก อิอิ แต่ถ้าฉันไม่ขึ้นม้า ฉันก็จะไม่มีโอกาสได้เห็น ได้ชื่นชมกับความสวยงามของเขาโซนามารค์อย่างแน่นอน อีกอย่างเรื่องความกลัวของฉัน ก็ไม่ค่อยได้กลัวอะไรมากมายในชีวิตอยู่แล้ว เพราะฉันถือว่า เกิดมาชาติหนึ่ง ควรจะทำอะไรตามที่ใจปรารถนาที่อยากจะทำ โดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะเรา อีกอย่างหนึ่ง คนเราเมื่อถึงคราวต้องตาย จะกลัวหรือไม่อยากตายมันก็ต้องตาย
อยู่ดี ท่านผู้อ่านคิดว่า จริงไหมล่ะคะ

เมื่อมาถึงที่เชิงเขาแห่งนี้ เราจะเห็นฝูงม้าจำนวนมาก มีผู้เข้ามาเสนอเพื่อให้พวกเราไปขี่ม้าของเขา มีการเสนอราคาของการขี่ม้า ซึ่งคิดเป็นรายหัว คนขับรถบอกกับเกตุว่า ถ้าคนละเกินพันรูปี ก็ไม่ต้องเอา เขาจะพาไปเช่าม้าขี่เจ้าอื่น ในที่สุดก็ต่อรองราคาได้คนละพันรูปีและพวกเราตกลงกันว่า จะให้ค่าทิปคนละ สองร้อยรูปี เป็นคนละ พันสองร้อยรูปี
พวกเราก่อนขึ้นม้าก็พากันไปหาที่คลายทุกข์กันก่อน คนละ 5 รูปี เรียบร้อยแล้ว ก็มาที่ลานม้าที่พวกเราตกลงไปกับเจ้าของม้าเจ้านั้น ฉันได้ขี้นม้าตัวสีขาว ชื่อ ลูน่า อายุ 15 ปี แล้ว ดูเป็นม้าที่ไม่ค่อยร่าเริงนัก ดูท่าทางของมันหงอย ๆ คงกลุ้มใจและทุกข์ใจที่ต้องเกิดเป็นม้ามาให้ผู้คนขี่ขึ้นเขา มันคงเหนื่อยมากที่ต้องแบกคนเดินขึ้นเขาเป็นกิโล ๆ ในแต่ละวัน เฮ้อ! สัตว์โลกเกิดมาล้วนแต่มีทุกข์และเกิดมาใช้กรรมทั้งนั้น เพียงแต่ว่า จะทุกข์มากทุกข์น้อยเท่านั้น

เมื่อทุกคนขึ้นม้าเรียบร้อยแล้ว หนึ่งคนจะจูงม้าสองตัวให้พวกเรา คนที่จูงม้าฉันก็จะจูงม้าของ ติ่ง ด้วย ม้าเริ่มออกเดิน ขาสองข้างของเราจะใส่อยู่ในที่เหยียบ ฉันเกาะที่เกาะตรงคอม้าแน่นและเกร็งพอสมควร แต่พอชิน ๆ ไปสักพัก ก็เริ่มผ่อนคลายความเครียดไปบ้าง หญิงเก่งมาก สามารถถ่ายรูปให้พวกเราได้ด้วย ส่วนไกด์ที่อาสาตามพวกเราไปด้วย ก็ถ่ายรูปให้พวกเรา โดยนำกล้องของเกตุเป็นกล้องที่ถ่าย ท่านผู้อ่านชมภาพต่าง ๆ ที่ฉันนำมาฝาก ซิคะ











ระหว่างทางที่เป็นจุดชมวิว คนขับรถก็จะแวะจอดให้เราไปถ่ายรูป บางครั้งก็จอดเพื่อให้เราไปคลายทุกข์ตามแต่ที่พวกเราจะเรียกร้องเขา เขาเป็นคนใจดี และ ดูท่าจะเป็นคนใจเย็นด้วยไม่สมกับหน้าตาของเขาเลย เพราะตัวสูง ชะลูด ไว้หนวดเครารุงรัง จึงดูน่ากลัว แต่จากการสัมผัส เขาน่าจะเป็นคนใจเย็น ไม่เคยเห็นเขาบ่นหรือต่อว่าอะไร ถึงพวกเราจะช้าบ้าง มืดไปบ้าง เขาก็เฉย ๆ ยิ้ม ๆ ไม่เคยหน้าหงิกหน้างอ ตอนวันสุดท้ายพวกเราเลยทิปให้เขาไปน่าจะ สามพันรูปปีมั้ง

ท่านผู้อ่านมาดูพวกเราถ่ายรูปจากจุดชมวิวระหว่างทางที่จะไปเขาโซนามาร์ค ซิคะ



ในที่สุดพวกเราก็มาถึงยังยอดเขาโซนามาร์ค อย่างปลอดภัย บนเขานี้ มีร้านค้าหนึ่งร้าน อาหารก็คือ มาม่า ผัดซอส เราก็ต้องพักทานอาหารมื้อเที่ยงที่นี่กัน แล้วก็ถ่ายรูป ชื่นชมกับความสวยงามของธรรมชาติที่สรรค์สร้างมาอย่างวิจิตรพิสดารเหลือที่จะพรรณนาถึงความงามเหล่านี้ได้ ท่านผู้อ่านต้องไปสัมผัสเอาเอง จึงจะได้เห็นความสวยงามเหล่านี้ ภูเขาสูงเป็นเทือกยาว สลับซับซ้อน มีหิมะปกคลุมอยู่ ถึงจะไม่ขาวโพลนอย่างที่ฉันได้ไปเห็นที่ จิวจ่ายโกวมา ที่นีก็สวยไปอีกรูปแบบหนึ่ง ท้องฟ้าวันนี้สดใส เป็นสีคราม มีปุยเมฆสีขาวลอยละล่องไปมาอย่างช้า ๆ มีฝูงแกะมาเล็มหญ้าบ้างทั้งที่ลำธารและที่เนินเขาซึ่งเขียวขจีเหมือนดั่งหนึ่งปูด้วยพรมสีเขียวสดใส ลำธารน้ำไหลเอื่อย ๆ เป็นธารน้ำที่ไหลลงมาจากเทือกเขา มีหินก้อนใหญ่บ้าง เล็กบ้าง มีแอ่งน้ำ เป็น
แอ่ง ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งบนก้อนหิน เพื่อถ่ายรูป นั่งชื่นชมกับความงามของธรรมชาติอันสวยวิจิตรพิสดารยากที่จะพรรณนาให้เห็นจริงได้ หญิง ติ่ง จุ๊บและ คาราเมล พากันไปเดินตามแอ่งน้ำ ฉันกับเกตุไม่ได้ไปด้วย นั่งชมวิวอยู่บริเวณนี้ (สาเหตุที่ฉันไม่ได้ไปด้วย เพราะเข้าใจผิดคิดว่า ต้องปีนเขาขึ้นไปอีก แต่ที่แท้จริง สามารถเดินเลียบตามลำธารขึ้นไปได้ ไปชมหิมะซึ่งยังคงมีบ้างแต่ไม่มากนัก น่าเสียดาย ฉันเลยไม่ได้ภาพตัวเองมาชมความงามตรงจุดนี้ มีแต่รูปเพื่อน ๆ มาฝากเท่านั้น) ฉันกับเกตุก็ได้แต่ถ่ายรูปอยู่ที่ลานกว้างแห่งนี้ ส่วนบรรดาม้าที่น่าสงสาร ก็มีโอกาสได้พักเหนื่อยแล้วหลังจากที่เดินขึ้นเขามาหลายกิโลเมตรทีเดียว







หลังจากพวกเราชื่นชมกับความงามบนเขาโซนามาร์คอย่าง
อิ่มเอมใจ จุใจแล้ว พวกเราก็ขี่ม้าตัวเดิมของเราลงจากเขาโซนามาร์คไป ขาลงนี่ ความเกร็งมีน้อยลงไปมากแล้ว ลงมาถึงยังเบื้องล่าง เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย จ่ายค่าขี่ม้า ค่าทิป ให้เกตุเป็นผู้จัดการแล้ว พวกเราก็เดินทางกลับที่พัก ก่อนจะถึงที่พัก คนขับรถของเราพาพวกเราไปเที่วชมสุเหร่าของชาวมุสลาม ซึ่งถือเป็นมัสยิดที่สวยงามมาก ใหญ่โตมาก ด้านหลัง เป็นทะเลสาบสวย มีน้ำพุด้วย มีต้นเมลเปิลสูงใหญ่มากด้วย พวกเราก็ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ตามที่ฉันได้ถ่ายรูปมาฝากท่านผู้อ่านด้วยค่ะ





3 ตุลาคม 55

เช้านี้ พวกเราก็ยังไม่มีน้ำอุ่นอาบเหมือนเดิม ห้องพักเรือที่นี่ การบริการไม่ดีเลย อาหารการกินก็ไม่อร่อย แถมช้าไม่ทันเวลาทั้งมื้อเช้าและมื้อเย็น พวกเราค่อนข้างเบื่อหน่าย เช้านี้ ก็เช่นกัน แต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อย อาหารมื้อเช้า ก็ยังไม่เสร็จ พวกเราเลยไปหลังห้องอาหาร ซึ่งมีระเบียงยื่นออกไป เห็นทะเลสาบด้านหลังด้วย มีหลังบ้านของเรือลำอื่น ๆ ด้วย ในน้ำมีเป็ดน้อย ว่ายไปหา และหาปลากิน มีนกกาบินออกหากินยามเช้า เสียงดัง ก้า ก้า ของมัน แสดงให้เห็นถึงความขยันของมันที่ออกหากินแต่เช้า น่ะ พวกเราก็เริ่มถ่ายรูปฆ่าเวลาในการรออาหารมื้อเช้าเสียเลย อิอิ เชิญชมรูปของพวกเราได้เลยค่ะ



หล้งอาหารเช้าแล้ว พวกเราก็ขึ้นเรือที่ข้ามฟากมารับพวกเราขึ้นบกเพื่อไปเที่ยวต่อ วันนี้มีโปรแกรมเที่ยว คือ เขากุลมาร์ค (Gulmarg)
อันเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีความสวยงามมาก

พอพวกเราขึ้นฝั่ง บรรดาพ่อค้าก็ตรูกันเข้ามาขายของ บรรยายสรรพคุณของสินค้าของเขาเสียงดังโขมงโฉงเฉง เสียงดังฟังไม่ได้ศัพท์เลย วันนี้ ฉันก็ได้หมวก มา 1 ใบ สีน้ำตาล 200 รูปี ได้เสื้อกันหนาวฝากเยาว์ อีก 1 ตัว ทุกคนต่างบอกว่าสวย ต่อได้ 1000 รูปี ฉันใส่ได้พอดี เยาว์หุ่นใกล้เคียงกับฉัน คิดว่า คงใส่ได้พอดีทีเดียว

พอรถมา พวกเราก็รีบขึ้นรถ หญิงซื้อหมวกได้อีก 1 ใบ ให้ติ่งใส่ สวยดี ฉันคิดว่าจะซื้อในวันพรุ่งนี้อีกสัก 1ใบเหมือนกัน

การเดินทางในวันนี้ คนขับรถก็ยังคงทำหน้าที่ของเขาเหมือนเดิม ขับรถฉวัดเฉวียนน่าดูทีเดียว โดยเฉพาะทางโค้ง เขาก็ไม่ชะลอความเร็ว พวกเราก็เกาะที่จับรถไว้กันอย่างแน่นเหนียว แอบนินทาเขาในใจแต่ก็เชื่อฝีมือการขับรถของเขานะ อิอิ

เขากุลมาร์ค ห่างจากเมืองศรีนาคาร์ประมาณ 56 กิโลเมตร เป็นเทือกเขาที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2730 เมตร ถ้าไปเที่ยวช่วงหน้าหนาว ต้องใช้รถเล็ก ที่มีล้อยึดด้วยโซ่แข็งแรง เพื่อให้ยึดเกาะกับน้ำแข็งจากนั้นก็ต้องขึ้นกระเช้า เคเบิล คาร์กอนโดร่า ขึ้นไปยังเขากุลมาร์ค ประมาณ 1 กิโลเมตร ช่วงฤดูร้อนจะมีทุ่งหญ้าและป่าสน ในหน้าหนาวจะมีการเล่นสกี แต่ถ้าหน้าร้อนจะใช้เป็นสนามกอล์ฟ และกลายเป็นสนาม
กอล์ฟที่สูงที่สุดในโลก ระหว่างทางที่จะไป ผ่านท้องนา ฝูงแกะ แนวเขาที่สูงสลับซับซ้อน ทิวสนเขียวเรียงรายอย่างสวยงาม ระหว่างทางที่ขึ้นเขาจะเห็นหมู่บ้านในเบื้องล่าง ซึ่งอพยพไปอยู่ที่เมือง แจมบูในฤดูหนาวและจะย้ายกลับมาอยู่ใหม่ในฤดูร้อน

ระหว่างทางที่ผ่านไป ฉันก็เห็นเทือกเขาสูง ฝูงแกะเต็มถนนมีคนคุมฝูงแกะ มีสุนัขช่วยต้อนฝูงแกะด้วย พวกเราก็ถ่ายรูปกันตามเคย เลยมีภาพสวย ๆ งาม ๆ มาฝากท่านผู้อ่าน ค่ะ







ระหว่างทางที่ไปเที่ยวเขากุลมาร์ค ก็มีจุดชมวิวให้พวกเราได้ขึ้นไปถ่ายรูปด้วย มองจากจุดชมวิวลงไปเบื้องล่าง ก็เป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามเหลือเกิน ค่ะ



และแล้ว โชเฟอร์ ก็พาพวกเรามาถึงเชิงเขากุลมาร์ค จุดหมายปลายทางที่เราจะมาเที่ยวกัน เหมือนเดิม คือ มีเจ้าของม้ามาติดต่อให้พวกเราขี่ม้าอีกเหมือนที่โซนามาร์ค พวกเราชักไม่อยากขี่ม้าอีกแล้ว เพราะว่า เมื่อวานนี้ พวกเราก็เมื่อยก้น เมื่อยเอวไปทั้งตัว ยังไม่หายเลย แล้ววันนี้ต้องมาขี่ม้าอีกเหรอ โชเฟอร์ให้ความคิดเห็นว่า ถ้าเราไม่ขี่ม้าขึ้นไป เราก็ต้องเดินขึ้นไปเพื่อไปต่อกระเช้าไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า กระเช้า
เคเบิล คาร์ หรือ โกนโดลา ซึ่งก็เป็นระยะทางไกลพอสมควร ในที่สุดพวกเราก็ต้องขี่ม้าอีกแล้ว คราวนี้ เสียคนละ 600 รูปี ค่าทิปอีกคนละ
150 รูปี รวมแล้วคนละ 750 รูปี (หญิงบอกว่า มาครั้งนี้ เงินทองโดนม้าเอาไปกินเยอะที่สุด อิอิ) ทิวทัศน์ เทือกเขา ของกุลมาร์คก็สวยงามเช่นเดียวกับที่โซนามาร์ค ถนนหนทางที่ขี่ม้าไปนั้น ไม่เสี่ยงอันตรายเหมือนที่เขาโซนามาร์ค ทิวทัศน์ระหว่างทางก็สวยงามเช่นกัน ระยะทางที่ขี่ม้าสั้นกว่า โซนามาร์ค น่าจะประมาณไม่ถึงชั่วโมงก็ถึง (ตอนลงจากเขาจึงรู้ว่า เขาพาเราขี่ม้าอ้อมเขาเพื่อให้ดูไกล หรือ เพื่อให้เราชมทิวทัศน์ก็ไม่อาจจะรู้ได้ ตอนลงจากเขา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว ) วันนี้ฤกษ์ไม่ค่อยดีนัก
ระหว่างทางที่ขี่ม้า พระพิรุณก็โปรยปรายลงมา แต่ก็ไม่มากและไม่นานนักก็หยุดตก

พวกเรามาถึงจุดที่จะต้องไปตีตั๋วเพื่อขึ้นกระเช้าเคเบิลคาร์
เกตุไปจัดการเรื่องตั๋วเพื่อขึ้นกระเช้า การขึ้นกระเช้าในที่นี้ มีอยู่สองช่วง แล้วแต่ความพอใจของนักท่องเที่ยวว่าจะขึ้นไปสูงกว่าชั้นแรกของเทือกเขาหรือไม่ พวกเราได้ตั๋วแล้วก็ต้องไปเข้าแถว เขาจะมีเจ้าหน้าที่จัดให้พวกเราขึ้นกระเช้า พวกเรา 6 คน นั่งกระเช้าเดียวกัน นั่งกันฟากละ 3 คน มองลงไปยังข้างล่าง ซึ่งเป็นหุบเหว มีต้นไม้ขึ้นมากมาย ดูแล้วก็หวาดเสียวดีเหมือนกัน จินตนาการไปว่า ถ้าหากลวดสริงค์ของกระเช้าเกิดขาดอย่างที่เคยเกิดขึ้นตามข่าวที่ได้ยินมา พวกเราจะมีโอกาสรอดไหมเนีย แต่ก็ไม่ได้กลัวหรอก เพียงแต่จินตนาการไปเล่น ๆ ตามอารมณ์ที่ชอบจินตนาการไป มีโอกาสได้ถ่ายรูปให้กันและกัน ฝนก็เริ่มตก
ปรอย ๆ รูปที่ออกมาจึงไม่แจ่มชัดเลย ค่ะ เชิญชมได้ค่ะ



พอถึงจุดที่หนึ่งของกระเช้าไฟฟ้า ก็จอดที่สถานีแล้ว พวกเราก็ลงจากกระเช้า มายืนที่สถานี ซึ่งขนาดนั้นฝนตกลงเม็ดหนามาก พวกเราเลยต้องยืนอยู่บนสถานี ลมก็พัดกรรโชกแรงเหลือเกิน ทำให้หนาว
ยะเยือกไปทั่วร่างกาย ทุกคนต่างหาที่หลบลมที่พัดผ่านมา การถ่ายรูปก็ยังไม่สามารถถ่ายอะไรได้ สักพักใหญ่ ๆ น่าจะประมาณ 15 นาที ได้ ฝนก็ซาและหยุดตก ฉันกับหญิง ติ่ง ลงบันไดไปข้างล่าง เพื่อไปชมทิวทัศน์ ส่วนจุ๊บ คงหนาว ไม่ได้ลงไปด้วย เกตุกับคาราเมลสองแม่ลูกก็ไปเดินเที่ยวและหาขนมทานกัน ฉัน หญิง ติ่ง เลยผลัดกันถ่ายรูป แต่ก็ไม่ได้มากมายนัก ขณะที่ถ่ายรูปกันอยู่นั้น หิมะก็ตกลงมาปรอย ๆ โชคดีจัง ได้ถ่ายรูปกับหิมะที่โปรยปรายลงมา แต่ก็คงไม่ได้รูปที่ชัดเจนนัก ท่านผู้อ่านลองชมดูนะคะ



หลังจากชื่นชมกับทิวทัศน์ด้านล่างแล้วได้พักใหญ่ ๆ เสียงเกตุบอกว่า กลับกันเถอะ เพราะฟ้าเริ่มมืด อาจจะเกิดพายุ ได้ยินเสียงประกาศให้ลงจากเขา พวกเราก็เลยกลับ เข้าแถวรอกระเช้าเพื่อลงจากเขาไปเบื้องล่าง ขี่ม้ากลับลงเขาไป ขาลงนี่ สบายเหลือเกิน เพราะ
แปล๊บเดียวก็ลงจากเขาแล้ว แสดงว่า ตอนขาขึ้น เขาพาเราขี่ม้าอ้อมเขานั่นเอง ระหว่างทาง มีที่พักของคนที่มาค้างคืนมั่ง มีประเภทเต๊นท์ด้วย

เมื่อถึงที่เชิงเขาแล้ว พวกเราก็จ่ายเงินให้เกตุคนละ 750 รูปี ให้เกตุเป็นผู้จัดการไปจ่ายให้กับเจ้าของม้าเอง จากนั้น ก็หาร้านขายอาหาร ตอนนี้ บ่ายมากพอสมควร ที่กุลมาร์ค มีข้าวผัดด้วย ดูตามรูปแล้ว ท่าทางจะอร่อยกว่า เจ้ามาม่าของอินเดียแน่นอน ฉันเลยให้เกตุสั่งมาทานกันดู 1 จานก่อน ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อย เกตุสั่งมาม่า อย่างเมื่อวานมาอีก 3 จาน รสชาติก็อร่อยกว่าที่ โซนามาร์ค แถมราคาก็ถูกกว่าอีกด้วย มื้อนี้ เรียกว่า อาหารอินเดียอร่อยที่สุดแล้ว ทานกันอิ่มแล้ว พวกเราก็ไปปลดปล่อยคลายทุกข์ตามระเบียบ แล้วก็ถ่ายรูปบริเวณนั้นอีกก่อนที่จะอำลาจากเชิงเขากุลมาร์คไป อิอิ เชิญชมค่ะ



ที่จริงเมื่อวานตอนเย็น เรามีโอกาสได้นั่งเรือชมรอบ ๆ ทะเลสาบดาล ซึ่งเป็นบรรยากาศที่งดงามมาก ฉันมีรูปมาฝากด้วยค่ะ สองฟากฝั่งของทะเลสาบมีร้านค้าอยู่มากมาย ทั้งเป็นร้านเสื้อผ้า เครื่องประัดับ ร้านขายของกิน เป็นบรรยากาศที่น่าชมอีกบรรยากาศหนึ่งของบรรยากาศที่พระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า ค่ะ







เมื่อมาถึงที่ท่าเรือ วันนี้พวกเราค่อนข้างจะอารมณ์เสีย เพราะเรือที่จะส่งพวกเราข้ามไปบ้านพักเรือนั้น ไม่มาสักที เจ้าแขกที่เป็นผู้จัดคิว มันก็ไม่สนใจพวกเราเลย รอกันเป็นชั่วโมงแล้ว อากาศก็หนาวมากขึ้น ท้องฟ้ามืดแล้ว มันก็ยังไม่ให้พวกเราลงเรือ ตอนต้นพวกเราก็ยังสนุกสนานได้ เพราะถ่ายรูปกันด้วยสารพัดแอ๊กชั่น จนหมดท่าแอ๊กชั่นแล้ว มันก็ไม่ให้เราลงเรือ ทั้ง ๆ ที่ คนที่มาทีหลังเราหลาย ๆ กลุ่มลงเรือข้ามฟากไปหมดแล้ว พวกเราก็ฮึกฮัดกันใหญ่ ก็พอดีมีผู้ชายที่อยู่บ้านเรือติดกับบ้านเรือที่พวกเราพัก เขาพายเรือมาจอดที่ท่า เกตุเลยไปติดต่อขอติดเรือเขาไปด้วย เพราะเห็นว่าเป็นบ้านเรือที่ติดกัน เรือของเจ้าแขกนี่ เล็กกว่าเรือที่พวกเราเคยนั่ง แถมพวกเราต้องนั่งถึง 6 คน รวมคนพายเรือด้วยก็เป็น 7 คน แล้วยังมีสัมภาระอีก ดูเสี่ยงอันตรายเหมือนกัน แต่พวกเราก็ฮึด เพราะไม่ได้กลับสักที เจ้าแขกนั่นก็ใจดี บอกได้ เดี๋ยวเขาจะไปซื้อของก่อน และจะต้องไปแจ้งนายท่าที่เป็นคนจัดคนลงเรือ

พักใหญ่ ๆ นายคนนี้ก็มา พวกเราก็ขนของลงเรือ นั่งกันด้วยใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนัก เรือเปี่ยมน้ำถึงกาบเรือเอาทีเดียว แต่ละคนก็คงใจไม่ดีนัก เพราะทั่วทะเลสาบในขณะนี้มืดพอสมควรเห็นแต่แสงไฟริบหรี่ตามบ้านพักเรือเท่านั้น พอมาถึงกลางทะเลสาบ เกิดมีลมพัดแรงอีกต่างหาก แถมเกิดละลอกคลื่นในทะเลสาบอีกด้วย เรือชักพายไปไม่ได้ดีเสียแล้ว คนพายเรือที่รับพวกเรามา ใจคอคงไม่ดี บอกให้พวกเรานั่ง
นิ่ง ๆ ตัวของเขาเอง เดินเข้ามาทางหัวเรือ เพื่อพายเรือที่หัวเรือ จากเดิมที่พายอยู่ที่ท้ายเรือ เขาก็แก้ปัญหาได้ (ยายหญิงกับ ติ่งมาเล่าทีหลังว่า สวดมนต์กันใหญ่ หญิงบอกว่า หากเรือไปไม่รอดจะคว่ำให้ติ่งเสียสละลงน้ำไปก่อนเลย เพราะติ่งว่ายน้ำได้ ให้เตรียมถอดเสื้อกันหนาวออก เตรียมพร้อม อิอิ ) เฮ้อ! ในที่สุดพวกเราก็พาชีวิตรอดกลับมาที่บ้านเรือได้อย่างปลอดภัย เกตุให้ค่าทิปเจ้าแขกคนนั้นที่มีน้ำใจไป 100 รูปี แต่แล้ว ความซาบซึ้งในน้ำใจนั้นก็พลันสลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง เพราะเจ้าแขกนั่น ไม่ได้ช่วยด้วยน้ำใจที่เอื้อเฟื้อหรอก เพราะมันขอเพิ่มอีก 100 รูปี
เขาถึงได้มีสำนวนว่า พวกแขกนี่ มันยิวจริง ๆ

ฉันมีรูปตอนรอเรือ มาฝากด้วยค่ะ



หลังจากทานข้าวมื้อเย็นแล้ว เกือบทุกคืนจะมีพ่อค้าเอาของมาขายที่บ้านเรือ คิดว่า เจ้าพ่อบ้านคงได้เปอร์เซ็นต์จากการขายด้วย คืนที่สองมั้ง ที่เริ่มมีการขายของ คือ ขายพวกผ้าคลุม ผ้าพันคอ ดูแล้วก็
สวย ๆ ทั้งนั้น เจ้าจุ๊บซึ่งซื้อจากร้านค้าแล้ว ก็อดซื้อไม่ได้อีก โดยมีเจ้าเกตุคอยต่อรองราคาให้ ฉันไม่ได้ซื้ออะไร จุ๊บเลยยืมเงินรูปีจากฉันไป
5000 รูปี ส่วนคืนต่อมา มีพ่อค้าเพชรพลอยมาขายอีก คราวนี้ ฉันก็ได้เสียเงินรูปีให้กับแขกไปหลายพันรูปีแล้ว ได้สร้อยข้อมือ มุกกับพลอย ได้จี้อีกอัน สร้อยคอพร้อมจี้อีกอัน ดูเหมือนต่อราคาได้ 5500 รูปี เสียเงินจนได้ คืนต่อมาก็มีของประเภท เปเปอร์มาเช่ มาขาย ฉันก็ได้เสียเงินอีกหลายพันรูปี เป็นกล่องใส่เครื่องประดับชิ้นเล็ก ๆ เป็นของทำด้วยมือที่มีชื่อเสียงของอินเดีย เผื่อเอาไว้แจกเด็ก ๆ ที่มาสวัสดีปีใหม่ที่บ้านน่ะ

วันที่ 4 ตุลาคม 55

วันนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้า เพราะว่ามีรายการนั่งเรือไปชมตลาดน้ำยามเช้าของทะเลสาบดาล เกตุนัดเรือมารับพวกเราตอน 6 โมงเช้า ยายเกตุทำท่าไม่อยากไป เพราะอากาศมันหนาวเย็นพอสมควร แต่ในที่สุดก็ไปกันหมด โดยเรือเราไปกัน 4 คน ส่วนเกตุกับคาราเมล ตามหลังมา เลยนั่งกันสองคน

บรรยากาศของการนั่งเรือตอนเช้ามืด ที่ฟ้ายังสลัว ๆ อยู่ ก็มีบรรยากาศของความงามไปอีกรูปแบบหนึ่งค่ะ ระหว่างทางที่ไปนั้น ก็สวนกับเรือของชาวบ้านที่พายไปทำธุระของเขา ผ่านกอบัวที่กว้างใหญ่พอสมควร เหมือนมีคนปลูกเอาไว้ เพื่อนำไปขาย เป็ดน้ำตัวเล็ก ๆ ว่ายลอยคอ ปากก็ไซ้หาปลาไป เป็นบรรยากาศสุดโรแมนติคอีกครั้งหนึ่งที่ฉันได้มาสัมผัส โดยเฉพาะแสงอรุณแห่งวันใหม่ กำลังทอแสงเรื่อ ๆ อ่อน ๆ และค่อย ๆ เข้มขึ้น ๆ เป็นอีกภาพหนึ่งที่พาอารมณ์ให้ชื่นมื่น
ไปได้ดีเช่นกัน

เรือพาเรามาถึงที่ลานกว้างของทะเลสาบ มีเรือสินค้าของพ่อค้ามาจอดเพื่อขายสินค้า มีชาวบ้านหรือพ่อค้าขายปลีกมารับซื้อไปอีกต่อหนึ่ง เพราะเห็นซื้อที่เป็นสิบ ๆ กิโล ฉันจึงเดาว่า เขาคงมาซื้อไปเพื่อขายต่ออีกต่อหนึ่ง เสียงพ่อค้า เสียงคนซื้อ ดังอื้ออึงกัน คิดว่า คงสั่งของและเป็นการต่อรองราคากันมั้ง ฉันก็ฟังไม่ออกหรอก เดา ๆ เอาตามอาการที่เห็นเท่านั้น มีพ่อค้ามาขายขนมพวกเราด้วย หญิงชิมของเขาแล้วก็เลยซื้อขนมของพ่อค้านั่นไป 1 ขีดมั้ง เสียไปกี่รูปีฉันก็จำไม่ได้
แต่ฉันไม่ได้ชิมตามที่หญิงให้ชิม เพราะไม่ชอบทานอะไรที่หวานมาก ๆ อยู่แล้ว

ตอนนี้พวกเราเห็นถั่วแขก เห็นคนซื้อมากเหลือเกิน ประกอบกับติ่งบอกว่า ที่กรุงเทพฯ ถั่วแขกแพงมาก เกตุก็บอกว่า ถั่วแขกที่นี่อร่อยมาก พวกเราเลยซื้อกันคนละโล หญิงเข้าใจว่า เกตุเอาด้วย เลยสั่งสามกิโล กิโลละไม่กี่สิบรูปมั้ง คิดเป็นเงินไทยแล้วก็ถูกมาก ให้เงินเขาแล้วไม่มีทอนอีก เลยต้องซื้อเขาอีก 1 กิโล แถมเขาไม่มีถุงให้ใส่ด้วย เทไว้ที่เรือ เป็นกอง ๆ กองละ 1 กิโล กรรมละซี่ ฉันกับหญิงเลยต้องแบกถั่วแขกคนละ 2 กิโลกลับประเทศไทย ( ไม่เสียแรงที่แบกหรอก เพราะมาผัดแล้ว มันอร่อยมากจริง ๆ ทั้งกรอบทั้งหวาน ฉันแบ่งเพื่อนบ้านไปคนละ 3-4 ขีด แบ่งให้เหลนที่มารับไปผัดกินด้วย ตัวเองน่าจะเหลือไม่ถึงกิโล อิอิ)

ฉันมีรูปตลาดน้ำยามเช้ามาฝากท่านผู้อ่าน ด้วยค่ะ



วันนี้พวกเราทานข้าวมื้อเช้าแล้ว ก็ต้องอำลาบ้านเรือไปอยู่ที่บ้านเกรทเฮ้าส์ ซึ่งอยู่ใกล้สนามบิน เพราะวันที่ 5 เราต้องบินแต่เช้า จึงต้องหาที่พักที่ใกล้สนามบิน

9.00 น. พวกเราก็ช่วยกันขนสัมภาระลงเรือ เพื่อขึ้นรถและไปเที่ยวตามโปรแกรมแห่งสุดท้าย นั่นคือ เที่ยวที่เขา พาฮาลแกม (Pahalgam) พวกเราหวังจะได้ซื้อพวกหมวก ถุงมือ จากพ่อค้าที่มาขาย แต่วันนี้ไม่มีแม้แต่รายเดียว เพราะเขามาถ่ายหนังกันที่ท่าเรือนี้ พวกพ่อค้าเลยย้ายไปขายอีกท่าเรือหนึ่ง เลยไม่ได้เสียตังค์ ส่วนโชเฟอร์ของเรามาแล้ว มาช่วยยกกระเป๋าพวกเราขึ้นหลังคารถ และหลังรถ เมื่อวาน ตอนกลับจาก เขากุลมาร์คเขาพาไปหาที่พักใหม่ ก็คือ บ้านของเจ้านายเขานั่นแหละที่เป็นคนจัดทัวร์เที่ยวครั้งนี้ให้กับพวกเรา เป็นที่พักเหมือน
เกรทเฮาส์ แต่ก็น่าอยู่กว่าห้องในบ้านเรือ ดูสะอาดสะอ้านกว่า ที่ทานอาหารก็ดูสะอาดและมีระเบียบกว่า วันนี้พวกเราจะไปเที่ยวตามโปรแกรมสุดท้าย พรุ่งนี้ก็จะต้องขึ้นเครื่องบินแต่เช้าแล้ว

โชเฟอร์พาพวกเราเดินทางไป ลีลาการขับรถของเขายังคงเหมือนเดิม ฉวัดเฉวียนตามสไตล์ของเขา ซึ่งพวกเราเริ่มชินเสียแล้ว ไปได้สักชั่วโมงมั้ง เราก็ผ่านสวนแอปเปิล เห็นต้นแอปเปิลออกผลเต็มต้นไปหมด ร้องวี้ดว้ายกันอย่างตื่นเต้น เขาเลยจอดรถให้พวกเราเพื่อเข้าไปชมเหมือนยังกับรู้ใจพวกเราโดยไม่ต้องบอกให้เขาจอดเลย อิอิ พวกเราก็ลงจากรถกัน มันเป็นแนวรั้ว มีทางเข้าเล็ก ๆ ที่จะเข้าไปในสวนแอปเปิล
เจ้าของสวนเดินออกมาพูดอะไรไม่รู้ คงสงสัยว่า พวกนี้มาจากไหนหนอ เห็นคุยกับคนขับรถ พวกเราเลยคิดว่า น่าจะซื้อแอปเปิลจากสวนไป ดูท่าทางจะสดและอร่อย เลยให้ เกตุ ส่งภาษากับโชเฟ่อเพื่อเจรจาซื้อขาย ปรากฏว่า ต่อรองกันได้กล่องละ 450 รูปี กล่องหนึ่งมีประมาณ 8 กิโล พวกเราคำนวณดูแล้ว ราคาก็ถูกดี เจ้าของสวนก็เด็ดแอปเปิลให้พวกเราชิมกัน ฮึ รสชาติกรอบ หวาน ดี เพราะมันสด คิดว่า คงไม่ได้ใส่ยา เพราะผิวแอปเปิลสาก ๆ ไม่สวย เหมือนที่เราซื้อกินกันที่เมืองไทยหรือที่อื่น ๆ เจ้าของสวนและลูกน้องกำลังคัดแอปเปิลอยู่อีกมุมหนึ่งของสวนเพื่อบรรจุใส่กล่องไปส่งขาย พวกเราสั่งกันทั้งหมด 5 กล่อง หญิงเอา 2 กล่อง นอกนั้นเอาคนละหนึ่งกล่อง คนงานของเขาขึ้นต้นแอปเปิลไปเด็ดแอปเปิลใส่ถัง 1 ถังเท่ากับ 1 กล่อง ไม่มีการชั่งกิโลเลย แต่พวกเราไม่ได้สนใจเรื่องของการดูคุณภาพของแอปเปิลเลย ทุกคนมุ่งแต่ถ่ายรูปกับต้นแอปเปิล ลูกแอปเปิล โพสต์ท่าต่าง ๆ ไปตามความพอใจของแต่ละคน เหมือนคนที่ไม่เคยเห็นต้นแอปเปิลนั่นแหละ คิด ๆ ดู มนุษย์เราก็แปลกดีนะ ตื่นเต้นกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นเสมอ ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้จักแอปเปิล กินแอปเปิลมานานแล้ว ยายจุ๊บ ยายหญิง ถ่ายรูป โพสต์ท่าได้มากกว่าเพื่อน ฉันถ่ายรูปให้ จุ๊บหลายรูป ให้ จุ๊บถ่ายให้ฉันบ้างน่าจะ 4-5 รูป ฉันถ่ายลูกแอปเปิล ต้นแอปเปิลไว้ เพื่อมาฝากท่านผู้อ่านได้ชมหลายรูป ค่ะ







หลังจากซื้อแอปเปิล ถ่ายรูปกับต้นและลูกแอปเปิล จนกระทั่งเจ้าของสวนเขาบรรจุแอปเปิลใส่กล่องให้พวกเราครบแล้ว พวกเราก็จ่ายเงินตามจำนวนที่ได้ตกลงกันไว้ โชเฟอร์ได้แอปเปิลไป 1 กล่อง ในฐานะพาลูกค้ามาซื้อด้วย แต่ไม่ใช่แอปเปิลที่คัดแล้ว เห็นพูดกันอย่างนั้น พวกเราเองก็ไม่ได้สนใจว่า แอปเปิลของเราในกล่องนั้น มีสภาพอย่างไร หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว จึงรู้ว่า เจ้าของสวนก็ไม่ซื่อสัตย์กับพวกเราหรอก เพราะแอปเปิลที่เขาเด็ดให้เรา มีลูกเล็ก ๆ ลูกย่อม ๆ ลูกใหญ่แถบจะไม่มีเลย แล้วก็มีหลายลูกที่มีตำหนิที่ผลหลายลูก จะเอาไปฝากใครต้องคัดเอาลูกโตหน่อยและไม่มีตำหนิที่ผิวให้คนที่เราเอาไปฝากเสียแล้ว หญิงโทรมาบอกว่า มีผลเน่าด้วยหลายลูก เฮ้อ ! โดนแขกหลอกเอาเสียแ้ล้ว

ออกจากสวนแอปเปิลแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อไปเพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังเขา พาฮาลแกม ระหว่างทางที่ไป ทิวทัศน์สวยงามเหมือนกับตอนที่เราเดินทางไปเขาโซนามาร์คและกุลมาร์ค แต่เส้นทางที่ไปเขา พาฮาลแกม มีโขดหินน้อยใหญ่ เทือกเขาสองฟากฝั่ง ท้องฟ้าสีคราม วันนี้ท้องฟ้าสดใส ไม่มีเค้าของเมฆฝน ดูสดชื่นและสบายตาเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ๆ ดังภาพที่ฉันถ่ายมาฝากท่านผู้อ่าน ดังนี้ ค่ะ





ในที่สุดโชเฟอร์ก็พาพวกเรามาถึงเชิงเขา พาฮาลแกม ฝนก็ตกพรำ ๆ อีกแล้ว ตอนออกจากตัวเมือง แดดยังจ้า ฟ้าสีครามอยู่เลย อะไร ๆ ช่างไม่เที่ยงแท้เสียจริง ๆ เลยนะ มาถึงที่นี่ ก็มีเจ้าของม้าอีกตามเคย อ้ายหย๋า วันนี้ต้องขี่ม้าขึ้นเขาอีกหรือเนี่ย หญิงเพิ่งบอกกับฉันว่า วันนี้จะไม่ขี่ม้าแล้ว ไม่ไหวแล้ว เจ็บก้นเจ็บเอว เมื่อยไปทั้งตัวเลย
แต่ถึงอย่างไร เราก็ต้องขี่ม้า เพราะถ้าไม่ขี่ม้า ก็ไม่สามารถเห็นความสวยงามของทิวทัศน์ที่เขาพาฮาลแกม มีให้เลือกสถานที่ไปด้วย มีทั้งน้ำตก สวนสาธารณะ เป็นชุดให้เลือก พวกเราเลือกชุดที่ไปชม 3 จุด ราคา 750 รวมทิปอีก 150 รวมแล้ว คนละ 900 รูปี ในที่สุดทุกคนก็ต้องขี่ม้าขึ้นเขาเหมือนเดิม

ขณะที่รอม้ากันอยู่พวกเราก็ถ่ายรูปที่เชิงเขา พาฮาลแกมไว้เป็นที่ระลึกเสียก่อน





Create Date : 21 ตุลาคม 2555
Last Update : 4 มีนาคม 2558 14:01:54 น. 4 comments
Counter : 2419 Pageviews.

 


สวัสดีค่ะอาจารย์

ตามอาจารย์มาเที่ยวแคชเมียร์ค่ะ
น่าไปเที่ยวเหมือนกันนะคะ ยิ่งถ้าไปกันหลายคนแบบนี้
กาญยังไม่เคยไปเที่ยวแถบนี้เลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับรูปสวยๆที่เอาไปฝากที่บล๊อกนะคะ
อาจารย์เก่งมากค่ะ ส่วนรูปเคลื่อนไหวกาญทำไม่เป็นค่ะ
ไปก๊อปที่บล๊อกเพื่อนๆที่เขาแจกโค๊ดให้ฟรีค่ะ
เช่นบล๊อกของ ชมพร ญามี่ เนยสีฟ้า และอีกหลายบล๊อกค่ะ
ถ้าอาจารย์ว่างลองกดเข้าไปดูนะคะ


โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:19:56:52 น.  

 
สวัสดีค่ะอาจารย์
หนูสอบเสร็จแล้ว เลยแวะมาทักทายอาจารย์ค่ะ :)
สอบเสร็จจะได้มีโอกาสอ่านหนังสือของอาจารย์แล้ว อิอิ

อาจารย์สบายดีนะค่ะ ^^


โดย: Nepster วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:20:30:27 น.  

 

ขอให้สุขทุกวารกาลสมัย
ขอสุขะ พลานามัย สมสุขศรี
เจริญลาภยศลือไกลชัยทวี
แลครอบครัวมั่งมีทวีเจริญ

ใครงานยุ่งขอให้มุ่งได้ไปเที่ยว
ใครอยู่เดี่ยวให้มีคู่ไม่ขัดเขิน
ไม่ขัดข้องทั้งการงานและการเงิน
ให้เจริญมีสุขทุกเวลา

พรดีดีที่ไหนใครว่าเลิศ
พรประเสริฐใดใดในทั่วหล้า
พรสวรรค์พรแสวงให้แบ่งมา
จงนำพาสู่ผู้อ่านบานตะไท

มาบันดาลให้ไทยนั้นสุขสันต์
มาบันดาลให้ทุกวันนั้นแจ่มใส
มาบันดาลให้มีสุขทุกคนไป
มาบันดาลให้ไทยนั้นรุ่งเรือง


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 26 ธันวาคม 2555 เวลา:18:54:05 น.  

 
ปริมต้องกราบขอบคุณ อ.มากมายอ่ะ น้องปริมอาจจะแนะนำตามประสาของมันอ่ะ ความเชื่อของมัน แต่ปริมก็เชื่อนะทำดีต้องได้ดี ถึ้งแม้ว่าจะได้รับผลดี ช้าหน่อย


โดย: primmavista วันที่: 27 ธันวาคม 2555 เวลา:22:10:20 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space