คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
space
space
11 ธันวาคม 2554
space
space
space

อยากบอกว่า...... เป็นเรื่องราวที่ประทับใจจริง ๆ

ท่านผู้อ่าน ที่รัก

วันนี้ฉันมีเรื่อง ดี ๆ ที่จะมาเล่าสู่กันฟัง เกี่ยวกับเรื่องของการทำความดีของคนในสังคมยุคปัจจุบัน ค่ะ ท่านผู้อ่านที่เคยเข้ามาอ่านงานเขียนของฉันในบล็อกพันธ์ทิพย์แล้ว ก็คงจะทราบว่า ฉันเคยเขียนถึงการทำความดีของหนุ่ม ๆ สาว ๆ กลุ่มนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว ในตอนไปปลูกป่าชายเลน ที่สัตหีบ วันนี้ ฉันก็มีเรื่องจะเล่าถึงเรื่องของหนุ่มสาวกลุ่มนี้ (โอเอฟซี คลับ) ที่ไปทำความดีมาอีกแล้ว ซึ่งครั้งนี้ ฉันก็มีส่วนร่วมและไปเห็นการทำงานของพวกเขามาอีกครั้งหนึ่ง ที่ฉันประทับใจกับภาพการทำงานของพวกเขา ฉันจึงอยากจะเล่าสู่กันฟัง (อ่าน) ตามประสาคนช่างเล่า ค่ะ

การไปครั้งนี้ ฉันมีส่วนรู้เห็นการทำงาน การประสานงานของกลุ่ม โอเอฟซี ตั้งแต่เริ่มต้นก็ว่าได้ เพราะหัวหน้ากลุ่มเขา นายแอง (สามีลูกศิษย์ฉัน) เขาแอดฉันเป็นสมาชิกของเขา นั่นเอง เลยได้อ่านการโต้ตอบของเหล่าสมาชิกของกลุ่มได้ค่อนข้างชัดเจน ได้เห็นการร่วมมือร่วมใจกัน 3 เรื่องใหญ่ ๆ ในการระดมทุนเพื่อดำเนินการจัดโครงการ อันมีชื่อว่า "โครงการทำดีถวายพ่อหลวง ปีที่ 3 แบ่งปันรอยยิ้มให้น้อง โรงเรียน บ้านฟองใต้" 3-5 ธันวาคม 2554 อำเภอ น้ำหนาว จังหวัด เพชรบูรณ์ สามเรื่องดังกล่าวก็คือ

1. ช่วยกันหาเงินบริจาคจากผู้ใจบุญที่จะช่วยสนับสนุนโครงการนี้ให้สำเร็จลุล่วงไป
2. ขอบริจาคเสื้อผ้าเก่า (ที่อยู่ในสภาพดี) เพื่อนำไปขายเป็นเสื้อผ้ามือสอง นำเงินมาจัดโครงการ
3. จัดทำเสื้อยืดขายสมาชิกและให้สมาชิกไปช่วยขายแก่บุคคลที่รู้จัก และสมาชิกช่วยกันอุดหนุน

นอกจากวิธีการระดมทุนดังกล่าวแล้ว พวกเขายังไปขอสปอนเซอร์จากห้างร้านบริษัทต่าง ๆ (ซึ่งได้บ้างไม่ได้บ้าง เนื่องจากเกิดวิกฤตน้ำท่วม เลยได้มาน้อย)

ฉันในฐานะที่เขารับเป็นสมาชิกแล้ว ก็ได้มีส่วนให้ความช่วยเหลือพวกเขาเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามศักยภาพของฉันที่มีอยู่ โดยการบริจาคเสื้อผ้าเก่าบ้าง ช่วยอุดหนุนเสื้อบ้าง บอกกล่าวลูกศิษย์ เพื่อนฝูง เพื่อนบ้านเพื่อให้เขาช่วยบริจาคเงินทุนมาช่วยเหลือโครงการบ้าง อะไรประมาณนั้น ไม่มีความสามารถออกแรงช่วยเหลือพวกเขาได้มากมายนัก เนื่องจาก ความสูงอายุของตัวเองนั่นเอง ฮิฮิ

ความสูงอายุของฉันและความที่ฉันไม่เคยไปไหนคนเดียวโดดๆ เป็นปัญหาอย่างหนึ่งของฉัน โดยปรกติ เวลาฉันจะไปไหน มักจะมีลูกศิษย์บ้าง เหลนบ้าง เพื่อนบ้าง มารับไป ดังนั้น ถนนหนทาง สถานที่ต่าง ๆ ฉันจึงไม่มีความรู้เอาเสียเลย เป็นปัญหาใหญ่ของฉันเรื่องหนึ่ง ดังนั้น ฉันจึงบอก เกด ลูกศิษย์ของฉันว่า "ถ้าจะให้ครูไปค่ายอาสากับพวกเธอ ครูจะทำความลำบากให้เธอนะ เพราะเธอต้องมารับมาส่งครูนะ" เกดบอกว่า "ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวจะหาคนมารับมาส่งอาจารย์เอง" ฉันบอกเกดว่า "เพื่อนอาสาเธอ ไม่ใช่ลูกศิษย์ของครูนะจ๊ะ ไปวานเขาได้อย่างไร ประเดี๋ยวเขาก็หมั่นไส้เอาหรอกว่า คนแก่ทำความยุ่งยากให้" เกดบอกว่า "อาสาทุกคน เขามีจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอยู่แล้ว การมารับมาส่งครูสักคน เขายินดีอยู่แล้ว" จากคำพูดของเกด ฉันก็เลยไม่ได้ปฏิเสธการไปค่ายอาสาครั้งนี้ ฉันเองก็เกรงใจคนที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของเกด ถูกขอร้องให้มารับฉันอยู่นะ แต่ทำไงได้ล่ะ นั่นเป็นปัญหาประจำตัวของฉันตั้งแต่สาวยันแก่ ก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เฮ้อ !

และแล้ว เย็นวันที่ 2 ธันวาคม ซึ่งทางกลุ่ม โอเอฟซี นัดมาพบกันที่ปั๊มน้ำมัน คาร์ลแท็ก ที ศรีนครินทร์ ฉันรู้จาก เกด แล้ว ว่าคนที่จะมารับฉัน คือ อมก๋อย (อรรถพล) ซึ่งฉันรู้จักเขาค่อนข้างดี เนื่องจากว่า เคยพบกันตอนปลูกป่าชายเลนเมื่อเดือน สิงหาคม ปีนี้มาแล้ว และเขาแอดมาขอเป็นเพื่อนกับฉันเป็นคนแรกหลังจากที่กลับจากการปลูกป่า เขาเรียกฉันว่า "คุณครูแม่" เราคุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทางเฟสบุ๊ค ฉันจึงค่อนข้างจะสนิทกับเขามากกว่าคนอื่น ๆ ประกอบกับเขาเป็นคนใฝ่รู้ มักจะหาความรู้มาแชร์ให้เพื่อน ๆ ให้สมาชิกในเฟสได้อ่าน และพลอยได้รับความรู้จากเขาด้วย รวมทั้งฉันก็ได้รับความรู้จากการแชร์ของเขา

เกือบ 18.00 น. ก๋อยโทรเข้ามือถือฉัน (เกดคงให้เบอร์ฉันแก่ก๋อยไว้) บอกฉันว่า รถติดมาก ตอนนี้อยู่บางนา คงมารับฉันช้ากว่าที่กำหนด (กำหนด 18.00 น.) ฉันบอกก๋อยว่า ไม่เป็นไร ฉันรออยู่ที่บ้าน เกือบทุ่มได้มั้ง ก๋อยโทรเข้ามือถือถามทางเข้าซอยบ้านฉัน ฉันบอกทางให้และไปยืนรอตรงหัวมุม แต่ ก่อยก็ยังหลงเข้าไปทางตันของ 38 แมนชั่นจนได้ เขามองไม่เห็นฉันยืนอยู่ ฉันเห็นรถเก๋งสีดำคันหนึ่งแล่นตรงเข้าไปทาง แมนชั่น สงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะกะเวลาว่า ตอนที่เขาถามทางเข้าซอย เขาบอกว่าผ่านมาถึงสนามเทนนิสแล้ว แค่ 2-3 นาที ก็น่าจะถึงหัวมุมบ้านฉันแล้ว และก็เป็นจริง ก๋อยหลงเข้าไปทางแมนชั่น ต้องกลับรถออกมา จริงดังที่ฉันสงสัย เก๋งสีดำคันที่ฉันเห็นแล่นเข้าไปจริง ๆ

ก๋อยมาช่วยฉันหิ้วกระเป๋าเดินทางและหิ้วถุงหนังสืออีก2 ถุง ที่จะไปบริจาคให้กับห้องสมุดของโรงเรียนบ้านฟองใต้ ก๋อยขับรถออกจากซอยบ้านฉันไป ระหว่างรถติดบ้างเล็กน้อย พวกเราไปถึงที่นัดหมายประมาณสองทุ่มน่าจะได้ หัวหน้ากลุ่ม นายแอง ไปถึงก่อนแล้ว ยังมีสมาชิกอีกหลายคนซึ่งฉันไม่รู้จัก มากันอยู่ประมาณน่าจะ 10 คน ขึ้นไปมั้ง ก๋อยจอดรถเสร็จ ก็บอกว่า "คนที่นั่งรอตรงที่เราไปจอดรถนั่น เป็นสมาชิกของกลุ่มด้วย มาทราบชื่อภายหลังเขาเรียกว่า "เจน" คงจะชื่อเต็มว่า เจนจิรา กระมัง สักพักใหญ่ ๆ สมาชิกก็เริ่มทยอยกันมาที่จุดนัดพบกัน รถส่วนตัวที่สมาชิกเสียสละมาช่วยบรรทุกคนที่ไม่มีรถ (ทาง คลับ จ่ายเฉพาะค่าน้ำมันให้เท่านั้น) ใครที่มีรถกระบะ ก็จะช่วยขนสัมภาระที่จะไปบริจาคและจัดกิจกรรม ตลอดจนเครื่องไม้เครื่องมือที่จะไปทำความสะอาด กระป๋องสี ที่จะไปทาสีห้อง และตัวอาคารทั้งภายนอกและภายใน อุปกรณ์การเรียนการสอน เป็นต้น แล้วยังมีเสบียงอาหารที่เราจะต้องไปทำกินกันที่ค่ายด้วย ในการไปค่ายอาสาครั้งนี้ มีเหล่าอาสาทั้งเก่าทั้งใหม่มากเป็นประวัติการณ์ ปีที่แล้วมีเพียง 60 คน แต่สำหรับปีนี้ มีถึงร้อยคนรวมไปถึงไปพบกันระหว่างทางและตามไปที่ค่ายก็มี

สามทุ่มได้แล้ว สมาชิกมาเกือบครบ มีคนที่ฉันรู้จักตอนปลูกป่ามาทักฉันหลายคน คือ บอล อ้อพ จิน เหมียว นอกนั้น ฉันก็ไม่รู้จักเลย อ้อ ! จำครูเรย์ได้ เพราะเคยทักกันในเฟสบุ๊คนั่นเอง ฉันรวบรวมภาพตรงจุดนัดพบมาให้ท่านได้ชมด้วยค่ะ



ภาพเหล่านั้น ฉันเพิ่งเรียนจากลูกศิษย์เอาหลาย ๆ ภาพมารวมกัน จะเห็นว่า เหรัญญิกของ คลับ(ยายเกด ลูกศิษย์ฉัน) ทำการเช็คชื่อสมาชิกว่าครบไหม รถของสมาชิก ตลอดจนการจับกลุ่มของสมาชิกที่คุยกันด้วยความคิดถึงน่ะนะ ทุกคนดูตื่นเต้นที่จะได้ไปทำความดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่ พ่อหลวงของพวกเราค่ะ

ประมาณ สามทุ่ม ขบวนรถของเราซึ่งติดเบอร์ทั้งหมด 14 คัน เช่ารถตู้เพิ่ม 2 คัน ก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากจุดนัดพบ มีรถของคุณทองเป็นค้นที่ 1 นำทาง มีไฟแว้บ ๆ ที่หลังคารถด้วยนะ รถคันที่ฉันนั่ง คือรถของก๋อย แต่อ๊อบเป็นคนขับ เนื่องจากว่าเป็นเกียร์ออร์โต้ จะขับง่ายกว่ารถกระบะของอ๊อพเอง พูดง่าย ๆ คือ แลกรถกันขับนั่นเอง ก๋อยเขาน่ารัก เอื้อเฟื้อต่อเพื่อนเสมอ รถขับตามกันไป ระหว่างทางมีแวะปั๊มเข้าห้องน้ำบ้าง เติมน้ำมันบ้าง มาถึงตรงไหนฉันก็ไม่รู้จัก ได้มีสมาชิกเพิ่มมาอีก และมีรถของสมาชิกมาเพิ่มอีก 1 คัน คือ รถของ เล่ย์ (น่าจะชื่อสุธาทิพย์) ซึ่งฉันเคยคุยกับเขาที่เฟสบุ๊คมาก่อน (เขาแอดมาเป็นเพื่อนด้วย เลยสนิทและรู้จักกันดี) รถของเขาเป็นรถเก๋ง ขนผัก หมู น้ำพริก อาหารมาเต็มคันรถ คงหนักน่าดูเลย เขามาจากอ่างทอง อาชีพ คือ เป็นพยาบาล เป็นคนร่าเริง สนุกสนานดี (เท่าที่ฉันได้สัมผัส นะ)

ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นมากขึ้น กระเป๋าเดินทางของฉันไม่รู้ไปอยู่ที่กระบะคันไหน ฉันเริ่มเย็นมาก มีผ้าพันคอเพียงผืนเดียว เสื้อสูทก็อยู่ในกระเป๋า พอบอลรู้เข้า เขาก็น่ารักนะ รีบไปเอาเสื้อ วอมของเขาที่รถ (เขามีหลายตัว) มาให้ฉันใส่ เฮ้อ ! ค่อยยังชั่ว เรามาถึงเขตเพชรบูรณ์ประมาณตี 3 ได้ มาพักที่ปั๊มน้ำมันให้คนขับรถได้นอนพักสัก 2 ชั่วโมง ประมาณ ตี 5 จึงจะเคลื่อนขบวนไป ฉันก็นั่งในรถหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะมันเลยเวลานอนมานั่นเอง

ตีห้า ขบวนรถของพวกเราก็เคลื่อนออกจากปั๊มนี้ไปเรื่อย ๆ จนขึ้นเขาลงเขา ทางที่จะไปน้ำหนาว เป็นถนนคดเคี้ยวพอประมาณ ยายอ๊อพขับรถใช้ได้ทีเดียว สงสารเขาเหมือนกันที่ต้องขับมือเดียวทั้งขาไปและขากลับ รุ่งอรุณของวันใหม่แล้ว ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นจากขอบฟ้าอันกว้างใหญ่ไฟศาล ประมาณ หกโมงกว่า ๆ เป็นภาพที่งดงามมาก ฉันได้ถ่ายรูปมาให้ชื่นชมด้วยหลายรูป ค่ะ



และแล้วในที่สุด พวกเราก็มาถึงยังที่หมาย คือ โรงเรียนบ้านฟองใต้ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ฉันลงจากรถมองสำรวจไปทั่ว ๆ รถที่พวกเราจอด เป็นสนามหญ้ากว้างน่าจะประมาณสนามฟุตบอลได้กระมัง ด้านหน้าของสนามหญ้า มีอาคารเรียนไม้อยู่เพียงอาคารเดียว ซึ่งขณะนี้ ถูกยกพื้นขึ้นสูง (แต่เดิมตัวอาคารติดพื้นดิน) ด้วยเสาคอนกรีตน่าจะมีมากกว่าสิบต้นขึ้นไป (ฉันก็ลืมนับไปน่ะ ว่ามีกี่ตัน อิอิ) ดังนั้น ชั้นล่างจึงกลายเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ที่จะใช้เป็นประโยชน์ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนได้ การยกอาคารเรียนดังกล่าว
เป็นหนึ่งในการช่วยพัฒนาของ คลับ โอเอฟซี ครั้งนี้ด้วย โดยงบประมาณในการยกอาคารให้สูงขึ้นนั้น คลับ โอเอฟซี ช่วยกันหาทุนมาในการยกอาคารเรียนดังกล่าว เป็นจำนวนเงิน 120,000 บาท ( หนึ่งแสนสองหมื่นบาท) โดยให้โรงเรียนเป็นผู้ดำเนินการซื้อวัสดุและว่าจ้างคนทำงานทั้งหมด

เด็กนักเรียนมาดูพวกเราอยู่ประมาณกลุ่มย่อย ๆ สัก 8-9 คน น่าจะได้ พวกเราทุกคนเริ่มกางเต๊นท์ของตนเองอย่าง ชำนิชำนาญ เหมือนกับว่าเคยออกค่ายและกางเต๊นท์กันมาก่อนแล้ว เต๊นท์ในสมัยใหม่นี่ดูกางง่ายและสะดวกสบายกว่าในสมัยก่อนมาก ทีเดียว ในสมัยที่ฉันสอนนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จะต้องพา ลูกเสือไปพักแรม อันเป็นกิจกรรมที่สนุกมาก (ตอนนั้นยังสาว ๆ อยู่ เรี่ยวแรงยังมีมากและแข็งแรง ) ลูกเสือซึ่งเป็นลูกศิษย์ของฉันมากางเต๊นท์นอนให้ฉัน สมัยนั้น เต๊นท์จะเป็นผ้าใบ ขึงด้วยเชือก ดูเหมือนต้องมีสมอตอกเข้าไปที่พื้นดิน เพื่อมัดกับปลายผ้าใบ แต่เต๊นท์ปัจจุบันนี้ ทำด้วยพลาสติค มีแกนที่เป็นพลาสติคเหมือนกันสอดเข้าไปตามช่องของผืนพลาสติคตัวเต๊นท์ไขว้กันเป็นหลังคา กางออกเป็นรูปเต๊นท์ มีประตูเปิด - ปิด รูดด้วยซิป ทั้งสองด้าน มีชั้นที่เปิดให้สว่างและปิดให้มืดมองไม่เห็นคนด้านในเวลาแต่งตัว เวลากางเต๊นท์ก็ไม่ต้องใช้สมอตรึงกับเชือกอย่างสมัยก่อน ที่ปลายเต๊นท์จะมีตะขอสองด้านมาเกี่ยวกันให้ยึดติดกันเป็นรูป ดูสะดวกสบายกว่าในสมัยก่อน การพับเก็บ รักษาก็ง่ายไม่เปลืองเนื้อที่ เหมือนเต๊นท์ผ้าใบในสมัยก่อน

ฉันไม่มีเต๊นท์กับเขาหรอก เพราะฝากเงินให้ เกด ซื้อถุงนอนให้เท่านั้น (จำเป็นต้องมีเพราะอากาศหนาวมาก) ที่จริง เกด อยากให้ฉันนอนในอาคาร เพราะจะอุ่นกว่านอนเต๊นท์กลางแจ้ง กลางคืนกลางแจ้งน้ำค้างตกแรงมาก เต๊นท์เปียกแฉะไปหมด และอากาศจะหนาวกว่าในอาคารแน่นอน แต่ฉันไม่อยากไป เพราะไม่รู้จักใคร เลยนอนเต๊นท์เดียวกับ ครอบครัวของเกด พ่อแม่ลูก เพิ่มฉันเข้าไปอีก 1 คน ก็ไม่ได้คับแคบอะไร เพราะตัวฉันเล็กนิดเดียว ไม่เปลืองเนื้อที่หรอกน่ะ ฉันได้แต่ช่วยเกดและแองกางเต๊นท์นอน โดยช่วยเขาจับตัวเต๊นท์ให้เขาสอดแกนเข้าไปไขว้เป็นรูปกากบาท ยกสูงเป็นหลังคาเต๊นท์ นั่นเอง

นี่คือ ภาพเหตุการณ์ของการกางเต๊นท์ของพวกเรา ค่ะ



อาหารมื้อเช้าของเราวันนี้ เริ่มไปทานเอาตอนสามโมงเช้ากว่าเห็นจะได้ มื้อนี้ ทางโรงเรียน บ้านฟองใต้ เขาจัดเลี้ยงต้อนรับเรา ก็มีหมูทอด ไก่ทอด และข้าวเหนียว มีแจ่วให้จิ้มทานด้วย รสเผ็ดน่าดูเหมือนกัน พวกเราก็ทานกันอย่างเอร็ดอร่อย เพราะสายแล้ว นั่นเอง

ดูภาพพวกเราทานกัน ซิคะ



หลังจากที่ทานข้าวมื้อเช้าเสร็จแล้ว แอง ก็เรียกประชุมอยู่ใต้ตัวอาคารเรียน ซึ่งเป็นที่ร่ม ๆ ฉันยืนฟังและสังเกตการดำเนินงานของพวกเขา อย่างเงียบ ๆ เออ ! เขาบริหารจัดการในการทำงานได้ดีพอสมควร เริ่มด้วยการแจกป้ายชื่อให้แก่สมาชิก แต่ป้ายชื่อนั้น ไม่ตรงกับตัวเอง จุดมุ่งหมายคงจะต้องการให้ไปตามหาป้ายชื่อของตนเองว่าอยู่กับใคร เป็นการให้รู้จักเพื่อนมากขึ้น (ฉันเดาเอง) เขาก็ไม่ได้บอกเหตุผล ทุกคนได้ป้ายแล้วก็แขวงใส่คอตัวเอง จากนั้น ก็มีการแบ่งงานกันทำเป็นกลุ่ม ๆ มีหัวหน้ากลุ่มรับผิดชอบ ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็น 8 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีลูกกลุ่ม 10 คน งานที่แบ่ง เช่น ทาสีฝาผนัง เพดาน ชั้นนอกของอาคาร ทำสื่อการเรียนการสอน ขัดโต๊ะ เก้าอี้ เพื่อทาสีใหม่ให้ดูใหม่ น่าใช้ น่าเรียน ก่อนทำงานดังกล่าว ก็มีการยกของลงจากอาคารเรียนมากองไว้ที่พื้นดินชั้นล่างก่อน เป็นกองเพนินใหญ่โต สมุด ผลงานของ นักเรียน เต็มไปหมด ครูบางคนของเขาก็ใด้เกณฑ์เด็กนักเรียนมาช่วยเก็บและจัดให้เป็นระเบียบจะได้ไม่ปลิวว่อน ยายเกดให้ฉันไปอยู่แผนกทำครัว โดยมี เล่ย์ เป็นหัวหน้าครัวตามด้วยลูกทีมสมัครใจอีก 10 คน ทุกคนรับงานของตนเองไปอย่างหน้าชื่นตาบาน และให้ความเคารพในหัวหน้ากลุ่มเป็นอย่างดี อย่างมีจิตอาสาจริง ๆ ไม่มีการเกี่ยงงอน เป็นภาพที่ประทับใจของฉันมากทีเดียว ทุกคนเมื่อรู้หน้าที่แล้ว ก็ไปดำเนินงาน ก่อนอื่น ก็ช่วยกันขนสัมภาระต่าง ๆ ที่อาคารเรียนลงมาชั้นล่างก่อนและทำความสะอาด ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เฮ้อ ! เป็นภาพที่ฉันเห็นแล้วก็ชื่นใจและอนุโมทนากับพวกเขาจริง ๆ หนุ่ม ๆ สาว ๆ เขาอาสามาทำงาน ไม่ใช่เพียงเพื่อความสนุกสนาน ๆ เท่านั้น เขาทำด้วยใจที่อยากทำของเขา สีหน้าของพวกเขาถึงจะเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อย แต่สีหน้าพวกเขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส หยอกล้อกันบ้าง แอดชั่นให้ตากล้องถ่ายรูปบ้าง ถือเป็นภาพที่น่ารัก น่ายกย่องพวกเขาจริง ๆ

ส่วนเล่ย์ หัวหน้าครัวของพวกเรา ก็พาพวกเราไปเข้าห้องครัว ซึ่งทางโรงเรียนเขาจัดให้แล้ว เล่ย์บอกพวกเราว่า เขาไม่ได้เก่งเรื่องอาหารหรอกนะ ทำได้แต่น้ำพริก (พ่อทำด้วย) แล้วก็ผัดกะเพราพริกเก่งเท่านั้น นายแองเลยยกให้แกเป็นแม่ครัวใหญ่ แกก็ซื้อของมาจากอ่างทองเยอะแยะ มีผักสารพัด กวางตุ้ง ถั่วฝักยาว หัวหอมใหญ่ ไข่ หมูชิ้น หมูสับ มะเขือ น้ำปลา พริกแกง กะทิ ฯลฯ ซื้อ ๆ มาก่อน ยังไม่รู้จะทำอะไร ฉันเลยเสนอให้ทำรายการอาหารเป็นมื้อ ๆ ไป โดยเฉพาะมื้อเที่ยงต้องคิดก่อนเพื่อน เพราะมีเวลาค่อนข้างน้อยแล้ว รายการมื้อเที่ยงนี้ เท่าที่จำได้ คือ แกงเขียวหวาน ไข่เจียว กะทิก็น้อยไป เลยดูโหรงเหรง ไม่เข้มข้นและดูแล้วน่าจะไม่พอทาน ต้องมีคนคอยตักให้ อาหารอีกอย่าง ฉันจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรอีก ฉันช่วยเขาแกะกะเทียม ปอกหอมหัวใหญ่ หั่นหมู ล้างผัก



เด็ก ๆ น่ารักมาก ให้ฉันทำอะไร เล็ก ๆ น้อย ๆ กลัวคนแก่ทำงานหนักไม่ไหว ฮิฮิ ไม่ได้ใช้งานอะไรฉันเลย ฉันก็ได้แต่ช่วยพวกเขา นิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง ทุกคนต่างทำงานกันอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส โดยเฉพาะน้องสองสามคนที่ล้างถ้วยล้างชามตลอดเวลา ทุกครั้งที่ทุกคนทานอิ่มแล้ว ฉันขอยกนิ้วให้น้องสองสามคนนี้จริง ๆ เขาทำงานได้เยี่ยมจริง ๆ น่าเสียดายที่ฉันลืมถ่ายภาพของพวกเขาเอาไว้ด้วย มัวแต่ไปถ่ายรูปกิจกรรมด้านนอกเสียส่วนใหญ่ ไม่เป็นไรนะน้อง ๆ ที่ล้างถ้วยล้างชาม คนอื่นไม่เห็น ฉันเห็นก็แล้วกันนะ

ท่านผู้อ่านลองชมภาพที่ฉันเก็บมาฝากซิคะ ภาพแบ่งงาน



กิจกรรมในครัวของเราค่ะ



พอมีเวลาว่างจากในครัวบ้าง ฉันก็ต้องรีบออกไปถ่ายภาพกิจกรรมการทำงานของเหล่าอาสาทั้งหลาย เพื่อหาหลักฐาน อ้างอิงว่า เหล่าอาสาเขาทำงานกันหนักเพียงใด สีหน้าเขามีความสุขในการทำงานมากน้อยเพียงใด เพื่อหารูปที่ฉันประทับใจในการทำงานของพวกเขามาฝากท่านผู้อ่านไงคะ (ถ้ารอรูปจากทางคลับ คงยาก ฉันต้องอาศัยหาภาพจากกล้องฉันจะแน่นอนกว่าอยู่แล้ว

ภาพรวมของการช่วยกันทำงาน ชุดที่ 1 ค่ะ ใครเป็นใครดูเอาเองได้เลยนะคะ



ภาพการทำงานชุด ที่ 2 ค่ะ



ภาพการทำงาน ชุดที่ 3



ทำงานเหนื่อย ก็หยุดพัก ทั้งงานนอก งานครัว แอ๊คชั่นถ่ายรูปกันไว้เป้นที่ระลึก



ช่วงเย็นของวันที่ 4 ธันวาคม เมื่อทานอาหารมื้อเย็น เรียบร้อยแล้ว พวกเรามีการจัดพิธีถวายพระพรด้วย โดยอัญเชิญพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาตั้งไว้ที่เก้าอี้ จัดม้าเตี้ย ๆ ไว้หน้าพระบรมรูปเพื่อใช้ปักเทียนหลังจากที่ถวายพระพรแล้ว มีอ่างทรายสำหรับให้เด็ก ๆ ปักเทียนด้วย เมื่อถึงเวลา 19.00 น. เป็นเวลาที่พวกเรานัดกันมาที่สนามหญ้าหน้าอาคารเรียน พวกเราล้อมวงเป็นครึ่งวงกลมเป็นสองวง มีทั้งเหล่าอาสาและเด็ก ๆ มาร่วมพิธีถวายพระพรอันเนืองแน่นด้วยความจงรักภักดีที่มีต่อพ่อหลวงของ พวกเรา อาสาที่มีหน้าที่ จะแจกเทียนสีเหลืองให้แก่เพื่อนอาสาและนักเรียนที่มาร่วมถวายพระพร พวกเราเริ่มจุดเทียนกันทุกคน บริเวณนั้น สว่างไสวด้วยแสงเทียนแห่งความจงรักภักดี มีการซื้อโคมกระดาษมาให้จุดเป็นกลุ่ม ๆ น่าจะประมาณ 4-5 ใบ พวกเราร้องเพลงสดุดดีมหาราชาพร้อม ๆ กัน เสียงดังกึกก้องไปทั่วสนามท่ามกลางความเงียบสงบของสถานที่ เสียงของพวกเราเปล่งออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องดนตรีใด ๆ มาประกอบ ช่างเป็นภาพที่สุดประทับใจจริง ๆ จากนั้นก็เริ่มปล่อยโคมที่จุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ใบแล้วใบเล่า พวกเราหงายหน้ามองด้วยความชื่นชม นำเทียนไปตั้งไว้ที่ม้านั่งตัวเตี้ย ๆ ที่เตรียมไว้แล้ว พวกเด็ก ๆ ก็เล่นหยดเทียนใส่มืออย่างสนุกสนาน พวกผู้ใหญ่ก็ไปถ่ายรูปคู่กับพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อเก็บภาพมงคลเหล่านี้ไว้เป็นที่ระลึก

รูปของพวกเราค่ะ เป็นไงคะ มีใครบ้างดูเอาเองนะคะ



อีกรูปหนึ่งที่ฉันนำมาฝากค่ะ



คืนนี้มีกิจกรรมรอบกองไฟ ที่จริงเมื่อคืนก็มี แต่มีแต่เด็ก ๆ เป็นส่วนใหญ่แล้วมีเพื่อนอาสาที่เก่งดนตรีเล่นกีต้าร์ให้เด็ก ๆ ฟัง เพื่อนอาสามีน้อย สำหรับคืนนี้ จะมีเหล่าอาสามากหน่อยที่ไปล้อมวงกองไฟที่จุดไว้ เพื่อความอบอุ่น มีอาสาเล่นดนตรีให้ฟังเหมือนเดิม ส่วนฉันกับน้องที่อยู่กลุ่มในครัวบางคน เช่น คุณวัลย์ เจนจิรา อยู่ในครัว เพื่อเตรียมหั่นผัก หั่นหมูที่จะใช้ทานในมือเช้าและมื้อกลางวันในวันพรุ่งนี้ให้เรียบร้อย เพราะพรุ่งนี้ เราจะมีการเก็บงานและมีกิจกรรมให้กับเด็ก ๆ ฉันอยู่ช่วยหั่นผัก น้องสองสามคนยังคงล้างจาน ชาม อยู่ กลุ่มงานอื่น ๆ อยู่ที่กองไฟ ร้องรำทำเพลงกันบ้าง คุยกันบ้าง ประมาณ สี่ทุ่มครึ่งฉันก็เข้านอนแล้ว

รูปการล้อมวงที่กองไฟ มีน้อยมาก หาจากของ เอกและคนอื่น ๆ ที่ลงในเฟสบุ๊คไม่ได้สักใบ กล้องของฉันก็มีเพียง 2 ใบเท่านั้น เอง



รุ่งเช้าวันที่ 5 ธันวาคม อันเป็นวันคล้ายวันทรงพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเรา เช้านี้พวกเราจะมีพิธีเลี้ยงพระเช้า ซึ่งจะมีชาวบ้านมาร่วมทำบุญครั้งนี้ด้วย ส่วนอาหารที่จะถวายเป็นภัตตาหาร เราเตรียมไว้ตั้งแต่เย็น แล้วมาอุ่นตอนเช้า บางอย่างเช่นผัก เราก็มาผัดตอนเช้า ฉันถ่ายรูปอาหารของพวกเราที่จะมาถวายพระทั้งคาวทั้งหวาน และของชาวบ้านด้วย
ท่านผู้อ่านชมได้เลยค่ะ

มีไข่ลูกเขย แกงส้มผักรวม ผัดผัก แกงบวดฟักทอง ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ฯลฯ ของชาวบ้านก็มีผลไม้ ข้าวเหนียว



ภาพพวกเรามาเลี้ยงพระ ช่วยกันทำบุญใส่ซองแล้วแต่ความศรัทธาของแต่ละคน แล้วนำเงินทำบุญนั้นใส่ซองและเขียนเป็นใบ บอกจำนวนเงินที่จะถวายพระที่มาสวดมนต์และฉันเช้า (เขาเรียกว่าใบอะไร ฉันก็จำไม่ได้ รู้แต่ว่า พระป่า ท่านรับเป็นเงินจากพวกเราไม่ได้ ต้องเขียนเป็นใบนี้ให้ท่าน แล้วท่านนำไปขึ้นเงินที่เจ้าหน้าที่วัด อะไรประมาณนั้นน่ะ) ฉันก็ช่วยเกดเดินบอกบุญพวกเราเหล่าอาสาแต่ละคนก็ช่วยกันอนุโมทนาบุญใส่ซองกันมา แล้วก็ให้เกดและแองไปนับกันเอง



หลังจากที่เลี้ยงพระช่วงเช้าเสร็จแล้ว พระมาฉันประมาณ สองโมงเช้า พิธีสวดมนต์ ถวายสังฆทาน และพระฉันแล้ว หลวงปู่ซึ่งมาจากอีกวัดหนึ่งได้เทศน์ให้พวกเราฟัง เป็นบุญหูจริง ๆ เพราะฉันไม่ได้ฟังเทศน์มานานมากพอควรทีเดียว ท่านก็เทศน์แบบลูกทุ่ง ๆ ภาษาที่ใช้เทศน์เป็นภาษาอิสาน ฉันพอฟังรู้เรื่อง เป็นการเทศน์เกี่ยวกับการทำกรรมดี ย่อมได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทน ส่วนคนที่ทำกรรมชั่ว ทำสิ่งที่ไม่ดี ก็ย่อมต้องได้รับสิ่งไม่ดีตอบแทนแน่นอน

กิจกรรมการทำบุญเสร็จแล้ว ก็ไปทานข้าวเช้ากันที่โรงครัว ประมาณ น่าจะ 10 โมงกว่า ก็เริ่มทะยอยนำสิ่งของต่าง ๆ ที่จะมอบให้แก่เด็ก ๆ และโรงเรียนมาตั้งไว้ที่หน้าอาคารเรียน มีกิจกรรมการเล่นเกมต่าง ๆ พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ จะให้ฉันไปร่วมเล่นเกมด้วย แต่ฉันไม่ไหวหรอก เลยปฏิเสธไป มีเหล่าอาสาหลายคนเป็นผู้จัดเกม มีรางวัลเป็นตุ๊กตา ของเล่นต่าง ๆ เป็นรางวัลล่อใจเด็ก ๆ ให้มาร่วมเล่นเกม เรียกว่า เป็นการประสานสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับ บางเกม มีการเชื้อเชิญให้ผู้ปกครอง (ซึ่งมายืนชมกิจกรรมของเหล่าอาสามากมาย) ให้ลงมาร่วมเล่นเกมด้วย เป็นที่สนุกสนานกัน เช่น เกมให้ทุกคนในกลุ่มแต่ละกลุ่ม ต้องยืนอยู่บนกระดาษเล็ก ๆ ที่เขากำหนดไว้ให้ยืน เกม จับฉลาก ทำตามคำสั่ง เช่น ให้เอาแป้งไปทาหน้าคนที่ผมหยิก เป็นต้น (เรียกว่า เกมแกล้งคน นั่นแหละ) วิ่งกันไปปะแป้งกันอย่างสนุกสนาน

ดูรูปรวมการเล่นเกมนะคะ



กิจกรรมเด็ก 2



ภาพกิจกรรม 3



ภาพกิจกรรม 4


หลังจากเล่นเกมกันแล้ว ก็มีการมอบทุนการศึกษา เงินทุนการศึกษานี้ ใช้วิธีขอความอนุเคราะห์จากเหล่าอาสาที่มีจิตจะร่วมกันให้การศึกษาแก่เด็ก ๆ คนมีเยอะก็ให้เยอะ มีน้อยก็ให้น้อย หนึ่งร้อยบาท สองร้อยบาท ห้าร้อยบาท ฉันสมทบไปสองร้อยบาทด้วย
ได้เงินเท่าไรก็มาเฉลี่ยให้เด็ก ๆ เท่า ๆ กันหมด ฉันก็จำไม่ได้ว่า ได้เงินจากการบริจาคเท่าไร นอกจากการแจกทุนนี้แล้ว ยังมีรางวัลสำหรับนักเรียนที่มาช่วยเหลืองานเหล่าอาสาแต่ละกลุ่ม โดยให้หัวหน้ากลุ่มเป็นผู้เสนอ กลุ่มละ 1 คน แล้ว ก็มีรางวัลเด่นที่สุดอีก 1 คน
สิ่งหนึ่งที่ฉันได้ร่วมฟังอยู่ด้วยที่ฉันไม่ค่อยสบายใจ นั่นก็คือ การประกาศและชี้ตัวเด็กที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมต่อหน้าทุก ๆ คน ทั้งผู้ปกครอง เพื่อน ๆ เด็กด้วยกัน และท่ามกลางเหล่าอาสาที่ร่วมงานอยู่ด้วย การประกาศเช่นนี้ ถึงจะมีเจตนาเปรียบเทียบเด็กที่ประพฤติดีและไม่ดี ชี้ให้เห็นว่า เด็กที่ทำดีย่อมได้รับรางวัลทำดี เด็กที่ประพฤติไม่ดีย่อมไม่ได้รับความรักและรางวัล ก็จริง เราไม่ควรประกาศชื่อและชี้ตัว เราควรจะไม่เอ่ยชื่อ ไม่ชี้ตัว กล่าวเป็นเหตุผลกลาง ๆ ก็พอ มันเป็นการทำร้ายความรู้สึกของเด็กที่ถูกอ้างถึง ทำให้เด็กคนนั้นเกิดความอับอายเหมือนถูกประจาน เราควรจะเอาตัวเขาไปอบรมสั่งสอนในสิ่งที่เด็กประพฤติไม่ดีในห้องส่วนตัว ให้เขาเข้าใจถึงสิ่งที่เขาทำนั้น ไม่เป็นสิ่งที่สังคมพึงปรารถนา ฉันอยากฝากให้ทุกคนเป็นข้อคิด ในฐานะฉันเป็นครูและเรียนจิตวิทยาทางการศึกษามาพอสมควร ประกอบกับชั่วชีวิตของฉันคลุกคลีอยู่กับเด็กตลอดเวลา อยากฝากเป็นข้อคิดในเรื่องการจะกล่าวคำพูดอะไรออกไป ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของเด็ก ๆ ด้วย

ภาพของการแจกขนม แจกรางวัล แจกทุนการศึกษา
แจกรางวัลเด็กช่วยเหลืองานดี



นอกจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว เรายังมีการช่วยจัดทำสื่อการเรียนการสอน ประดับห้องเรียนให้น่าเรียน เป็นสื่อการเรียนการสอนด้วย



ภาพที่เหล่าอาสาช่วยกันจัดทำสื่อการเรียนการสอนให้



ส่วนฉันก็ได้นำสื่อการเรียนการสอนที่ฉันจัดทำเอง เรื่อง การบอกเสียงวรรณยุกต์โดยไม่ต้องเทียบเสียงจากอักษรกลาง ซึ่งจัดทำเป็นบทเรียนสำเร็จรูป มามอบให้ห้องสมุดของโรงเรียนนี้ จำนวน 5 ชุด และนำงานเขียนประสบการชีวิตของฉัน ซึ่งก็มีการสอดแทรกความรู้ภาษาไทยอยู่บ้าง เรื่อง "พลิกวิกฤตของชีวิตสู่ความฝันที่เป็นจริง" มามอบให้ห้องสมุด อีก 1 ชุด โดยมีตัวแทนของครูโรงเรียนบ้านฟองใต้ เป็นผู้รับมอบ ฉันก็หวังว่า งานเขียนของฉันจะเป็นประโยชน์ต่อครูและนักเรียนที่นี่ได้



จากนั้นมีพิธีให้ครูใหญ่ของโรงเรียนมารับมอบเงิน 120,000 บาท ซึ่งเป็นค่ายกอาคารเรียน ค่าเสาคอนกรีตนั่นเอง
ฉันถ่ายภาพไว้หลายภาพด้วยค่ะ



หลังจากที่พิธีเสร็จสิ้นไปแล้ว พวกเราก็เก็บเต๊นท์เก็บข้าวของเพื่อเตรียมออกเดินทาง ก่อนออกเดินทาง มีอาหารมื้อเที่ยงทานกันอีก 1 มื้อ ส่วนการล้างถ้วยล้างชามมื้อสุดท้ายนี้ เราขอให้ทางโรงเรียนหาคนมาช่วยล้างให้ เพราะเราไม่มีเวลาแล้ว (ฉันไม่ทราบว่าต้องมีการว่าจ้างกันหรือเปล่า)

ก่อนรอความพร้อม ยายเกดนำสมุดเซ็นต์เยี่ยมมาให้ฉันเขียนข้อความ เออ! ทำไมหนอ หัวหน้าคลับทำไมจึงไม่เขียนเองนะ ฉันจึงต้องเขียนให้ เพราะถ้าไม่เขียน ยายเกดก็จะเอาสมุดเซ็นต์เยี่ยมไปคืนครูใหญ่โดยไม่เขียนอะไร ฉันจึงเขียนรายงานว่า เราได้ทำอะไรให้แก่โรงเรียนบ้านฟองใต้บ้าง และขอบคุณครูใหญ่และครูรวมทั้งคนงานของโรงเรียนที่ให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี

ขณะที่ฉันนั่งเซ็นต์เยี่ยมและนั่งคุยอยู่กับน้อง ๆ ทีมทำกับข้าวกัน น้อง ๆ ได้ถ่ายรูปร่วมกับฉันเป็นที่ระลึก



ฉันเห็นอาลบั้มรูปของ เอก มีหลายรูปที่ฉันไม่มี ฉันได้นำมาเพิ่มเติมให้ชมด้วยนะคะ

รูปสมาชิกส่วนหนึ่งที่ฉันรวบรวมมาให้ชมค่ะ



รูปเด็ก ๆ ที่หน้าตาน่ารักและบ้องแบ๊ว ค่ะ



ภาพเปรียบเทียบอาคารเรียนที่ยังไม่ได้พัฒนากับหลังจากที่เหล่าอาสาได้ทำการพัฒนาแล้ว



ความรู้ที่ฉันได้รับจากการออกค่ายครั้งนี้ คือ การขัดพระพุทธรูปด้วยผงชูรส ทำให้พระพุทธรูปสะอาดเอี่ยมเป็นเงาวับเลยทีเดียวค่ะ เป็นเรื่องที่แปลกจังเลย



รถของพวกเราเริ่มตั้งขบวนออกจากโรงเรียน โดยมี ครูใหญ่มายืนส่งและกล่าวขอบคุณพวกเรา เวลาในขณะนั้นประมาณบ่ายโมงกว่าแล้ว อ๊อพ ทำหน้าที่ขับรถคันของก๋อยเหมือนเดิม สมาชิกรถคันของเราลดไปหนึ่งคน เขาไปขึ้นรถอีกคันหนึ่งของเพื่อนมั้ง เหลือแต่อาสาสองพี่น้อง (คนพี่เป็นหญิง คนน้องเป็นชาย ดูเหมือนอายุน้อยอยู่เพียง 23 ปี เป็นขวัญใจของพี่ ๆ อาสา ในปีนี้ พี่ปีที่แล้ว เห็นเขาคุย ๆ กันว่า เป็น เอก อันโต อิอิ ปีนี้ ถูกชิงแชมป์ไปเสียแล้ว น้องเรา) รถแล่นตามกันไปได้สักพัก แต่ในที่สุดก็เหลืออยู่เพียง น่าจะ 7-8 คัน เพราะต่างคนต่างกลับไปตามเส้นทางของตัวเอง นั่นเอง น่าจะมีรถคันของฉัน ก๋อย บอล เหมียว เล่ย์ คุณทอง สรร แล้วก็รถตู้อีก 2 หรือ 1 คัน ฉันก็จำไม่ได้เสียแล้ว มีการแวะปั๊มเพื่อเติมน้ำมัน เข้าห้องน้ำ พักรถ พักคน (คนขับ) ฉันก็จำไม่ได้ว่า มาพักที่ปั๊ม ป.ต.ท. อำเภออะไร รู้แต่ว่า เป็นปั๊มที่ใหญ่มาก มีร้านค้ามากมาย ที่นี่จอดนานหน่อย เพราะรอคิวซื้อกาแฟเย็นดื่มกัน ฉันกับน้องที่นั่งรถคันเดียวกันไปซื้อปลาเส้นที่ร้าน เจ้าสัว 3 ห่อ 100 บาท ที่ปั๊มนี้ รถของบอล ซึ่งมีผู้โดยสาร 2-3 คน มีคนชื่อ หน่อย (ถูกหรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจ) เขาเป็นตำรวจ เห็นคนเขาเรียกว่า "หมวด" กับเพื่อนเขาอีกคน ออกรถไปก่อน เพราะจะแยกไปทางสมุทรสาคร อะไรประมาณนั้น บอลไหว้ลาฉันจากจุดนี้ไป เพราะว่า ต้องแยกกันไปคนละเส้นทางแล้ว รถทุกคันเริ่มทยอยออกจากปั๊มนี้ไป ระหว่างทางก็แวะซื้อมะขามกัน ฉันซื้อแต่มะขามที่เป็นกระปุก มะขามแช่อิ่มและมะม่วง 3 อย่างร้อยบาท บางคนซื้อมะขามเป็นกิโล ซึ่งไม่ได้ถูกกว่ากรุงเทพฯเลย โลละ 160 บาท

เราแวะมาทานอาหารมื้อเย็นที่ วิเชียรบุรี มั้ง เพราะแถวนี้มีแต่ร้านขายไก่ย่างวิเชียรบุรีทั้งนั้น ซึ่งอ๊อบบอกว่า พวกเรายังอยู่ในตัวจังหวัดเพชรบูรณ์ (อ๊อบ เป็นคนเพชรบูรณ์) รถพวกเราจอดกันที่นี่ ฉันจำชื่อร้านไม่ได้ อ๊อบบอกว่า ปีที่แล้วก็แวะมากินที่นี่ โต๊ะไม่สามารถนั่งอยู่รวมกันได้ทุกคน (คนแน่นมาก ทั้ง ๆ ที่เวลานี้น่าจะทุ่มกว่าแล้ว) รถคันฉัน มีอ๊อบแยกไปนั่งกันด้านนอกกับเหมียวมั้ง ก๋อย และสองพี่น้อง นั่งอยู่ที่โต๊ะยาวนี้ ซึ่งมีประมาณน่าจะไม่น้อยกว่า 20 คน นะ แอง เป็นคนสั่งอาหาร มี ไก่ย่าง 4 ชุด ชุดละ 1 ตัว ส้มตำ ทั้งใส่ปลาร้าและไม่ใช่ ข้าวเหนียว ต้มยำ ลาบหมู ไข่เจียว หนวดปลาหมึกสะดุ้ง ฯลฯ อาหารมื้อนี้ แองบอกว่า เงินจากการเก็บจากสมาชิกเข้าค่ายเพื่อดำเนินการจัดค่ายครั้งนี้ มีเหลืออยู่ประมาณหมื่นกว่าบาท ถ้าทานอาหารเกินกว่าเงินที่เหลือ ค่อยเฉลี่ยกันก็แล้วกัน ปรากฏว่า ไม่เกินมั้ง เพราะไม่ได้มาเก็บเพิ่มนั่นเอง อาหารแต่ละอย่าง มาเสิร์ฟช้า อาจจะเพราะว่า พวกเราหิวโซมากระมัง อาหารจานไหนมาถึง ( 4 ชุด ) แปล๊บเดียวก็หมดเสียแล้ว แปลกที่ไม่เอาข้าวเหนียวมาเสิร์ฟก่อนเลย มาเอาตอนกับข้าวทยอยกันมาเกือบหมดแล้ว ไก่ย่างก็ย่างไม่ทันกิน มาทีละครึ่งตัว ขายดีม้ากมากเลยทีเดียว

กว่าจะทานเสร็จ เข้าห้องน้ำห้องท่ากันเรียบร้อยแล้ว ก็น่าจะ 3 ทุ่มได้มั้ง ฉันลืมดูนาฬิกา ก่อนขึ้นรถ ยายเกด ส่งขวดน้ำมัลเบอร์รี่เข้มข้น มาให้ฉัน 1 ขวด บอกว่า "ซื้อฝากอาจารย์ เป็นสูตรเข้มข้น น้ำมัลเบอร์รี่ 1 ส่วน ผสมกับน้ำเปล่า 3 ส่วน" เกดไปซื้อจากที่ไหน ฉันก็ไม่รู้หรอก ฉันขอบใจเกดที่เขามีน้ำใจกับฉันที่ซื้อมาฝาก และแยกกันไปขึ้นรถ รถยายเล่ย์ก็แยกไปอีกคัน เพราะเขาต้องกลับจังหวัดอ่างทองนั่นเอง จึงเหลือรถไม่กี่ค้นที่กลับกรุงเทพฯแ

ระหว่างทาง ฉันก็สัปหงกเหมือนกัน แต่ไม่กล้าหลับสนิท เพราะนั่งข้างหน้า ต้องคอยสังเกตเจ้า อ๊อบเหมือนกัน เขาขับมือเดียวมาโดยตลอด คงเหนื่อยน่าดูแหละนะ ขากลับนี้ มีปลวกมาเพิ่มอีกหนึ่งคน (เดิมเขานั่งรถตู้ ดีจัง เขาเป็นคนคุยสนุก อ๊อบจะได้ตื่นตัวไม่หลับใน ส่วนสองพี่น้องหลับสบายมาเกือบตลอดทาง อาจจะเป็นเพราะอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน เนอะ ) ระหว่างทาง ก็มีวิทยุคุยกันบ้าง แหย่กันบ้าง คลายความง่วงได้เป็นอย่างดีน่ะ

รถมาติดมากน่าจะแถวที่เรียกว่า วังน้อย อยุธยา มั้ง ฉันก็ไม่รู้จักทาง ติดกันเป็นชั่วโมง ๆ ยังเห็นน้องน้ำเจิ่งอยู่บางช่วง รถลุยน้ำไปก็มี ปั๊มน้ำมันหลายแห่งร้างไปเลย กว่าเราจะถึงจุดนัดพบ ซึ่งเปลี่ยนใหม่มาทางคอนโดของเหมียว แถวรามคำแหง รถเหมียวมาก่อนเพื่อน รถคันที่ฉันนั่งมาก่อนรถก๋อยได้พักใหญ่ ๆ (ต้องรอเปลี่ยนรถกัน) ตอนนี้ปาเข้าไปจะตีหนึ่งแล้ว รอจนรถก๋อย รถคุณทองมาถึงกัน รถคันเกดยังมาไม่ถึง มีรถตู้คันเดียวที่มาส่งเหล่าอาสาที่มากับรถตู้ ฉันง่วงเต็มที่ เพราะอดนอนมา 2-3 คืน สงสารก๋อยมากที่ต้องไปส่งฉันที่บ้าน แล้วดูเหมือนจะต้องไปส่ง อาสาอีกคนที่ขอติดรถไปด้วย เหมือนกับว่าจะไปทางเดียวกันมั้ง

ล่ำลากันแล้ว ก๋อยก็ออกรถ กุญแจบ้านก็ยังอยู่ที่เกดอีก แต่ก๋อยบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวเรียกคนที่บ้านมาเปิดประตูบ้านให้ได้ ถนนหนทาง รถรามีน้อย เพราะตีหนึ่งกว่าแล้ว จึงแล่นได้สบาย ไม่ถึง ครึ่งชั่วโมงมั้ง ก็ถึงบ้านฉัน ก๋อยช่วยหิ้วกระเป๋าเดินทาง ฉันหิ้วแต่ขนมนมเนยที่ซื้อมาเท่านั้น ฉันได้แต่กล่าวขอบใจก๋อย ที่เขามีน้ำใจกับฉัน มารับมาส่งฉัน ไม่มีอะไรตอบแทนเขาเลย นอกจาก คำ "ขอบใจ" มาก ๆ ในน้ำใจอันดีงามของเขาที่ เอื้อเฟื้อต่อคนสูงอายุและไม่เคยไปไหนมาไหนคนเดียวเดี่ยว ๆ เลย
ขอบใจมาก ๆ อีกครั้งนะก๋อยนะ มีอะไรจะให้คุณครูแม่คนนี้ช่วยเหลือบ้าง ถ้าช่วยและทำให้ได้ ก็ยินดีนะจ๊ะ

ความสุขใจ อิ่มเอมใจจากการออกค่ายอาสากับกลุ่ม "โอเอฟซี " ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ฉันภาคภูมิใจที่สุด มีความสุขที่สุด ขอบใจเกด ลูกศิษย์ ที่ชักจูงไปเจอสิ่งดี ๆ นอกจากตัวเองจะได้ทำประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตหลังเกษียณอายุราชการแล้ว ฉันยังได้เห็นภาพที่แสนประทับใจในการร่วมมือร่วมใจกันทำงานอย่างเต็มอกเต็มใจ สนุกสนานในการทำงาน ได้เห็นภาพที่ร่วมมือกัน หยอกล้อ เย้าแหย่กัน สามัคคีกัน อย่างกลมเกลียว ทั้ง ๆ ที่มาจากแหล่งเพื่อนต่างที่กัน ต่างวัยกันบ้าง ต่างนิสัยใจคอ แต่ก็สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างกลมเกลียว มีชิ้นงานที่ออกมาเป็นเครื่องยืนยัน (ดังภาพถ่ายที่ฉันนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิง) มันช่างเป็นภาพที่แสนงดงามสำหรับสายตาของฉัน งามทั้งภายนอกและภายในจิตใจของแต่ละคน ถ้าหากไม่มีจิตใจที่ดีงามด้วยกันทุกคน ก็ยากนักที่จะได้งานออกมาเป็นชิ้นเป็นอันเช่นนี้ ใช่ไหมล่ะคะ ฉันอยากเห็นหนุ่ม ๆ สาว ๆ ในสังคมไทยในยุคปัจจุบัน มีความคิดสร้างสรรค์ มีความ เอื้อเฟื้ออาทรต่อสังคมที่เขายากไร้กว่าเรา ไปช่วยสร้าง ช่วยเสริมให้คนที่ด้อยโอกาสกว่าเรา มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มันเป็นความสุขทางใจที่หาไม่ได้ง่ายนัก ค่ะ

ฉันก็หวังว่า งานเขียนชิ้นนี้ของฉัน คงจะเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยเสริมให้กลุ่ม "โอเอฟซี" และคนอื่น ๆ ที่ได้อ่านงานเขียนชิ้นนี้ของฉัน มีกำลังใจในการทำความดีต่อ ๆ ไป นะคะ

สวัสดีค่ะ




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2554
10 comments
Last Update : 14 ธันวาคม 2554 14:15:54 น.
Counter : 5242 Pageviews.

 

งานเขียนเยี่ยมเลยครับครู ความจำแม่นมาก เนื้อหาที่คุณครูเขียนอยากบอกว่า
" ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องขวนขวายไปหาเอาเองครับ"

 

โดย: ทอง IP: 125.27.100.253 14 ธันวาคม 2554 17:02:35 น.  

 

ยาว-*-เกิน

 

โดย: บายเเจ้ IP: 124.122.116.247 14 ธันวาคม 2554 19:30:39 น.  

 

สวัสดีคะ

ขอบคุณมากค่ะ อาจารย์ อ่านไปน้ำตาจะไหล เหมือนเหตุการณ์เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน ยิ่งตอนนี้อากาศที่บ้านเย็นมาก ยิ่งได้อรรถรส (ไม่รู้พิมพ์ถูกไหม) ไว้คราวหน้าเราไปกันอีกนะคะ บุก็พึ่งไปครั้งแรก ไว้คราวหน้าขอคุยกับอาจารย์ให้เยอะกว่านี้ ฝากตัวด้วยนะคะ อากาศเย็น รักษาสุขภาพด้วย โอกาสหน้าเจอกันนะคะ

สวัสดีคะ

 

โดย: บุศรา IP: 14.207.228.226 14 ธันวาคม 2554 19:32:36 น.  

 

ถึงแม้จะยาว แต่ก็เป็นเรื่องราวที่เรียบเรียงมาได้อย่างเข้าใจ และออกมาจากความเป็นจริงทุกประการ ทำให้หนูสามารถมองเห็นภาพทั้งหมดได้ โดยที่ไม่ได้เห็นของจริง เพราะส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในครัว ตั้งแต่เช้า ยันเที่ยงคืน (เด็กล้างจาน หั่นผัก) ที่เหลือจากนั้นก็นอน กลางคืนหนาวมากไม่ได้เตรียมผ้าห่มไป ใส่เสื้อประมาณ 5 ตัวนอน แต่ตื่นเช้ามาตี 5 หนูอาบน้ำน่ะค่ะอาจารย์ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณกลุ่ม OFC ที่ทำให้รู้จักสิ่งดีดีเหล่านี้ และน้ำใจจากเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ประทับใจจริง ๆ ค่ะ ได้มีโอกาสมาทำดีครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกปลูกป่าชายเลนที่สัตหีบ ครั้งนั้น น้องชาย ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องชวนไป ติดใจครั้งนี้เลยขอไปอีก และโอกาสหน้าอย่าลืมมอบโอกาสนี้ให้กับหนูน่ะคะ่

 

โดย: สุ (ชุดทำครัว) IP: 58.11.184.50 15 ธันวาคม 2554 7:37:41 น.  

 

ขอบคุณอาจารย์สุวิมล ที่นำเสนอเรื่องราวดีๆของกลุ่มจิตอาสาโอเอฟซี..ทำให้เห็นว่าสังคมไทยยังมีคนดีอยู่ทุกที่..ประทับใจมากๆค่ะ

 

โดย: ทิพ IP: 69.234.48.215 15 ธันวาคม 2554 14:05:36 น.  

 

เป็นงานเขียนที่งดงามมากครับ งามทั้งเนื้อหา และการใช้อักษรเลยครับ

 

โดย: แอง IP: 124.121.237.148 18 ธันวาคม 2554 10:01:11 น.  

 

ขอสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กลุ่มจิตอาสาโอเอฟซี นะครับ

ส่วนงานเขียน เล่าเรื่องราวได้ละเอียดมากครับ แต่ความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่ายาวไปครับ โดยเฉพาะตอนเริ่มต้น กับ ตอนลงท้าย พอมาถึงช่วงตรงกลางรู้สึกดีหน่อย เพราะว่ามีรูปภาพประกอบ การเล่าเรื่อง เพราะว่าต้องอ่านจากจอคอมพิวเตอร์ กว่าจะอ่านจบ ตาแทบอักเสบ ถ้าเป็นไปได้อยากให้กระชับเนื้อหาให้มากกว่านี้ครับ (เป็นความเห็นสำหรับคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือนะครับ อิอิ) แล้วผมจะติดตามผลงานของอาจารย์ต่อไปนะครับ

 

โดย: สกล IP: 124.121.113.87 13 มกราคม 2555 11:36:45 น.  

 

ขอบคุณแทนเด็กๆฟองใต้ทุกคนค่ะ

 

โดย: ครูสายชล IP: 10.251.6.203, 203.172.199.250 2 กุมภาพันธ์ 2555 20:00:35 น.  

 

อยากไปทำกิจกรรมแบบนี้่ที่โรงเรียนบ้านฟองใต้ค่ะ ขอเบอร์โทรติดต่อของอาจารย์ที่ประจำอยู่ที่โรงเรียนบ้านฟองใต้ได้ไหมค่ะ ขอบคุณค่ะ

 

โดย: พัชราภรณ์ สังฆะทิพย์ IP: 101.109.232.183 3 ตุลาคม 2556 13:04:18 น.  

 

ตอบ คุณ พัชราภรณ์ สังฆะทิพย์
เบอร์โทรที่โรงเรียนบ้านฟองใต้ ฉันไม่ทราบหรอกค่ะ แต่หัวหน้ากลุ่ม โอเอฟซี คือ คุณแอง เขาเป็นผู้ประสานงานกับ ครูใหญ่โรงเรียนนี้ คิดว่า น่าจะมีเบอร์ของโรงเรียนบ้านฟองใต้ คุณลองโทรติดต่อคุณแองดูนะคะ 089-7998664 ลองโทรคุยกันนะคะ

 

โดย: อาจารย์สุวิมล (อาจารย์สุวิมล ) 5 ตุลาคม 2556 15:03:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space