“ในฐานะนักทำหนังคนหนึ่ง ผมปฏิบัติกับหนังของผมประดุจลูกชายและลูกสาว เมื่อผมให้กำเนิดเขา พวกเขาก็มีชีวิตเป็นของตนเอง ผมไม่ใส่ใจว่าผู้คนจะรักหรือเกลียดลูกของผม ตราบใดที่ผมสร้างเขาขึ้นมาด้วยความตั้งใจและความพยายามอย่างสูงสุด ถ้าลูกๆ ของผมไม่สามารถอาศัยอยู่ในประเทศของเขาเองไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ก็ปล่อยเขาเป็นอิสระเถิด เพราะมันยังมีพื้นที่อื่นๆ ที่ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นในแบบอย่างที่เขาเป็น มันไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องทำให้พวกเขาพิกลพิการจากระบบแห่งความกลัวหรือความละโมบ มิฉะนั้นแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่คนสักคนหนึ่งจะสร้างงานศิลปะต่อไป”
-- อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
(คำปรารภหลังจาก "แสงศตวรรษ" ผลงานภาพยนตร์จากผู้กำกับคนไทย พูดภาษาไทย ใช้ดาราคนไทย ถูกกองเซนเซ่อประเทศไทยบังคับให้ตัดฉากสำคัญ 4 ฉากออกหากต้องการฉายในโรงภาพยนตร์ของประเทศไทย)




“ผมคิดว่าพระกลุ่มนี้โดนจี้จุดจึงร้อนตัวเกินไป หรือเป็นพวกอยากดัง จึงต้องทำตัวเป็นข่าว อยากถามว่าทำไมไม่ไปเรียกร้องหรือแก้ปัญหาพระที่ออกมาแก้ผ้า มั่วสีกา หรือใช้มีดกรีดร่างกาย หลอกลวงประชาชน ทั้งนี้หากจะฟ้องก็ยินดีให้ฟ้องได้ทุกศาล หรือว่าจะไปฟ้องจตุคาม ศาลเจ้าแม่กวนอิม พระอินทร์ พระอิศวร ก็เชิญ ผมไม่สนใจ แต่เห็นว่าพระกลุ่มนี้ไม่เหมาะสมในสมณะ และเป็นพระหน้าเดิมที่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องการบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ”
-- ถวัลย์ ดัชนี
(คำตอบโต้ภายหลังกลุ่มพระสงฆ์ที่ชุมนุมประท้วง ขู่ฟ้องคดีอาญาต่ออธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร นายอนุพงษ์ผู้วาดภาพภิกษุสันดานกาและหมานุษย์ และคณะกรรมการที่ตัดสินรางวัลศิลปกรรมแห่งชาติ ในข้อหาหมิ่นศาสนา)
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2548
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
5 มิถุนายน 2548
 
All Blogs
 
Star Wars Episode 3 : Revenge of the Sith เหมือนจะไม่ดี แต่ก็เหมือนจะดี...



หลังจากดู Sin City ไปแล้ว

วันต่อมา ก็ไปดู Star Wars อภิอัครอลังการมหากาพย์อวกาศ ภาคที่ 6 (ถ้าเรียงตามลำดับออกฉาย)

ด้วยความที่ว่า เพราะมันเป็นสตาร์วอร์ส... มันเลยมีความรู้สึกและอารมณ์แปลกๆ ที่มาดึงไปดู ทั้งๆที่บางทีก็ดูมันไม่รู้เรื่องเหมือนกัน...



สตาร์วอร์สภาคนี้ เริ่มเรื่องที่พวกอนาคินกับโอบีวัน ต้องไปช่วยสมุหนายกแพลพาทีนจากเคาน์ดูกู...

ช่วยออกมา เดาเอาไม่ยาก ก็น่าจะรู้ว่าผลเป็นยังไงน่ะนะ...

เสร็จแล้ว เรื่องราวก็ดำเนินต่อไป... เมื่ออนาคินเริ่มไม่เป็นที่ไว้วางใจของสภาสูง และไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์เจได แม้ว่าสมุหนายกแพลพาทีนจะรับรองให้เขาเข้าสภาก็ตาม...

ก่อนที่เนื้อเรื่องจะดำเนินไปถึงจุดที่ทุกคนรอคอย... ก็คือ...

การเปิดเผยตัวซิธลอร์ด (ที่สองภาคก่อน ได้แต่โผล่มาในรูปกราฟฟิกสามมิติ พร้อมกับผ้าคลุมศีรษะสีดำผืนหนา)

และ การกลายเป็น ดาร์ธ เวเดอร์ ของอนาคิน...



ในเรื่องโปรดักชั่น รึเรื่องภาพ กราฟฟิก คงไม่ต้องบอกอะไรมาก เพราะขึ้นชื่อสตาร์วอร์ส งานภาพคงไม่ได้กิ๊กก๊อก ไร้ทุนสร้างแหงๆ... เพราะรายได้ของห้าภาคก่อนก็ซัดรวมไปร่วมแสนล้านบาททั่วโลก

แต่ในเรื่องการแสดง...

Hayden Christensen ในบทอนาคิน... ถือว่าทำได้ดีขึ้น อาจไมได้เป็นเพราะความสามารถที่มากขึ้น แต่ด้วยหน้าตา อาจจะเหมาะกับการเล่นบทชั่วๆ เพราะการเริ่มค่อยๆคืบคลานเข้าสู่ด้านมืด ดูแล้วค่อนข้างน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด เพราะความแข็งที่ยังมีอยู่...

ซึ่งทำให้ตอนที่เฮย์เด้น ต้องสวมหน้ากากดาร์ธ เวเดอร์ เป็นตอนที่เราดีใจที่สุด!!!!!

เพราะทำให้เราไม่ต้องเห็นหน้ามันอีกต่อไป...

ส่วน Natalie Portman ในบทเจ้าหญิงแพดเม่ อมิดาล่า...

ไม่ดูถูกฝีมือเจ๊แน็ทแน่ๆ เพราะฝีมือที่ดีจนคว้ามา 1 ลูกโลกทองคำ แล้วยังเข้าชิงออสการ์อีก...

แต่เจ๊แน็ท ไม่เหมาะสมกับบทองค์หญิงแพดเม่ด้วยประการทั้งปวง (ซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ จากการเข้าชิงราซซี่อวอร์ด จากสตาร์วอร์สภาคสอง)

การแสดง เชื่อว่า เจ๊แน็ท ก็พยายามสุดชีวิตกับบทนี้แล้ว...

แต่ว่า... กับบทที่ไม่เหมาะกับตัวเองแม้แต่น้อย... จะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีผลดีอะไรขึ้นมาเลย...

การแสดงของทั้งคู่ จะเรียกว่าแข็งทื่อราวกับท่อนตะเคียนตายซาก ก็ไม่น่าจะผิดอะไร

แต่ว่า Ian McDermid ในบทของซิธลอร์ด ถือเป็นคนที่เล่นได้ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้ เพราะแสดงความชั่วร้ายออกมาทั้งทางแววตา การกระทำ และคำพูดได้อย่างสุดยอด ได้ใจ... (เรียกว่า นั่งเฉยๆ ยังดูเลว ก็ว่าได้)

มุขตลกที่ได้ผลมากที่สุดในหนัง ก็มาจากตัวละครในดวงใจของคนมากมายอย่าง R2D2 (โดยเฉพาะฉากที่เอาตัวรอดจากสองดรอยด์ที่หน้าลิฟต์ เป็นอะไรที่สุดตีนมาก)

มาสเตอร์โยดา ยังคงน่าเชื่อถือเหมือนเดิม ตามสไตล์ของอาจารย์อาวุโส... รวมไปถึงการพูดสลับกริยาและประธานของโยดา... เห็นมั้ย แกรมม่าไม่ได้สำคัญขนาดนั้น...



ฉากที่ชอบที่สุด คือฉากที่โยดาสู้กับซิธลอร์ด แล้วไปสู้บนแท่นประธานสภาสูง แล้วแท่นก็เลื่อนขึ้นไปในที่ประชุมสภาที่ว่างเปล่า กว้างใหญ่... อลังการ...

มันเหมือนกับเปรียบเทียบว่า ใครชนะ ก็เอาเก้าอี้ตัวนี้ไป...

ฉากนี้ มันมีพลังมากกว่าการสู้ไลท์เซเบอร์ระหว่างโอบีวันกับอนาคิน ที่หนังตัดสลับไปมาอยู่หลายเท่านัก...

อารมณ์หนัง ถึงช่วงหดหู่ ก็พอจะทำได้ดี (เมื่อเหล่าเจไดถูกหักหลัง และถูกฆ่าตายไปทีละคนๆ) มีอารมณ์ร่วมหดหู่ไปกับหนัง...



สรุปเอาง่ายๆ ก็คือสตาร์วอร์สภาคนี้... ดีที่สุด ในบรรดาไตรภาค 1-2-3

แต่ความรู้สึกหลังจากจบเรื่อง มันรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรประทับใจกะมันมาก (นอกจากฉากที่พูดไปแล้ว ก็มีแค่ฉากสวมหน้ากากดาร์ธ เวเดอร์ แล้วก็มีเสียงหายใจ "ฟืดดด.." ที่เป็นเอกลักษณ์ออกมา)

ตามความคิดของเรา... สิ่งที่ทำให้สตาร์วอร์สในภาคนี้ (และอีกสองภาคก่อน โดยเฉพาะภาคสอง) ไม่ประทับใจเท่าที่ควร ก็คือนักแสดงสองคนที่ได้พูดไปแล้ว (AKA ตะเคียนตายซาก) นั่นเอง...


Create Date : 05 มิถุนายน 2548
Last Update : 7 มิถุนายน 2548 19:57:55 น. 6 comments
Counter : 1534 Pageviews.

 
ไม่รู้อ่ะกรูรักสตาร์วอร์ส


โดย: ~SOS~ IP: 58.10.2.34 วันที่: 7 มิถุนายน 2548 เวลา:20:06:12 น.  

 
วันนี้มาอ่านดู ยังมะได้ดูเลยง่า


โดย: คนขี้เหงาคนหนึ่ง วันที่: 7 มิถุนายน 2548 เวลา:20:16:23 น.  

 
ทีแรกชั้นอ่านแฮนด์บิลล์
เจอชื่อยายแพดเม่
ชั้นอ่านผิด
อ่านป็นเพด-แม่

งงเลย

สตาร์วอร์สหรอ เฉยๆ ไม่ได้ตกหลุมรัก แก็ไม่ได้เกลียดชังอะไร


โดย: พระเจ้า IP: 202.133.139.168 วันที่: 7 มิถุนายน 2548 เวลา:20:18:11 น.  

 
โอบีวัน

ครองโลก

กรี๊ดๆ

แต่ภาคนี้ตลกมาก

ลุงหมีขี่ตะกวด

ฮ่าฮ่า


โดย: PADAPA--DOO วันที่: 8 มิถุนายน 2548 เวลา:0:24:09 น.  

 
รูป sin city ในช่องเม้นต์นี่ สวยดีแฮ่ะ
แล้วข้อความข้างบนน่ะ ที่ว่า ปากหมาบ้าง เป็นบางวัน.
คิดว่าน่าจะพิมพ์ตกคำว่า "ไม่" ( ระหว่าง ปาก....กับ...หมา หรือเปล่า...ฮิๆ

ปล. เป็นไงบ้าง เรื่องค่าโทรศัพหอพัก สรุปว่าไงบ้าง แบบว่ากลัวไม่ได้อ่าน blog แสบๆคันๆ น่ะ


โดย: merf1970 วันที่: 8 มิถุนายน 2548 เวลา:11:03:16 น.  

 
ยังไม่ได้ดูก้อมาอ่านแระ
น่าดุมากมายอ่า
ชอบๆ
เหอๆ

อนาคิน เสียงพากไทยอะ
ไม่ไหวเรย
แบบที่เปงวีซีดีอะนะ
ไร้ฟีลมากมาย


โดย: ภพ IP: 202.47.238.151 วันที่: 8 มิถุนายน 2548 เวลา:20:01:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nanoguy
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนในสังคมจารีตที่มีความคิดทางเวลาแบบไตรภูมิจะไม่ให้ความสำคัญแก่เวลาตามประสบการณ์ กล่าวคือไม่ให้ความสำคัญแก่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงของชีวิตและสังคมว่าดำเนินมาและดำเนินไปอย่างไร เชื่อในการคลี่คลายเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสังคมซึ่งจะต้องเป็นเช่นนั้นตามกฎแห่งเวลาของพุทธศาสนา

- อรรถจักร สัตยานุรักษ์
(จากบทความ "ความเปลี่ยนแปลงความคิดทางเวลาในสังคมไทย" วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง 4 ตุลาคม 2531)




Let this song rhyme our souls
when your voice and mine become one and whole.

Let it carry us high above
When we recite our poetry of love
that when there's love then there's hope.

Your love is my light,
and it'll get us through this lonely night.

- รักแห่งสยาม (ซับไตเติ้ลอังกฤษเพลง กันและกัน ท่อนฮุค)









Friends' blogs
[Add nanoguy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.