DR.MOO CAN DO
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
23 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 

บุญเพ็งหีบเหล็ก


                   "บุญเพ็ง" เป็นพระนอกรีตที่ถูกจับสึกเพราะทำผิดวินัยสงฆ์ต่อมาตั้งตนเป็นอาจารย์ มีคาถาอาคมทำเสน่ห์เมตตามหานิยมให้ผู้ที่เชื่อในเรื่องของคุณไสย และลงมือสังหารเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคนแล้วคนเล่าเพียงเพื่อต้องการทรัพย์สมบัติมาเป็นของตน โดยอำพรางคดีด้วยการหั่นศพใส่หีบเหล็ก และในที่สุดวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นก็แสดงอาถรรพ์ให้ทกคนได้เห็น จนในที่สุด "บุญเพ็ง" ก็ถูกจับและศาลตัดสินประหารชีวิตด้วยการกุดหัวเป็นคนสุดท้าย เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 242 ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย


               หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ช่วงนั้นได้มีการประหารนักโทษสำคัญท่านหนึ่ง ซึ่งที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นว่า "บุญเพ็ง" ซึ่งก่อคดีฆ่าคน ตายหลายชีวิต และศพที่ "บุญเพ็ง" ฆ่านั้นก็ได้นำมาใส่หีบเหล็ก แล้วโยนทิ้งน้ำทุกครั้ง


              ประวัติชีวิตของบุญเพ็งที่ถูกต้องคือบุญเพ็งเกิดเมื่อปีขาล ที่ท่าอุเทน มณฑลอุดร บิดาเป็นชาวจีน มารดาเป็น “ลาว”(ในสมัยนั้นคนภาคกลางยังเรียกคนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่าพวกลาว) มาอยู่กรุงเทพตั้งแต่อายุ 5 ขวบ


                เดิม"บุญเพ็ง"  เป็นชายหนุ่มรูปงามนักเป็นที่เลื่องลือ และกล่าวขาน เขากำพร้าพ่อแม่แต่เล็ก อยู่กับตายาย ชื่อตาสุก และยายเพียร ซึ่งเฝ้าเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมมา


                นอกจากเขาจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น เขายังมีกิริยานอบน้อม เจรจาพาทีไพเราะ จนสาว ๆ ทั้งหลายทอดสายตาให้ วิชาที่บุญเพ็งเรียนมา เป็นวิชาที่ไม่ให้คุณใคร และตาสุก ยายเพียรตระหนักดี แกคอยห้ามปราม ต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากบุญเพ็งเท่าที่ควร


                 หนุ่มบุญเพ็ง ไม่เอาไหน งานการไม่อยากทำ โดยปล่อยให้ตายาย ไปทำนาตามประสา ส่วนตัวเองกลับสนใจวิชาทางด้านไสยศาสตร์เวทมนต์และ ได้ไปขอเรียนวิชาอาคม กับ ตาไปล่ สัปเหร่อวัดไผ่เคาะ ผู้มีวิชาดี ทาง กำจัดภูตผี ปีศาจ และทำเสน่ห์ยาแฝด และหมอดู บุญเพ็งเรียนจบครบหลักสูตรวิชาไสยศาสตร์


                ต่อมาเขาได้เติบโตเป็นหนุ่ม ถูกตายายดุด่า ห้ามปรามไม่ให้เล่นวิชาไสยศาสตร์ เขาจึงทนไม่ไหว และมุ่งหน้าเข้าสู่บางลำภู ที่บางกอก (กรุงเทพฯ) มาตั้งสำนักหมอผี อยู่ในสวน ใกล้คลองบางลำภู เปิดสำนักดูหมอสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิต รับทำเมตตามหานิยม เสน่ห์ยาแฝด และไสยศาสตร์ ซึ่งขณะนั้นมีคนมาหาแวะเวียนมากมาย


                เมื่ออายุ 20 ปี ได้บวชเป็นภิกษุที่วัดเทวราชกุญชรแต่ประพฤติตนไม่ดีจึงถูกขับไล่ออกจากวัด และมาขอจำพรรษาที่วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งในตอนแรกเจ้าอาวาสไม่ยอม แต่บุญเพ็งสัญญาว่าจะประพฤติดี เจ้าอาวาสจึงยอม เป็นเวลาเก้าปีที่บุญเพ็งเป็นพระในพุทธศาสนา ตลอดระยะเวลาที่ครองผ้าเหลือง พระบุญเพ็งเป็นพระที่ปฏิบัติแต่กิจไม่พึงควร ล่วงอาบัติหลายประการ อาทิ ดื่มสุรา และเล่นการพนัน ก่อการไม่สงบร่วมกับพรรคพวกในวัด และได้ถูกจับสึกในที่สุด แต่ก่อสึกนั้น ค. ศ.2460-61 กลางสมัยรัชการที่ 6 บุญเพ็งได้ก่อก่อคดีฆ่าคนโดยการยัดศพใส่หีบเหล็กถ่วงน้ำ 2 ศพ (เพียงสองศพเท่านั้น) คือนายล้อมและนางปริก โดยทั้งหมดฆ่าเพียงชิงทรัพย์เพื่อเอาเงินไปซื้อสุรามาดื่มกินและไปเล่นพนันในวัด ซึ่งถือว่าเป็นพระภิกษุที่ประพฤติชั่ว ไม่สมควรจะอยู่ในร่มเงาของศาสนา


                หีบที่ใส่เหยื่อรายแรกลอยตามน้ำและปรากฏขึ้นเมื่อปลาย พ.ศ.2460 พบโดยชาวบ้านที่หากินด้วยการงมกุ้งตามแม่น้ำลำคลอง ได้พบหีบใบหนึ่งจมอยู่ก้นคลองบางกอกน้อย


                เมื่อเปิดหีบออกมาดูก็พบศพชายคนหนึ่งบรรจุอยู่ในนั้น ทราบภายหลังว่าเป็นนายล้อม พ่อค้าเพชรพลอย จากการสืบสวนพบว่าของมีค่าติดตัวได้หายไป จึงทราบว่านี้เป็นการฆ่าชิงทรัพย์


                ต่อมาไม่นาน เลาโพล็เพล้ของวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2461 ชาวบ้านย่านวัดไทรม้า จังหวัดนนทบุรีผู้หนึ่ง ก็พบหีบเหล็กใบหนึ่งลอยอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัด


                เมื่อช่วยกันกับชาวบ้านอีกคนชักลากหีบขึ้นมาเปิด ผู้คนที่มาดูต่างตะลึง...ในนั้นมีศพผู้หญิงถุกมัดมือมัดเท้านั่งยองๆ ยัดใส่อยู่ในหีบใบนั้นพร้อมมุ้งคลุมศพ และก้อนอิฐถ่วงหีบศพอีก 8 ก้อน


                อำมาตย์เอกพระยานนทบุรี นครบาลจังหวัดนนทบุรี เริ่มสืบหาผู้ปกครองของหญิงเคราะห์ร้ายทันที โดยแจ้งลงในหนังสือพิมพ์ “กรุงทำฯ เดลิเมล์” ประจำวันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ.2461 และเพียงวันเดียวคดีหีบลอยน้ำก็คลี่คลายไขปริศนาอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ศพนี้ว่าเป็นศพของนางปริก ภรรยาขุนสิทธิคดี(ปลั่ง) เป็นคนรวย มีทรัพย์สินมากคนหนึ่ง เช่าห้องอยู่ตึกแถวถนนบกทหารเรือ(ย่านที่ขายมุ้งหมอนข้างถนนพาหุรัด)


                 มารดาของผู้ตาย เข้าแจ้งกับตำรวจว่า นางปริกลูกสาว แต่งตัวไปงานสวยจิตรรลดาตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม โดยก่อนออกจากบ้านวันนั้นเธอได้รับจดหมายจากนายบุฯเพ็ง(ซึ่งมีความผูกพันในสมัยบุญเพ็งยังบวชอยู่) ให้ไปรับสร้อยที่นาบบุญเพ็งยืมไป แล้วจากนั้นนางปริกก็หายตัวไปไม่กลับบ้านอีก สงสัยว่านายบุญเพ็งนี้เองจะเป็นผู้ฆ่าชิงสร้อยข้อมือนางปริกซึ่งมีความหนักถึงข้างละ 10 บาทไป


                ตำรวจออกล่าตัวนายบุญเพ็งทันที ขณะนั้นนายบุญเพ็งพึ่งสึกแล้วมาแต่งงานกับนางสาวตาก ตำรวจได้จับกุมนายบุญเพ็งได้ที่บ้านนางบัว ตำบลถนนตรีทอง ซึ่งนายบุญเพ็งเพิ่งแต่งงานกับนางตาดลูกสาวของนางบัวในวันที่ 14 มกราคมวันเดียวกับที่หนังสือพิมพ์ลงประกาศเรื่องพบศพนางปริกนายบุญเพ็งกับ นางปริกนั้นมีความสัมพันธ์กันอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ครั้งนายบุญเพ็งบวชอยู่ที่ วัดสุทัศน์ ปรากฎว่าความคืบหน้าของคดีนางปริกได้โยงไปถึงคดีนายล้อมศพที่พบอยู่ในหีบจม น้ำ ผู้ต้องหามีคนเดียวคือนายบุญเพ็ง ซึ่งรับสารภาพว่าได้ล่อลวงนายล้อมและนางปริกไปปลิดชีพเพื่อชิงทรัพย์มาเป็น ทุนแต่งงานกับนางตาด ละม่อมในข้อหา ฆ่าคนตายอย่างเหี้ยมโหด


                และแล้วนายบุญเพ็งก็ต้องถูกจับไปไต่ส่วน


                สิ่งที่เข้าใจผิดอย่างมาก ที่หลายๆ คนเข้าใจบุญเพ็งผิด คือเหยื่อทั้งหมดที่เขาฆ่านั้นเขาไม่ได้ลงมือฆ่าคนเดียว หากแต่ละคดีบุญเพ็งจะร่วมมือกับเพื่อนเพื่อฆ่าเหยื่อและช่วยกันเอาหีบถ่วงน้ำ


                คดีฆ่านายล้อม บุญเพ็งได้ร่วมมือกับนายพัน อายุ 19 ปี ที่เข้าไปมั่วสุมเล่นโปกำโปปั่นในกุฏิพระภิกษุบุญเพ็งและพวกได้ฆ่านายล้อม ร่วมกันนำหีบมาใส่ศพและใส่รถเจ๊กจากวัดสุทัศน์เพื่อไปถ่วงน้ำ เรียกได้ว่าฆ่ากันในวัดสุทัศน์เลย


                คดีฆ่านางสาวปริก บุญเพ็งร่วมมือกับพระเจริญ นายจรัญ รวมเป็นสามคน ฆ่านางปริกแล้วช่วยกันเอาหีบศพถ่วงน้ำ


                เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ศาลพระราชอาญา ได้พิจารคดี กับบุญเพ็งและจำเลยในข้อหาฆ่านายล้อมและนางปริกตาย บุญเพ็งให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าเขาไม่รู้จักนายล้อมมาก่อน และนายล้อมไม่ได้ไปกุฏีเลย


                บุญเพ็งถูกตัดสิน โดยการประหารชีวิต เป็นการลงโทษที่หนักที่สุด ซึ่งในช่วงประหารชีวิตนั้นได้มีผู้คนมากมายมาดูการประหารชีวิต แต่ว่าไม่มีญาติของบุญเพ็งเลยสักคน แม้กระทั่งเจ้าสาวซึ่งยังไม่ทัน จะส่งตัวเข้าห้องหอ ก็ไม่มา


               คดีซ้อนคดีนี้สิ้นสุดลงในวันอังคารที่ 12 สิงหาคม 2462 ศาลพระราชอาญาตัดสินให้ประหารชีวิตนายบุญเพ็ง ในวันที่ 19 สิงหาคม 2462 นายบุญเพ็งถูกตัดหัวประหารชีวิตที่ลานประหารวัดภาษี มี เรื่องเล่าลื่อกันว่า ในช่วงประหารชีวิตบุญเพ็งนั้นเอง เพชรฆาต รำดาบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ลงดาบอันคบกริบลงบนคอ แทนที่คอจะ ขาดเลือดพุ่งกระฉูด กลับกลายเป็นว่า คมดาบนั้นไม่ได้ระคายเคืองผิวเลย จนเพชรฆาตรพูดว่า "มึงมีอะไรดี ให้เอาออกเสียเถอะ" หลังจากนั้นเพชรฆาต ก็เอาพระเขวี้ยงทิ้งไปในกอไผ่


                คราวนี้รำดาบใหม่ ดาบหน้ารำจนบุญเพ็งเคลิ้มเผลอ ทันใดนั้นดาบหลังฟันดัง ฉับ!!!!   คราวนี้ คอขาด หัวกระเด็น จนเลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มาดูต่างร้องวีดว้ายระงม


                เพราะ................ว่าๆกันว่า ขณะที่ศีรษะถูกคมดาบของเพชรฆาตฟันฉับนั้น ในช่วงวินาทีสั้นๆ ชาวบ้านหลายคนได้เห็นมุมปากของบุญเพ็ง ขมุบขมิบเหมือนท่องคาถาอะไรสักอย่าง ………


                ศพของบุญเพ็ง หีบเหล็ก ถูกนำไปฝังไว้ในป่าช้านั้นเอง จนภายหลังญาติมาจัดการเผาศพตามพิธี และกล่าวกันว่า รอยสักช่วงแผ่นหลัง ของเขา เผาไฟไม่ไหม้ ญาติเก็บกระดูกใส่เจดีย์ไว้ข้างอุโบสถ์วัด จนช่วงหลังเจดีย์ถูกรื้อออก ทางวัดภาษี จึงได้ให้ช่างปั้นรูปปั้นจำลอง ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ เมื่อ พ.ศ.2537 ตั้งไว้ในศาลเล็ก ๆ ติดกับวิหาร ซึ่งเป็นอนุสรณ์ว่า เขาเป็นนักโทษประหารคนสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2474 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2475 ศาลลุงบุญเพ็ง หีบเหล็ก ได้มีคนไปกราบไหว้บูชา เสี่ยงโชคลาง และเข้าใจว่าวิญญาณของเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิด จนถึงทุกวันนี้เพื่อไถ่บาปอีกนับร้อยนับพันปี


                บุญเพ็งเป็นนักโทษประหารชีวิตคนสุดท้าย ที่ถูกประหารโดยการตัดคอ   เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2462 ศพฝั่งอยู่ที่ป่าช้า และทำพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดภาษี เขตวัฒนา ปัจจุบัน ศาลงบุญเพ็ง หีบเหล็ก ตั้งอยู่ที่ วัดภาษี ซอยเอกมัย23 แขวงคลองตันเหนือ กรุงเทพฯ


                ความรู้เพิ่มเติม


                วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นใน พ.ศ. 2350 เดิมพระราชทานนามว่า “วัดมหาสุทธาวาส” โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นก่อนเพื่อประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย แต่สิ้นรัชกาลก่อนที่จะประดิษฐานเป็นสังฆาราม จึงเรียกกันว่า วัดพระโต วัดพระใหญ่ หรือวัดเสาชิงช้าบ้าง จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อ และทรงจำหลักบานประตูพระวิหารด้วยพระองค์เอง แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ การก่อสร้างวัด มาเสร็จบริบูรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. 2390 และพระราชทานนามว่า “วัดสุทัศนเทพวราราม” ปรากฏในจดหมายเหตุว่า “วัดสุทัศนเทพธาราม” และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผูกนามพระประธานในพระวิหาร พระอุโบสถ และศาลาการเปรียญ ให้คล้องกันว่า "พระศรีศากยมุนี" "พระพุทธตรีโลกเชษฐ์" และ "พระพุทธเสรฏฐมุนี"


                ภายในวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และได้อัญเชิญ พระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ มาบรรจุที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนีเมื่อ พ.ศ. 2493 และมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรในวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี




 

Create Date : 23 มีนาคม 2553
11 comments
Last Update : 23 มีนาคม 2553 6:45:11 น.
Counter : 3286 Pageviews.

 

เคยฟังคุณพ่อเล่าให้ฟังสมัยเด็กๆ แต่ไม่เท่าที่คุณหมอเล่าเลยครับ ละเอียดมากเลย ขอบคุณนะครับที่เอามาเขียนให้อ่าน

 

โดย: pooktoon 23 มีนาคม 2553 12:36:41 น.  

 

วัดสุทัศน์เป็นวัดที่รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้าง แต่เป็นวัดประจำรัชกาลที่๘ ใช่มั้ยครับคุณหมอ

เรื่องดีๆ อย่างนี้ขออนุญาตเอาไปเล่าต่อนะครับ

 

โดย: pooktoon 23 มีนาคม 2553 12:56:36 น.  

 

มาอ่านเรื่องเก่า ๆ ค่ะ

 

โดย: tuk-tuk@korat 23 มีนาคม 2553 16:09:12 น.  

 

เคยได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่เคยได้อ่านเรื่ืองราวอย่างละเอียด ขอบคุณมากค่ะ

 

โดย: Scorchio 23 มีนาคม 2553 17:41:43 น.  

 

อ่านไปก็ขนลุกไปค่ะ แหะ ๆ

สวัสดีคุณหมอนะคะ

 

โดย: -+-JuStThEgIrL-+- 23 มีนาคม 2553 23:07:54 น.  

 

เคนได้ยินมาแต่คร่าวๆ
ได้รายละเอียดก็ที่คุณหมอเอามาลงนี่ละครับ

เคยอ่านเจอว่า ขณะที่หัวหลุดจากบ่า
คนๆนั้นจะยังไม่เสียชีวิตทันที ในรายที่มีความตั้งใจมากๆ
จะสามารถขยับส่วนต่างๆบนในหน้าได้อีกนับสิบวินาที
จึงไม่น่าแปลกที่บุญเพ็งจะทำปากขมุบขมิบได้หลังจากที่หัวหลุดจากบ่าแล้ว

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ฆ่าเขาตาย ก็ได้รับโทษกันไปครับ

 

โดย: NATSKI13 24 มีนาคม 2553 13:23:17 น.  

 

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆครับ

 

โดย: ว่าจะไม่แล้วนะ 27 มีนาคม 2553 2:46:43 น.  

 

เคยได้ยินมาเหมือนกันค่ะ ไม่คิดว่าจะน่ากลัวได้ขนาดนี้
ขอบคุณค่ะ

 

โดย: beautiespoo 7 เมษายน 2553 1:07:51 น.  

 

เคยฟังนิยายผีเรื่องบุญเพ็งหีบเหล็กตั้งแต่สมัยเด็กๆค่ะ ไม่คิดว่าบุญเพ็งตัวจริงจะดูดีขนาดนี้ ขอบคุณคุณหมอนะคะ จะเข้ามาอ่านบ่อยๆค่ะ

 

โดย: plenaka 7 เมษายน 2553 19:00:15 น.  

 

เรื่อง บุญเพ็งหีบเหล็ก เป็นเรื่องฆาตรกรรมที่เป็นเรื่องสยองขวัญที่สุด เรื่องระทึกขวัญที่สุด และ เป็นเรื่องคดีอำพรางที่สุด เท่าที่คนรู้ หายากหรือไม่ มากกว่าอ่านหนังสือหรือดูหนังผีแบบสยองขวัญ ระทึกขวัญ ที่คนไทยต่างรู้จักเรื่อง บุญเพ็งหีบเหล็ก ที่กว่า ๘๐ ปีมาแล้ว ทั้งเป็นเรื่องจริง นวนิยาย และนิทานเรื่องเล่า ยิ่งกว่าแม่นาคพระโขนงซะอีก
เรื่อง บุญเพ็งหีบเหล็ก เป็นเรื่องฆาตรกรรมที่น่าสยดสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุด ส่วนเรื่อง บุญเพ็งหีบเหล็ก ส่วนมากน่าจะเป็นเรื่องจริงมากกว่า บางครั้งก็เป็นนิทานหรือตำนาน แต่เรื่องราวเพิ่มเติมเป็นละคร ภาพยนตร์ เพื่อให้มีความบันเทิงและความคติสอนใจให้รู้ว่า คนดีย่อมได้ดี คนชั่วย่อมได้ชั่ว เพียงแต่บุญเพ็งหีบเหล็ก เป็นบุคคลที่ทั้งอาชญากรและฆาตรกร รวมทั้งเป็นนักโทษคนสุดท้ายที่ลงโทษด้วยฟันดาบตาย ในแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์

 

โดย: กัน IP: 125.25.172.83 17 เมษายน 2553 17:54:53 น.  

 

บุญเพ็งอมพระรอดลำพูนเลยทำไห้ฟันไม่เข้า

 

โดย: คน IP: 182.53.128.235 31 มกราคม 2554 2:08:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


DR.MOO CAN DO
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




ผมเป็น นิติพยาธิแพทย์ หรือ จะเรียกว่า หมอนิติเวช ก็ได้ครับ นิติพยาธิแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปีแล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง นิติพยาธิอีก 3 ปี และเมื่อสอบผ่าน ก็จะได้รับวุฒิบัตรเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ และได้เป็นนิติพยาธิแพทย์ โดยสมบูรณ์
หน้าที่ของหมอนิติเวช แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
ส่วนแรก จะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยคดี โดยในผู้ป่วยคดีนั้นแพทย์นิติเวชจะมีหน้าที่ในการตรวจ และให้ความเห็นกับพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับบาดแผลที่ตรวจพบ ซึ่งตำรวจจะนำไปใช้ในการตั้งข้อกล่าวหากับคู่กรณี และหน้าที่ต่อมาของแพทย์นิติเวชคือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีดังกล่าว
ส่วนที่สอง จะเกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต โดยในกรณีผู้เสียชีวิตนั้นแพทย์นิติเวชมีหน้าที่ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุในกรณีตายผิดธรรมชาติตามที่กฎหมายกำหนด และหากมีความจำเป็นต้องผ่าชันสูตร ก็จะต้องมีการทำรายงาน และให้ความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิต ส่งให้พนักงานสอบสวน สุดท้ายหน้าที่หลักที่สำคัญโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีนั้นๆครับ
ประวัติการศึกษา
1.แพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
2.วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.ประกาศนียบัตร “Crime Scene Investigation” โครงการร่วมระหว่าง International Law Enforcement Academy กับ Federal Bureau of Investigation Academy
4.ประกาศนียบัตร “การบริหารงานโรงพยาบาล” คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลงาน
1.อาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มศว.
2.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
3.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
4.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
5.วิทยากร หัวข้อ "ICD-10" ของกระทรวงสาธารณสุข
6.วิทยากร หัวข้อ "การตรวจสถานที่เกิดเหตุ" ของมูลนิธิร่วมกตัญญู และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
7.วิทยากรอบรมหลักสูตรนายร้อยตำรวจอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
8.วิทยากร หัวข้อ "KPI รายบุคคล" ให้กับโรงพยาบาลและมหาลัยวิทยาลัย ในภาครัฐ
9.วิทยากร หัวข้อ "Living will" ให้กับโรงพยาบาลในภาครัฐและเอกชน10.วิทยากร หัวข้อ "นิติเวชศาสตร์กับงานด้านโบราณคดี" ให้กับคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
11.ร่วมเขียนหนังสือ "KPI รายบุคคล"
12.ร่วมเขียนหนังสือ "มาตรฐาน ICD-10, ICD-9"
13.ที่ปรึกษารายการ "เรื่องจริงผ่านจอ" และ "Redline"
14.บทความทางวิชาการและผลงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ 15 เรื่อง
15.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ตั้งแต่ ปี พศ.2553
16.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพ ฯ คณะแพทยศาสตร์ มศว. ตั้งแต่ปี พศ.2551
ผศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี (DR.MOO CAN DO)
New Comments
Friends' blogs
[Add DR.MOO CAN DO's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.