คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
พฤษภาคม 2557
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
space
space
5 พฤษภาคม 2557
space
space
space

ตะลุยอินโดนีเซีย สนุกสุดเหวี่ยง แต่ทรหดอดทน สุด ๆ จ้ะ
ตะลุยอินโดนีเซีย สนุกสุดเหวี่ยง แต่ทรหดอดทน สุด ๆ จ้ะ

ฉันตะลุยเที่ยวมาในชีวิตก็ไม่ใช่น้อย แต่ยังไม่เคยไปกับทริปหารเฉลี่ยที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง เคยไปกับบริษัทจัดทัวร์ มีคนคอยให้บริการ ซี่งก็เป็นไปตามค่าทัวร์ที่เขาเก็บจากเรานั่นแหละ และส่วนใหญ่ก็มีความเร่งรีบในการเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ หรือที่เรามักเรียกว่า ชะโงกทัวร์ นั่นเอง การเที่ยวในทริปนี้ จึงเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เที่ยวแบบทรหดอดทนแต่ก็สนุก สุดเหวี่ยง ประทับใจจริง ๆ

การเที่ยวในลักษณะนี้ หญิง เพื่อนฉันเป็นคนหาในอินเทอร์เน็ตและมาชวนฉัน โฆษณาว่าราคาถูกมาก 9 วัน ราคาเพียง หมื่นหกพันรวมค่าเครื่องบินด้วย แต่เราต้องจองตั๋วเครื่องบินเอง ฉันก็ตกลงให้หญิงจัดการ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เห็นโปรแกรมทัวร์เลย เพราะฉันกำลังจะไปเที่ยวฟิลิปปินส์และบรูไน กับทัวร์ของ ผอ.นพคุณ

ก่อนจะไปเที่ยว มีการนัดเจอกันเพื่อรู้จักหน้าตากันที่ เดอะมอลล์ บางกะปิ และเพื่อเอาบัตรเครดิตของฉันไปจองตั๋วรถไฟ (ยังไม่เคยเห็นหน้าคนจัดและบางคนที่ไปกับทริปนี้) คนที่ไปครั้งนี้มี 12 คน รวมทั้งคนจัดด้วย แต่คนที่มาเจอกัน มีเพียง 6 คนเท่านั้น คือ ณเดช พอลลา หญิง ฉัน นา และกุ๊บกิ๊บ เจอหน้าเจอตากันแล้ว ณเดชกับพอลลา ขอตัวไปก่อน เหลือเรา 4 คน ไปเช่าอินเทอร์เน็ตเพื่อที่จะไปจองตั๋วรถไฟ (น่าจะไปสุราบายา) กว่าจะติดต่อจองได้ ต้องเช่าอินเทอร์เน็ตถึงสองชั่วโมง

และแล้ววันที่จะเดินทางก็มาถึง คือ วันที่ 11 เมษายน 57 ด้วยราคาตั๋วไลออนแอร์ราคา 2,400 บาท ขากลับแอร์เอเซีย 3,000 บาท พวกเรา 5 คน คือ ฉัน ติ่ง หญิง จุ๊บ ต้น ณเดช พอลลา ไปไลออนแอร์ ส่วน กุ๊บกิ๊บ นัท และจ๋า ไปก่อนเรา 1 วัน เพราะสายการบินของเขาเปลี่ยนเวลาบิน (ส่วน ต้น มาเติมเต็มเอาวินาทีสุดท้าย แต่จำนวนคนก็เท่าเดิม เพราะแอล ไม่สามารถไปได้ เนื่องจากว่า แม่ถึงแก่กรรมก่อนการเดินทางไม่กี่วัน) ส่วนต้อมกับนา ผู้นำทัวร์ครั้งนี้ ไปแอร์เอเซีย ไปช้ากว่าเรา 1 ชั่วโมง นัดเจอกันที่สนามบิน ซูการ์โน ชั้นบนซึ่งเครื่องของเราจะไปถึงที่สนามบินนี้ประมาณ เที่ยงคืนกว่า กว่าจะผ่านด่านคนเข้าเมือง ก็ตีหนึ่งได้มั้ง คืนนี้เราเลยนอนกันที่สนามบิน เขามีโต๊ะเหมือนเตียงให้นอน เรียกว่า เทอร์มินอล 2

พวกเรานอนพักแต่ไม่หลับหรอก นอนเล่นกัน แต่บางคนก็นอนได้ ณเดชนอนได้สักพักใหญ่ ลุกขึ้นบอกว่า โดนแมลงสาบกัด ฉันก็โดนเหมือนกันและเห็นแมลงสาบตัวเล็ก ๆ อยู่ใต้โต๊ะด้วย ลุกกันหมดเลย ณเดช คงแพ้ บวมและเป็นตุ่มเลย พอดีฉันเอายาแก้ผื่นคันมาหนึ่งหลอดเลยได้เปิดใช้

เรานอนรอ นา กับ ต้อม ซึ่งมาช้ากว่าเรา 1 ชั่วโมง

เครื่องบิน บินประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง เรามานอนรออยู่ที่สนามบินน่าจะสองชั่วโมงแล้ว ยังไม่เห็นเขาสองคนเลย มันน่าจะมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า ณเดช ฉลาดดี เดินไปคุยกับกัปตันเครื่องบินคนหนึ่งซึ่งอยู่แถว ๆ ที่เราอยู่ จึงรู้ว่า แอร์เอเซีย จะไปลงที่ เทอร์มินอล 3ไม่ใช่ที่ที่เราลง เอาละซี เลยต้องเป็นเขมรอพยพ ดีที่กัปตันคนนั้นโทรเรียกรถของสนามบินมารับพวกเราไปส่งที่เทอร์มินอล 3 ซึ่งไกลจากที่เราอยู่มากพอควร เดินไม่ถึงแน่นอน

ที่เทอร์มินอล 3 ดูโอ่อ่า ใหม่กว่าที่เทอร์มินอล 2 หญิงกับณเดชไปเดินหาตามมุมต่าง ๆ เผื่อจะเจอ นา กับ ต้อม แล้วมาแจ้งข่าวว่า มีชายหญิงคู่หนึ่งนอนอยู่มุมบนพื้น เห็นรูปร่างเหมือนกับ นา แต่เห็นทั้งคู่นอนหลับสนิท ไม่มีใครกล้าปลุก จนถึง ตี 5 กว่า พวกเราไปห้องน้ำกัน ฉันแวะไปดูบ้าง จำกระเป๋า นา ได้ สักพักใหญ่ ทั้งคู่ก็ตื่น เป็นนา จริง ๆ นาเห็นฉันก็จำได้ เลยแนะนำ ต้อม แฟนเขาให้รู้จักฉันด้วย ต้อม ยกมือสวัสดีฉันอย่างนอบน้อม อิอิ เรามาดูรูปการนอนที่สนามบินประกอบเป็นหลักฐานหน่อยนะจ๊ะ





เป็นไงคะ เห็นภาพท่านอนแต่ละคนแล้ว อิอิ หลับตาเฉย ๆ นอนไม่หลับกันหรอก ไม้กระดานโต๊ะมันแข็งมาก แถมมีแมลงสาบตัวเล็ก ๆ ด้วย เป็นการผจญภัยไปอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำให้ชีวิตมีรสชาติทีเดียวเนอะ

หลังจากที่ทุกคนพร้อมแล้ว ต้อม ก็นำลูกทัวร์ออกจากสนามบิน โดยต้อมติดต่อแท็กซี่ นั่งได้คันละ 4 คน เพื่อไปที่สถานีรถไฟ จัดการเรื่องตั๋วที่จองไว้ ต้อมบริการเรื่องติดต่อตั๋วที่จองไว้ และพยายามช่วยขอคืนตั๋วของแอลด้วย และของต้นก็ต้องจองเพิ่ม เพื่อจะได้ไปด้วยกันได้ สามสาว นัท จ๋า และกุ๊บกิ๊บที่มาก่อน ก็มาสมทบที่สถานีรถไฟ ช่วงนี้ ที่สถานีรถไฟ ดูวุ่นวายดี เพราะนอกจากต้องจัดการเรื่องตั๋วรถไฟแล้ว เรายังต้องหาโรงแรมที่ใกล้กับสถานีรถไฟ เพราะคืนนี้เราต้องนั่งรถไฟ ไปยอร์กยากาตา ในที่สุดตกลงเป็นโรงแรมเดียวกับที่ พวกนัทอยู่ แต่เราเช่าแค่สองห้อง เพื่อที่จะใช้เก็บสัมภาระและอาบน้ำเท่านั้น สองห้อง แปดแสน รูเปีย เฉลี่ยกัน 9 คน

หลังจากหาอาหารมื้อเช้ากินที่สถานีรถไฟนี้ ก็คือ เคเอฟซี นั่นแหละ อิ่มแล้ว ก็เตรียมเคลื่อนขบวนเพื่อไปโรงแรม ปรากฎว่า แท็กซี่ไม่ยอมไป เพราะระยะทางใกล้ไป น่าเกลียดมากเลย พวกเราก็เลยต้องลากกระเป๋าเดินไปโรงแรม ไกลมาก เดินกันจนลิ้นห้อย ขนาดจุ๊บแข็งแรง ยังบ่นเลยว่าเหนื่อย ฉันโชคดี ต้น ซึ่งเป็นคนเงียบ ๆ ดูไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครนัก แต่มีน้ำใจมาก คงเห็นฉันตัวก็เล็ก กระเป๋าก็ใหญ่ มีเป้สะพายหลังอีกด้วย แถมอาวุโสที่สุดด้วย อิอิ เขาเลย อาสาลากกระเป๋าให้ฉัน ส่วนของเขาเป็นเป้ใหญ่สะพายหลัง ฉันเลยช่วยเขาแบกกล้องถ่ายรูปแทน ประทับใจความมีน้ำใจของเขามาก พวกเราเดินไป ถามทางไปโรงแรมกัน นับเป็นการเที่ยวแบบสนุกสุดเหวี่ยงจริง ๆ เหงื่อไหลไคลย้อย เสื้อเปียกหลังไปหมด ฉันมีภาพเขมรอพยพมาฝากด้วย ค่ะ





หลังจากมาถึงโรงแรมที่พักแล้ว พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ หลังจากอาบน้ำอาบท่าแล้ว คงสดชื่น เริ่มมีเรี่ยวแรงอีกแล้ว ก็ออกเที่ยวในตัวเมือง จาร์กาต้า ไปชมสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เราลากกระเป๋าผ่าน ไปพิพิธภัณฑ์ด้วย ฉันขอตัว อยากถนอมขาไว้ เพราะว่าจะต้องเดินเที่ยวและขึ้นเขาอีกหลายวัน เลยพักขาอยู่ที่โรงแรม ให้ทุกคนที่จะไปเที่ยวอาบน้ำก่อน

ทุกคนไปแล้ว ฉันเริ่มหิว ใกล้เที่ยงแล้ว ฉันกินข้าวเหนียวทีเหมียวนึ่งให้ฉันเอามาด้วยเผื่อทานอาหารของอินโดไม่ไหว กินข้าวเหนียวกับหมูฝอย ยามไม่มีอะไรกินก็อร่อยนะเนี่ย มองจากหน้าต่างห้องลงไป เป็นสระว่ายน้ำ มีเด็ก ๆ มาเล่นน้ำกันเยอะมาก ก็ทำให้เพลิดเพลินมากทีเดียว กินเสร็จสักพัก ก็นอนหลับเป็นตายไปหลายชั่วโมง

มาตื่นอีกที น่าจะบ่ายสามบ่ายสี่ มั้ง หญิง จุ๊บ ติ่ง กลับมาก่อน คงหมดแรงในการเดิน อิอิ ส่วนพอลลาและณเดช เที่ยวต่อ

มื้อเย็นนี้ ฉันก็เปิดถ้วย ควิกที่เอามาจากเมืองไทยกิน ให้จุ๊บไป 1 ถ้วย จุ๊บเอาแบบห่อมาเลยไม่มีที่ใส่ทาน ทานแล้วจะได้เก็บถ้วยไว้ในการทานครั้งต่อ ๆ ไป ยามจำเป็น นี่เป็นการเที่ยวที่ประหยัดและสนุกไปอีกรูปแบบหนึ่ง

คืนนี้เราจะต้องขึ้นรถไฟ ไปยอร์กยากาตา เวลา 21.30 น.ทุกคนอาบน้ำเสร็จกันแล้ว ก็เตรียมอพยพออกจากโรงแรม แท็กซี่หน้าโรงแรมก็ไม่มี ต้องลากกระเป๋าออกไปเดินตามถนนเล็ก ๆ เพื่อออกสู่ถนนใหญ่ ต้น มาช่วยฉันลากกระเป๋าเช่นเคย กลุ่มเรา เดินมาสักพัก มีรถรับจ้างที่เป็นรถแวน นั่งได้หลายคน เราจ้างรถคันนี้ไป ดูเหมือน แสนรูเปีย มั้ง จำไม่ค่อยได้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง นั่งแท็กซี่ที่แล่นมา 1 คัน ไปก่อน

มาถึงสถานีรถไฟ ยังมีเวลาเหลือ ก็นั่งสั่งอาหารกินกัน ฉันสั่งแต่น้ำดื่มอย่างเดียว เพราะทาน ควิกคับ มาแล้ว

รถไฟ ที่จะไปยอร์ชยาการ์ต้านี้ ราคา 930 บาท มีแอร์เย็นสบาย ที่นั่งกว้าง มีที่วางเท้า ไม่เมื่อยนัก ตี 4 กว่า ก็ถึงยอร์ชจาร์การ์ต้า มีรูปมาฝากด้วยจ้ะ แต่ไม่ได้ลงรูปตอนนอนอ้าปาก หน้าตาซีด ๆ มาลง ยังเพิ่งขึ้นรถไฟ หน้าตายังแจ่มใสอยู่ ห้าห้า



ลงจากรถไฟ พร้อมกระเป๋าเดินทาง ถูลู่ถูกัง มีสุภาพบุรุษ ต้น บ้าง ต้อม บ้าง มาช่วยลากลงจากรถ ขึ้นรถบ้าง บางครั้งใกล้ติ่ง ติ่งก็ยกลงให้บ้าง อิอิ นับว่า ฉันคงทำบุญมาดี เจอแต่คนดี ๆ ทั้งนั้นเลย อิอิ
เช้านี้ ไปล้างหน้าแปรงฟันที่ห้องน้ำในสถานีนี้ เพื่อรอรถตู้ที่เช่าไว้มารับพวกเรา ซึ่งนัดไว้ประมาณ 6 โมงเช้า มีเวลาเหลือเฟือ ถ่ายรูปกับขบวนรถไฟ ชะหน่อย จะได้รู้ว่า หน้าตาของรถไฟอินโดเป็นอย่างไรบ้าง เนอะ


คนขับรถมารับประมาณ 6.30 น. จ้ะ รถที่เช่ามาก็ใหม่ น่านั่งดี เช้านี้แวะทานอาหารร้านของคนอินโด เป็นอาหารแห้ง ๆ แห้งทุกอย่าง ปลาอินทรีทอด เนื้อทอดแข็ง (คนกินมีสองคน คือ ณเดช กับ ต้น เขาบอก แข็งมาก อิอิ) ไก่ทอดแห้ง ๆ รสชาติไม่อร่อยเลย ฉันกินกับปลาอินทรีอย่างเดียว ข้าวก็แข็งมาก ต้องกิน เพราะต้องกินยากันปวดเข่าเวลาเดิน มาดูอาหารแห้ง ๆ ที่โต๊ะของเราดีกว่าค่ะ (ต้น ถ่ายเอาไว้เป็นที่ระลึก)



เมื่ออิ่มข้าวมิ้อเช้ากันแล้ว พวกเราก็เริ่มเดินทางต่อไป โปรแกรมเที่ยววันนี้คือ เที่ยว บุโรพุทโธ ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาพุทธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ค่าเข้าชมแพงมาก 20เหรียญ ยูเอส ประมาณ คนละ หกร้อยกว่าบาท มีการให้เอาผ้าพันตัวด้วย(ดังภาพ) ก่อนที่จะเที่ยวบุโรพุทโธ ได้แวะเที่ยวสถูปเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับจำลองมาจาก บุโรพุทโธ (ต้อม ว่าอย่างนั้น) ฉันก็รวมรูปให้อยู่ในเที่ยวบุโรพุทโธด้วยค่ะ

บุโรพุทโธ เป็นชื่อที่ไทยเราเรียกกัน ทางอินโดนีเซีย จะเรียกว่า มหาสถูปโบโรบูดูร์หรือ บาราบูดูร์ ตั้งอยู่ทางภาคกลางของเกาะชวา ห่างจาก ยอร์กยาร์กาต้าไปประมาณ 40 กิโลเมตร สันนิษฐานว่าสร้างประมาณพ.ศ. 1293-1393 เป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกาย มหายาน ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2534
บุโรพุทโธ (Barabudur) เป็นศาสนาสถานที่สร้างด้วยหินภูเขาไฟ ประมาร 2ล้านตารางฟุต บนฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 121เมตร สูง 403 ฟุต เป็นรูปทรงปิรามิด มีลานเป็นชั้น ลดหลั่นกันเป็น 8 ชั้น 5 ชั้นล่างเป็นลานสี่เหลี่ยม 3 ชั้นบนเป็นลานวงกลม บนลานวงกลมชั้นสูงสุด มีพระสถูปตั้งสูงขึ้นไปอีก 31.5 เมตร เป็นพระมหาสถูปที่ระเบียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ลดหลั่นกันไป (ฉันค้นคว้าหาความรู้มาเพิ่มเติมให้ค่ะ) ต่อจากนี้ไป ฉันได้เก็บภาพที่นี่มาฝากมากโขอยู่ ก่อนจะถึงรูปภาพของศาสนาสถานนี้ ฉันได้ถ่ายรูประหว่างการเดินทางไปชมสถานนี้ด้วยค่ะ เราจะได้เห็นทิวทัศน์ บ้านเรือนของชาวอินโดด้วยค่ะเชิญชมได้ค่ะ

















ที่นี่กว้างใหญ่ไพศาลมาก ต่างคนต่างเดินเที่ยวกันเพลิน ฉันกับจุ๊บไปด้วยกัน ผลัดกันถ่ายรูปตามจุดต่าง ๆ วันนี้มีคนมาเที่ยวเยอะมาก เป็นพวกเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษาก็มีไม่น้อย บางครั้งก็เจอเพื่อนกลุ่มของเราเอง เช่น ต้น หญิง ติ่ง แล้วก็แยกย้ายกันไป แต่พอใกล้เวลา ฉันกับจุ๊บหลงทางเสียแล้ว หาทางออกไปไม่ได้ เดินวนกันหลายที ชักใจเสียเหมือนกัน แต่เราก็ใช้วิธีถามด้วยภาษาอังกฤษ งู ๆ ปลา ๆ ถูไถไป เจอคนเดินขายของ ถามแล้วได้ใจความ เขาเดินมาส่งเกือบถึงทางออก จุ๊บให้ค่าทิปเขา แต่เขามีน้ำใจให้เมทเนทมาคนละอัน เป็นรูปบุโรพุทโธ เฮ้อ ! นึกว่าจะต้องอยู่ที บุโรพุทโธ ชะแล้ว

จากที่บุโรพุทโธ พวกเราก็เดินทางต่อไป เพื่อเที่ยวที่ภูเขาไฟ เมราปี ซึ่งเป็นภูเขาไฟอีกลูกหนึ่งที่อยู่ในโปรแกรม ต้องเช่ารถจิ๊บขึ้นไปบนเขา ราคาคนละ หนึ่งแสนรูเปีย ฉัน กุ๊บกิ๊บ นา และต้อมไม่อยากไป ที่เหลืออีก 8 คน เขาไปกันด้วยรถจิ๊บสองคัน แต่ต้อมก็ไปหาจ้างมอเตอร์ไซด์ มีคนขับพาเราไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่เป็นซากอันเกิดจากผลของภูเขาไฟลูกนี้ระเบิด ไปดูหินที่เกิดจากภูเขาไฟลูกนี้เช่นกัน ค่าเช่ารถ คนละ สองหมื่นรูเปีย มีภาพสวย ๆ มาฝากด้วยค่ะ





ขณะที่เราเดินชมบริเวณที่ภูเขาไฟเมราปีระเบิดแล้วลาวากลายเป็นหินก้อนใหญ่เล็กตามที่ได้ถ่ายรูปให้ชมแล้ว เด็กที่ขี่มอเตอร์ไซด์ น่าจะคันของ ต้อม เขามีน้ำใจ อาสาถ่ายรูปให้พวกเรา ทั้งรูปเดี่ยว รูปกลุ่ม โดยจัดท่าให้ด้วย (ตามที่เห็นในรูป) เลยได้ค่าทิปจากพวกเราไป คนอื่น ๆ อด ไม่ได้ อิอิ

ลงจากเขาแล้ว หาอาหารมื้อเที่ยงทานกัน (ขณะนั้นเลยเที่ยงไปแล้ว น่าจะบ่ายกว่าแล้ว) ต้อมไปเจรจาและดูอาหาร ได้กินก๋วยเตี๋ยวซุปไก่ (เรียกตามชื่อ อะยัม แปลว่า ไก่) รสชาติอร่อยดี ร้อน ๆ ใส่พริกของเขา (เผ็ดมาก) ทุกคนกินคนละชาม น้ำอีกคนละขวด อิ่ม รอดตายไปอีกหนึ่งมื้อ อิ่มแล้ว พวกที่ขึ้นเขาเมราปี ยังไม่ลงมาจากเขา อีกประมาณสักครึ่งชั่วโมง พวกที่ไปเที่ยวก็มา ต้อมเลย ประชาสัมพันธ์ให้ไปกินก๋วยเตี๋ยวซุปไก่ อิ่มกันคนละชามสองชาม อิอิ

จากนั้น พวกเราก็ไปเที่ยวที่ ปราสาท พรหมบานัน หรือ พรัมบานัน (Prambanan) ซึ่งเป็นปราสาทหิน เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเขตชวากลาง ห่างจาก ยอร์ชยากาตา ไป ทางตะวันออกประมาณ 18 กิโลเมตร สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 1390 แต่ปราสาทแห่งนั้นได้ถูกทอดทิ้งให้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จนถึงปี พ.ศ. 2461 จึงมีการบูรณะใหม่ จนเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2496

ปราสาท พรัมบานัน ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี 2534 เป็นศาสนาสถานฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียอาร์คเนย์ ตัววัดโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและความใหญ่โตของพระปรางค์ ซึ่งมีความสูงถึง 47 เมตร ราคาเข้าชม ก็แพงไม่น้อยหน้า บุโรพุทโธ ค่ะ 18 เหรียญยูเอส อิอิ ให้นุ่งผ้าทับอีก 1 ผืน ขากลับก็คืนผ้าผืนนั้นเหมือนที่ บุโรพุทโธ(ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมมา) ต่อจากนี้ เราก็มาชมภาพสวย ๆ ที่ฉันรวบรวมนำมาฝากท่านผู้อานค่ะ







หลังจากเที่ยวที่นี่เสร็จแล้ว คนขับรถก็ไปส่งพวกเราที่สถานีรถไฟยอร์ชยากาตา เก็บค่าทิปคนละ 3 หมื่นให้คนรถไป คืนนี้ รถไฟจะออกจากสถานีเพื่อไปยังเมือง สุราบายา ในเวลา ตี่หนึ่งสิบห้านาที พวกเราต้องหาอะไรกินและอาบน้ำที่สถานีรถไฟนี้ด้วย ได้รสชาติของชีวิตไปอีกรูปแบบหนึ่งจริง ๆ พวกเราต้องรื้อเสื้อผ้าจากกระเป๋าใหญ่ ขนกระบอกน้ำ สบู่ ยาสีฟัน หอบเสื้อผ้าอีนุงตุงนัง ไปเข้าห้องน้ำในสถานี คนในสถานีรถไฟ ก็เยอะมาก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะไม่มีใครรู้จักเรานี่นา ในชีวิตได้ทำอะไรแปลก ๆ อย่างนี้ ก็น่าตื่นเต้นดี ปรกติชีวิตฉันอยู่ในกรอบระเบียบเป็นส่วนใหญ่มาตลอดชีวิต ได้ออกนอกกรอบบ้างก็สนุกดีเหมือนกันน่ะนะ แต่ก็ต้องออกนอกกรอบในทางที่ไม่เสียหายน่ะนะ อิอิ

คืนนี้ เป็นคืนที่น่าเบื่อ เพราะต้องรอรถไฟนานมาก เวลาทำไมมันผ่านไปช้าเหลือเกิน กว่าจะผ่านไปทีละชั่วโมง แถวสถานีรถไฟ ก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจเลย นั่งคุยกันจนหมดเรื่องคุย เฮ้อ! และแล้วก็ถึงเวลารถไฟมา แล้วก็ต้องผจญปัญหากันในรถไฟอีก เพราะเป็นขบวนรถไฟที่เราต้องขึ้นกลางทาง ที่พวกเราไปจอง ราคา 670 บาท แล้วต้องเสียค่าโอนอีกประมาณ 300 บาท ในเครคิตการ์ดของฉันนั่นแหละ คนที่นั่งมาก่อนต้นทาง ก็ไม่มีระเบียบ นั่งเก้าอี้ของพวกเราบ้าง นอนกับพื้นรถไฟก็มี นอนบนที่นั่งก็มี ดูไม่มีระเบียบกันเลย ต้องไปยืนจ้อง เป็นการบอกเขาว่า "นี่ เป็นที่นั่งของฉัน นะจ๊ะ" กว่าพวกนี้จะลุกขึ้น คืนที่นั่งแก่เจ้าของก็ทำเป็นอิดออด พวกเราบางคน ก็ใจร้อน ตะเบ็งเสียงไล่ก็มี ดูชุลมุนวุ่นวายพิลึกกึกกือ เหลือเกิน ห้าห้า ฉันกับจุ๊บก็ได้ที่นั่งอยู่ช่วงหลัง ๆ หน่อย เป็นขบวนรถไฟที่แย่มาก ที่เบาะนั่งก็ชำรุด แอร์ก็ไม่เย็น พื้นก็สกปรก นอนกันไป โยกเยกไปตามการวิ่งของรถไฟ คืนนี้เชื่อว่า ไม่มีใครได้นอนแน่ แม้แต่ฉัน ซึ่งเป็นคนนอนง่าย ก็ยังแทบจะไม่ได้นอนเลย

รถไฟมาถึงสถานีสุราบายา (Surabaya) ประมาณ 6 โมงเช้า ช่วยกันลากกระเป๋าลงจากรถไฟ ทุกคนไปห้องน้ำ เพื่อแปรงฟัน ล้างหน้าล้างตากัน เพื่อรอรถที่เราจ้างไว้มารับ พนักงานที่สถานีนี้ ไม่น่ารักเลย พยายามจะไล่พวกเราออกจากสถานีไปรอข้างนอก พวกเราก็ยังอยู่ในห้องน้ำ นี่ขนาดแค่ 12 คนเองนะ ต้อม ก็ต้องรีบโทรติดต่อรถที่จะมารับพวกเราและไปจองตั๋วตอนขากลับในวันที่ 19 เมษา จากสุราบายาเพื่อกลับจาการ์ตา ครั้งนี้ทุกคน ขอเอารถไฟชั้นพิเศษสุด ๆ เหมือนตอนครั้งแรกที่มาจาก จาการ์ตา ไปยอร์ช ยากาตา ดูวุ่นวายไม่น้อยเลย แต่ก็ตื่นเต้นดี

แล้วก็มีปัญหาเรื่องรถที่มารับอีก เปิดประตูหลังรถให้ใส่กระเป๋าไม่ได้ ต้องโทรตามช่างมาซ่อม รอกันอยู่นานพอสมควร กว่าจะเรียบร้อย รถก็เก่ากว่าคันแรก คันนี้ต้องใช้หลายวันด้วย เพราะจะต้องไปบาหลีด้วย

เช้านี้ ก็หาร้านอาหารทานมื้อเช้ากัน เป็นอาหารอินโด ขายเป็นจาน ๆ สั่งกันกินตามใจชอบ โดยดูจากรูป มื้อนี้พอจะกินได้บ้าง เป็นข้าว มีถั่วงอก แล้วมีไข่ด้วย มีผัก รสชาติแปลกดี แต่ก็พอทานได้เยอะกว่าทุกมื้อ ราคาก็ไม่แพงนัก ต่างคนต่างจ่าย เพราะทานไม่เหมือนกัน

วันนี้ก็เป็นวันที่ 14 เมษา แล้ว เป็นวันที่มีการเดินทางอยู่บนรถนานมาถึง 6 ชั่วโมง เราแวะเข้าห้องน้ำกลางทาง ได้วิวสวย ๆ มาฝาก ลองชมดูนะคะ



เรามาถึงที่พักเชิงเขา คาวาอีเจี้ยน ซึ่ง ต้อมจองไว้ล่วงหน้าแล้ว บ้านพักอยู่ชั้น หนึ่ง ไม่ต้องปีนป่ายเลย ดีมากค่ะ บริเวณห้องพัก มีต้นไม้มากมาย ร่มรื่น มีลานกว้างไว้เป็นที่รับประทานอาหาร เรามาถึงน่าจะประมาณ 17.00 น.เก็บกระเป๋าเข้าห้องพัก เปลี่ยนชุดเป็นกางเกงขาสั้น เพื่อจะเดินชมบ้านเรือนของชาวบ้านแถวนี้ และไปแช่บ่อน้ำแร่ร้อน ต้อมเป็นผู้นำทีมพวกเราไป เดินผ่านบ้านเรือนของชาวบ้านแถวนี้ แต่ละบ้านจะปลูกต้นไม้ไว้หน้าบ้านทุกบ้าน ดูสวยงาม สดชื่น มีสีสันงดงามทุกบ้านเลย ทางเดินที่จะไปที่บ่อน้ำร้อน มีหินก้อนเล็กก้อนน้อย เดินลำบากมากพอสมควร ค่าลงบ่อน้ำร้อน ซึ่งเป็นบ่อสี่เหลี่ยม น้ำที่อยู่ในบ่อคงเป็นน้ำแร่ร้อน ราคาลงสระคนละดูเหมือนจะห้าพันรูเปีย มีคนลงน้ำกันไม่ครบทุกคน มีฉัน นา ต้อม จุ๊บ พอลลา ณเดช นัท จ๋า กุ๊บกิ๊บ ติ่ง น้ำนั้นร้อนมากพอสมควร ต้องค่อย ๆ หย่อนเท้าลงไปให้ชินสักพักแล้วจึงลงได้เต็มตัว ขณะแช่น้ำกัน ต้อม ก็ให้แนะนำ ชื่อ และการทำงานของแต่ละคนด้วย เป็นการทำความรู้จักกันไปในตัว มาชมรูปของพวกเรา ค่ะ





พวกเราอยู่ในบ่อน้ำร้อนน่าจะประมาณ 40 นาที ได้มั้ง ก็ขึ้นจากบ่อ เพื่อกลับที่พักอาบน้ำแต่งตัวและทานข้าวเย็น มื้อเย็นฉันกับจุ๊บกินมาม่ากัน เลยไม่ได้ออกไปร่วมกินอาหารข้างนอก ซึ่งเป็นอาหารบุฟเฟ่ และต้องรีบอาบน้ำ เพราะพรุ่งนี้ เราต้องตื่นตีสามและออกจากที่พักประมาณ ตีสามครึ่ง เพื่อที่จะขึ้นภูเขาไฟ คาวาอีเจี้ยน (Kawah ljen) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงแหล่งใหม่ของอินโดนีเซีย และมีความสวยงาม โดยเฉพาะ เปลวไฟสีน้ำเงิน จากปล่องภูเขาไฟ ต้องเดินตั้งแต่ตีหนึ่ง ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น มิฉะนั้น ก็จะไม่เห็น ภูเขาไฟลูกนี้ อยู่สูงกว่าน้ำทะเลถึง 2380 เมตร โดยต้องเดินทางจาก สุราบายา ไปยังเมือง บอนโดโวโซ (Bondowoso) ระยะทางขึ้นเขา ประมาณ 3กิโลเมตร ความชัน 550 เมตร ตั้งอยู่เกือบสุดของเกาะชวา

วันที่ 15 เมษายน 57 เป็นอีกวันหนึ่งที่ฉันต้องจดจำไม่รู้ลืม ทั้งความทรหด อดทน ทั้งประทับใจความมีน้ำใจของเพื่อนร่วมทริป ประทับใจในความสวยงาม และไม่คิดว่า ตัวเองจะทรหดอดทนได้มากอย่างนั้น

รถมาส่งที่เชิงเขา ซึ่งยังมืดตึ๊ดตื๋ออยู่เลย ทุกคนต้องมีไฟฉาย ทุกคนสะพายเป้ขึ้นหลัง ในเป้ มีน้ำ มีกล้องถ่ายรูป ทุกคนออกเดินเท้า ตัวใครตัวมัน มุ่งหน้าเดินกันไป ฉันก็เดินตามกันไป ใหม่ ๆ ก็ยังเกาะกลุ่มกับเขาอยู่ ได้พักใหญ่ ๆ เกิดอาการลมตีขึ้น เรอออกมาเอิ๊ก ๆ ฉันรู้แล้วว่า นี่เป็นอาการที่ฉันกำลังแย่ เพื่อนที่ร่วมทริปเดินหายไปกันแล้ว เหลือแต่ต้อมกับนา อยู่กับฉันเท่านั้น เฮ้อ! เหมือนฉันเป็นตัวถ่วง เขาสองคนน่ารักมาก คอยดูแลฉัน คอยฉัน พอพักได้หน่อย ก็เดินต่อ ได้อีกพัก ก็เริ่มมีอาการอีก คงเพราะฉันพักผ่อนไม่พอ ท้องว่างด้วย อาเจียนก็ไม่ออก มีแต่น้ำลายเหนียว ๆ ทรมานมากเหลือเกิน แถม เกิดอาการปวดท้อง ต้องเข้าป่าข้างทางอีก โอย ทำไมมันถึงมาเกิดกับฉันตอนนี้นะ เซ็งจริง ๆ แต่ทั้งต้อม ทั้งนา ก็ให้กำลังใจตลอดเวลา บอกว่า ไม่ต้องกังวลว่าเขาทั้งสองจะไม่ได้ชมความงามของ ภูเขาไฟอีเจี้ยน เพราะเขาเคยมาชมความงามแล้ว ปล่อยให้เพื่อนร่วมทริปที่เขายังไม่เคยเห็นล่วงหน้าไปก่อน ยังไง ก็จะให้ท่านแม่ ไปชมความสวยงามบนเขาให้ได้ เพียงแต่เราไปช้าหน่อย บนที่สูงอากาศน้อย มันก็จะทำให้มีอาการอย่างนี้ ฟังต้อมให้กำลังใจแล้ว ก็ต้องฮึดสู้ต่อไป ต้อมหันมาถามเป็นประจำ ไหวไหม ไม่ไหว พักก่อนได้นะ ฉันพยายามตั้งสติ ทำใจให้เข้มแข็ง อดทน คิดถึง ต้อม กับ นา กลัวเขาสองคนจะไม่ได้ไปชมความงามด้วย ในที่สุด ก็มาถึงครึ่งทางกว่าแล้ว (ต้อมบอก และให้กำลังใจ) ที่นี่เป็นที่พักของคนเอากำมะถันมาชั่งขาย และเป็นร้านค้าด้วย เราพักกันที่นี่ ต้อม ไปซื้อมาม่า 2 กระป๋อง ยกให้ฉันกระป๋องหนึ่ง แต่ฉันกินไม่หมดแน่ เลยเทให้ นา ไปครึ่งหนึ่ง เพราะเขาสองคนกินถ้วยเดียวเท่านั้น หลังจากพยายามกินไปได้ไม่กี่คำ ดื่มแต่น้ำมาม่าร้อน ๆ รู้สึก อุ่นท้องดีขึ้น แต่สักพักก็เริ่มกระอักกระอ่วน ผะอืดผะอม แล้วก็อาเจียน มาม่าที่กินเข้าไป ก็ออกมาส่วนหนึ่ง นั่งสักพัก ให้หายดีขึ้น แล้วเราก็เริ่มเดินทางต่อ และในที่สุด ต้อม กับ นาก็พาฉันมาถึงยอดเขา คาวาอีเจี้ยนจนได้ เฮ้อ ! ก่อนถึงยอดเขาก็สวนทางกับเพื่อนร่วมทริปซึ่งชื่นชมกับความสวยงามของภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยนและถ่ายรูปกันเสร็จแล้ว ส่วนฉันกำลังจะถึง เฮ้อ! ระหว่างทางก็เจอคนหาบกำมะถันจากบนยอดเขานี้ เพื่อนำไปขาย ดูน้ำหนักไม่เบาเลย น่าจะไม่ต่ำกว่า 6-7 กิโลกรัมน่ะนะ วันหนึ่ง ๆ ไม่ใช่หาบเพียงเที่ยวเดียวนะ วิถีชีวิตเขาช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน งานก็แสนหนัก แถมเสี่ยงกับพิษของกำมะถันอีกด้วย

ระหว่างทางเจอทิวทัศน์สวย ๆ ต้อมกับนาก็ช่วยฉันถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก แอบถ่ายตอนฉันกำลังอาเจียนด้วย อิอิ

แล้วในที่สุด เรา 3 คนก็มาถึงจุดหมายปลายทาง คือปล่องภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน กลุ่มควันของกำมะถันลอยละล่องอยู่เหนือทะเลสาบสีฟ้าอ่อนๆ สวยงามมาก ทำให้หายเหนื่อยไปได้เยอะทีเดียว มีนักท่องเที่ยวและคนหาบกำมะถันอยู่บนยอดเขานี้บ้าง น่าเสียดาย ไม่มีใครได้เห็นเปลว สีน้ำเงิน เพราะทุกคนมาถึงที่นี่ เมื่อฟ้าสว่างแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงหกโมงเลย

ฉันให้ต้อมกับนา เดินลงไปปล่องชมความงามอย่างใกล้ชิด ไม่ต้องห่วงฉันแล้ว ฉันจะนั่งพักชมความงามอยู่บนปล่องนี้เท่านั้น เพราะลงไปไม่ไหวแล้ว หมดแรงจริง ๆ ได้แต่หาที่นั่งและถ่ายรูปสวย ๆ ของภูเขาไฟ คาวาอีเจี้ยน ค่ะ















ลงมาถึงเชิงเขาข้างล่างหมดเรี่ยวหมดแรง ระหว่างลงเขา ชันมาก ต้อมต้องให้เกาะแขนจะได้ออมแรงเท้าที่ต้องจิกพื้นเพื่อไม่ให้กลิ้งลงไป เนื่องจากที่ชันพอสมควร ดีที่ฉันตัวเล็ก น้ำหนักไม่มากนัก ไม่งั้นต้อมก็แย่เหมือนกัน เมื่อถึงที่พัก เล็บนิ้วโป้งทั้งสองเท้าเขียวปัด ห้อเลือด นิ้วกลางอีกหนึ่งนิ้ว ต้องมีการถอดเล็บแน่นอน ขนาดฉันซื้อรองเท้าผ้าใบอย่างดี นิ่ม มาก ๆ แพงเป็นพันแล้วนะ ก็ยังเป็นเลย

ระหว่างนั่งรถเดินทางกลับ ต้อม แวะน้ำตกแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากถนนนัก เป็นน้ำตกที่น้ำไหลแรงมาก ไม่รู้ว่าชื่ออะไร กำลังเหนื่อยและเจ็บเท้า เลยถ่ายรูปได้เล็กน้อยมาให้ชม ค่ะ (คนอื่นถ่ายให้ด้วย)



จากน้ำตกนี้ ก็กลับที่พัก เตรียมอาบน้ำอาบท่าเก็บสัมภาระ เพื่อใส่รถ จากนั้น ต้อมก็พาเดินไปยังน้ำตกร้อน ซึ่งเดินไกลมากพอสมควร หนทางที่เดิน ก็เต็มไปด้วยก้อนหินก้อนเล็กก้อนน้อย เดินลำบากมากพอสมควร ทางที่ลงไปชมน้ำตกร้อน ก็เฉอะแฉะ ลื่นด้วย ขาลง ต้อมให้ฉันเกาะไหล่ เขาเดินนำหน้าไป ลงไปถึงที่น้ำตก ก็สวยงามดี มีควันออกมาเป็นไอร้อนด้วย พวกเราก็ต้องรีบถ่ายรูปกัน เพราะเราต้องรีบเดินทางต่อไปอีก ชมภาพกันดีกว่า ค่ะ มีภาพหมู่ที่ ต้น เป็นคนถ่าย แต่เจ้าตัวไม่ยอมตั้งเวลา เลยไม่มีรูปต้น





อาหารเช้าของวันนี้ ทางรีสอร์ทจัดเป็นอาหารกล่อง มีน้ำเปล่า 1 แก้ว ไข่ไก่ต้ม 1ฟอง ขนมปัง 2 ชิ้น แห้งเหี่ยว แต่ต้องกิน เพราะฉันต้องกินยาแก้ปวดเข่าด้วย กินแต่ไข่ขาว ไข่แดงให้ติ่งกินไป

วันนี้เราต้องเดินทางโดยข้ามแพยนต์ขนาดใหญ่ โดยรถตู้ของเราก็ต้องลงแพไปด้วย พอรถอยู่ในแพ พวกเราก็ลงจากรถแล้วหาอะไรทานในเรือ ฉันกินอะไรไม่ค่อยได้เลย ซื้อน้ำ สไปส์ซ่า ๆ มาดื่ม 1 ขวด รู้สึกสดชื่นขึ้นมากทีเดียว เรือแล่นไปยังทะเลอันกว้างใหญ่ น่าจะประมาณ ครึ่งชั่วโมงได้มั้ง พวกเราก็ขึ้นรถ ข้ามไปถึงเกาะบาหลีแล้ว ขับรถไปหลายชั่วโมงต่อ จึงได้รู้ว่า คนขับหลงทางชะแล้ว เขาต้องตามเพื่อนของเขาที่อยู่บาหลี มาช่วยนำทาง ขณะนั้น เป็นเวลาน่าจะสองทุ่มแล้ว ท้องทุกคนร้องกันใหญ่แล้ว พอดีรถที่จอดรอเพื่อนของคนขับรถ ใกล้กับร้าน เค เอฟ ซี ก็เดินขบวนกันเข้าร้านนี้ ต้อมไปสั่งไก่ทอด 1 กระถางใหญ่ มี เฉลี่ยกันคนละชิ้น น้ำอัดลมอีก อเมริกันแชร์กันไป รอดตายไปอีก 1 มื้อ อิ่มแล้ว พวกเราก็มีกล่องไก่ทอดไปฝากคนขับรถด้วย เพื่อนคนขับรถมาแล้ว ก็เป็นผู้คอยบอกทาง และหาโรงแรมในบาหลี ราคาก็แพงพอควร ดูเหมือนจะเป็นเงินห้องละ 5 แสน 5 หมื่นรูเปีย อยู่กันสอง
คืนที่นี่ แพงมากทีเดียว 3 ทุ่มกว่าแล้ว ยังไงก็ต้องเอาละ เพราะทุกคนเพลียมากแล้ว โรงแรมติดถนนก็คงแพงอย่างนี้มั้ง แต่ไม่ไหวเลย เพราะว่า ไม่มีลีฟเลย ดีที่ต้อมช่วยหิ้วกระเป๋าให้ฉันไปชั้นสองมั้ง สภาพห้องก็โอเค บรรยากาศร่มรื่นดี ปลูกกล้วยไม้สวย ๆ เยอะ ฉันถ่ายภาพสวย ๆ มาให้ชมด้วยค่ะ





โรงแรมที่เรามาพัก อยู่ในเมือง อูบุด เป็นเมืองแห่งศิลปะของบาหลี เช้าวันนี้ คือ วันที่ 16 เมษายน เช้านี้ พวกเราออกจากโรงแรมเช้ามากประมาณ 6.30 น. เลยไม่ได้ทานข้าวเช้าที่โรงแรม ไปหากินเอาข้างหน้า

โปรแกรมเที่ยววันนี้ แห่งแรก คือ เที่ยวไร่กาแฟ ที่มีกาแฟ ขี้ชะมด เป็นไร่กาแฟที่ติดเชิงเขา บรรยากดีมาก เรามาชมภาพแทนคำบรรยายดีกว่า ค่ะ อิอิ











ลองมาชมสภาพบ้านเมืองของเมืองอูบุด ในบาหลี หน่อยนะคะ





จากไร่กาแฟ เราก็ไปเที่ยวทะเลสาบ คินตามณี (Kintamani) ฉันเขียนตามในโบว์ชัวร์ที่ได้จาก นาและต้อม แต่จากที่ฉันไปหาข้อมูลมา มันเป็นชื่อ หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ เชิงเขา ภูเขาไฟ บาร์ตู (Batur) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ระเบิดไปเมื่อ 30,000 ปีที่แล้ว แล้วเกิดเป็นทะเลสาบ บาร์ตู อันสวยงาม มีหมูบ้าน คินตามณี ตั้งอยู่ ซึ่งมีความสูงถึง 1,500 เมตร เป็นจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวนิยมมากันมาก เช่นเดียวกับพวกเรา ก็มาที่นี่เช่นเดียวกันค่ะ และทุกคนก็เก็บภาพสวย ๆ โพสต์ท่าตามแต่อารมณ์ความพอใจจะพาไป บริเวณที่พวกเราลงไปนั้น มีแปลงนาข้าว ไร่ผักของชาวบ้านที่ปลูกไว้ด้วย เป็นทิวทัศน์ธรรมชาติอันวิจิตรงดงามยากที่จะพรรณนาออกมาด้วยถ้อยคำใด ๆ ได้ให้สมกับความสวยงามนั้น ๆ จึงขอเชิญท่านชมภาพดีกว่า













อาหารมื้อเที่ยงวันนี้ ทานมื้อใหญ่หน่อย ต้อมพาไปทานอาหารประเภทบุฟเฟ่ รสชาติค่อยยังชั่วหน่อย กินได้มากหน่อย มาดูบรรยากาศการทานหน่อย ได้มาจากก้องของต้น



อิ่มหนำสำราญแล้ว สถานที่เที่ยวต่อไปก็คือ วัดเบซากิต์ (Besakih)วัดนี้เป็นวัดที่สำคัญที่สุดของ บาหลี ตั้งอยู่ที่เชิงเขา กุหนุงอากุง เป็นวัดในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดของ บาหลี ในบริเวณ นี้ ประกอบด้วยวัดเล็ก ๆ เกือบ 30 แห่งที่เรียงรายเป็นขั้น กวา 7 ขั้นไปตามไหล่เขา มีประวัติความเป็นมาก่อนประวัติศาสตร์อีก เกือบทุก ๆ วัน จะมีชาวบาหลีเดินทางมาประกอบพิธีทางศาสนาฮินดู ดังนั้น ที่วัดเบซากิต์ จีงเป็นสถานที่ที่เราจะได้เห็นถึงขนบธรรมเนียมประเพณี การแต่งกายแบบพื้นเมืองทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีการแบกของที่จะบูชาไว้บนศีรษะตามแบบดั้งเดิม ทุกคนที่มาเที่ยวที่นี่ จะต้องนุ่งผ้าถุง หรือชาวต่างประเทศอย่างพวกเราที่มาเที่ยว ก็ต้องมีผ้าผืนใหญ่พันทับกางเกงที่เรานุ่งอีกชั้นหนึ่ง พวกเราจึงนำผ้าพันคอผืนใหญ่ที่เราซื้อกันมาผืนละ 2 หมื่นรูเปีย ออกมาพันทับกางเกงเรา เขาจึงให้เข้าชมวัดได้ ราคาค่าเข้าชมคนละ 3,300 รูเปีย พวกเราเดินเข้าวัด ซึ่งมีผู้คนมากมายทั้งชาวบาหลีที่ทูนของบูชาไว้บนศีระษะ ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งไทย ทั้งชาวยุโรป มากมาย เดินขวักไขว่ ถ่ายรูปเอาตามใจชอบกับศิลปกรรมที่แปลกไปอีกรูปแบบหนึ่งตามสไตล์ของทางชวา บาหลี ฉันก็ได้เก็บภาพสวย ๆ งาม ๆ มาฝากท่านผู้อ่านอย่างไม่ให้พลาดที่จะได้ชมเลย ค่ะ











ชมความอลังการของวัดเบซากิต์แล้ว พวกเราก็ออกเดินทางต่อไป ผ่านนาขั้นบันได พวกเราก็แวะตรงถนน เพื่อชมนาขั้นบันได้ แค่นั้นแหละ ก็มีคนมาเก็บค่าชมแล้ว เฮ้อ! ต้อม จ่ายไปกี่หมื่นรูเปีย ฉันก็จำไม่ได้ นาขั้นบันไดของเขา ก็ธรรมดานะ ฉันเคยไปดูนาขั้นบันไดที่ ยูนนานมาแล้ว อลังการและสวยงามกว่าตั้งเยอะ ฉันเลยเฉย ๆ ไม่ตื่นเต้นอะไร แต่ก็เก็บภาพมาฝากนะ จากกล้องตัวเองบ้าง กล้องเพื่อนบ้าง ลองชมดูนะคะ



รายการวันนี้ ตอนกลางคืน ต้อมก็พาพวกเราไปชมละคร รถไปส่งพวกเราอย่างเดียว ดูละครเสร็จแล้ว พวกเราต้องกลับเอง มีการแจกแผนที่ให้ ดูแล้วมันก็ไกลเหลือเกิน จะเดินกันไหวไหมเนี่ย เฮ้อ ! ข้าวมื้อเย็นก็กินไม่ทัน เพราะละครจะแสดงทุ่มครึ่ง แสดงประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ๆ หิวตาย ต้อมไปซื้อน้ำมาแจกพวกเราคนละขวด หญิงไปหาซื้อขนมปังกรอบแผ่น ๆ มาแจกคนละสองแผ่นรองเท้ากันไป คนมาชมละครก็มากเหมือนกัน เต็มโรงเลย ฉันถ่ายรูปการชมการแสดงมาฝากด้วย มันแปลกดี เขาแสดงการเหลือกตา รำไปเหลือกตาไป ตาโตมาก เขาบอกว่า การเหลือกตายิ่งมากเท่าไหร่ก็จะติดต่อสื่อสารกับพระผู้เป็นเจ้าได้เร็วและง่ายขึ้น การรำ ก็เหมือนหุ่นกระบอก รำแบบกระตุก ๆ เป็นการแสดงของชาวบาหลี เป็นศิลปะเฉพาะของชาวบาหลี ก็แปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง มาชมรูปที่ฉันนำมาฝากกันดีกว่าค่ะ











ละครจบแล้ว พวกเราก็ออกจากโรงละคร มายืนรอกันอยู่ข้างนอก ริมถนน เพื่อรอเดินไปพร้อม ๆ กัน แต่ปรากฏว่า ไม่เจอ ต้อมกับนา คิดว่า น่าจะกลับโรงแรมไปแล้ว พวกเราเลยเกาะกลุ่มกันเดิน โดยมีจ๋าเป็นผู้นำทาง เดินจนเจอร้านอาหารร้านหนึ่ง เป็นอาหารตามสั่ง มีรูปให้ดูด้วย ที่สำคัญมีบอกราคาไว้ด้วย ส่วนใหญ่สั่งข้าวผัดกัน จานละก็ไม่แพงนะ เพียง สองหมื่นรูเปีย มั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ รสชาติก็พอกินได้แต่เค็มมากไปหน่อย และเยอะมาก ฉันต้องแบ่งให้ ติ่งไปส่วนหนึ่ง ถึงจะหิวอย่างไร ก็กินไม่หมดแน่

อิ่มท้องแล้ว ค่อยยังชั่ว กำลังวังชาเริ่มมีมากขึ้น จ๋ายังคงเป็นผู้นำในการเดินทางกลับโรงแรม เดินไปไกลมาก ยังไม่เห็นวี่แววเลยว่าจะถึง คนนำชักไม่แน่ใจ เลยถามแม่ค้าข้างทาง ปรากฏว่า เดินหลงทางเสียแล้ว ต้องเดินย้อนกลับไปทางเดิม โอ๊ย! เมื่อยขาสุดจะบรรยาย ลากขาเดินไปเลย ติ่ง อยู่ข้าง ๆ คอยดูทางเดินที่ไม่ราบเรียบนัก เดินน่าจะหลายกิโล ใช้เวลาน่าจะไม่น้อยกว่าสองชั่วโมง

ในที่สุดก็มาถึงโรงแรม โล่งอกไปที จะทุ่มกว่า จะ 4 ทุ่มแล้ว เจอ ต้อมกับนา ยืนรอพวกเราอยู่หน้าโรงแรม ฉันหมดแรงที่จะคุย เหงื่อไหลเต็มหลัง เสื้อเปียกไปหมด ผมเผ้าก็เปียกแฉะ คืนนี้ต้องสระผมอีกแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกลับห้องตัวเอง เพราะต้องจัดกระเป๋าอีก พรุ่งนี้เช้าเราต้องเช็คเอ้าท์ ออกจากโรงแรมไปเที่ยวและเดินทางออกจากบาหลีกลับสุราบายาแล้ว

วันนี้ 17 เมษายน นัดออกจากโรงแรม 7 โมงเช้า จึงให้โรงแรมจัดอาหารเช้าเป็นกล่องให้พวกเรากินกันบนรถเป็นการประหยัดเวลา อาหารเช้านี้ สงสัยจะทบของเมื่อวานนี้ตอนเช้าที่เราไม่ได้กินด้วย จึงได้ขนมปังสองชิ้น ไข่ไก่สองฟอง น้ำอีก 1 แก้ว ฉันก็กินไม่หมด ให้ไข่ ติ่งไปอย่างละ 1 ชิ้น ผู้ชายจะกินได้มากกว่า

เช้านี้ ต้อมพาไปเที่ยววัดช้าง ซึ่งไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพักนัก เราไปถึงเช้ามาก เจ้าหน้าที่เก็บค่าผ่านประตูยังไม่มา เราจึงไม่ได้จ่ายค่าเข้า อิอิ เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าวัด ใจดีมาก เอาผ้ามาให้เราพันทับกางเกง ตามประเพณีการแต่งกายเข้าวัดของประเทศอินโดนีเซีย

วัดช้าง หรือวัดถ้ำช้าง หรือ ชื่อทางภาษาอินโดนีเซีย คือ ปุรากัวกาจาห์ สิ่งโดดเด่นของวัดนี้ คือ แผ่นหินแกะสลักหน้าปากทางเข้าถ้ำ เชื่อว่า ใครที่อยากมีลูก ให้ลองมา ดื่มหรืออาบน้ำที่วัดนี้ ก็จะมีลูกมีหลานเต็มเมือง (คงไม่ไหวเนอะ แล้วจะเลี้ยงไหวเหรอ อิอิ) เรามาชมภาพที่ฉันเก็บมาฝากดีกว่าค่ะ







จากวัดช้างแล้ว ก็มุ่งไปเที่ยววัดที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของอินโดนีเซีย คือ วัดกลางน้ำทะเสาบ (Pura Ulun Danu Bratu) ซึ่งวัดนี้ มีพิมพ์ปรากฏอยู่ในธนบัตรฉบับ 50,000 รูเปีย เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบบราตัน มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟ เป็นวัด เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนแหลมริมทะเล สวยสดงดงามมาก นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ ถ้าน้ำทะเลลด สามารถเดินไปที่วัดได้ (เขาเล่ามาอย่างนี้) เรามาชมภาพที่ฉันถ่ายและรวบรวมจากของเพื่อนบ้างมาให้ชม นะคะ















วันนี้เราเที่ยวแค่นี้เอง เพราะต้องขับรถจากบาหลีกลับไปที่ สุราบายา โดยต้องไปลงแพยนต์เหมือนตอนขามา นั่นแหละ มากินมื้อเที่ยงกันในเรือ ต้อม ฉลาด หาซื้อข้าวจากคนขาย ที่ข้างล่าง ซึ่งราคาขายถูกกว่าบนเรือ ซื้อมา 12 ห่อ ครบคน แต่ไม่รู้ใครเอาไปให้คนขับ 1 ห่อ ฉันเลยไม่ได้ แต่ก็ไม่ค่อยหิว กินกับหญิง 2 คน โดยกินข้าวเปล่ากับหมูฝอยของฉันที่เอามาจากกรุงเทพฯ เราไปอยู่ชั้นบนของเรือ มีโซฟานั่ง แต่แอร์ไม่เย็นเลย ในเรือ ต้นแอบถ่ายรูปพวกเราที่ทานข้าวกันด้วยความหิว อิอิ ชมดูนะคะ



ติดตามอ่านต่อในตอนที่ 2 ได้ค่ะ




Create Date : 05 พฤษภาคม 2557
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2558 15:51:39 น. 1 comments
Counter : 1968 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะอาจารย์ แวะมาทักทาย หลังห่างหายไปนานมากจริงๆ
แต่อาจารย์ยังคงมีรูปและเรื่องราวการท่องเที่ยวที่น่าสนุกมาฝากอย่างต่อเนื่อง สวยๆ ทั้งนั้นค่ะ น่าไปมากๆ :-)
อินโดฯ เคยไปแต่แถวเมดาน เกาะสุมาตราเหนือ Lake Toba แถบโน้นค่ะ


โดย: Ezy (Ezy-SeaHill ) วันที่: 24 กรกฎาคม 2557 เวลา:17:14:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space