แกะรอยหุ้นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วและแรง
.
CHANGE หรือการเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่อยู่คู่โลกตลอดมา ดังคำพูดที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ในโลกธุรกิจนั้น เทคโนโลยีเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว มาดูกันว่ากิจการในอุตสาหกรรมนี้ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง
บริษัทแอปเปิล (AAPL) เป็นบริษัทที่นำเสนอนวัตกรรมใหม่สู่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่งเปิดตัว iSO6 และแมคบุ๊กใหม่ล่าสุด แอปเปิลได้ขยายธุรกิจจากที่เคยพึ่งพาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมายังอุตสาหกรรมเพลง สื่อบันเทิง อุปกรณ์สื่อสารพกพา ผลิตภัณฑ์ iPod, iPad และ iPhone ประสบความสำเร็จอย่างสูง ส่งผลให้ประกอบการดีขึ้นอย่างมาก และกลายเป็นกิจการที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลกกว่า 5.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 8, 16, 85 เหรียญ ในปี 2000, 2004 และ 2008 ตามลำดับ มาอยู่ที่ 575 เหรียญในปัจจุบัน
บริษัทไอบีเอ็ม (IBM) ดำเนินกิจการมากว่า 100 ปี เปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจโดยมุ่งเน้นธุรกิจซอฟต์แวร์และธุรกิจบริการที่เพิ่มคุณค่าและสร้างความแตกต่าง นอกจากฮาร์ดแวร์ซึ่งเคยเป็นธุรกิจหลักในอดีต ทำให้ผลประกอบการดี ฐานะการเงินมั่นคงต่อเนื่อง และนำเงินส่วนเกินมาซื้อหุ้นคืน "วอร์เรน บัฟเฟตต์" จึงตัดสินใจลงทุนกว่า 1 แสนล้านเหรียญหรือกว่า 5% ราคาหุ้นเพิ่มจาก 58, 84 เหรียญในปี 2002, 2008 มาอยู่ที่ 194 เหรียญ ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดถึง 2.25 ล้านล้านเหรียญ ในทางเดียวกัน บริษัทซัมซุง (005930.KS) ที่ประสบความสำเร็จ และมีหลายผลิตภัณฑ์ที่ส่วนแบ่งทางการตลาดสูงขึ้นมาก ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นเท่าตัวในเวลาเพียง 10 เดือนที่ผ่านมา
สำหรับบริษัทฮิวเลตต์ แพคการ์ด (HPQ) เป็นบริษัทเทคโนโลยีมายาวนานเช่นกัน แม้กำลังเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจและเพิ่งประกาศลดพนักงาน 24,000 คน แต่ผลการเปลี่ยนแปลงยังต้องรอเวลาพิสูจน์ ราคาหุ้นลดจาก 66, 53 เหรียญในปี 2000, 2010 มาเป็น 22 เหรียญในปัจจุบัน มีมูลค่าตลาดที่ 4.3 แสนล้านเหรียญ บริษัทเดลล์ คอมพิวเตอร์ (DELL) ที่เคยโดดเด่นด้านซับพลายเชน ได้รับผลกระทบจากกระแสแท็บเลต สมาร์ทโฟน ราคาหุ้นตกจาก 50, 40, 24 ในปี 2000, 2005 และ 2008 มาเป็น 12 เหรียญในปัจจุบัน โดยมีมูลค่าตลาด 2.1 แสนล้านเหรียญ ส่วนหุ้นเทคโนโลยีอื่น เช่น อินเทล (INTL) หรือซิสโก้ (CSCO) แม้ไม่สร้างความผิดหวังแก่ผู้ถือหุ้น แต่ก็ไม่ได้สร้างความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่บริษัทโนเกีย (NOK) ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและความต้องการของผู้บริโภค จนต้องลดพนักงานลง 10,000 คน ราคาหุ้นร่วงจาก 56, 40, 15 ในปี 2000, 2007, 2010 เหลือเพียง 2.8 เหรียญ ส่งผลให้มูลค่าตลาดเหลือเพียง 1 แสนล้านเหรียญในปัจจุบัน บริษัทรีเสิร์ช อิน โมชั่น (RIM) ผู้ผลิตแบล็คเบอร์รี่ที่เคยได้ความนิยมมาก ราคาหุ้นตกจาก 145, 70 ในปี 2008, 2011 เหลือ 10.6 เหรียญในปัจจุบัน มูลค่าตลาดอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านเหรียญ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังส่งผลถึงธุรกิจค้าปลีกเทคโนโลยีอย่างบริษัทเบสท์บาย (BBY) ที่ราคาหุ้นตกจาก 56, 42 เหรียญในปี 2006, 2010 มาเป็น 19 เหรียญในปัจจุบัน มูลค่าตลาดอยู่ที่ 6.3 หมื่นล้านเหรียญอีกด้วย
ที่กล่าวมานั้นเป็นกรณีศึกษาอย่างย่อของกิจการในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งมีความไวสูงต่อการเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบถึงราคาหุ้นและความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น แม้กิจการดังกล่าวไม่ได้อยู่ในประเทศ แต่บริษัทจดทะเบียนในไทยที่เกี่ยวข้อง เช่น เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนให้ธุรกิจดังกล่าว ต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การตัดสินใจลงทุนจึงต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัทเหล่านี้ด้วย
การเปลี่ยนแปลง 3 อย่างที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและความอยู่รอดของกิจการได้แก่ หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี การค้นคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดนวัตกรรมที่ดีขึ้น เร็วขึ้น ความสามารถมากขึ้น ราคาถูกลง กิจการต้องพิจารณาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
สอง การเปลี่ยนแปลงของลูกค้า กิจการต้องตอบสนองการเปลี่ยนแปลงความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้า หรือกระทั่งลูกค้าของลูกค้าที่คาดหวังมากขึ้น ดีขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น กิจการที่ตอบสนองต่อลูกค้าได้ดีจะครองส่วนแบ่งการตลาด และอยู่รอดในอุตสาหกรรมได้ต่อเนื่องยาวนาน สาม การเปลี่ยนแปลงด้านการแข่งขันจากรายเดิมและรายใหม่ ทั้งในประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก คู่แข่งสังคมออนไลน์ไร้พรมแดน ด้วยรูปแบบและวิธีการใหม่ ๆ กิจการที่ดีต้องมีแผนงานและพร้อมรับมือการแข่งขันในรูปแบบต่าง ๆ
ในการตัดสินใจลงทุน เราต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบว่า กิจการที่เราสนใจนั้นเคยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทั้งสามอย่างไร กิจการดังกล่าวจะจัดการได้ดีเพียงใดหากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่รอดและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกิจการ และที่สำคัญที่สุดก็เพื่อความปลอดภัยในการลงทุนของเรานั่นเอง
กล่าวกันว่า ยามกิจการเผชิญความท้าทายและปัญหารุมเร้า คือช่วงที่พิสูจน์ความสามารถของผู้บริหาร ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเสมอในโลกธุรกิจคือบททดสอบผู้บริหารในวาระที่ต่างกัน ผู้บริหารที่เก่งและเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตน่าจะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต แต่ก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จทุกครั้งเช่นในอดีต ในฐานะ Value Investor หากพบกิจการที่มีรูปแบบและโครงสร้างธุรกิจที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงได้ดี และไม่ต้องพึ่งพาผู้บริหารที่เก่งมากนัก นั่นคือกิจการที่เราควรเลือกลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงข้าม หากกิจการที่เราลงทุนอยู่ไม่สามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงได้ดี และยังต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารที่เก่งเพียงอย่างเดียว อาจจะถึงเวลาที่เราต้องเป็นคน "เปลี่ยน" กิจการที่เราเป็นเจ้าของแล้วครับ !!
โดย .. ธันวา เลาหศิริวงศ์ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
Create Date : 20 มิถุนายน 2555 |
Last Update : 20 มิถุนายน 2555 20:55:21 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1544 Pageviews. |
|
|
|
|
|