|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
- รวม Review หนังสั้นประจำเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน 2550
- รักแห่งสยาม : บทพล่ามถึงความรักที่ลอยอยู่รอบตัวเรา
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน ตุลาคม 2550
- ร่าง พรบ. ฉบับใหม่... กูไม่ใช่เกาหลีเหนือโว้ย!!
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550(2)
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550(1)
- ชำแหละความชิบหายของ "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ"
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน สิงหาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ขนาดยาวประจำเดือน สิงหาคม 2550 (2)
- รวม Review ภาพยนตร์สั้นที่ได้ดูในเดือนสิงหาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ขนาดยาวประจำเดือน สิงหาคม 2550 (1)
- รวม Review ภาพยนตร์ 16 เรื่องจาก Bangkok Film
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนกรกฎาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมิถุนายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนพฤษภาคม 2550
- Memories of Matsuko แค่อยากเป็นคนที่ถูกรัก แค่อยากเป็นคนที่ถูกใครสักคนเข้าใจ
- Pan's Labyrinth มันหนังรัฐศาสตร์ชัดๆเลยครับพี่น้อง!!!
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนเมษายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมีนาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนกุมภาพันธ์ 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมกราคม 2550
- Fur: An Imaginary Portrait of Diane Arbus (สหรัฐอเมริกา, Steven Shainberg, 2006)
- Open Season (สหรัฐอเมริกา, กำกับสามคน, 2006)
- Thank You for Smoking (สหรัฐอเมริกา, Jason Reitman, 2005)
- Earthcore - หนังสั้นปฐมบทของ "13 เกมสยอง" (ไทย, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, อนุโลมว่า 2550 ละกัน)
- Final Score-365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ (ไทย, โสรยา นาคะสุวรรณ, 2550)
- A Stranger of Mine aka Unmei janai hito (ญี่ปุ่น, Uchida Kenji, 2005)
- Velvet Goldmine (สหราชอาณาจักร+สหรัฐอเมริกา, Todd Haynes, 1998)
- ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคองค์ประกันหงสา (ไทย, หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, 2550)
- Dead Poets Society (สหรัฐอเมริกา, Peter Weir, 1989)
- ครูสมศรี (ไทย, หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, 2528)
- Reservoir Dogs (สหรัฐอเมริกา, Quentin Tarantino, 1992)
- 10 หนังสั้นในโครงการ "ชวนเด็กดูหนัง"
- Conflict (สหภาพโซเวียต, ใครกำกับ?, ปีไหนก็ไม่รู้)
- Takeshis' (ญี่ปุ่น, Kitano Takeshi, 2005)
- Wordplay (สหรัฐอเมริกา, Patrick Creadon, 2006)
- The Black Dahlia (เยอรมนี+สหรัฐอเมริกา, Brian de Palma, 2006)
- Hidden aka Cache (ฝรั่งเศส+ออสเตรีย+เยอรมนี+อิตาลี, Michael Haneke, 2005)
- Perfume: The Story of a Murderer (เยอรมนี+ฝรั่งเศส+สเปน, Tom Tykwer, 2006)
- Blood Diamond (สหรัฐอเมริกา, Edward Zwick, 2006)
- Nanoguy Awards 2006
- Nanoguy Awards 2006 ช่วงที่ 2
- Nanoguy Awards 2006 ช่วงที่ 1
- จมโลกเซลลูลอยด์
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 4 : อำมหิตพิศวาส/ เปนชู้กับผี/ Stormy Night/ หมากเตะรีเทิร์น/ mastersOFhorror
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 3 : Days of Glory/ Candy/ The Pianist / Infernal Affairs /Monster House
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 2 :: The Last Emperor/ DOA/ ผีคนเป็น/ Climates/ 21 Grams/ The Departed
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 1 : Cars/ The Ant Bully/ 13 เกมสยอง/ A Soap/ Paris, I Love You/ Rob-B-Hood
- แซ่บหนัง ทั้งเทอม!!
- แซ่บเรื่องหนัง(7-จบ) : The Wind that Shakes the Barley, WTC, The Devil Wears Prada, The Child
- แซ่บเรื่องหนัง(6) : Me and Youฯ, The Thomas Crown Affair, The Host, Seasons Change, Death Note
- แซ่บเรื่องหนัง(5) : Jasmine Women/ My Super Ex-Girlfriend/ Dreamer/ An Inconvenient Truth/ Cube
- แซ่บเรื่องหนัง(4) : โคตรรักเอ็งเลย/ The Lake House/ House of Wax/ Miami Vice/ United 93/ Brick
- แซ่บเรื่องหนัง(3) : Superman Returns/ แก๊งชะนีกับอีแอบ/ The Alibi/ Lady in the Water/ Sad Movie
- แซ่บเรื่องหนัง(2) : Don't Tell/ X-Men 3/ หนูหิ่น เดอะมูฟวี่/ The Bow/ Pirates of the Caribbean 2
- แซ่บเรื่องหนัง(1) : Sympathy For Mr Vengeance/ The Lover/ Spirited Away/ The Omen/ Scary Movie 4
- ต้มยำรวมมิตร(3-จบ) Poseidon/ มอ๘/ Match Point/ The Da Vinci Code/ Kinsey/ Always/ ก้านกล้วย
- ต้มยำรวมมิตร(2) ลาง-หลอก-หลอน/ The Wild/ Red Lights/ Perhaps Love/ Date Movie/ Ice Age 2/ M:I:3
- ต้มยำรวมมิตร(1) Capote/ V For Vendetta/ Inside Man/ Where the Truth Lies/ Hoodwinked/ She's the Man
- จับฉ่ายตอนอวสาน : The Constant Gardener/ Transamerica/ Final Destination 3/ A History of Violence
- จับฉ่ายตอนที่ 2 : Paradise Now/ กระสือวาเลนไทน์/ Walk the Line/ Munich/ เด็กหอ/ Invisible Waves
- จับฉ่ายตอนที่ 1 : Memoirs of a Geisha/ Brokeback Mountain/ Sophie Scholl : The Final Days/ Tsotsi
- When Crash was crashed, เมื่อ Crash กลายเป็นแพะ
- Rashomon ธรรมชาติของมนุษย์
- March of the Penguins วิบากแห่งเผ่าพันธุ์
- Nanoguy Awards 2005
- The Chronicles of Narnia : The Lion, The Witch and the Wardrobe แฟนตาซีอลังการส่งท้ายระกาศก
- King Kong ลิงยักษ์ที่คนต้องเสียน้ำตาให้
- Harry Potter and the Goblet of Fire ขาดหาย ตกหล่น พอทน ดูไป
- Nana สองสาว สองฝัน แต่ชื่อเดียวกัน
- เที่ยวนี้ ว่าด้วยความตาย Corpse Bride / Saw 1-2
- คอมโบหนังโรง Into the Blue / Flightplan / 3-Iron / อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม
- คอมโบอีกซักทีดีไหม? Cinderella Man/Red Eye/เพื่อนสนิท
- Charlie and the Chocolate Factory หนังเด็ก ที่น่าให้ผู้ใหญ่ดู
- คอมโบอย่างบ้าคลั่ง กับหนัง 4 เรื่องรวด
- Team America : World Police เสียดสี ดีเดือด เลือดพล่าน
- The Machinist หลอนได้ที่ สยองได้ใจ
- The Island มนุษย์หนอมนุษย์...
- A Snake of June อสรพิษ=ตัณหา
- War of the Worlds ถึงมนุษย์ผู้หลงลำพอง
- Mr and Mrs Smith อารมณ์เดียวกับ "มหาลัยเหมืองแร่"
- มหาลัยเหมืองแร่ กินได้ แต่ไม่กลมกล่อม
- Star Wars Episode 3 : Revenge of the Sith เหมือนจะไม่ดี แต่ก็เหมือนจะดี...
- Sin City โหด ซาดิสต์ ถึงลูกถึงคน ถึงเลือดถึงเนื้อ...
- Kingdom of Heaven รบกันไปเพื่อ???
- I Am David เรียบๆ เฉยๆ พอดูได้
- Bangkok:Dangerous ร่วมกันยืนไว้อาลัยออกไซด์ แปง...
- The Interpreter เมื่อสามออสการ์โคจรมาพบกัน
- Hide and Seek ใครบอกตอนจบ บ้านบึ้ม...
- The Fog of War ม่านหมอกแห่งสงคราม
- And all razzies go to........ The Eye 10
- The Chorus หนังดีแบบดูง่ายๆ
- The Motorcycle Diaries เรียบๆ แต่ลุ่มลึก
- บุปผาราตรี เฟส 2 หนังเอามันส์ กระชากจิต...
- Hotel Rwanda กับความจัญไรของใจคน
- ความแตกต่างของหนังผู้หญิงและหนังผู้ชาย
- หลวงพี่เท่ง...ง่ะ
- ย้อนอดีต อันดากับฟ้าใส...
- เก็บตกสถิติออสการ์ (น่าอ่าน)
|
|
|
|
|
รวม Review ภาพยนตร์ขนาดยาวประจำเดือน สิงหาคม 2550 (1)
Little Children (สหรัฐอเมริกา, Todd Field, 2006, A)
ด้วยความที่ยังไม่เคยดูทั้ง American Beauty และ In the Bedroom ที่คนส่วนใหญ่ที่ดูแล้วมักจะเอามาเทียบกับ Little Children อาจจะทำให้ความรู้สึกของผมตอนดูเรื่องนี้ค่อนข้าง "สด" พอสมควร (แม้ว่าเรื่องชู้ๆ ผิดศีลธรรม จะไม่ได้ใหม่อะไรมากมายก็ตามที) โดยเฉพาะการตั้งข้อสังเกตและให้เหตุผลถึงการมีคนใหม่ของตัวละครในหนังโดยเอาไปเทียบกับ "มาดามโบวารี่" ทำให้หนังเรื่องนี้มีกลิ่นเฟมินิสต์ล่องลอยอยู่มากพอสมควร
Kate Winslet คือหนึ่งในคุณูปการต่อหนังเรื่องนี้ นอกจากความกล้าเล่นของเธอ(ที่มีมานานแล้ว) และการแสดงขั้นเทพของเธอ แต่อีกประการที่จะลืมไม่ได้เลยคือเธอเป็นคนเสนอชื่อ Jackie Earle Haley ให้ผู้กำกับ Todd Field เพื่อให้เขาได้รับโอกาสสำคัญมาแคสต์บทรอนนี่ และเขาก็ได้บท เขาแสดงได้ในระดับเหนือเทพและเข้าชิงรางวัลออสการ์ ก่อนที่จะแพ้ Alan Arkin จาก Little Miss Sunshine ไปอย่างเปี่ยมข้อกังขา (ถ้าผมเป็นกรรมการ ผมว่าการแสดงของสองคนที่เอามาเทียบกันนั้น น่าจะสลับรางวัลกันเป็นที่สุด!) ด้วยพลังการแสดงของเขา ทำให้ตัวละครรอนนี่เป็นตัวละครที่คนดูจะรู้สึกเสียวสันหลังและหวาดกลัวเพียงในแวบแรกที่เห็น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาคือตัวละครที่น่าสงสารและน่าเวทนา ไม่ต่างกับ "ไอ้ฟัก" ใน คำพิพากษา
จุดที่น่าเสียดายมากที่สุดของ Little Children ที่ส่งผลต่อระดับความชอบพอสมควรก็คือช่วงท้ายของเรื่องที่ซอฟต์ลง และใจดีจนน่าใจหาย ทั้งๆที่สปีดคงที่มาตลอดค่อนเรื่อง เหมือนกับสะดุดขาตัวเองก่อนเข้าเส้นชัยยังไงยังงั้น (ทำให้อยากดู In the Bedroom ที่เขาว่ากันว่าตอนจบโหดร้ายได้ใจเป็นที่สุด) แต่อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับที่ชื่อ Todd Field ก็ถือว่าน่าจับตามอง
Scoop (สหราชอาณาจักร+สหรัฐอเมริกา, Woody Allen, 2006, B+)
หลังจาก Match Point กู้ชื่อของ Woody Allen กลับมาในสายตานักวิจารณ์ ภาพยนตร์เรื่องต่อมาเขาก็ยังเลือกใช้บริการ Scarlett Johansson เช่นเดิม เพียงแต่คราวนี้ Scoop กลับออกมาไม่ดีนัก (จริงๆแล้ว Scoop ฉายก่อน Match Point แต่เข้าไทยทีหลัง) ผลงานโดยรวมอยู่ในระดับกลางๆ เท่านั้นเอง
หนังเลี้ยงตัวเองด้วยเสน่ห์ของสการ์เล็ตต์ (ที่มีไม่มากเท่า Lost in Translation และ Match Point) และมุขตลกแบบอังกฤษที่วู้ดดี้ อัลเลน ขนมาประเคนผู้ชมแบบแทบหมดบ้าน ผลของมันคือทำให้ผมพอจะขำขำ (Chuckles) เป็นระยะๆ ได้ตลอดจนจบเรื่อง แต่ก็เหมือนดาบสองคม เพราะการเล่าเรื่องแบบนี้ทำให้ผมรำคาญวู้ดดี้ อัลเลนเหลือเกิน Hugh Jackman ก็แสดงได้แข็ง ดูไม่มีมาดผู้ดี (ต่างกับการแสดงใน The Fountain ที่เล่นดีเหลือเชื่อ)
จุดที่ทำให้หนังไม่โดนอีกอย่างคือตอนจบที่เล่นง่ายและ cliche เหลือเกิน...
วิดีโอคลิป aka Video Clip (ไทย, ภาคภูมิ วงษ์จินดา, 2550, C)
ภาพยนตร์เรื่องนี้คือตัวอย่างชิ้นโบแดงที่ประจักษ์แจ้งแก่สายตาผู้ที่ "หลง" เข้าไปดูว่า การเอาพล็อตหนังดีดีหนึ่งชิ้นมาขยายความเป็นหนังใหญ่ กลับทำให้ออกมาเป็นหนังที่เข้าขั้นห่วยแตกทุเรศทุรังได้อย่างไร
ประการแรกที่สำคัญมากก็คือ ความดีใจเกินเหตุของฝ่ายบาแรมยูและสหมงคลฟิล์ม ที่เหมือนกับพยายามรีบเข็นโปรเจ็คต์นี้ออกมาให้เป็นหนังให้เร็วที่สุด ตีเหล็กต้องตีตอนกำลังร้อน รางวัลได้มาต้องรีบทำหนังไม่งั้นเดี๋ยวกระแสจะซาลง ทำให้ผลงานออกมาสุกๆดิบๆ เหมือนคนไม่ตั้งใจทำ สักแต่ทำเพื่อให้มีของขาย
สืบเนื่องจากประการแรก เมื่อคนมันรีบมันเร่งมันไม่ตั้งใจทำ งานย่อมออกมากะหลั่ว สิ่งที่จะเห็นได้ชัดเจนคือตัวบทภาพยนตร์ (ไม่ใช่ "พล็อต") ที่งี่เง่า ไร้เหตุผล ไม่มีที่มาที่ไป จะยกตัวอย่างชัดๆคือฉากที่ต้าร์บาร์บี้ต้องใส่เสื้อกันฝนสีแดงไปตากฝนตามกฎของตัวร้ายลึกลับ แต่อยากจะถามว่าแล้วไอ้ตัวร้ายมึงเป็นพระพิรุณหรือไงถึงจะรู้ว่าฝนจะตกตอนนั้นเวลานั้นพอดี?? ไม่มีตัวร้ายประเทศไหนวางแผนกับดินฟ้าอากาศที่ตัวเองเขาควบคุมไม่ได้หรอกครับ
ประการที่สอง เมื่อจะขายของในระยะเวลาอันสั้น การยัดทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถปะหน้าแล้วขายได้ก็ย่อมมีผล ดังนั้น วิดีโอคลิป จึงพยายามประเคนทั้งภาพเซ็กส์เว็บแคม คลิปหลุด รวมไปถึงการให้ปีใหม่มาเต้นโคโยตี้และเล่นเลิฟซีน สิริรวมใช้เวลาทั้งหมดสองนาทีถ้วนบนจอภาพยนตร์
ประการที่สามคือการแสดงขั้นต่ำของนักแสดงตัวหลัก ทั้งพระเอกอย่างต้าร์บาร์บี้ที่เล่นราวกับสากกะเบือแช่ช่องฟรีซ นางเอกใหม่น้ำหวานที่ควรจะอยู่เฉยๆ เพราะเมื่อพูดอะไรออกมาซักคำ เธอจะดู immature มากๆ โดยเฉพาะฉากที่เธอเพิ่งจะรอดพ้นจากการถูกข่มขืน แต่หน้าตาเธอยังกับเพิ่งดูหนังเสร็จแล้วแฟนพามาส่งบ้าน(ไม่เข้าใจว่าผู้กำกับปล่อยให้ผ่านมาได้ยังไง) และดีเจโป้งที่แม้จะดูกวนตีนและพลิ้วเมื่อออกวิทยุ แต่เมื่อต้องทำท่าทีค่อนข้างจริงจังก็ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ยิ่งเมื่อไดอะล็อกต้องการเสียดสีสังคมในหลายๆจุด และพยายามยัดคำพูดเสียดสีให้ตัวละครเจ้าพ่อค้ายาที่ดีเจโป้งเล่นเป็นคนพูด ทำให้คำเสียดสีเหล่านั้นดูธรรมดามาก (ทั้งที่ปกติไม่ค่อยจะมีหนังเรื่องไหนกล้าเสียดสี "คดีห้างทอง" ซักเท่าไหร่)
ด่าไปเยอะแล้ว ที่ต้องชมมีอย่างเดียวคือการถ่ายภาพ ชอบการถ่ายวิวของกรุงเทพผ่านรถไฟฟ้า รวมไปถึงฉากที่ไอ้โรคจิตเข้ามาจับนางเอก ที่ถ่ายผ่านประตูลิฟต์เป็นชั้นๆ ถือว่าทำได้ดี (ประตูลิฟต์ที่ไหนเป็นช่องๆแบบนี้มั่งนะ ไม่เคยเห็นแฮะ)
Hairspray (สหรัฐอเมริกา, Adam Shankman, 2007, A)
หนังเพลงคือ genre หนึ่งที่ค่อนข้างได้เปรียบ เพราะไม่ต้องเป็นหนังที่สมบูรณ์แบบมากมาย แต่ก็เรียกคะแนนความชอบจากคนดูได้ล้นหลามหากว่ามีเพลงเพราะเสนาะหู (กรณีศึกษาคือ Dreamgirls ที่เพลงเพราะมาก ในขณะที่เนื้อเรื่องยังขาดๆเกินๆอยู่บ้าง และเจ้าของบล๊อกก็ดูในโรงไปสองรอบ) คล้ายๆกับหนังแนววินาศสันตะโรอย่าง Transformers ที่เน้นการทำลายล้างบ้านเมืองให้ฉิบหายกันไปข้างหนึ่ง
Hairspray รีเมคมาจากหนังเวอร์ชั่น 1988 ของ John Waters และละครบรอดเวย์ที่เปิดการแสดงมานับไม่ถ้วนรอบ เนื้อเรื่องในเมืองบัลติมอร์ช่วงต้นยุค 60s ที่สังคมอเมริกันยังมองการเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติเป็นเรื่องถูกต้อง Tracy Turnblad คือเด็กผู้หญิงตัวอ้วนๆกลมๆคนหนึ่งที่ฝันอยากไปเต้นในรายการสุดฮิตอย่าง The Corny Collins Show
แน่นอนว่ากว่าจะปั้นหนังให้ครบสองชั่วโมง(นิดๆ)ได้นั้น แม่หนูเทรซี่ย่อมไม่ได้รับการยอมรับง่ายๆแน่ เพราะทั้งตัวอ้วนฉุ แถมยังมีความคิดเสรีนิยมผิดกับ norm ของบัลติมอร์ในเวลานั้นอีกต่างหาก (ในยุคที่การสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวคนผิวดำแทบเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ) แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ Hairspray เวอร์ชั่นนี้ให้ความหลั่นล้าร่าเริงเอนเตอร์เทนกับคนดู แต่ขาดความกลมกล่อมของเนื้อหาอีกด้าน เพราะตัวหนังเอื้อให้สะท้อนสังคม แถมตัวเองก็ทำท่าจะสะท้อนเสียดสีสังคมแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกับประเด็นนั้นมากมายนัก
การแสดงของ Nikki Blonsky และ John Travolta คือส่วนที่ดีที่สุดในบรรดาการแสดงทั้งหมด คนแรกทั้งน่ารักน่าหยิกและเต้นได้พลิ้วขัดกับร่างกายอวบอ้วน ส่วนคนหลังก็เล่นได้แรดเสียจนไม่คิดว่านี่คือคนคนเดียวกับมือปืนใน Pulp Fiction
High Fidelity (สหราชอาณาจักร+สหรัฐอเมริกา, Stephen Frears, 2000, B+)
มีนักดูหนังหลายคนชอบหนังเรื่องนี้มาก แต่โดยส่วนตัวไม่ได้อะไรกันมันมากเท่าไหร่ คงเพราะว่าไม่ได้เคย "บ้า" อะไรมากขนาดนั้น (รึเปล่าวะ?? 55+) เหมือนกับตัวเอกอย่างร็อบ กอร์ดอน ที่หมกมุ่นกับการจัดอันดับ Top5 ของทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวตั้งแต่ซีดีที่ชอบ ไปจนถึงสาวที่หักอกได้แสบสันต์ที่สุดในชีวิต แล้วพอมาจัดอันดับเรื่องนี้ก็เลยออกตามหาแฟนเก่าทีละคนๆ ซะงั้น! (เพราะว่าแฟนคนล่าสุดก็เพิ่งจะมาบอกเลิกไป เหอๆๆ)
ส่วนตัวชอบการแสดงของ John Cusack, Joan Cusack, Jack Black และ Iben Hjejle ที่เล่นเป็นแฟนคนล่าสุดของพระเอกมาก (น่าแปลกว่าหลังจากนี้เธอแทบไม่ได้รับงานแสดงหนังอีกเลย...) ที่เซอร์ไพรส์มากกว่าคือ Catherine Zeta-Jones เล่นเรื่องนี้ด้วย!!
Frailty (สหรัฐอเมริกา+เยอรมนี+อิตาลี, Bill Paxton, 2001, A+++++++++++)
Frailty คือหนังที่คุณควรดูโดยที่ไม่ต้องรู้อะไรเกี่ยวกับมันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นผมจะเขียนถึงมันสั้นๆ ว่ามันคือหนังที่จะสร้างความเครียดให้กับคุณได้ทั่วทุกส่วนสรรพางค์กาย และสะพรึงใจแทบทุกอณู กับเรื่องราวของคนที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ที่ซาตานมอบให้ "กำจัด" คนบาป ลูกคนหนึ่งคิดว่างมงาย แต่ลูกอีกคนกลับศรัทธาพ่อสุดใจ!!
The Bridge on the River Kwai (สหราชอาณาจักร+สหรัฐอเมริกา, David Lean, 1957, A)
หนังเล่าเรื่องของสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อญี่ปุ่นต้องการยาตราทัพไปยังชมพูทวีปผ่านประเทศไทยและพม่า จึงต้องเกณฑ์เชลยศึกเชื้อสายคอเคซอยด์ทั้งหลายทั้งยุโรปและออสเตรเลียมาสร้าง "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" โดยระหว่างนั้นหนังก็จะพูดถึงความขัดแย้งระหว่างทหารญี่ปุ่นเจ้าระเบียบวินัย และทหารอังกฤษบ้าศักดิ์ศรี รวมถึงทหารอเมริกันผู้ไม่อยากจมอยู่ในสมรภูมิรบอีกต่อไป และทั้งหมดทั้งมวลนี้คือ "ความไร้สาระของสงคราม"
ในช่วงแรกๆของหนัง ผมรู้สึกเกลียดหนังเรื่องนี้มาก เพราะดูจะวางตัวเป็น "สัมพันธมิตร" จนเกินเหตุ วางภาพทหารญี่ปุ่นให้ดูเป็นผู้ร้ายและไม่ใช่มนุษย์ (ก็สร้างหลังสงครามโลกแค่ 12 ปี แถมร่วมทุนอังกฤษกับอเมริกาอีก) แถมเมื่อคนอเมริกันหรืออังกฤษทำอะไรที่ดูดีขึ้นมาซักอย่าง หนังก็จะบรรเลงดนตรีประกอบแนววิกตอรี่ (นึกถึงเสียงประมาณ "แต่น แตน แตน แต๊นนนน") สะเหร่อๆ ขึ้นมาประกอบทุกครั้งจนรำคาญหู และตัดสินไปแล้วว่ากรรมการออสการ์ยุคนั้นคงต้องการอะไรที่เชิดชูชาติตัวเองมากๆ ถึงได้ประเคนออสการ์ให้หนังเรื่องนี้ไปเสีย 7 ตัว
เมื่อทุกอย่างดำเนินมาจนถึงฉากแอ็คชั่นไคลแมกซ์ทุ่มทุนสร้างในช่วงสิบห้านาทีสุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเกลียดมากนั้นกลับมาพลิกผันเป็นชอบในช่วงท้ายนี่เอง เพราะเวลาแค่สิบห้านาที หนังกลับสรุปความพินาศย่อยยับและความไร้สาระของสงครามที่ผู้คนต่างชาติต่างฝ่ายมาไล่ฆ่าไล่ประหัตประหารกันอย่างไร้เหตุผล ไม่ว่าจะเพื่อสิ่งที่เห็นด้วยตาอย่างดินแดน หรือสิ่งที่ไม่มีใครสัมผัสได้อย่างศักดิ์ศรีของชาติ ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็ฉิบหายวายป่วง ก่อนที่ดนตรีแนววิกตอรี่นั้นจะดังขึ้นมาส่งท้ายภาพยนตร์เรื่องนี้!!!
ช่างเป็นตอนจบที่ irony ได้เจ็บแสบเหลือกินดีแท้...
Ratatouille (สหรัฐอเมริกา, Brad Bird, 2007, A+)
Ratatouille คือผลงานที่น่ายกย่องและน่ายินดีของพิกซาร์ที่ถีบตัวเองก้าวขึ้นมาอีกขั้น ด้วยเนื้อหาที่เติบโตขึ้นกว่าอนิเมชั่นเรื่องก่อนๆ (โดยเฉพาะเรื่องล่าสุดอย่าง Cars ที่ "เด็ก" พอควร) แม้ว่าจะเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่เป็นสัตว์อย่างหนูบ้าน และเรื่องราวที่ไม่น่าเป็นไปได้อย่างหนูบ้านที่อยากเป็นเชฟ!!
ภายใต้เรื่องราวที่ออกแฟนตาซีนี้ แท้จริงแล้วอนิเมชั่นเรื่องนี้กลับแฝงแง่มุมเกี่ยวกับสังคมและชนชั้นเอาไว้อย่างคมคาย หนังพูดถึงการแหวกกรอบทางชนชั้นและโอกาสทางสังคม ถ้าจะเปรียบเทียบชัดๆก็คงเหมือนคนวรรณะจัณฑาลที่อยากจะเชิดหน้าชูตาในสังคมแต่ว่า norm ของสังคมอินเดียมันไม่ยอม ก็เหมือนหนูบ้านที่แน่นอนว่าคงไม่มีอยากให้แม้แต่เฉียดเข้าใกล้ครัว ด้วยความที่หนูบ้านโดยธรรมชาติคือสัตว์ที่คลุกคลีกับขยะ
ระหว่างที่ดู Ratatouille ผมก็เลยไพล่นึกถึงเรื่องราวการดิ้นรนทางชนชั้นของ Dr. Bhimrao Ramji Ambedkar ที่ก้าวข้ามผ่านจากความเป็นวรรณะจัณฑาลภายใต้ค่านิยมฮินดูของอินเดีย มาเป็นอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการยอมรับ (ยกเว้นในบรรดาฮินดูเคร่งศาสนา) ซึ่งเคยเรียนในวิชาพระพุทธศาสนาในบทที่เกี่ยวกับพุทธศาสนิกชนคนสำคัญ เรื่องราวของ ดร.เอ็มเบ็ดการ์ นั้นแทบจะเรียกว่าซ้อนทับกับเรื่องราวของเจ้าหนูเรมี่อยู่มากทีเดียว
เริ่มจากการที่เรมี่อยู่ในฐานะหนูบ้านที่ไม่มีใครยอมรับ ก่อนจะได้รับโอกาสจากลิงกวินี่ให้แสดงฝีมือการทำอาหารชั้นเลิศ หากแต่คนที่ได้เครดิตนั้นคือลิงกวินี่ ส่วนเรมี่ก็ต้องแอบอยู่ในหมวกต่อไป เหมือนกับดร.เอ็มเบ็ดการ์ที่ต้องรับความช่วยเหลือจากอาจารย์ในวรรณะพราหมณ์ที่ยอมรับในตัวเขา ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาจนสำเร็จ หากไม่มีคนที่เห็นคุณค่าของพวกเขาทั้งสอง พวกเขาก็คงเป็นแค่หนูบ้านกินซากขยะ หรือว่าคนวรรณะจัณฑาลที่ไม่มีใครกล้าแม้แต่ชายตามอง ไปจนตาย
ในทางกลับกัน แง่มุมที่เศร้าหม่นที่ Ratatouille นำเสนอในอีกแง่ก็คือ ถึงแม้ว่าคนชนชั้นล่างอย่างเรมี่หรือดร.เอ็มเบ็ดการ์ จะมีความสามารถล้นเหลือและฉลาดจริงก็ตาม แต่นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว คนที่อยู่ในสภาพเดียวกันอีกจำนวนมากอาจไม่ได้รับเครดิตความสำเร็จของตัวเองก็เป็นได้ คนบางคนอาจต้องตกอยู่ใต้เงาของคนวรรณะสูงกว่าที่ให้โอกาสเขามาตลอดชีวิต ถ้าสังคมอินเดียเป็นฮินดูที่เคร่งมากไปเสียหมด ดร.เอ็มเบ็ดการ์คงไม่อาจขึ้นมาเป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคมอินเดีย หรือถ้าลิงกวินี่ไม่รู้ความสามารถตัวเองในท้ายที่สุด เรมี่ก็คงต้องอยู่ในหมวกต่อไปตลอดชีวิต
เรื่องน่าเศร้าที่เราต้องยอมรับก็คือ ยังมีคนจำนวนมากที่ตัดสินคนเพียงแค่ชาติกำเนิดหรือรูปลักษณ์ภายนอก เหมือนกับชาวฮินดูผู้เคร่งศาสนาและประเพณีเหล่านั้น และคนครัวหลายคนที่ส่ายหน้าเดินออกจากร้านกุสโตว์ไปเมื่อรู้ความจริงว่าเรมี่คือคนทำอาหารทั้งหมดตลอดเวลาที่ผ่านมา...
Casablanca (สหรัฐอเมริกา, Michael Curtiz, 1942, A-)
ผมเคยอ่านหนังสืออ่านนอกเวลาเรื่อง As Time Goes By ตอนมอสี่หรือมอห้า (ฉบับย่อ) เลยพอจะรู้ความสัมพันธ์ของ Rick, Ilsa, Louis และ Victor มาพอสมควร แต่ว่าเนื้อเรื่องในหนังสือเล่มนี้คือตอนต่อจากภาพยนตร์อมตะเรื่อง Casablanca
เมื่อประมาณปีก่อนผมเองก็เคยดู Casablanca เหมือนกันแต่ว่าเป็นภาพวีซีดีเช่า สมาธิก็หลุดๆ เลยดูไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่แค่พอจะจับเนื้อเรื่องได้บ้าง พอคราวนี้ลิโด้เอาฟิล์มเก่ามาฉาย แม้จะไม่มีซับไตเติ้ลแต่ก็คุ้มค่าที่จะเข้าไปนั่งดู (ฝรั่งค่อนโรง และคนดูเต็มโรง น่าชื่นใจ)
อาจเป็นเพราะช่วงเวลาที่ห่างกัน 65 ปี ความรู้สึกร่วมที่ผมมีกับภาพยนตร์เรื่องนี้เลยอาจไม่มากนัก ไม่รู้สึกว่าความรักของริคกับอิลซ่ามันช่างโรแมนติกลึกซึ้งกินใจเป็นรักแท้ การที่คนทั้งคู่จากกันมันช่างเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด ก่อนที่จะกลับมาพบกันอีกครั้งที่คาซาบลังก้า แต่ถึงกระนั้นเพลง As Time Goes By และประโยค "We'll always have Paris." ก็กินใจในระดับหนึ่ง
ฉากที่ผมชอบที่สุดกลับกลายเป็นฉาก "ดวลเพลงชาติเยอรมันกับฝรั่งเศส" ในผับของริค...
ปล. ผมรำคาญเสียงพูดของ Humphrey Bogart มากๆ - -*
Doctor Zhivago (สหรัฐอเมริกา, David Lean, 1965, A+)
หนังเล่าถึงชีวิตของหมอหนุ่มชาวรัสเซียยูริ ชิวาโก้ ตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กับชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ก่อนที่จะต้องไปปฏิบัติหน้าที่แพทย์สนามท่ามกลางสมรภูมิรบและการปฏิวัติของสมาชิกพรรคบอลเชวิค และพบรักใหม่กลางสนามรบคือพยาบาลอาสานามว่า ลาร่า
พูดกันตามตรงว่าฟังไม่รู้เรื่องเลย (T_T) แต่กลับรู้สึกชอบหนังเรื่องนี้อย่างประหลาด เหมือนมีออร่าบางอย่างแทรกเข้ามาในตัว (ไม่ได้เวอร์นะ) การแสดงของโอมาร์ ชารีฟ กับ จูลี่ คริสตี้ คุมหนังได้อยู่ และในขณะเดียวกัน เยอรัลดีน แชปลินก็สวยหยาดเยิ้มเสียเหลือเกิน (อิอิ)
จะติอย่างเดียวก็เพราะว่าหนังเกิดในรัสเซีย ตัวละครเป็นรัสเซีย แต่ดันพูดภาษาอังกฤษเนี่ยสิ...
Pride and Prejudice (ฝรั่งเศส+สหราชอาณาจักร, Joe Wright, 2005, B)
จากบทประพันธ์เลื่องชื่อของเจน ออสเตน อันว่าด้วยความเฟมินิสต์ของหญิงสาวในยุคโบราณของอังกฤษ ยุคที่ผู้ชายยังถือสิทธิในการครองทรัพย์สินแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าหากผู้หญิงคนไหนไม่รีบหาผัวให้เป็นตัวเป็นตน ชีวิตนี้ก็จะอยู่แบบไม่มีเงินจนแก่ตาย
ดังนั้นเราจะเห็นครอบครัว Bennett ที่แม่พยายามพรีเซนต์ลูกสาวตัวเองให้กับผู้ชายรวยๆ อย่างออกหน้าออกตาไม่อายฟ้าดิน แต่เมื่อดูสภาพสังคมช่วงนั้นก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลก และนอกจากลูกสาวคนโตสองคนคือ อลิซาเบธ และ เจน เบนนเนตต์ แล้ว ลูกสาวคนที่เหลือของครอบครัวนี้ก็รับเชื้อแม่มาอย่างเต็มที่ คือสอดส่ายสายตามองหาแต่ผู้ชายรวยๆ เท่านั้น
Keira Knightley เรื่องนี้เล่นดีสมกับที่ได้เข้าชิงออสการ์ (และแพ้ Reese Witherspoon จาก Walk the Line) กับบทบาทที่ไม่เฟมินิสต์จนเกินเหตุ และที่สำคัญยิ้มตาหยีได้น่ารักที่สุดในโลก (คะแนนพิศวาสส่วนตัว 55+)
เสียอย่างที่ทำให้คะแนนหนังเรื่องนี้ในใจผมลดฮวบคือผมไม่ค่อยเชื่อว่าพระเอกกับนางเอกมันรักกันจริง หรือมันไปรักกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยสิ....
Planet Terror (สหรัฐอเมริกา, Robert Rodriguez, 2007, A+++++)
เนื้อเรื่องคร่าวๆก็คือเมืองเมืองหนึ่งเกิดโรคระบาดจากสารเคมี ทำให้ผู้คนกลายเป็นซอมบี้ไล่กินเนื้อคนอื่นๆ ส่วนนางเอกของเรื่องก็ต้องตัดขาเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองกลายเป็นซอมบี้ ก่อนที่ภายหลังจะกลายเป็น "โคโยตี้แข้งปืนกล" ออกไล่ล่าซอมบี้และพาตัวเองกับพรรคพวกให้รอดพ้นจากเมืองนรกแห่งนี้ไปให้ได้
หากคิดถึงเรื่องบท หนังเรื่องนี้แน่นอนว่าต้องเป็นหนังชั้นเลวเป็นแน่เพราะบทขาดทั้งตรรกะ เหตุผล เพียงแต่ว่าจุดประสงค์ของเรื่องนี้คือความสนุกสนานจากสไตล์การเล่าเรื่อง และการคารวะต่อหนังเกรดบีประเภทเน้นเลือดสาดเพื่อความบ้าคลั่งของผู้ชม มันจึงกลายเป็นหนังที่ดีขึ้นมาทันตาเห็น (เอาง่ายๆ นางเอกถูกเอาปืนกลมาติดที่ขา แล้วทำไมยิงได้ทั้งปืน ทั้งบาซูก้า ไม่เห็นต้องเหนี่ยวไกเลย 555+) ด้วยสไตล์ทั้งการทำฟิล์มให้ขูดขีดเป็นรอย ฉายภาพซ้อน หรือแม้กระทั่งทำฟิล์มไหม้ตอนฉากเลิฟซีนถึงพริกถึงขิงของพระเอกนางเอก! (กวนส้นมาก)
ที่สำคัญที่สุด Rose McGowen ช่างหยาดเยิ้มอะไรอย่างนี้ อิอิ...
Gone with the Wind (สหรัฐอเมริกา, Victor Fleming, 1939, A+)
ภาพยนตร์อมตะอีกเรื่องของอเมริกาชื่อไทยว่า "วิมานลอย" ยังคงมนต์ขลังเอาไว้ไม่เสื่อมคลายแม้จะมีอายุถึง 68 ปีแล้วก็ตามในขณะที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้ ไม่น่าเชื่อว่าหนังความยาว 4 ชั่วโมงเรื่องนี้จะตรึงผมได้ขนาดนี้ (แม้ในช่วงแรกๆจะมีวูบๆหลับไปบ้าง เพราะหนังต้องใช้เวลาในการปูเนื้อเรื่องช่วงต้นนานพอสมควร)
นอกจากตัวเนื้อเรื่องที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นต้นตำรับให้เรื่องอื่นมาขโมยไปใช้เกลื่อนกลาดไปหมด แต่ว่าก็ยังดูทันสมัยร่วมสมัยพอสมควร ยิ่งคาแรคเตอร์อมตะอย่าง Scarlett O'Hara ซึ่งเป็นนางเอกที่ "ร้าย" เหลือเกิน บวกกับการแสดงขั้นเทพอวตารของ Vivien Leigh ที่ทำให้บทนี้และการแสดงครั้งนี้ยังคงน่าจดจำ และน่าชื่นชม แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเกือบเจ็ดทศวรรษแล้วก็ตามที
ตอนนี้มีดีวีดีเรื่องนี้นอนรออยู่ในกองดองที่บ้าน คาดว่าซักวันว่างๆคงได้หยิบมาดูอีกซักที
ปล. ผมรำคาญเสียง Clark Gable มากๆ อีกคนแล้ว...
Death Proof (สหรัฐอเมริกา, Quentin Tarantino, 2007, A++++++++)
ภาพยนตร์เรื่องที่สองในโครงการ Grindhouse ที่ถูกจับแยกกับหนังพี่หนังน้องอย่าง Planet Terror เพราะไม่ทำเงินในบ้านเกิดเรื่องนี้มีภาษีดีกว่าเรื่องแรก แม้ว่ามันจะหลุดธีมของความเป็น "หนังเกรดบี" เกินไปหน่อย แต่จุดที่มันหลุดออกมานั้นก็คือความเฉลียวฉลาดของตัวหนัง แม้ว่าเนื้อเรื่องทั้งหมดจะวนเวียนอยู่แค่ฆาตกรโรคจิตและผู้หญิงก๋ากั่นกลุ่มเดียวเท่านั้น
Kurt Russell ตีบทแตกละเอียดกับฆาตกรสตันท์แมนโรคจิตที่ชอบขับรถพาสาวๆไปตายห่า ด้วยความกวนส้นตีนของทั้งตัวบทและการแสดงทำให้ตัวละครตัวนี้ดูดีมาก แต่ในขณะเดียวกันก๊วนสาวๆที่หาญกล้า "สู้ฟัด" กับฆาตกรโรคจิตที่ดันมาหาเรื่องไม่ดูตาม้าตาเรือก็เล่นกันได้สะเด็ดสะเด่าเหลือหลาย ทั้ง Vanessa Ferlito, Zoe Bell(ติดอันดับสตันท์หญิงที่กล้าที่สุดคนหนึ่งจากการเล่นเรื่องนี้) และ Rosario Dawson(ดาราหญิงที่ติดอันดับ หน้าตาไม่ดีแต่มีเสน่ห์เป็นเลิศ ของผม)
นอกจากการแสดง ฉากแอ็คชั่นในหนังเรื่องนี้ก็สุดยอด เพราะเป็นการถ่ายแบบไม่มีซีจี เอารถมาบี้กันเห็นๆเป็นคันๆ โดยเฉพาะฉากรถประสานงาแบบ multi-angle ตอนกลางเรื่องที่เรียกได้ว่าเป็น "ความงดงามท่ามกลางความฉิบหาย" ที่ Quentin Tarantino ช่างคิดช่างสรรค์สร้างเสียจริงๆ กับอีกฉากคือฉากขับรถไล่ล่ากันในตอนท้ายเรื่องที่ดุเด็ดสมกับเป็นเฮียเควนติน
และนี่คือข้อพิสูจน์ว่า Quentin Tarantino คือหนึ่งในผู้กำกับที่เก่งที่สุดในโลกตอนนี้
The Good, the Bad and the Ugly aka Il Buono, il Brutto, il Cattivo (อิตาลี+สเปน, Sergio Leone, 1966, A)
ผมไม่แน่ใจในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เท่าไหร่ แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าดนตรีประกอบของ Enrico Corrione ในหนังคาวบอยสปาเก๊ตตี้เรื่องนี้ช่างเป็นอมตะ และติดหูคนดูมา 40 กว่าปี และยังมีคนหยิบยืมบางส่วนของดนตรีประกอบของเขาไปประกอบทั้งละคร ภาพยนตร์ หรือว่ารายการทีวีไม่เว้นแม้แต่ของไทยเอง (ถ้าใครได้ไปนั่งดูจะต้องร้องอ๋อในใจแน่ๆ ตอนที่ดนตรีตอนเปิดเรื่องบรรเลงขึ้น เพราะใช้กันบ่อยมาก)
เรื่องราวของ The Good และ The Ugly สองคาวบอยที่ร่วมมือกันหลอกเอาเงินจากทางการเป็นอาชีพ วันหนึ่งจับพลัดจับผลูออกค้นหาสมบัติมหาศาลในพื้นที่ห่างไกลท่ามกลางสงครามกลางเมืองในอเมริกา และต้องขับเคี่ยวกับ The Bad ผู้พยายามขัดขวางคนทั้งคู่ทุกวิถีทาง ก่อนจะนำไปสู่ฉากคลาสสิกตอนท้ายเมื่อคนทั้งสามต้องประจันหน้ากันเป็นสามเหลี่ยมท่ามกลางไอร้อนของทะเลทรายและป้ายบอกชื่อของสุสาน
อีกฉากที่ชอบมากคือตอนที่ The Ugly กำลังอาบน้ำอยู่ แล้วมีศัตรูถือปืนเข้ามากะจะฆ่าแล้วก็มัวแต่ไล่เรียงสาธยายความชั่วที่ The Ugly เคยทำไว้จนโดนยิงแสกหน้า พร้อมกับคำพูดอมตะของ The Ugly ที่ว่า "You just shoot, shoot, shoot. Don't talk!!"
ส่วนตัวเฉยๆกับเรื่องนี้นะ อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ค่อยอินกับหนังคาวบอยอะไรแบบนี้ซักเท่าไหร่
All About Lily Chou-Chou aka Riri Shushu no subete (ญี่ปุ่น, Iwai Shunji, 2001, A+++++++++++++++++)
การดูหนังเรื่องนี้รอบแรกในชีวิต (หลังเขามากๆ มันมาฉายโรงบ้านเราตั้ง 3-4 ปีแล้ว) ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดหลายอย่างขณะที่นั่งจ้องเรื่องราวอยู่ในโรงภาพยนตร์ House RCA
แม้ว่าจะจับเนื้อเรื่อง เรื่องราว และสารที่หนังต้องการสื่อได้ไม่ครบร้อยเปอร์เซนต์ แต่ระหว่างที่เรื่องราวของยูอิจิ โฮชิโนะ และผองเพื่อนดำเนินไปเรื่อยๆ ผมก็เกิดความรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรถ่วงอยู่ในหน้าอกตลอดเวลา บางคราวชีพจรที่ศอกซ้ายก็เต้นตุบๆขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ และนี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในรอบหลายเดือนมาก ที่ดูรวดเดียวจนจบโดยที่ผมไม่ได้ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หน้าหนังเหมือนจะเป็นหนังรักวัยรุ่นออกแนว Seasons Change (สำหรับคนที่ไม่ได้อ่านเรื่องย่อมาก่อนอย่างผม) เมื่อเข้าไปดูก็มีแต่เรื่องไม่คาดคิดปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ความกดดัน ความเครียด และความหม่นเศร้าที่หนังค่อยๆนำเสนอออกมา มันสร้างความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ และบรรยากาศหม่นๆที่ตลบอบอวลคละคลุ้งอยู่ตลอดเวลา
ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป ค่านิยมสังคมที่ตกต่ำ อินเตอร์เน็ตครองโลก และ "อีเทอร์"
พูดแล้วเดี๋ยวหาว่าเวอร์ แต่นี่คือหนังที่ต้องดูให้ได้ซักสองรอบก่อนตาย!!
Hostel (สหรัฐอเมริกา, Eli Roth, 2005, C+)
หนังเล่าเรื่องของเพื่อนซี้อเมริกันสามคนที่เดินทางไปยังประเทศสโลวะเกีย เพื่อหาดินแดนอันสงบและด้อยพัฒนา เพื่อที่จะเมาเหล้าเมายาและหาผู้หญิงมาเอาเล่นเย็นๆใจแบบไม่สะเทือนกระเป๋าตังค์ ก่อนที่จะพบว่าแท้จริงแล้วดินแดนแห่งนี้คือดินแดนสุดสยองที่ไม่อาจบรรยายได้ และไม่มีชาวอเมริกันคนใดจะรอดชีวิตออกจากดินแดนแห่งนี้ไปได้แน่นอน
จุดประสงค์ของหนังเรื่องนี้คือการขายความคัลต์และโหด เน้นเลือด อวัยวะภายใน และอาวุธมีคมทั้งหลายในการประหัตประหารชีวิตมนุษย์ แน่นอนว่าหนังทำได้ดีและค่อนข้างแปลกใหม่ เพราะมีแม้แต่ฉากใช้กรรไกรตัดลูกตาคนออกมาเป็นลูกๆ ตัดนิ้วสดๆ เอาไฟเผาหน้ากันจะๆ หากแต่หนังเน้นแต่จุดขายจุดนั้นจนลืมเรื่องของบท เพราะทุกอย่างนั้นเริ่มง่าย ไปง่าย และจบง่าย เข้าข่ายมักง่ายสิ้นดี
อีกอย่างที่ทำให้ไม่ปลื้ม Hostel เท่าไหร่ก็เพราะทัศนคติของตัวผู้กำกับ Eli Roth เอง เพราะหนังพยายามสร้างอคติหลายอย่างต่อคนต่างชาติ และดินแดนต่างถิ่น พูดง่ายๆคือหนังเรื่องนี้คนอเมริกันคือผู้ถูกกระทำ คือชนชาติที่น่าสงสารที่สุดในโลก และดินแดนอื่นคือดินแดนเถื่อน โรคจิต ด้อยพัฒนา และมุ่งเอารัดเอาเปรียบคนอเมริกันผู้น่าสงสารแต่ฝ่ายเดียว...
Create Date : 02 กันยายน 2550 |
Last Update : 16 กันยายน 2550 1:20:33 น. |
|
11 comments
|
Counter : 1671 Pageviews. |
|
|
|
โดย: เพอร์รี่ IP: 58.9.141.252 วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:0:16:08 น. |
|
|
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:14:29:27 น. |
|
|
|
โดย: Unravel วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:21:54:49 น. |
|
|
|
โดย: cheatoneself IP: 125.24.73.195 วันที่: 18 กันยายน 2550 เวลา:23:13:21 น. |
|
|
|
โดย: 125 66 IP: 58.11.121.115 วันที่: 23 กันยายน 2550 เวลา:23:00:47 น. |
|
|
|
โดย: poomeeeeeee IP: 58.9.162.53 วันที่: 23 กันยายน 2550 เวลา:23:25:22 น. |
|
|
|
โดย: merf1970 IP: 116.58.231.242 วันที่: 25 กันยายน 2550 เวลา:14:57:47 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าดิน วันที่: 26 กันยายน 2550 เวลา:4:20:50 น. |
|
|
|
โดย: kiteki IP: 125.24.4.204 วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:16:14:56 น. |
|
|
|
โดย: ฟิชชี่ IP: 168.120.27.248 วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:0:47:21 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
คนในสังคมจารีตที่มีความคิดทางเวลาแบบไตรภูมิจะไม่ให้ความสำคัญแก่เวลาตามประสบการณ์ กล่าวคือไม่ให้ความสำคัญแก่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงของชีวิตและสังคมว่าดำเนินมาและดำเนินไปอย่างไร เชื่อในการคลี่คลายเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสังคมซึ่งจะต้องเป็นเช่นนั้นตามกฎแห่งเวลาของพุทธศาสนา
- อรรถจักร สัตยานุรักษ์ (จากบทความ "ความเปลี่ยนแปลงความคิดทางเวลาในสังคมไทย" วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง 4 ตุลาคม 2531)
Let this song rhyme our souls when your voice and mine become one and whole.
Let it carry us high above When we recite our poetry of love that when there's love then there's hope.
Your love is my light, and it'll get us through this lonely night.
- รักแห่งสยาม (ซับไตเติ้ลอังกฤษเพลง กันและกัน ท่อนฮุค)
|
|
|
|
|
|
|
เป็นหนังที่เราชอบมากกกกก ไม่รู้ดิเราดูแล้วอินโคตรๆ เพลงแอสไทม์โกสบาย ก็ชอบโคตรๆ
ดูแล้วรักริค และคิดว่าผู้ชายอย่างนี้หาไม่ได้ในโลกแล้ว 555
เราว่ามันรักกันอย่างเจ็บๆดีชอบ
กอนวิทเดอะวิน
หนังยาวมากกกกก แต่ดูแล้วจี๊ดๆๆๆๆ
ไพร์ด แอน พรีจูดิซ
เคียร่า น่ารัก แต่ไม่สมควรชิงออสการ์ เ
แรททาทูอี้
เราหวังกับหนังเรื่องนี้มากไปหน่อยเลยไม่รู้สึกว่ามันสนุกเท่าที่ควรอ่ะ
วีดีโอคลิป
มีนารู้สึกว่ามีคนจ้องมองมีนาอยู่ตลอดเวลา
มีนากัว
หน้าตาแอ๊บๆ(นอร์มอล) และเสียงไม่มีควบกล้ำ
กับการที่ต้องทนดูตัวอย่างนี้ราวๆ 30 รอบ
ทำให้เกลียดหนังเร่ื่องนี้จนไม่คิดจะดูเลย