โบรกฯชี้4รายใหญ่เหล็กขาดทุนอื้อ .. ลดน้ำหนักลงทุน
.
2 โบรกเกอร์ลดน้ำหนักหุ้นกลุ่มเหล็กต่ำกว่าตลาด ชี้ 4 รายใหญ่ขาดทุนอ่วมพิษเหล็กจีนทุบราคาเหล็กไทยร่วง 14% แนะช้อนรายตัว เน้น"กำไรโต-ปันผลงาม" ด้านบิ๊ก MILL ปรับแผนซื้อโรงงานเหล็ก TSSI ชะลอไปก่อนหวั่นขาดทุน
นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.เอเซีย พลัส) วิเคราะห์สถานการณ์ธุรกิจเหล็กในช่วงนี้ว่า การนำเข้าเหล็กเจือโบรอนจากจีนได้ส่งผลกระทบต่อราคาขายเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กลวดในไทย ทำให้ราคาปรับลดลงราว 14% โดยผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI), บมจ.จี สตีล (GSTEEL), บมจ.จี เจ สตีล (GJS) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน และ บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) หรือ TSTH ผู้ผลิตเหล็กลวดที่ต้องลดราคาเหล็กขายลงให้แข่งขันได้ ประกอบกับอุตสาหกรรมเหล็กยังคงถูกกดดันจากความต้องการใช้เหล็กของโลกยังชะลอตัวตามศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้น
ดังนั้นในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า จะยังคงไม่เห็นการฟื้นตัวของราคาเหล็ก นอกจากนี้ ผู้ประกอบการกลุ่มเหล็กรายใหญ่ยังมีประเด็นกดดันจากผลดำเนินงานภายในปีนี้ที่ยังขาดทุน จึงทำให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่มเหล็กน้อยกว่าตลาด
นายประสิทธิ์ให้คำแนะนำการลงทุนหุ้นกลุ่มเหล็กว่า ให้เลือกลงทุนในหุ้นรายตัวที่กำไรยังเติบโตดี และมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ได้แก่ บมจ.ค้าเหล็กไทย (TMT) ที่คาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 400% ถือเป็นผู้ประกอบการผลิตเหล็กปลายน้ำที่ได้ประโยชน์จากการนำเข้าวัตถุดิบเหล็กเจือโบรอนราคาถูกลง และยังมีโอกาสที่จะได้บันทึกเงินเคลมประกันจากน้ำท่วมโรงงาน ทั้งนี้ คาดจ่ายเงินปันผลงวดผลงานปี"55 ที่ 0.55 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 7.5%
ขณะที่ บมจ.สหมิตรเครื่องกล (SMIT) เติบโตอิงกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากได้ประโยชน์จากการนำเข้าเครื่องจักร และเป็นผู้ผลิตเหล็กชนิดพิเศษใช้ทำแม่พิมพ์ในการผลิตรถยนต์ คาดว่ากำไรในปีนี้เพิ่มขึ้น (ดูตาราง) และจ่ายเงินปันผล 0.27 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 6%
ด้านนักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ประเมินว่า บมจ.มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์ (MILL) เป็นผู้ผลิตเหล็กเพียงบริษัทเดียวที่ยังสามารถทำกำไรได้ และมีแนวโน้มกำไรได้ในระยะกลาง โดยคาดว่าปีนี้มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น 20% มาอยู่ที่ 8 แสนตัน อีกทั้งยังมี upside จากสินค้าเกรดพิเศษที่จะเริ่มทดลองผลิตวัตถุดิบเหล็กแท่งยาว (Billet) คุณภาพพิเศษในไตรมาส 4 นี้
ขณะที่นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์ (MILL) กล่าวว่า บริษัทได้ชะลอการซื้อกิจการบริษัท Thai Special Steel (TSSI) ผู้ผลิตเหล็กลวด เพราะหากซื้อเข้ามาจะต้องรับผลขาดทุนจากการผลิตเหล็กลวด หลังจีนทุ่มตลาดของเหล็กเจือโบรอน ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าของบริษัทประมาณ 14% โดยปัจจุบันโรงงาน TSSI ได้หยุดการผลิต รวมทั้งรอความชัดเจนจนกว่ารัฐบาลจะมีมาตรการปกป้องผู้ประกอบการเหล็กของไทย
ทั้งนี้ MILL ได้ทำข้อกตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOU) ตกลงจะซื้อจะขายกิจการดังกล่าว มูลค่า 3,065 ล้านบาท โดยจะใช้แหล่งเงินทุนของบริษัท 1.5 พันล้านบาท และเงินกู้ 1.5 พันล้านบาท
อย่างไรก็ดี การชะลอเข้าซื้อกิจการ TSSI ไม่ได้มีผลกระทบต่อเป้าหมายของบริษัทในปีนี้ เพราะไม่ได้นำผลของการซื้อ TSSI เข้ามาร่วมประเมินผลประกอบการในปีนี้ โดย MILL คาดการณ์กำไรก่อนหักภาษี, ค่าเสื่อมและดอกเบี้ยจ่าย (EBITDA) ในปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาท หลังจากในช่วง 6 เดือนแรกทำ EBITDA ได้ราว 600 ล้านบาท ใกล้เคียงกับของทั้งปี"54
สำหรับรายได้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 1.8-2 หมื่นล้านบาท เพราะโครงการ Green Mill Project เริ่มผลิตต่อเนื่องตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้น (Margin) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 8-9% จากปีก่อนอยู่ที่ 4-5% ปัจจุบันบริษัทมียอดขายเหล็กรอรับรู้รายได้ประมาณกว่า 6 หมื่นตัน ที่จะทยอยส่งมอบรับรู้รายได้ถึงช่วงไตรมาส 1/56 ส่วนปีหน้าคาดการณ์รายได้โตต่อเนื่อง 10-15% เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ของรัฐบาลที่สนับสนุนให้ความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
Create Date : 10 ตุลาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 10 ตุลาคม 2555 20:53:08 น. |
Counter : 3193 Pageviews. |
|
|
|