ไปซีอาน หอระฆัง กำแพงเมืองเก่า ถนนสายวัฒนธรรม
ทริปนี้ ใช้เวลาในการท่องเที่ยว นาน 17 วัน และมีปัญหาตั้งแต่ไปจนกระทั่งกลับที่ต้องช่วยกันแก้ปัญหากันตลอดเวลา
ผจญภัยกันอย่างสนุกสนาน เป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจริง ๆ เป็นทริปที่เรียกว่า "ไปตายเอาดาบหน้า"
ท่านผู้อ่าน อย่าพลาดการอ่านอย่างต่อเนื่อง นะคะ อิอิ
จำได้ว่า จุกเป็นคนจุดประกายที่จะไปเที่ยวที่ คานาสือ แคว้น ซินเกียงของประเทศจีน
แล้วขยายกว้างไปถึงสถานที่เที่ยวอื่น ๆ เพื่อให้สมกับค่าเครื่องบินที่เสียไป ซึ่งสมาชิก ก็เห็นด้วย จึงเป็นทริปที่ขยายไปถึง 17 วัน
จากเดิมที่คิดจะไปเที่ยวที่ซีอานและคานาสือเท่านั้น (ประมาณ 11 วัน) โดยมีฉันเป็นผู้หาสมาชิกร่วมเดินทาง
จุกเป็นผู้ช่วยหาเส้นทางร่วมกับคุณพี (คนนำทาง) สถานที่เที่ยว และจองตั๋วเครื่องบิน สมาชิกของเราครั้งนี้ มี 6 คน
รวมคุณพี คนนำทางด้วย เป็น 7 คน ซึ่งเราทุกคนต้องจ่ายเงินเขา
คนละ 28,000 บาท เพื่อเป็นค่าที่พัก
ค่ารถที่ต้องใช้ในการเดินทางจากสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเขาจะเป็นผู้ติดต่อ
บริการเรื่องเหล่านี้ ค่าตั๋วไป-กลับ 7,819 บาท
รวมซื้อน้ำหนัก 20 กิโล ไป กลับ อีกประมาณ 1,448 บาท รวมเป็นเงิน ประมาณ 9,267 บาท (ประมาณ ค่ะเราจองตั้งแต่ กุมภา
ตอนที่แอร์เอเซียลงโปร น่ะค่ะ )
ค่าวีซ่าจีน ก็ขึ้นราคา แถม คุณพี ก็ไม่บริการไปยื่นให้ เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา เก็บเงินอีกคนละ 730 บาท
บอกว่า ต้องไปจ้างคนอื่นทำ ปัญหาตามมาอีกหนึ่งเรื่อง จุ๊บ ซึ่งซื้อตั๋วเครื่องบิน เรียบร้อยแล้ว เกิดปัญหา แม่ซึ่งไม่ค่อยสบาย
ขอร้องไม่ให้จุ๊บไปเที่ยว แต่ปัญหาข้อนี้ จุ๊บก็รับผิดชอบอย่างดี ให้ลูกสาว(นุ่น) ไปแทน โดยต้องซื้อตั๋วเครื่องบินใหม่ เฮ้อ!
วันที่จะเดินทางแล้ว คุณพี ก็ยังไม่ได้นำพาสปอร์ตของฉัน วัชร์ และนุ่นมาให้ เงินค่าทัวร์ที่เหลืออีกคนละ 20,000 บาท
ก็ไม่มาเก็บ โทรตาม ก็ไม่รับ ส่งข้อความมาบอกว่า ถ้าไม่มา ก็อาจจะไปแลกเงินที่สนามบินก็ได้ หวาดเสียวไหมล่ะ
พาสปอร์ตก็ยังไม่ได้ อยู่กับเขา ล้วนแต่เป็นปัญหาทั้งนั้น
วันที่ 10 ต.ค.59 เป็นวันเดินทางของพวกเรา พวกเรานัดเจอกันที่ดอนเมืองบ่ายสองโมง เครื่องบินจะออกประมาณเกือบ 17.00 น.
วัชร และลูกชาย มารับฉันที่บ้านนัดกันบ่ายโมงแต่มาก่อนครึ่งชั่วโมง เราเลยไปถึงสนามบินประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ
เท่านั้น ไปถึงแล้ว โทร ตาม คุณพี ก็ไม่รับสาย โทรหาจุก ยังไม่ทันได้พูด จุกก็มาถึงพอดี พักใหญ่ ๆ
พวกเราก็เห็นคุณพีเดินมา สะพายเป้เล็ก ๆ ใบเดียว หน้าตาโทรมมาก หนวดเคราก็ไม่ได้โกน ผอมไปเล็กน้อย
ดูอ่อนระโหยโรยแรง โธ่ ! คนนำทาง ของเรา ทำไมมีสภาพเช่นนี้
ในที่สุด เขาก็สารภาพกับพวกเราว่า เขาไม่สามารถไปกับพวกเราได้ เนื่องจาก ยังไม่หายไข้
นี่เพิ่งขอหมอออกจากโรงพยาบาล เพื่อนำพาสปอร์ตและนำเงินค่าจองคนละ 8000 บาท มาคืน ให้พวกเรา
แต่คืนแค่ 6000 บาท เพราะเอาเงินเราไปจองโรงแรมให้ 2 แห่ง คือ ที่ซีอาน 2 คืน และ อุรุมูฉี อีก 1 คืน
เขาบอกว่า ถึงเขาจะไม่ได้ไปด้วย พวกเรา ก็ไปกันเองได้ เพราะฉันสามารถสื่อสารได้
เขาไปเขาก็สื่อสารไม่ได้ ได้แต่จองที่พักให้ และพาไปขึ้นรถบัส รถไฟ เท่านั้น ฉันเอง ไม่อยากพูดอะไร
อยากจะต่อว่า ทำไมไม่บอกเราก่อนสักวันสองวัน เราจะได้เตรียมแลกเงินไว้ นี่ต้องมาแลกที่สนามบิน
เรท สูงมาก 5.84 บาท ซึ่งเราแลกมาจากซุปเปอร์ริช แค่ 5.17 บาทเท่านั้น
ฉันกับ วัชร์ นุ่นไปแลกเพิ่มเพียง คนละ หมื่นบาท เพราะเลทสูงมากในตัวเรามีประมาณ หกพันกว่าหยวน คิดว่า น่าจะพอ
เขามาส่งพวกเราที่เคาน์เตอร์เช็คอิน แล้วก็กลับไป พวกเรา ก็เข้าไปเพื่อเตรียมยื่นหนังสือเดินทาง
ประทับตราออกนอกประเทศ ทุกคน ต่างก็เตรียมพร้อมไปเผชิญเหตุการณ์ต่าง ๆ เรียกว่า "ไปตายเอาดาบหน้า"
ถอยไม่ได้ เพราะเสียค่าเครื่องบินไปแล้ว ห้าห้า
ในที่สุด เราก็ขึ้นเครื่องบิน แอร์เอเซีย FD 588 เครื่องออกเวลา 16.35 น. กว่าจะอุ่นเครื่องและเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า
ก็ประมาณ 16.50 น.วันนี้ ท้องฟ้าแจ่มใส ปุยเมฆสีขาว ดำ ไม่ค่อยสวยงามนัก ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
เราก็ถึงสนามบินซีอาน เวลา 21.35 น. (เมืองไทย 20.35 น. จีนเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง)
หลังจากผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เดินออกมาด้านนอก ก็มีคนมาชวนให้จ้างรถของเขาเพื่อพาพวกเราไปโรงแรม
ก็เป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องเจรจากับเขา ซึ่งก็ฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่เรื่องราคาที่เขาบอก หลังจากพวกเราเอาชื่อโรงแรม
ที่เราจองให้เขาดูแล้ว เขาก็บอกว่า 6 คนไปรถใหญ่ ราคาทั้งหมด 350 หยวน จุกหาข้อมูลมาแล้วว่า ถ้าเราไปรถประจำทาง ราคาเท่าไร
ฉันก็เลยต่อรอง 250 หยวน เขาส่ายหน้า เลยเพิ่มใหม่ เป็น 280 หยวน เขาก็โทรถามเจ้านายของเขา ก็เป็นอันตกลง
รถจากสนามบินไปยังที่พัก คือ BELL TOWER HOSTEL ไกลมากพอสมควร เป็นโฮสเทล ไม่ใหญ่ แต่สะดวกสบาย
อยู่ใจกลางเมือง ไปไหนสะดวกสบาย คืนละ 140 หยวน มาชมภาพที่ฉันและเพื่อน ๆ นำมาฝาก ค่ะ
คืนนี้ พวกเรานอนที่พักนี้ โดยไม่ได้เอากระเป๋าใหญ่ขึ้นห้อง เพราะอยู่ถึงชั้น 5 แล้วก็ไม่มีลีฟท์ด้วย
เขามีห้องเก็บของอยู่ชั้นล่าง พวกเราเลย เปิดกระเป๋า จัดเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นเดินขึ้นชั้น 5 ห้องพักของเรา
เราจะพักที่นี่เพียงคืนเดียว แต่คุณพี ดันจองตั้งสองคืน เสียเงินไปฟรี ๆ
เพราะคืนนี้เราจะขึ้นเครื่องบิน บินไปที่ อูรุมูฉี แล้ว
วันที่ 11 ต.ค. 59 วันนี้พวกเรา ตื่นค่อนข้างสาย อาหารเช้าวันนี้ คือ ม่าม่า ที่ฉันกับวัชร์เตรียมมาจากกรุงเทพฯ
ในห้องเขามีกาต้มน้ำร้อนให้อยู่แล้ว ก็สะดวก แต่ไม่มีน้ำดื่มที่เป็นขวด ๆ ให้ ก็ยังดี ที่ีมีกาน้ำให้ต้มน้ำร้อนได้
ประมาณ 9.30 น. พวกเราก็เริ่มออกจากโฮสเทล เพื่อไปเที่ยวที่ หอระฆัง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่พักของเรา เดินลอดอุโมงค์
ไปอีกฝั่งถนนหนึ่ง เรามาทราบประวัติความเป็นมาของเมือง ซีอาน ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ก่อนนะคะ
เมืองซีอาน ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือและเป็น 1 ใน 10 ของเมืองใหญ่ของประเทศจีน
ถือเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของโลก ความหมายของชื่อเมือง ซีอาน มีความหมายว่า " ความสงบสุขทางตะวันตก"
เป็นเมืองหลวงของ มณฑล ส่านซี ในอดีต เมือง ซีอาน เป็นเมืองหลวงถึง 13 ราชวงศ์ เช่น ราชวงศ์โจว ซิน ฮั่น และถัง เป็นต้น
ซีอานเป็นเมืองปลายทางของเส้นทางสายไหม มีประวัติความเป็นมานานถึง 3,100 กว่าปี มีชื่อเดิมว่า ฉานอาน
ฉาน แปลว่า ยาว จึงมีความหมาย ว่า "ความสงบสุขชั่วนิรันดร์"
ส่วน หอระฆัง นั้น ก็เป็นสถานที่เที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ที่คนมาซีอาน นิยมไปเที่ยว เป็นหอที่มีระฆังใหญ่
บนหอระฆัง มีทางเดินโดยรอบ สามารถเดินชมวิวเมืองซีอานได้แบบ 360 องศา บริเวณ หอระฆัง จัดแปลงดอกไม้สีสันสดใส
ให้นักท่องเที่ยวได้ไปถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย ค่ะ ภายในหอระฆัง ซึ่งพวกเราต้องเดินขึ้นนั้น มีการจัดรูปภาพต่าง ๆ
รูปปั้น ซารามิค มีรูประฆังใหญ่ให้ตีด้วย ค่าเช้าชม คนละ 35 หยวน พวกเราเดินชม ถ่ายรูป เซลฟี่ ตามแต่จะเลือกมุม
ฉันเก็บและรวบรวมรูปมุมสวยต่าง ๆ มาฝาก ค่ะ เชิญชมค่ะ
พวกเราชื่นชมกับ ความสวยงามของหอระฆัง น่าจะเป็นเวลาประมาณ ชั่วโมงกว่า ๆ แล้วก็ต้องรีบไปชื่นชมสถานที่อื่น ๆ อีก เวลาเราวันนี้มีไม่มากนัก เพราะช่วงเย็นเราต้องไปสนามบิน ไปอุรุมูฉี เวลา สามทุ่มกว่า
สถานที่แห่งใหม่ที่พวกเราจะไป คือ ถนนสายวัฒนธรรม เป็นสถานที่ที่ตลอดแนว มีร้านหนังสือขายมากมาย มีเครื่องเขียน มากมาย เช่น พู่กันจีน พวกเราก็เดินชม และถ่ายรูปถนนสายวัฒนธรรมในมุมต่าง ๆ ถนนสายวัฒนธรรม มีความยาวน่าจะสัก 1 กิโลเมตร ได้ ที่นี่ น่าจะแสดงถึงความใส่ใจทางการศึกษาของประเทศจีน ถึงกับมีถนนสายวัฒนธรรม ที่มีแต่ร้านขายหนังสือยาวเป็นกิโลเมตรอย่างนี้
มารู้ความเป็นมาของถนนสายวัฒนธรรมที่ซีอาน สักหน่อยนะคะ ถนนสายนี้มีชื่อว่า ถนนวัฒนธรรมโบราณ ซูย่วนเหมิน ตั้งอยู่ที่ตำบลเปยหลินของเมืองซีอาน เป็นถนนวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองซีอาน มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน เมื่อทศวรรษ 1990 ทางเมืองซีอานปรับถนนเส้นนี้เป็นถนนพาณิชย์ เลียนแบบสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ปัจจุบัน ถนน ซูย่วนเหมิน ได้กลายเป็นแหล่งรวบรวมภาพวาด เขียนแบบโบราณของเมืองซีอาน ยังมีศิลปหัตถกรรมที่หลากหลาย รวมทั้งนสิ่งเย็บปักถักร้อย เครื่องหยก แพรไหม เครื่องเคลือบ เป็นต้น
เรามาชมบรรยากาศที่ถนนสายวัฒนธรรมด้วยรูปภาพที่ฉันรวบรวมทั้งกล้องฉันและกล้องเพื่อน ๆ ที่ไปด้วยกันค่ะ
พวกเรากว่าจะได้ทานอาหารมื้อเที่ยง ก็น่าจะบ่ายโมงกว่าแล้ว ไปเจอร้านรถเข็น ขายอาหาร ที่มีทั้งเส้น ทั้งอัดใส่ขนมก้อน เหมือนขนมปัง เราซื้อกันคนละถ้วย น่าจะถ้วยละ 6 หยวน ถ้าจำไม่ผิด ไม่ค่อยอร่อย แถมเค็มมากด้วย ขนาดบอกว่า ราดน้ำน้อย ๆ แล้วนะ
หลังจากอิ่มแล้ว พวกเราก็หาทางที่จะไปเที่ยวกำแพงโบราณ (CITY ณWALL) ซึ่งก็อยู่ในบริเวณเดียวกับถนนสายวัฒนธรรม นั่นแหละ ตามประวัติเล่ากันว่า สร้างขึ้น ด้วยแนวคิดในเรื่อง กักตุนอาหาร และเป็นเกราะกำลังที่แข็งแกร่งของกองทัพ ในสมัยราชวงศ์หมิง ผู้สร้างคือ ฉู หยาง ฉาง ฮ่องเต้องค์แรกแห่งราชวงศ์หมิง เป็นกำแพงที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศจีน เป็นระบบป้องกันกองทัพโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูง 12 เมตร ด้านบนสุดกว้าง 12-14 เมตร หนา 15-18 เมตร ลึกวัดโดยรอบถึง 13.7 ก.ม. มีป้อมปราการยื่นออกมาจากตัวกำแพง ทุก ๆ120 เมตร รวม 98 ป้อม เพื่อป้องกันข้าศึกปีนขึ้นกำแพง แต่ละป้อมมีทหารยามประจำอยู่ ด้านข้างของแต่ละป้อม จะมีช่องยิงธนู ด้านนอกกำแพงมีส่วนที่ยื่นออก จำนวน 5,948 จุด เพื่อเป็นช่องสำหรับพุ่งอาวุธไปที่ข้าศึกที่เข้าใกล้กำแพง ภายในแต่ละป้อมจะมีกรง เพื่อป้องกันทหารไม่ให้ตกลงไป
เมื่อหาทางขึ้นกำแพงได้แล้ว เราก็ต้องไปที่ช่องขายบัตรเพื่อเข้าไปชมกำแพงโบราณนี้ ราคาค่อนข้างแพง คนละ 54 หยวน เวลาเรามีน้อย เดินได้แค่สองชั่วโมง อย่างมากก็ได้แค่ 2-3 ป้อม แล้วพวกเราก็ต้องรีบกลับที่พัก เพื่อขึ้นรถตามที่นัดไว้ให้มารับไปสนามบิน เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง อุรุมูฉี เรามาชมภาพกำแพงโบราณอันยิ่งใหญ่ของจีน ค่ะ
พวกเราเดินเที่ยวได้แค่สองป้อมเท่านั้น ก็ต้องกลับไปที่โรงแรม เพราะนัดรถที่จะมารับพวกเราไปที่สนามบินเมืองซีอานไว้ เวลา 17.00 น. ไปถีงโรงแรม ก็อาบน้ำอาบท่า เตรียมพร้อมเดินทางไปสนามบิน เพื่อไปลงที่เมือง อูรุมุฉี ซึ่งคุณพี ได้จองที่พักไว้ให้แล้ว
ถึงเวลานัด คนรถ ก็มารับพวกเรา (ราคาเท่าเดิมเหมือนตอนขามา คือ 280 หยวน) เครื่องบินออกประมาณ 3 ทุ่มกว่า ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมง ราคา ค่าตั๋วแพงมาก เที่ยวเดียว 4,100 บาท เราจึงจองไปเที่ยว
เดียว ขากลับคิดว่าจะกลับโดยรถไฟ
มาถึงที่เมือง อุรุมูฉี ประมาณตีหนึ่งแล้ว พอเข้าที่ตรวจคนเข้าเมืองออกมาภายนอก ไม่ยักมีคนมาถามเราว่า จะจ้างรถไหม แถมโรงแรมนี้ อยู่ที่ไหน เราก็ไม่รู้ว่าไกลจากที่สนามบินไหม นุ่น โทรถามไปที่โรงแรม ถามเป็นภาษาอังกฤษว่า "คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม" เขาวางหูทันที แสดงว่า พนักงานที่โรงแรมนี้ คงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เลยโทรใหม่ ให้ฉันพูดภาษาจีนกลางกับเขา เขาพูดด้วย ฉันบอกเขาว่า เราได้จองโรงแรมของคุณไว้แล้ว ระยะทางจากสนามบินไปถึงโรงแรมคุณไกลไหม เขาตอบว่า ไกล พอรู้ข้อมูลแล้ว เราก็ต้องไปจ้างรถที่เขามีป้ายบริการเรื่องรถเช่า เอาที่อยู่ของโรงแรมนี้ให้เขาดู เขาบอกว่ารู้จัก แต่แพงนะ ฉันถามว่าเท่าไหร่ เขาว่า 300 หยวน ต่อไม่ได้ ถ้าเอาเขาจะโทรเรียกรถให้ (มาทราบภายหลัง ฉันถามคนรถอื่น ๆ เขาบอกว่าแพงมาก ) แต่พวกเราไม่มีทางเลือก เพราะมันดีกมากแล้ว เลยจำใจต้องไป จากระยะทาง ก็น่าจะใกล้กว่าที่เรา จากสนามบินซีอานไปที่พัก (280 หยวน) ไปถึงโรงแรมที่ อุรุมูฉี ที่คุณพีจองไว้ ก็เกือบตีสอง 2 แล้ว เอาใบจองให้พนักงานที่เคาน์เตอร์ดู บอกว่า ได้จองมาแล้ว ยายพนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้คนนั้นแหละ แถมสำเนียงภาษาจีนก็ฟังยากมาก เพราะเขาน่าจะเป็นลูกครึ่ง คาซัคสถาน คุยกับเขาไม่ค่อยรู้เรื่อง จับใจความได้ว่า เขาหาชื่อพวกเราไม่เจอในคอมพิวเตอร์ของเขา เหมือนกับว่า พวกเราไม่ได้จอง ไม่ได้เสียเงินค่าจองห้อง ฉันให้เขาดูว่า ทำไมจะไม่เสีย จองผ่าน อาโกลดาร์ จ่ายเงินผ่าน บัตรเครดิค ในใบจองที่เอามาแสดงเขาก็เขียนไว้แล้ว ไม่เชื่อให้โทรติดต่อกับ อาโกลดาร์ดู เขาก็โทรนะ แต่เขาบอกว่า ไม่มีคนรับ ปวดหัวกันทุกคน เป็นปัญหาที่ยุ่งยากมาก พวกเราก็ฮึกฮัก ๆ ในที่สุด เขาก็แก้ปัญหาโทรไปหาผู้จัดการโรงแรมของเขา เพื่อแก้ปัญหา สรุปว่า ผู้จัดการให้พวกเราจ่ายเงิน ห้องละ 200 หยวน เป็นเงิน 600 หยวน แล้วพรุ่งนี้ ผู้จัดการจะติดต่อเรื่องจองและการเสียเงินแล้วของพวกเรา ถ้าเป็นไปตามที่เรามีหลักฐานแสดง เขาก็จะคืนเงิน 600 หยวนให้พวกเรา เฮ้อ! กว่าจะได้กุญแจห้องและเข้าห้องก็น่าจะ ตี 3 กว่าแล้ว น้ำไม่ต้องอาบกันแล้ว เปลี่ยนชุดนอนแล้วก็นอนกันเลย เป็นการผจญภัยที่โหดมากพอสมควร เกือบต้องไปนอนที่กลางถนนเสียแล้ว วุ่นวายพิลึกกึกกือ จริง ๆ
โปรดติดตามตอน 2 ต่อไป นะค่ะ
อาจารย์เก่งมากครับ
ไปเองเลย
แถมเริ่มต้นด้วยปัญหาใหญ่เลย
คนจัดไม่ไปด้วย
เป็นผมคงเหวอเลยนะครับ
แถมการติดต่อจองโรงแรมก็เกิดปัญหา
นอนตี 3 เลย
แต่ผมคิดว่าอุปสรรคปัญหาแบบนี้ล่ะครับ
ที่ทำใก้เราจดจำทัวร์ได้ดีเลย
จะรออ่านตอนต่อไปครับอาจารย์