คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
กันยายน 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
space
space
2 กันยายน 2555
space
space
space

ท่องไปในดินแดนแห่งแกะ หนอนเรืองแสง บ่อโคลน อันน่าพิสมัย ตอนที่ 2

ท่องไปในดินแดนแห่งแกะ หนอนเรืองแสง บ่อโคลน อันน่าพิสมัย
ตอนที่ 2

พวกเราเริ่มมีการเรี่ยไรเงิน เพื่อให้คนขับรถคนแรก คือ คุณไมเคิล เพราะเขาต้องไปส่งพวกเราที่สนามบินแล้ว เพื่อที่จะขึ้นเครื่องบินบินไปเกาะเหนือของประเทศนิวซีแลนด์ต่อไป พวกเราจึงต้องมีค่าทิปแก่คนขับเหมือนอย่างที่เราเคยปฏิบัติกันมา พวกเราไปถึงสนามบินประมาณ 10 โมงกว่า ตามเวลาของประเทศนิวซีแลนด์ กว่าเครื่องบินจะเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็เป็นเวลาประมาณ 11.45 น. เครื่องบินจาก
ไคร้เชิร์ทมาถึงเมือง โอ๊คแลนด์ของเกาะเหนือ เป็นเวลา 12.45 น. ก็บินประมาณ 1 ชั่วโมง นั่นเอง กว่าจะออกจากสนามบินและรอรับกระเป๋าที่มากับเครื่องบิน ก็นานพอควร คนขับรถคนใหม่มายืนรอรับพวกเราอยู่ก่อนแล้ว โดยถือป้ายของบริษัทเถกิงทัวร์มารอรับพวกเรา กว่าพวกเราจะได้ขึ้นรถก็เป็นเวลา 13.25 น.

เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว มัคคุเทศก์ต๋อง ก็แนะนำคนขับรถคันใหม่ให้พวกเรารู้จักว่า เขาชื่อ คุณเทลเวอร์ เขาใส่หมวก ปักคำว่า T .K. ให้พวกเราเรียกเขาว่า ที เค ก็ได้ มัคคุเทศก์อธิบายว่า ตั๋วเครื่องบินที่ใช้สติ๊กเกอร์สีส้มนั้น แสดงให้รู้ว่า เรามาจากเครื่องบินภายในประเทศ การตรวจจึงไม่เป็นการยุ่งยาก แสดงตั๋วให้เขาดู เขาก็ให้เข้าประเทศ (เกาะเหนือ) แล้ว

กว่าที่พวกเราจะได้ทานข้าวมื้อเที่ยง ก็ปาเข้าไปบ่ายสองโมงแล้ว เราทานอาหารมื้อนี้เป็นอาหารจีน ชื่อร้าน คือ เสฉวน ระหว่างทางที่จะไปถึงร้านอาหาร รถของเราผ่านสองข้างทางของเมืองโอคแลนด์ จะเห็นได้ว่า สองข้างทางที่ผ่านนั้นมีทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่ความสวยงามของเกาะเหนือและเกาะใต้นั้น มีความต่างกัน เกาะเหนือ ทิวทัศน์ที่ผ่านไปนั้นจะเห็นว่ามีความเขียวขจีมากกว่าเกาะใต้ แต่บ้านของชาวเกาะเหนือสวยสู้บ้านของชาวเกาะใต้ไม่ได้ อากาศไม่หนาวเท่ากับเกาะใต้

หลังอาหารกลางวัน (บ่ายสอง) แล้ว พวกเราก็เดินทางไปเมือง โรตารัว (Rotarua) มัคคุเทศก์ ต๋อง เล่าให้ฟังว่า โอ๊คแลนด์เป็นเมืองใหญ่ พวกเราจากเมืองโอ๊คแลนด์ไป โรตารัวใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่ง

เมือง โรตารัว เป็นเมืองน่าพักผ่อน มีธรรมชาติ ป่าเขา ทิวทัศน์ที่งดงาม เป็นเมืองเงียบสงบ คนที่มาเมืองนี้ มักจะเป็นนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นนิยมมาเมืองนี้มาก เพราะเมืองนี้อากาศเย็นสบายคล้ายกับประเทศของเขา มีน้ำแร่ บ่อน้ำร้อน บ่อโคลนเดือด เราผ่านเมือง โอตาโม ซึ่งเป็นเมืองที่มีภูเขาหินปูน เมืองนี้มีสิ่งที่จูงใจคนมาเที่ยว ก็คือ การมาดูตัวหนอนเรืองแสงที่น่าอัศจรรย์ใจ และตัวหนอนเรืองแสงดังกล่าว จะมีเฉพาะที่เมือง ไวตาโม เท่านั้น

ส่วนเมืองโอ๊คแลนด์ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนิวซีแลนด์และมีประชาชนมากที่สุดของประเทศด้วย แต่ก็ยังมีประชากรไม่ถึงล้านคน มีเพียงประมาณ แปดแสนคน เท่านั้น เส้นทางของเกาะเหนือเป็นเส้นทางคู่ขนาน มีเนินเขาสองข้างทางที่ผ่านไป ทางไม่คดเคี้ยวอะไรมากนัก เกาะเหนือมีความอุดมสมบูร์มากกว่าเกาะใต้ อบอุ่นกว่าเกาะใต้ และมีประชาชนอาศัยอยู่มากกว่าเกาะใต้ ถือว่าอากาศดีที่สุด อากาศที่เกาะเหนือคล้ายกับอากาศที่เกาะฮาวายของประเทศสหรัฐอเมริกา คือ เป็นเขตร้อนชื้น มีฝนตกบ้าง

รถของเราแล่นไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ห่างจากเมืองโอ๊คแลนด์ออกไปทุกที ออกสู่นอกเมืองที่เงียบสงบ ฉันไม่ได้พักสายตา (นอนหลับ ตามสำนวนภาษาที่มัคคุเทศก์ชอบใช้) ฉันนั่งมองออกสู่หน้าต่างรถไป เพื่อชื่นชมกับความงดงามของธรรมชาติสองข้างทางที่รถผ่านไป ถนนที่เกาะเหนือก็เหมือนเกาะใต้ คือ มีแค่สองเลนเท่านั้น สองข้างทางที่รถแล่นผ่านไป จะเห็นที่ราบเขียวขจีกว้างใหญ่ไพศาลมากกว่าเกาะใต้ มีการเลี้ยววัวมากกว่าแกะ นาน ๆ เราจึงจะพบแกะไม่กี่สิบตัว จะเห็นแต่วัวทั้งนั้น ภูมิประเทศของเกาะเหนือ จะเห็นว่าระหว่างทาง จะไม่พบธารน้ำไหลตามเส้นทางที่ผ่านเหมือนกับที่เราพบที่เกาะใต้ เพราะว่า เกาะเหนือไม่มีหิมะ จึงไม่มีการละลายของหิมะกลายเป็นธารน้ำไหลเหมือนอย่างเกาะใต้

ความสวยงามของเกาะเหนือจะมีความสวยสดงดงามไปอีกรูปแบบหนึ่ง สวยด้วยความเขียวขจี สดชื่นของทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล เวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตา ส่วนเกาะใต้ดูแล้วแห้งแล้ง เพราะพื้นที่ ภูเขา ดูเป็นสีน้ำตาลไปหมด ไม่ค่อยเห็นความเขียวสดใสเลย เกาะเหนือไม่สดชื่นในเรื่องของไม่มีธารน้ำไหลและไม่ค่อยเห็นทะเลสาบ

ส่วนเมืองโรตารัว เป็นเมืองอนุรักษ์ พยายามไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เมืองนี้มีกำมะถันมาก ที่นี่เราจะเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเผ่าเมารี ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของประเทศนิวซีแลนด์ ในเมืองโรตารัว จะมีบ่อน้ำร้อนมาก เพราะฉะนั้น น้ำร้อนในโรงแรมจะไม่ขาดแคลนเลย ที่นี่จะใช้บ่อน้ำร้อนในการทำอาหาร หุงต้ม นึ่งข้าว เข้าใจว่า เผ่าเมารีคงจะอพยพเข้ามาในประเทศนิวซีแลนด์พันกว่าปีที่ผ่านมา เมารีเป็นเผ่าโปนิเนเชียนจะเจริญช้ากว่าชาวยุโรป ซึ่งมีวิทยาการที่เจริญก้าวหน้ากว่า

พวกเมารี จะอพยพเร่ร่อนไป เมื่อผืนแผ่นดินแปลงนั้นขาดความอุดมสมบูรณ์ อยู่กันเป็นกลุ่มไม่มากคนนัก มีเครื่องมือทำด้วยหินในการล่าสัตว์เป็นอาหาร ไม่ค่อยมีการเพาะปลูก สังคมดังกล่าว เป็นสังคมของชนชาวเผ่าเมารีก่อนการวิวัฒนาการมาเป็นชาวเกษตรกรรม ต่อมา เผ่าเมารีรู้จักการเพาะปลูก รู้จักคิดเพลง อาวุธ เครื่องใช้ต่าง ๆ มีมากขึ้น รู้จักใช้โลหะ เป็นขวานเหล็ก มีการสะสมศิลปกรรม เช่น แกะสลักไม้ การร้องรำทำเพลง ประเทศนิวซีแลนด์ถูกค้นพบ ในศตวรรษที่ 18 ทำให้ชาวเมารีรู้จักชาวยุโรป

เราเดินทางมาถึงเมืองโรตารัว แต่ยังไม่เข้าพักที่โรงแรม เราไปเที่ยวกันที่ทะเลสาบ โรตารัว เป็นทะเลสาบที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก มีที่อาบน้ำของคนเดินทางด้วย ซึ่งจะต้องเสียเงินค่าอาบน้ำให้เขาด้วย ปัจจุบันไม่มีที่อาบน้ำเช่นนี้อีกแล้ว ที่บริเวณนี้ มีโบสถ์ทิวดอว์ ในทะเลสาบโรตารัว มีเป็ดน้ำ หงส์ดำ คอแดง และเป็นที่ที่มีปลาเทราที่ใหญ่ที่สุดของทะเลสาบนี้ พวกเราลงจากรถไปยืนชื่นชมกับความงามของทะเลสาบโรตารัว คุณ ทีเค ไปซื้อขนมปังมาให้พวกเราเลี้ยงปลา เป็ด และหงส์ ในทะเลสาบ ซึ่งพวกมันดูท่าทางหิวโหยมาก พวกเราให้ขนมปังเท่าไรมันก็ไม่อิ่มสักที มารอและขอกินอยู่ตลอดเวลา ทะเลสาบที่นี่ มีเรือจอดอยู่หลายลำ ดูเป็นธรรมชาติน้อยกว่าทะเลสาบในเกาะใต้ พวกเราถ่ายรูปกันตอนเอาอาหารให้ปลา เป็ด หงส์ กิน คนละ 1-2 ใบ



หลังจากที่ชื่นชมกับความงามของทะเลสาบโรตารัวแล้ว ซึ่งที่นี่ ลมแรงมาก พัดจนผมปลิวกระจายปิดหน้าปิดตาไปเลย พวกเราชื่นชมอยู่ประมาณ 20 นาทีได้ ก็ขึ้นรถเพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังโรงแรมที่พัก ชื่อว่า โรงแรม ควอลิตี้ อิน มัคคุเทศก์ ต๋อง ให้พวกเราเข้าห้องพัก พักผ่อนก่อนจะพาไปทานข้าวมื้อเย็น โดยนัดหมายไว้ว่า พบกันที่ล็อบบี้เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ซึ่งก็จะกินข้าวมื้อเย็นที่โรงแรมนี้พร้อมกับดูการแสดงโชว์ไปด้วย นั่นเอง

เมื่อถึงเวลานัด ฉันและคณะเพื่อนของฉันก็ออกจากห้องนอนลงไปข้างล่างตามที่นัดกันไว้ พวกเราต้องการไปเร็ว ๆ หน่อย เพื่อจะได้ไปจองที่อยู่หน้า ๆ เวที ดูการแสดงได้ชัดเจนหน่อย ส่วนอาหารมื้อเย็นมื้อนี้ก็เหมือนเดิม จัดแบบบุฟเฟ่ เป็นอาหารฝรั่ง ฉันว่ามันไม่อร่อยเหมือนเดิมนั่นแหละ พวกเราก็ตักอาหารอย่างละเล็กละน้อย ไปนั่งทานกันเป็นกลุ่ม

ประมาณเกือบสองทุ่ม การแสดงก็เริ่มขึ้น การแสดงเป็น
การร้องเพลงพื้นเมืองของเขา มีท่าเต้นประกอบเพลงที่ร้อง เสียงร้องเพลงของพวกนี้ เสียงดังมาก บางเพลงฟังทำนองแล้วดูเร่าร้อน ทั้ง ๆ ที่ฉันก็แปลไม่ออกหรอกนะ แต่ทำนองและเสียงที่เขาเปล่งออกมามันบอกเช่นนั้น แต่ก็มีบางเพลงที่เป็นทำนองเย็น ๆ ฟังแล้วเย็นหูดี การแสดงไม่มีอะไรพิสดาร การแสดงโชว์ ดูแล้วสู้การแสดงของที่รัฐฮาวายไม่ได้

ระหว่างการแสดง เขามีการขอให้พวกเราบางคนออกไปร่วมเต้นกับพวกเขาด้วย โดยให้พวกเราเต้นตามเขา ฉันกับเฮียชุ้น
(สามีเก๊า) โดนเขามาโค้งเชิญออกไปเต้นด้วย โธ่ ! เรื่องการเต้นรำกับฉัน มันถูกกันเสียเมื่อไหร่ล่ะ แต่ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะเขาไม่ยอม ฉันเลยต้องออกไป เต้นมั่ว ๆ ตามเขาไป ถูกจังหวะบ้างผิดบ้าง ดู ๆ ไปก็สนุกดี เป็นการออกกำลังกายไปเสียเลย การแสดงมีประมาณชั่วโมงเศษ ๆ ก็จบลง ประมาณสามทุ่มเศษ ๆ พวกเราก็ขึ้นห้องพัก อาบน้ำอาบท่ากัน และเข้านอนเลย เพื่อออมแรงไว้พรุ่งนี้จะได้เที่ยวต่อไงล่ะ



วันที่ 19 ตุลาคม 2541

เช้านี้พวกเราออกจากที่พักเร็วกว่าปรกติ 15 นาที ปรกติเราจะออกจากโรงแรม 8.00 น. แต่วันนี้ รถพวกเราออก 7.45 น. ออกจากเมือง โรตารัว เพื่อจะได้ไปเที่ยวได้มากแห่งขึ้น

รายการเที่ยวสถานที่แห่งแรก ก็คือ ไปชมหมู่บ้านเมารี ซึ่งจัดเป็นศูนย์วัฒนธรรมของชนเผ่าเมารี พวกเราไปถึงศูนย์นี้ ปรากฏว่า ประตูที่จะเข้าชมยังไม่เปิดเลย เขาจะเปิดเวลา 9.00 น. การรีบมาของพวกเราจึงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

เมื่อถึงเวลา 9.00 น. ประตูของศูนย์วัฒนธรรมเมารี ก็เปิดออก มัคคุเทศก์ ต๋อง พาพวกเราเข้าไปชมบ้านของชนเผ่าเมารีที่สร้างโชว์เอาไว้ มีเรือ แคนนูของชนเผ่านี้ใช้ในการสัญจรทางน้ำด้วย เป็นรูปศีรษะของเทพเจ้า เรียกสิ่งนี้ว่า “ปา” หรือ “ปาป้า” “ปา” (Pa) หมายถึง ความสงบสุข ซึ่งแต่เดิม เผ่าเมารีมีการรบราฆ่าฟันกัน ต่อมามีการตกลงกันอย่างสันติวิธี จึงได้สร้างเครื่องหมายนี้ขึ้น ซึ่งแสดงถึงความสงบสุข

มีการขุดเรือ แคนนูใช้เดินทางได้เป็นพัน ๆ ไมล์ จะต้องเดินทางถึง 4 เดือน จึงจะถึง ฮาวายได้ มัคคุเทศก์ต๋อง เล่าให้ฟังเช่นนี้ พวกเราชมบ้านและสถานที่ก่อสร้างต่าง ๆ แล้ว ก็เดินไปชมบ่อน้ำร้อนและบ่อโคลนเดือด ฉันเพิ่งเคยเห็นบ่อโคลนเดือดเป็นครั้งแรกในชีวิต ดูแล้วน่ากลัวมาก เพราะในบ่อนั้น ฉันเห็นโคลนในบ่อเดือดปุด ๆ โคลนที่เดือดนั้น ดูเหนียวหนึด ๆ ดูเข้มข้น ฉันคิดว่า ถ้าใครตกลงไปในบ่อโคลนเดือด อย่าหวังว่าจะเหลือชีวิตรอดขึ้นมาจากบ่อได้เลยอย่างแน่นอน ตามบ่อโคลนเดือด เขาจะทำไม้ล้อมบ่อไว้ เพื่อให้คนมาดูบ่อโคลนเดือดมีความปลอดภัย มีป้ายประกาศเดือนให้ระวังอย่าใกล้บ่อโคลนเดือดมากเกินไปด้วย ธรรมชาติช่างสร้างสรรค์สิ่งแปลกมหัศจรรย์ให้มนุษย์ได้ชมอยู่เสมอ ส่วนบ่อน้ำร้อน ฉันเคยเห็นแล้วในประเทศไทยของเราที่จังหวัดระนอง ฉันจึงไม่ตื่นเต้นอะไรมากมายนัก แต่บ่อน้ำร้อนของที่นี่ มีความร้อนแรงกว่า มีหลายบ่อ แต่ละบ่อมีควันพวยพุ่งขึ้นมา บางบ่อมีน้ำร้อนพุ่งขึ้นมาสูงมาก บ่อโคลนบางแห่งกว้างมาก บางแห่งแคบ มัคคุเทศก์
ต๋องอธิบายว่า ที่บางบ่อมีน้ำพุ่งออกมาสูงประมาณ 30-40 นาที บางครั้งพุ่งสูงถึง 30 เมตรต่อ 1 ครั้ง บางบ่อที่เราเดินผ่าน จะมีธารน้ำไหลด้วย มัคคุเทศก์ต๋องบอกว่า ธารน้ำที่เห็นนั้นจะไม่ร้อน จะเย็นเหมือนธารน้ำทั่ว ๆ ไป

พวกเราเดินชมต่อไปถึง บ้านนกกีวี ซึ่งชอบอยู่ในที่มืด ๆ แต่ฉันมองไม่เห็นตัวมัน ไม่รู้ว่ามันไปหลบอยู่ที่มุมไหนของบ้าน







ออกจากศูนย์วัฒนธรรมเมารีแล้ว พวกเราก็ไปชมที่ เรนโบว์ฟาร์ม ที่นี่ เขาให้การต้อนรับพวกเราดีมากเลย มีการแสดงการไล่ต้อนแกะของสุนัขที่เขาฝึกเอาไว้ต้อนแกะ เป็นสุนัขที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีทีเดียว วันนี้มีการแสดงของสุนัขสองตัว ตัวแรกชื่อว่า แม็ค เป็นสุนัขที่ไล่ต้อนด้วยเสียงเห่าของมัน หน้าตาของแม็คหล่อเหลาเอาการทีเดียว ตัวของมันเป็นสีดำเมี่ยม แซมด้วยสีขาวและสีน้ำตาลปนบ้าง อายุของมันประมาณขวบครึ่ง มีความเฉลียวฉลาด ชื่อพันธุ์ Huntaway เป็นพันธุ์ที่มีเฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น มีการแสดงโดยการต้อนสุนัขจากฟาร์มมาเข้าคอกก่อน หลังจากนั้น คนเลี้ยงคัดเลือกแกะที่ต้อนมา ป้อนยาแก้พยาธิแล้ว ก็ปล่อยสุนัขในคอกไปไล่ต้อนแกะที่ป้อนยาแก้พยาธิแล้วไปเข้าฟาร์มเหมือนเดิม (ผู้อธิบายเป็นหญิงไทย ชื่อ น้อย) จากนั้น ก็ให้สุนัขอีกตัวหนึ่ง พันธุ์เดียวกัน มีอายุแค่ 6 เดือนเท่านั้น เป็นสุนัขที่เพิ่งฝีกใหม่ แสดงการไล่ต้อนแกะบ้าง ตัวนี้ ทำงานโดยใช้สายตาจ้องมองบังคับแกะ ไม่ใช้วิธีเห่าเหมือนเจ้า แม็ค

นอกจากมีการแสดงการไล่ต้อนแกะของสุนัขดังกล่าวแล้ว ก็มีการแสดงการตรวจฟันของแกะ ซึ่งการตรวจฟันของแกะนี้ จะทำให้รู้ว่า แกะตัวนั้นจะมีอายุกี่ปี แกะจะมีเฉพาะฟันหน้า ถ้ามี 2 ซี่ แปลว่า มีอายุ 1 ปี จะมีการทาสีไว้บนศีรษะ จึงจะเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า ใครเป็นเจ้าของแกะตัวนั้น ๆ มีการตรวจพยาธิในแกะ และกรอกยาพยาธิให้กับแกะ แกะพันธุ์นี้ มีชื่อว่า วอมลี่ ราคาแกะตัวละประมาณ 35-40 ดอลลา อายุแกะที่จะขายได้ ต้องมีอายุประมาณ 4-5 ปี และต้องแล้วแต่พันธุ์ของแกะด้วย ในเกาะเหนือมีแกะประมาณ 5 ล้านตัว ต่อจากนั้น ก็มีการสาธิตการตัดขนแกะด้วยแบตตาเลี่ยน ฉันเห็นที่ตัดขนแกะแล้ว เสียวไส้เหมือนกัน เพราะดูคมแปลบ ขาววับ คนที่จะตัดขนแกะต้องมีฝีมือจริง ๆ ไม่งั้นถ้าพลาดไปถูกเนื้อแกะ ต้องสงสารมันมาก การตัดขนแกะ เขาจะต้องตัดให้ได้วันละ 300-400 ตัว ขนของแกะเมื่อโดนตัดเสียโกร๋นนั้น ภายใน 24 ชม. ก็จะเริ่มขึ้นใหม่ คนที่อธิบายบอกว่า หนังของแกะนั้นจะหนาเป็น สองเท่า สงสารแกะทั้งหลายที่ถูกตัดขนเหลือเกิน ตัวมันจะแดงเรื่อ ๆ ไปหมด โดนตัดใหม่ ๆ อย่างนี้ ฉันคิดว่า มันต้องหนาวแน่ ๆ เลย



จากนั้น ก็มีการสาธิตการรีดนมวัว มีการล้างเต้านมของวัวก่อนการรีด ล้างด้วยน้ำอุ่น มีการรีดอยู่สองวิธี คือ รีดด้วยมือและรีดด้วยเครื่อง เขาอธิบายว่า วัวหนึ่งตัว จะรีดได้น้ำนมประมาณ 10 กว่าลิตร น้ำนมวัวที่รีดนมแล้วนั้น จะนำน้ำนมมาแยกด้วยเครื่องแยก ส่วนที่เป็นน้ำและครีมออกจากกัน ครีมที่รีดได้จะแซ่ตู้เย็น 1คืน แล้วจึงนำไปทำเนยแข็ง

หลังจากที่ดูงานจากฟาร์มนี้แล้ว มัคคุเทศก์ต๋อง ก็พาพวกเรานั่งรถไปชมงานของอีกฟาร์มหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเจ้าของเดียวกันกับฟาร์มที่พวกเราไปชมมาแล้วนั่นเอง (แหม ! รวยจริง ๆ เลยนะนี่) ชื่อว่า เรนโบว์ฟาร์ม เหมือนฟาร์มที่ไปชมมาแล้ว (น่าจะใช้ว่า สาขา 2 นะ) ที่นี่ เป็นแหล่งเลี้ยงปลาเทรา มัคคุเทศก์น้อย อธิบายว่า ปลาเทราเหล่านี้จะมาเองและไปเอง มันจะมาจากทะเลสาบ ปลาเทราเป็นเผ่าพันธุ์ของปลาแซลมอล แต่ปลา แซลมอล จะวางไข่ครั้งเดียวแล้วก็ตาย แต่ปลาเทราวางไข่ได้ถึง 3 ครั้ง ที่ที่เราไปชมนี้ ปลาจะไหลไปตามธารน้ำรอบ ๆ ฟาร์ม ซึ่งมีลักษณะร่มรื่น มีพันธุ์ไม้ขึ้นมากมาย ดูสภาพเหมือนธรรมชาติจริง ๆ มัคคุเทศก์เล่าให้ฟังว่า สภาพที่พวกเราเห็นอยู่ขณะนี้ เป็นสภาพเดิมก่อนที่เจ้าของฟาร์มจะมาซื้อสถานที่นี้แล้ว และคนที่ซื้อสถานที่แห่งนี้ เขาก็ไม่ยอมสร้างสิ่งก่อสร้างเพิ่มเติมอะไรเลย คงปล่อยไปเป็นธรรมชาติที่พวกเรามาเห็นนั่นแหละ เออ ! นับว่าคนที่ซื้อสถานที่แห่งนี้ไป เป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติจริง ๆ น่ายกย่องและนับถือมากทีเดียว อยากให้พวกที่ชอบตัดไม้ทำลายป่าในประเทศไทย เอาเป็นเยี่ยงอย่างด้วย ให้รู้จักสำนึกถึงผลร้ายของการตัดไม้ทำลายป่าและผลนั้นไปตกอยู่กับประชาชนที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ต้องผจญกับวิบากกรรมของน้ำท่วม ทรัพย์สิน ไร่นา ต้องเสียหายนับไม่ถ้วน รัฐบาลต้องลำบากในการหาเงินเพื่อมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม แทนที่จะได้ใช้เงินภาษีของประชาชนไปในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญทัดเทียมประเทศอื่น ๆ

ที่ฟาร์มนี้ เขามีปลาเทราชนิดพิเศษ คือ ปลาเทราสีรุ้ง คือ ตัวของมันจะมีลายเป็นทางหลายสีเป็นแถบ ๆ ดูแล้วเหมือนสายรุ้งกินน้ำนั่นเอง เราเรียกชื่อมันว่า ปลาเรนโบว์เทรา มีอายุได้ถึง 9 ปี เดินไปเรื่อย ๆ พวกเราก็เจอ ใบเฟิร์นที่มีสีเงินบางส่วน ดูแปลกไปจากใบเฟิร์นที่พวกเราเคยเห็น ๆ กัน มัคคุเทศก์น้อย อธิบายว่า ใบเฟิร์นเป็นใบไม้สัญลักษณ์ของประเทศนิวซีแลนด์ เออ! นอกจากได้เห็นพันธุ์ใบเฟิร์นที่แปลกไปจากที่เคยเห็นแล้ว ยังได้รับความรู้เพิ่มเติมอีกด้วย

พวกเราได้เห็นนกประเภทหนึ่ง ชื่อว่า นก KAKA เป็นนกพันธุ์เดียวกับนกแก้ว เป็นนกที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถทำเสียงล้อเลียนนกชนิดอื่น ๆ ได้ มันจะกินนกที่เล็กกว่ามันเป็นอาหาร

นกมัว เป็นนกที่ต้องกินหินก่อน (แปลกจังเลยนะ) เพื่อกระตุ้นให้ย่อย แล้วจึงกินอาหาร มันไม่มีฟัน เดินต่อไป ก็พบหมูป่า มัคคุเทศก์น้อยบอกว่า มันเป็นสัตว์ที่ดุมากที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์ และเล่าว่า สัตว์ที่มีชื่อว่า Tvatara เป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาวมากที่สุด ถึง 100 ปีและมันจะอยู่นิ่ง ๆ ได้ถึง 15 นาที

นกกีวี ปีหนึ่ง ๆ มันจะวางไข่เพียง 1 ครั้ง ตัวผู้ฟักไข่ 84 วัน เป็นนกที่ตัวเล็ก แต่ไข่โตที่สุดในโลก วันหนึ่ง ๆ มันจะนอนเป็นเวลา 9 ชั่วโมง หลังจากนั้น มัคคุเทศก์ก็ปล่อยพวกเราไปเดินช้อปปิง ซื้อของ เฮ้อ! ของแต่ละชิ้น ราคาแพงมาก เมื่อคิดเทียบเป็นเงินบาทไทยแล้ว ก็แทบจะซื้อไม่ลงทีเดียว ฉันต้องคิดก่อนจะซื้อเสมอเชียวละ ก็ฉันมันคน เบี้ยน้อยนี่นา

เที่ยวกันจนเหนื่อย กองทัพต้องเดินด้วยท้อง พวกเราจึงต้องไปเติมพลัง ทานอาหารมื้อเที่ยงกัน มื้อนี้เป็นอาหารฝรั่งอีกแล้ว เขาให้เราเลือก เนื้อสัตว์คนละ 1 ชิ้น แล้วแต่จะเลือก เช่น เนื้อ หมู แกะ ปลา ไก่ แพะ วัว ฯลฯ ฉันเลือกเนื้อหมู รสชาติก็อร่อยใช้ได้ ทานกับข้าวและผักอื่น ๆ ทานข้าวเสร็จ บริเวณร้านอาหารจะมีร้านค้าขาย
ผลไม้ด้วย เช่น ลูกกีวี แอปเปิล ลูกแพ องุ่น ลูกพีท ฉันซื้ออย่างละเล็กละน้อย เพราะมันหนักเหลือเกิน จึงซื้อไม่ได้มากนัก เวลากลับบ้านจะต้องแบกขึ้นเครื่องบินด้วยน่ะซี่เป็นปัญหาใหญ่ มันโหลดลงใต้ท้องเครื่องบินไม่ได้ เพราะมันจะเละหรือซ้ำหมดน่ะ

สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่พวกเราไปเที่ยวกันหลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ก็คือ ถ้ำไวตาโม ที่ถ้ำแห่งนี้จะมีตัวหนอนเรืองแสง น่าเสียดายที่สถานที่แห่งนี้ เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เพราะกลัวว่าแสงแฟลชจะมีผลกระทบต่อตัวหนอนเรืองแสงเหล่านั้น พวกเราเดินเข้าไปในถ้ำซึ่งบางช่วงก็มืด บางช่วงก็สว่างเห็นอะไร ๆ ได้ชัดเจนดี ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อย เป็นรูปต่าง ๆ แต่ฉันมีความรู้สึกว่า หินงอกหินย้อยในประเทศไทยของเราสวยกว่า ที่เมืองกุยหลินที่ฉันเคยไปเห็นมาก็สวยกว่าที่นี่ กว่าพวกเราจะได้เห็นตัวหนอนเรืองแสง ก็ต้องเดินทางเข้าไปในถ้ำลึก แล้วยังต้องลงเรือเพื่อนั่งชมหนอนเรืองแสง ซึ่งหนอนเรืองแสงเหล่านี้จะเกาะอยู่ที่เพดานถ้ำ ฉันแหงนหน้ามองไปที่เพดานถ้ำ ก็เห็นเป็นแสงสีขาว ๆ ริบหรี่ ๆ เป็นหย่อม ๆ ไม่เห็นมันจะมีแสงระยิบระยับ สมกับชื่อว่า หนอนเรืองแสงเลย บางคนแสดงความคิดเห็นว่า พวกฝรั่งมันแหกตานักท่องเที่ยวหรือเปล่า บางคนถึงกับบอกว่า พวกฝรั่งมันเอาอะไรไปแปะไว้บนเพดานถ้ำมั้ง อะไรประมาณนั้น ฉันก็ไม่เห็นว่าจะน่าชื่นชมหรือสวยงามอะไรมากนัก ฉันว่า หิ่งห้อยที่เกาะอยู่ที่ต้นลำพูในประเทศไทยของเรายังจะสวยกว่าเสียอีก เขาให้พวกเรานั่งอยู่ในเรือประมาณ 10 นาที เขาให้เรือลอยไปตามน้ำเรื่อย ๆ โดยมีเชือกที่ผูกไว้ที่ถ้ำเท่านั้น มัคคุเทศก์จะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนมัคคุเทศก์ไทยของเราก็แปลเป็นภาษาไทย ซึ่งฉันสรุปได้ใจความว่า

“หนอนเรืองแสงพวกนี้ จะมีแสงเฉพาะตอนเป็นตัวอ่อน พอเติบโตขึ้น มันก็จะบินออกจากถ้ำ แล้วมันก็จะบินกลับถ้ำเมื่อถึงฤดูวางไข่ เมื่อวางไข่เสร็จแล้ว มันก็จะตาย หนอนพวกนี้จะโตเต็มที่ประมาณ 6-8 เดือน แล้วก็จะบินออกจากถ้ำไป กลายเป็นแมลงชนิดหนึ่ง จะมีอายุประมาณ 1 ปี ตัวเมียวางไข่แล้วก็ตาย จะวางไข่ครั้งละประมาณ
หมื่น ๆ ฟองทีเดียว ตอนวางไข่เป็นตัวอ่อนมาก ๆ มันจะเป็นใยแก้วยาว ๆ เพื่อดักจับแมลงกินเป็นอาหาร ตัวที่โตแล้ว จะโตเท่า ๆ กับยุง”

เมื่อออกจากถ้ำ ไวตาโม แล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกลับ เมือง โอคแลนด์ ทานอาหารมื้อเย็นที่ ร้าน ช้างทอง รสชาติของอาหารร้านนี้ อร่อยใช้ได้ คืนนี้พวกเราพักที่โรงแรม ควอลิตี้ ชื่อเหมือนกับโรงแรมที่เราพักที่โรงแรมใน เมือง โรตารัว

คืนนี้เป็นคืนที่สนุกกับการแพ็คของอย่างยิ่ง ขนาดฉันไม่ค่อยได้ซื้ออะไรมากนัก กระเป๋ายังแทบจะปิดไม่ได้เลย ฉันนำผลไม้ที่มีเปลือกค่อนข้างแข็งใส่กระเป๋าใหญ่ โดยใช้เสื้อผ้าหุ้มห่อเอาไว้ ไม่ให้ถูกกระแทกซ้ำ ส่วนพวกลูกพีท องุ่นและกีวี ต้องแพ็คใส่กระเป๋าเล็กและหิ้วขึ้นเครื่องบิน กระเป๋าเล็กครั้งนี้ ฉันเอากระเป๋าใบที่มีล้อลากได้ด้วย จะได้ไม่ต้องหิ้วให้มันหนัก เฮ้อ ! อยากกินของเมืองนอกซึ่งราคาถูกกว่าเมืองไทยก็ต้องลำบากกันหน่อยนะ เผื่อไปฝากพวกลูกศิษย์บางคนที่เขาดีและมีบุญคุณกับฉันด้วย

วันที่ 20 ตุลาคม 2541

อาหารมื้อเช้าของวันนี้ พวกเราก็ทานกันที่โรงแรมเหมือนอย่างเคย อาหารก็เหมือน ๆ เดิมที่เคยทานกันนั่นแหละ รถของเราออกจากโรงแรมประมาณ 8.30 น. เช้านี้ท้องฟ้าครื้ม ๆ อากาศเย็นสบายดี มัคคุเทศก์จะพาพวกเราไปเที่ยวที่เขา อีเด็น ซึ่งเป็นจุดชมวิว เขาลูกนี้มีความสูงประมาณ 160 กว่าเมตร เป็นที่ราบลุ่ม เขานี้ เป็นเขาที่สูงสุดของประเทศเขา จะสามารถมองเห็นเมืองโอคแลนด์ได้ มัคคุเทศก์อธิบายว่า เขา อีเด็น เป็นภูเขาไฟที่ระเบิดไปแล้วเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เคยระเบิด ทำให้สนามบินโอคแลนด์ต้องปิด เครื่องบินบินไม่ได้ไปหลายวัน พวกเราไปดูปล่องภูเขาไฟที่ระเบิดไปแล้ว เป็นแอ่งใหญ่มาก





จากนั้น พวกเราก็ไปชมสะพาน ฮาเบอร์ ซึ่งเป็นท่าเรือ มีเรือยอร์ชจอดอยู่มากมายหลายลำ อากาศที่โอคแลนด์วันนี้ประมาณ 15-16 องศา ถือว่า เป็นอากาศที่ดีที่สุด พวกเรายังพอมีเวลา จึงเดินช็อปปิงต่ออีกตามเคย ส่วนอาหารมื้อเที่ยงของวันนี้ พวกเราต้องหาซื้อกินเอง กลุ่มของฉัน ส่วนใหญ่ก็เดินหาซื้อของกินกัน แล้วจึงเดินหาซื้อของที่ระลึก ฉันซื้อตุ๊กตาได้อีก 2 ตัว กระเป๋าหนังสำหรับใส่หนังสือเดินทางอีก 1 ใบ ราคาก็แพงมากพอดู เกือบพันบาทเชียวนะ นี่ขนาดลดราคาแล้วนะ

พวกเราไปถึงสนามบินยังไม่บ่ายโมงเลย มีการเก็บค่าทิปเพื่อให้มัคคุเทศก์ต๋องและคนขับรถพาพวกเราไปเที่ยวกันให้คนละ
200 บาท

เครื่องบินออกประมาณ บ่ายสามโมงกว่า ๆ บินมาต่อเครื่องที่สิงคโปร์เหมือนตอนขามา กว่าจะถึงกรุงเทพ ฯ ก็ประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาในประเทศไทย และกว่าจะออกจากด่านตรวจก็เที่ยงคืนพอดี ลูกชายของเก๊ามารับพวกเรา เก๊าไปส่งคุณอี๊ดที่บ้านก่อน แล้วจึงมาส่งฉันที่บ้าน ถึงบ้านฉันเที่ยงคืนครึ่งพอดี

ฉันรื้อของออกจากกระเป๋าออกมา เพราะมีผลไม้อยู่ในกระเป๋าด้วย เจ้าค้อกกี้ ลูกชายสุดที่รักของฉัน ดีอกดีใจ กระดิกหางที่มีอยู่น้อยนิดนั้นตลอดเวลา ดมโน่นดมนี่ แถมขอให้อุ้มมันอีก แล้วก็แสดงความคิดถึงด้วยการเลียหน้าเลียตาตามประสาของหมานั่นแหละ กว่าจะยอมให้ฉันปล่อยลงพื้นได้ ก็ประมาณ 5 นาทีได้มั้ง เฮ้อ ! การไปเที่ยวครั้งนี้เป็นการเที่ยวที่สนุกมาก ความทุกข์ ความขมขื่นที่เกาะกินใจอยู่ตลอดเวลานั้น ได้ผ่อนคลายลงไปในระหว่างได้เที่ยวนั้นได้เป็นอย่างดีทีเดียว น่าเบื่ออยู่อย่างเดียวก็คือ การที่ต้องนั่งเครื่องบินนานเป็น สิบ ๆ ชั่วโมงเท่านั้นแหละ แต่ถึงจะเบื่ออย่างไร ก็คุ้มค่ากับการไปเที่ยว ได้เห็นโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไพศาล ได้ความรู้แปลกใหม่ ได้เห็นสิ่ง
ต่าง ๆ ตลอดจนวัฒนธรรมของประเทศต่าง ๆ ถือเป็นกำไรของชีวิตโสดอย่างฉันมากเหลือเกิน ถึงแม้ว่า จะเป็นความสุขที่มีเพียงไม่กี่วัน มันก็ทำให้ความทุกข์ในใจที่ฝังแน่นนั้นได้เลือนหายไปชั่วขณะหนึ่งมิใช่หรือ ฉันจึงคิดว่า การคลายเครียด คลายทุกข์ของคนเรา ดีที่สุด ก็คือ การเดินทางท่องเที่ยว การที่ได้เปลี่ยนบรรยากาศ ไม่จำเจอยู่กับสิ่งเก่า ๆ บรรยากาศเก่า ๆ จะช่วยผ่อนคลายชีวิตของเราให้พบกับความสุข ความสงบของจิตใจได้เป็นอย่างดีทีเดียว จึงขอเชิญชวนท่านผู้อ่านได้เดินทางท่องเที่ยวไปในโลกกว้างกันเถอะ แล้วท่านจะรู้สึกว่า ชีวิตมีรสชาติและมีความสุขได้อย่างประหลาด มหัศจรรย์จริง ๆ



ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน แล้วพบกันใหม่ สวัสดีค่ะ




 

Create Date : 02 กันยายน 2555
14 comments
Last Update : 6 กันยายน 2555 17:39:29 น.
Counter : 2484 Pageviews.

 

มาเปิดโลกทัศน์ค่ะอาจารย์สุวิมล

บ่อโคลนเดือดดูน่ากลัวจริงๆค่ะ

และน้องค้อกกี้หล่อน่ารักจริงๆ กี่ขวบแล้วค่ะ

+++++

ขอบคุณค่ะอาจารย์สุวิมล

โอเล่มีคำถามค่ะครูสุวิมล
- จากภาพ ร.4 และ ร.5 ผนวช ไม่ต้องใช้คำว่า "ทรง"

นำหน้าใช่มั้ยค่ะ

 

โดย: โอน่าจอมซ่าส์ 12 กันยายน 2555 11:02:16 น.  

 



สวัสดีค่ะอาจารย์

ขอบคุณนะคะที่แวะไปเยี่ยมเยือนที่บล๊อก
กาญหยุดพักไปเกือบครึ่งปี เพิ่งจะกลับมาอัพบล๊อกอีกค่ะ

 

โดย: ข้ามขอบฟ้า 19 กันยายน 2555 5:45:16 น.  

 

น่าเที่ยวมากค่ะ

 

โดย: chibifachan 19 กันยายน 2555 8:45:48 น.  

 











สวัสดีค่ะอาจารย์สุวิมล
มาชวนอาจารย์ไปชมลูกแอปเปิ้ลต่อค่ะ

สุข สดชื่นกับทุกๆวันนะคะ

 

โดย: ข้ามขอบฟ้า 28 กันยายน 2555 5:03:49 น.  

 






ขอบคุณสำหรับคำอวยพรค่ะ
ขอให้อาจารย์มีความสุข สุขภาพแข็งแรงเช่นกันนะคะ

ไว้ปีหน้ากาญจะลงรูปดอกไม้ ต้นไม้ และผลไม้ให้ชมใหม่นะคะ
ปีนี้จะเข้าหน้าฤดูใบไม้ร่วง และหน้าหนาวต่อ คงจะมีแต่ภาพใบไม้เปลี่ยนสีและหิมะขาวๆให้ชมแทนค่ะ

 

โดย: ข้ามขอบฟ้า 3 ตุลาคม 2555 3:24:27 น.  

 

แอบเห็นมีพัฒนาการรจัดรูปได้ดีขึ้น แต่ยังไม่มีเวลามาอ่าน
เต็มๆ ตอนนี้ผมได้อัพบล็อกเพิ่มครับสองเรื่อง คือ sweden2011 และ Sweden2012 ส่วนใหญ่จะเน้นภาพครับเพราะ ยังไม่ค่อยได้มีเวลามาเขียนอะไรยาวๆ

 

โดย: Zabby 4 ตุลาคม 2555 19:27:14 น.  

 

สวัสดีค่ะอาจารย์
หนูหายไปซะนาน อาจารย์สบายดีนะค่ะ :)

 

โดย: Nepster 5 ตุลาคม 2555 20:01:39 น.  

 

สวัสดีค่ะ อาจารย์ :)
ไปเที่ยวมาสนุกมั้ยค่ะ แคชเมียร์หนูก็อยากไปเหมือนกันค่ะ
เคยเห็นแต่ในรูป ถ้าได้ไปสัมผัสจริงๆ คงจะสวยน่าดูเลยค่ะ

หนูขอบคุณสำหรับหนังสือนะค่ะ ฮ่าๆๆ
เดี๋ยวหนูจะส่งที่อยู่ให้หลังไมค์นะค่ะ อิอิ

 

โดย: Nepster 6 ตุลาคม 2555 18:06:42 น.  

 



สวัสดีค่ะอาจารย์

กาญก็หายไปหลายวันหมือนกันค่ะ
จะรอชมดอกไม้งามๆจากอาจารย์นะคะ
กาญก็ชอบดอกไม้มากค่ะ แต่ก็ไม่ค่อยจะรู้จักชื่อ

อาจารย์รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

 

โดย: ข้ามขอบฟ้า 11 ตุลาคม 2555 1:45:44 น.  

 

สวัสดีค่ะอาจารย์ หนังสือมาถึงแล้วค่ะ
ขอขอบคุณอาจารย์มากๆนะค่ะ อิอิ
พอสอบเสร็จจะรีบอ่านให้จบเลยค่ะ

 

โดย: Nepster 11 ตุลาคม 2555 20:04:42 น.  

 



สวัสดีค่ะอาจารย์

หายไปหลายวัน กลับมาทักทายเหมือนเดิมค่ะ

เพลงบางทีก็ไม่ขึ้นค่ะ มีปัญหาที่แวปเพลงที่เขาให้โค๊ดเรามาค่ะ
ตอนนี้ฟังได้แล้วค่ะ แต่กาญอัพบล๊อกเพลงใหม่ค่ะ

ขอให้อาจารย์ สุข สดชื่นเสมอนะคะ

 

โดย: ข้ามขอบฟ้า 19 ตุลาคม 2555 1:15:25 น.  

 



แวะมาเยี่ยมอาจารย์ค่ะ
จะรอชมดอกไม้สวยๆ จากเมืองแคชเมียร์นะคะ

วันนี้มาชวนไปฟังเพลงกันต่อค่ะ
ช่วงนี้กาญไม่มีเรื่องอะไรมาอัพบล๊อก
ก็เลยเอาเพลงมาอัพก่อนค่ะ

อาจารย์สบายดีนะคะ

 

โดย: ข้ามขอบฟ้า 25 ตุลาคม 2555 3:31:01 น.  

 

เรื่องส่งภาพไปที่บล๊อกเพื่อนๆ ไม่อยากเลยค่ะ
ใช้โค๊ดนี้นะคะ



ก๊อปปี้โค๊ดแล้วก็เอาไปวางที่บล๊อกเพื่อน แค่นี้เองค่ะ

 

โดย: ข้ามขอบฟ้า 25 ตุลาคม 2555 3:36:28 น.  

 

ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ

กาญอธิบายเรื่องโค๊ดทางหลังไมค์นะคะ

 

โดย: ข้ามขอบฟ้า 25 ตุลาคม 2555 17:00:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space