ชีวิตที่มึความสวยงามนั้น อาจไม่ได้หมายถึงชีวิตที่มีความ "เต็ม" ในทุกๆด้าน แต่มันเป็นเพียงการที่เรารู้จัก "เติม" สิ่งที่สร้างสรรค์ให้กับชีวิตวันละนิดละหน่อย เหมือนการสร้างประโยคเล็กๆที่ดีๆให้กับชีวิต จนกลายเป็นเรื่องราวที่มีคุณค่าและน่าอ่านในท้ายที่สุด
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
13 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
California trip #1 : International date line

ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
เราและเพื่อนเกิดอาการชีพจรลงเท้า
พากันไปเที่ยวไกลถึง California , USA
ถือว่าเราโชคดีที่มีเพื่อนร่วมทาง ( แม้จะคนเดียวก็เถอะ )
และที่โชคดียิ่งกว่านั้นคือมีคนพาเราตระเวนเที่ยวอย่างจริงจัง
เราเลยถือฤกษ์งามยามดี เขียนไดอารี่เล่าประสบการณ์ของเราให้คนอื่นฟัง
เผื่อจะมีคนสนุกไปกะเราบ้าง
ขอบคุณทุกท่านที่หลวมตัวอ่านมา ณ ที่นี้


29 มีนาคม 2008
: 21.00 น ตามเวลาประเทศไทย ( ตอนนี้เราอยู่เหนือทะเลแปซิฟิกแหละ )

หลังจากหัวหมุนกับการเตรียมของมาหลายวัน
วันนี้เราและฟางก็ได้ขึ้นเครื่องจริงๆสักที

flight บินของเรานี่ดูจะโหดร้ายเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่นอนดึกตื่นสายแบบเรา พวกเราเดินทางด้วยเที่ยวบิน CX2700 เครื่อง take off ตอน 08.25 น อืมมม เราเลยต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เพื่อออกจากบ้านตอนตีห้า เช้ามากเลยนะ ถ้าอยู่คนเดียวนี่คงได้โต้รุ่งเพราะว่ากลัวไม่ตื่น คืนเมื่อวาน ( วันที่ยี่สิบแปด ) เป็นวันที่เราเข้านอนเร็วที่สุดในรอบกี่ปีแล้วไม่รู้ หัวถึงหมอนตั้งแต่สี่ทุ่มครึ่ง แต่หลังจากนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน เราก็ยังไม่มีวี่แววจะง่วงนอนสักนิด ทำไงได้ในเมื่อเรานอนหลังตีสองมาหลายอาทิตย์แล้วนะ ในที่สุดเราก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตีสี่ครึ่งแล้ว ได้เวลาตื่นอีกแล้วแฮะ …….

วันนี้โชเฟอร์คนเก่งของเรามารับตรงเวลาด้วย เราเลยมาถึงสุวรรณภูมิหกโมงเช้าตามคาด ฟางไปถึงก่อนเรานิดหน่อย อืมม ตื่นเต้นๆ
พวกเราใช้เวลา check in ที่counter ไม่นานนัก ประมาณ 15 นาทีเอง โอ้ !! แล้วช้านมาทำอะไรตั้งแต่เช้านักฟะ
ในเมื่อเวลาเหลือพวกเราเลยลงไปนั่งกิน S&P กัน S&P สาขาสุวรรณภูมินี่ทำอาหารเร็วมากๆอ่ะ เราว่าเผลอๆจะเป็นสาขาที่ทำอาหารเร็วที่สุดแล้วมั้ง อย่างน้อยก็เท่าที่เราเคยกินมาอ่ะนะ 55

ประมาณเจ็ดโมงฟางก็เข้าไปรอที่ด่านตรวจหนังสือเดินทางเรียบร้อยแล้ว คุณเธอโทรมาแปดสายแล้วเราไม่ได้รับอ่ะ ตกใจนะเนี่ย แต่ยังดีที่แถว passport ไทยสั้นที่สุดแล้วอ่ะ แต่แถวคนที่ไม่ได้ถือ passport ไทยก็ยาวใช้ได้ พวกเราใช้เวลานานก็ตรวจผ่านอ่ะมีเวลาไปเดินดูของใน duty free อย่างสบายๆเลย
ฟางพาไปดูร้านนาฬิกา สำหรับเรานี่ต้องทำความรู้จักกันก่อนเลยอ่ะ ทั้ง diesel DKNY Fossil อารายอีกหว่า ต้องสารภาพว่าก่อนหน้านี้เราไม่รู้จัก (( เชยดีมั้ย )) หวังมาพึ่งฟางเต็มที่เลยอ่ะ “เกร็ดช้อปปิ้งประจำวันนี้ : DKNY กับ Fossil ที่อเมริกาถูก” อ่านะ เดี๋ยวค่อยไปซื้อละกัน เดินดูกันพอเป็นพิธี ถือเป็นการช้อปที่เช้าที่สุดในชีวิตเราแล้วเนี่ย เสร็จแล้วก็ไปขึ้นเครื่องกันดีกว่า

ก่อนขึ้นเครื่องมีการตรวจกระเป๋าก่อนเป็นรอบที่หนึ่ง เป็นคนไทยตรวจนะ ไม่น่ากลัวมากอย่างที่เคยได้ยินมา เที่ยวบิน CX 2700 ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปฮ่องกงก่อน ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 20 นาที แต่ไปถึงฮ่องกงตอนเที่ยงกว่าๆตามเวลาฮ่องกงนะ
บนเที่ยวบินนี้มีอาหารเสิร์ฟด้วย 1 มื้อ เป็น omelette แต่ไม่อร่อยง่ะ อาหารทั้งชุดนี่เราว่าน้ำผลไม้ของการบินไทยอร่อยสุดแล้ว ( ประเทศไทย ชนะเลิศ ) การเดินทางช่วงนี้ก็ยังเรื่อยๆอยู่นะ เราพึ่งเริ่มเครียดตอน transit เครื่องที่ฮ่องกงนี่แหละ

พวกเรามีเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเองในการเดินเปลี่ยน gate ในสนามบินฮ่องกง โดยที่เรากับเพื่อนฟังภาษาจีนไม่ออกเลยแม้แต่น้อย เสียวนะเนี่ย กลัวตกเครื่อง พอเครื่องบินลงจอดเราก็เดินตามคนหมู่มากไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอประตูนึงที่มีคนออเยอะมาก แต่ไม่มีเลขติดไว้ พวกเราเลยต้องทำใจกล้าเข้าไปถามพนักงานว่า gate 69 ไปทางไหน เค้าบอกว่าตรงนี้แหละ อ้าว ! นะ หน้าแตกประเดิมเลยแฮะ

แล้วพวกเราก็โดนตรวจกระเป๋าเป็นรอบที่สอง โดยพนักงานหน้าตาสุดโหด ต้องถอดรองเท้าด้วยนะนี่ แต่เราก็ไม่โดนโวยวายอะไรนะ ตรวจเสร็จแล้วก็เดินจ้ำมารอขึ้นเครื่อง แถวยาวมากเพราะต้องตรวจกระเป๋าอีกรอบ เฮ้อ !!! ขยันตรวจจริงๆ หลังจากตรวจเสร็จเป็นรอบที่สามเราก็ได้ขึ้นเครื่องซะที

เที่ยวบินจาก HKG ไป LAX คือเที่ยวบินที่ CX884 เครื่องบินเป็นเครื่อง Airbus ….. ลำใหญ่เชียวแหละ มีสองชั้นด้วย (มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วใช่มะ) ฟางบอกว่า first class จะอยู่ชั้นสอง เกือบจะลงไปนอนได้เลยแหละ อืมม บอกตรูเพื่อ ยังไงก็ได้นั่ง economy อยู่ดี
ที่นั่งชั้น economy ของพวกเราก็ดูเป็นเก้าอี้ธรรมดาๆ แหละ พอถึงตอนนี้ก็เริ่มตื่นเต้นกันอีกรอบแล้ว คนที่นั่งไปเที่ยวบินเดียวกับเรานี้มีหลายชาติหลายภาษามากเลยอ่ะ เสียงคนพูดภาษาไทยที่เราคุ้นเคยเริ่มหายไป เท่าที่ฟังเสียงคนพูดกันดูจะมีคนฮ่องกงเยอะที่สุด เออ แต่ก็ไม่แน่อาจจะเป็นคนจีนนะ เราแยกภาษาจีนกะภาษาฮ่องกงไม่ค่อยได้เท่าไรน่ะ เห็นมีคนแขกที่ฟางกลัวนักกลัวหนาหลายคนเหมือนกัน คำว่าแขกของเราคือทุกคนที่มีผ้าโพกหัวและมีกลิ่นแป้งแขก แหะๆ เราสองคนนั่งที่ A กับ B แอบลุ้นกันอยู่ว่าใครนั่งที่ C ฟางบอกว่าถ้าเป็นแขกต้องเปลี่ยนที่นั่งทุกชั่วโมงด้วย อิๆ นั่งกันได้ไม่นานก็มีผู้ชายตัวสูงๆ ดูเป็นแขกนิดๆมานั่ง ฟางบอกว่าเป็นแขกนิดหน่อย เพราะว่ากลิ่นตัวไม่แรงมาก 55

คราวนี้ถือว่าเป็นโชคดีของเรานะเนี่ยที่ได้นั่งติดหน้าต่าง ตอนเครื่องบินขึ้นวิวสวยมากๆ เห็นเป็นภูเขาอยู่ติดทะเลเลย น้ำทะเลสีสวยด้วยนะ พอบินไปได้สักหน่อยพอจะถึงเมฆก็เห็นเกาะเล็กเกาะน้อยเต็มไปหมดเลย มีเรือแล่นอยู่สองสามลำ แต่พอมองจากเครื่องบินแล้วเรือเหลือลำเล็กนิดเดียวเองง ถึงเค้าจะห้ามไม่ให้ใช้ electronic device ระหว่าง take off แต่พวกเราก็ได้รูปสวยๆมาหลายรูปเหมือนกัน แหะๆ








หลังจากเครื่องเริ่มไต่เพดานบินขึ้นมาสูงจนมองอะไรไม่เห็นแล้ว เราก็เริ่มทำงานของเราคือพยายามหลับ ใครที่หลับง่ายๆก็อย่าพึ่งขำเรื่องพยายามหลับก็แล้วกัน มันเหนื่อยนะเนี่ย
พอเราเริ่มเคลิ้มๆ ก็โดนแอร์ปลุกขึ้นมาถามว่าจะกินน้ำอะไร ตื่นขึ้นมาบอกเค้าว่าไม่กิน แล้วก็พยายามหลับต่อ หลับตานับหนึ่งยังไม่ถึงพัน ( แต่ก็นับวนไปวนมาหลายรอบอยู่ ) ก็ถูกปลุกขึ้นมากินข้าว อืมม มื้ออะไรฟะ ดูนาฬิกาข้อมือได้ความว่าบ่ายสามเมืองไทย แต่เป็นข้าวจานที่สามของวันสำหรับเราแล้ว อาหารมื้อนี้ของเราเป็นปลา tilapia >> ใน dictionary บอกว่าเป็นปลาน้ำจืด เป็นปลาอบชีสมั้ง คือเรากินแล้วอารมณ์นั้นน่ะ แล้วก็มีมันบดโดยรวมก็อร่อยดี ดีกว่าอาหารเมื่อเช้าเยอะเลยแหละ หลังจากกินเสร็จพวกเราก็นอนหลับๆตื่นๆ สลับกับดูหนังซึ่งฉายวนไปวนมาจนจำได้แล้วว่าช่องไหนฉายเรื่องอะไรบ้าง มีเรื่องตื่นเต้นนิดหน่อยคือได้เห็นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าด้วย คือเหมือนเราบินเข้าสู้ความมืดมั้งเวลามองออกไปนอกหน้าต่างเลยเห็นว่าข้างหน้าเครื่องบินน่ะมืดแต่ข้างหลังสว่าง เรารู้สึกเหมือนเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอยู่ข้างหลังเรานี่แหละ ก็เป็นอะไรที่แปลกดี



เมื่อประมาณสามชั่วโมงที่แล้วเราบินผ่าน International date line ด้วย แต่ถึง monitor จะบอกว่าบินข้าม International date line มาแล้วแต่ข้างนอกก็ยังมืดตื๋ออยู่เหมือนเดิม ไม่บอกก็ไม่รู้นะเนี่ยว่าเราย้อนกลับมาสู่วันที่ยี่สิบแปดอีกครั้ง ชีวิตเราคงวุ่นวายไปหน่อยจนลืมไปว่าจริงๆแล้วมนุษย์เราเองนี่แหละที่เป็นตัวกำหนดวันที่ กำหนดเวลาขึ้นมาเองจากความว่างเปล่า เสร็จแล้วเราก็เอาชีวิตเราไปผูกอยู่กับมันเสียจนเวลากลายเป็นสิ่งที่มีค่าเหลือเกิน ลำพังตัวแสงอาทิตย์เองคงไม่รู้จัก principle of least time ของ Fermat หรอก จริงมั้ย ??

ถ้าจะมองในอีกมุมหนึ่ง บางทีการที่เราต้องนั่งเฉยๆอยู่ถึงสิบสองชั่วโมงนี่ก็ดีเหมือนกัน เพราะสิบสองชั่วโมงนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ใจเราได้อยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่มีใครรบกวน…….และสุดท้าย ปราศจากเสียงโทรศัพท์มือถือ







Create Date : 13 พฤษภาคม 2551
Last Update : 16 พฤษภาคม 2551 2:22:52 น. 2 comments
Counter : 567 Pageviews.

 
จะบอกเเม่เรามาอ่านบลอคแก
ดุมีสาระกว่าเราเล่าให้ฟังเเยะเลย


โดย: ฟางข้าว IP: 58.8.86.237 วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:53:57 น.  

 
โหยแก ช้านเขินแม่แกนะเนี่ย


โดย: N3K วันที่: 2 มิถุนายน 2551 เวลา:22:11:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

MsBrenda
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




blog นี้ดูจะเกิดขึ้นมาได้เนื่องด้วยเจ้าของบล็อกเกิดอยากจะเขียน
แล้วอยากให้คนอื่นๆอ่านเรื่องที่ตัวเองเขียนด้วย
การมีบล็อกเป็นของตัวเองก็เลยดูจะลงตัวดี
และแม้ว่าช่วงนี้ถึงชีวิตการเรียนที่เป็นอยู่ไม่ค่อยเอื้อให้เรามานั่งเขียนบล็อกสักเท่าไร
แต่การที่ได้พักจากชีวิตที่วุ่นวายมาทำอะไรที่ชอบสักพัก ก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน


บางเรื่องที่เราเขียนก็ดูจะบ้าๆบอๆไร้สาระไปหน่อย
จนเหมือนยึดเป็นที่ระบายอารมณ์ในบางครั้ง
อย่างไรก็ตาม
เราต้องขอขอบคุณทุกคนมากๆนะคะที่เข้ามาอ่าน


ปล .
เราใช้ชื่อ N3K เป็นชื่อ blog เนื่องจากชื่อนี้เป็นชื่อกลุ่มเราสมัย ม.ต้น
แล้วเราสมัครพันธุ์ทิพย์ช่วงมอต้นพอดี ก็เลยใช้ login เป็นชื่อนี้แล (( ง่ายดีมั้ย ))

((( ปล จริงๆแร้ว )))

ตอนนี้เรากำลังจิตตกกับการเข้าสู่แผนกทำคลอดเป็นวันแรก

แอบกลัวอยู่อ่ะ เราไม่อยากทำคลอดเรย

ทำไงดีอ่ะ??




Friends' blogs
[Add MsBrenda's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.