พันธุ์ สายทอง ฆ่าข่มขืนเด็ก
สมัยก่อนตอนที่ผมอยู่ประถมนี้ คดีฆ่าข่มขืนเด็กถือว่าเป็นคดีที่สังคมได้ให้ความสนใจมาก เนื่องจากคดีที่ว่าเกิดขึ้นน้อย และเป็นเรื่องละอายมากถ้าเกิดผู้ใหญ่มีอารมณ์ทางเพศกับเด็กเพราะสังคมไทยเป็นสังคมปิดเรื่องเพศ พวกเซ็กต์วิปลาสแบบนี้ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม แต่เดียวนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เรื่องเพศกลายเป็นสิ่งที่อยู่คู่ในสังคมไทยอย่างแยกไม่ออก พอเราเปิดทีวี เรามักได้ยินคำว่า เกย์, เลสเบี้ยน บ่อยๆ และข่าวคดีฆ่าข่มขื่นเด็กแทบจะกลายเป็นข่าวปกติ สามัญธรรมดาเสียแล้ว เราฟังก็ไม่รู้สักอย่างไร ก็ไม่ใช้เรื่องของเรานี้น่า ฟังแล้วกินกับกาแฟตอนเช้านี้อร่อยเป็นบ้าเลย
คดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่งในความทรงจำของผมครับ คุณอาจเห็นคดีนี้ธรรมดา เพราะว่าเดี๋ยวนี้ข่าวหนังสือพิมพ์มีแนวๆ แบบนี้เพียบ แต่สมัยก่อนคดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่สังคมไทยสมัยนั้นสนใจมาก ข่าวต่างลงเรื่องนี้ราวกับนายพันธุ์ สายทองเป็นแพนด้ายังไงอย่างงั้น พร้อมกับประเด็นที่ว่า สังคมไทยมันเปลี่ยนไปแล้ว พันธุ์ สายทอง เป็นฆาตกรที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญที่สุดแห่งปี 2539(1996) เขาบุกเข้าไปโรงเรียรนวัดรวกบางบำหรุ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 57 เแขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ฉุด เด็กหญิงสุพรรณษ หรือน้องอ้อม ที่กำลังเดินมาเข้าห้องน้ำของโรงเรียน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังในที่ลับตา เข้าไปขื่นใจและฆ่าปิดปากด้วยการบีบคอและจับหัวกดกับน้ำจนขาดใจตาย แต่เพียงวันเดียวตำรวจก็ตามจับกุมฆาตกรคนนี้ได้อย่างไม่คาดฝัน เพราะไอ้พันธุ์ถูกตำรวจในท้องที่จับได้ไว้ในคดีซ่องโจร และเมื่อมีข่าวพบศพน้องอ้อมเผยแพร่ไปตามสื่อทุกแขนง ทำให้ตำรวจควบคุมไอ้พันธุ์ไปสอบถามชื่อแซ่ ก็พบว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยคดีน้องอ้อม เรื่องก็เลยเป็นข่าวใหญ่โตในเวลาต่อมา 5 กรกฎาคม 1996 วันนั้น เป็นเวลา เวลาบ่ายโมงตรง นักเรียนโรงเรียนวัดรวกบางบำหรุพบศพน้องอ้อมนักเรียนชั้นอนุบาล 1/1 ในสภาพเปลือยนั่งพิงผนังห้องน้ำที่แยกออกไปจากตัวอาคารเรียนไม่ไกลนัก จากการตรวจสอบสภาพร่างกายพบว่า เด็กเคราะห์ร้ายถูกบีบคอจนเขียวช้ำ อวัยวะเพศมีร่องรอยถูกข่มขืนจนฉีกขาดและมีเลือดไหลอยู่ตลอดเวลา จากสภาพแวดล้อมที่เกิดเหตุชุดสืบสวนสันนิษฐานว่า เด็กเคราะห์ร้ายดิ้นรนทุรนทุรายก่อนเสียชีวิต เนื่องจากรองเท้ากระเด็นไปคนละทิศคนละทาง และเชื่อว่าคนร้ายน่าจะจับเด็กกดน้ำด้วย ลำพังเด็กหญิงวัย 4-5 ปีถูกขืนใจก็สลดพออยู่แล้ว แต่นี่กลับเกิดขึ้นภายในโรงเรียน ซึ่งต่อมากลายเป็นประเด็นแก่ผู้ปกครองออกมาร้องถามว่า โรงเรียนกลายเป็นสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยแล้วหรือ หลังเกิดเหตุมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่เดินทางมาจำนวนมาก พล.ต.ต.ธวัชชัย พรหมประสิทธิ์ ผบก.น.ธนฯ(ในขณะนั้น) ได้สั่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสืบหาหลักฐานในที่เกิดเหตุ รวมถึงสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุ ตั้งแต่ผู้ที่พบศพคนแรก ผู้อำนวยการโรงเรียน รวมถึงแม่ครัวของโรงเรียนอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญอย่างยิ่ง ห้องน้ำที่เกิดเหตุนั้นเป็นที่มีจุดอับมาก เพราะนอกจากจะตั้งอยู่หลังโรงเรียนแล้ว ยังมีการสร้างกำแพงปูนสูงท่วมหัวเป็นลักษณะบังสายตาจากบุคคลภายนอก มันจึงกลายเป็นจุดอันตรายมาก เพราะไม่ว่าห้องน้ำจะเกิดอะไรขึ้น คนนอกจะไม่มีทางรู้ได้เลย จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ว่ากรุงเทพฯ ในปีนั้น สั่งให้ตรวจสอบโรงเรียนในเขตรับผิดชอยทั้งหมด หากมีห้องน้ำลักษณะแบบนี้ให้ทุบทิ้ง เพื่อป้องกันเหตุแบบนี้เกิดขึ้นในอนาคต เข้าทำนองวัวหายแล้วล้อมคอก ในส่วนคดีตำรวจได้พบผู้ต้องสงสัยอย่างรวดเร็วผลการสืบสวนสอบสวนได้เบาะแสผู้ต้องสงสัยคือ "พันธ์ สายทอง" อายุประมาณ 30 ปี เป็นคนพื้นเพในวัดบางบำหรุ มีประวัติพัวพันยาเสพติดและที่สำคัญเพิ่งพ้นโทษออกมาได้เพียง 7 วันเท่านั้น โดยมีพยานหลายคนพบเห็นนายพันธ์ท่าทางมีพิรุธป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้โรงเรียนก่อนเกิดเหตุและเขาก็มีบ้านพักอยู่ใกล้โรงเรียน ชาวบ้านหลายคนที่อยู่ใกล้โรงเรียนเกิดเหตุให้การตรงกันว่าก่อนพบศพน้องอ้อม ได้พันธ์เข้ามาในโรงเรียนเพื่อหาพี่สาว ซึ่งเป็นภรรยาภารโรงและพักอยู่ในโรงเรียน โดยพี่สาวนายพันธ์ให้การว่าน้องชายมาหาจริงและขอเงิน 50 บาทจากนั้นก็กลับไป พยานที่เป็นชาวบ้านละแวกโรงเรียนระบุอีกว่า เห็นไอ้พันปีนออกจากโรงเรียนทางด้านหลังในจุดที่อยู่ใกล้ห้องน้ำที่พบศพน้องอ้อม จากนั้นก็เข้าไปภายในวัดรวกฯ ซึ่งอยู่ใกล้กัน ท่าทางลุกลี้ลุกลนก่อนที่จะหายตัวไป นายบรรหาร ศิลปะอาชา นายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น) ถึงกับเอ่ยปากคดีนี้เลยว่า ต้องเร่งจับกุมคนร้ายให้เร็วที่สุดและก็เร็วสมใจ เพราะเพียงวันเดียวเท่านั้นที่ไอ้พันธ์ก็ถูกตำรวจจับ แต่เป็นการจับกุมที่ประหลาดไม่น้อย เพราะคนที่จับเป็นตำรวจอีกท้องที่หนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีน้องอ้อมแม้แต่น้อยและ ไอ้พันธุ์ก็โดนจับอีกคดีหนึ่งด้วย คือไอ้พันธุ์โดนจับด้วยคดีเล็กๆ คดีหนึ่ง ที่ในคืนที่ผ่านมาในขณะที่ตำรวจนายหนึ่งโดนออกตรวจพื้นที่อยู่นั้นก็พบไอ้พันธ์กับกลุ่มวัยรุ่นอีก 4-5 คนภายในตรอกบ้านพานถม เขตพระนคร กรุงเทพฯ เมื่อกลุ่มวัยรุ่นเห็นตำรวจนายดังกล่าว ก็วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับมาได้คนเดียวคือไอ้พันธ์นั่นเอง จึงนำเขามาคุมขัง ในข้อหาซ่องโจร ไอ้พันธ์ถูกคุมตัวอยู่ตลอดทั้งวันโดยไม่มีใครทราบความจริงว่าคือคนร้ายที่ตำรวจฝั่งธนฯ กำลังตามล่าอย่างหนักจนค่ำสิบเวรฯ เฝ้าห้องขังซึ่งอ่านข่าวและดูข่าว พบข่าวตำรวจกำลังตามล่านายพันธ์ สายทอง ผู้ต้องสงสัยคดีข่มขื่นน้องอ้อมก็รู้สึกเอะใจ พร้อมหันไปมองบนกระดานรายชื่อผู้ต้องขัง ในนั้นมีชื่อนายพันธ์ สายทองติดอยู่ สิบเวรฯ รีบแจ้งผู้บังคับบัญชาทันที ก่อนเบิกตัวไอ้พันธ์มาสอบปากคำ โดยถามชื่อ นามสกุล ที่อยู่ ทุกอย่างชัดเจน จึงรีบประสานกับตำรวจ สน.บางพลัด ให้พาพยานมาดูตัวทันที ตำรวจท้องที่คุมตัวไอ้พันธ์สอบปากคำอย่างเคร่งเครียดและตรวจร่างกาย พบรอยข่วนเล็กๆ หลายแห่งบนบริเวณแขนและหลัง รวมทั้งพยานที่เห็นเหตุการณ์ ในที่สุดไอ้พันธ์ก็ยอมรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุข่มขืนฆ่าน้องอ้อมจริง ไอ้พันธ์ให้การว่า วันเกิดเหตุมาหาพี่สาวเพื่อขอยืมเงินไปซื้อยาเสพติด(เวลานั้นยาบ้าระบาดมาก) ขากลับแวะเข้าห้องน้ำแล้วก็เจอน้องอ้อมกำลังเข้าห้องน้ำอยู่พอดี จึงลากเข้าไปข่มขืนแต่เด็กต่อสู้และพยายามหนี จึงบีบคอและจับกดน้ำแน่นิ่งไป จากนั้นจึงลงมือข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ ก่อนที่จะหลบหนีโดยไม่ทราบว่าเด็กเสียชีวิตแล้ว พยานหลักฐานทุกอย่างแน่นหนา ไอ้พันธ์ต้องก้มหน้ากลัวตายอมรับสารภาพอย่างจำนน เนื่องจากคดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป ตำรวจจึงเร่งเป็นพิเศษ และสามารถสรุปสำนวนส่งให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องในวันที่ 16 กรกฎาคม 2539 คดีนี้กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ของไทยในกระบวนยุติธรรม เพราะศาลใช้เวลาสอบพยานเพียงวันเดียว และนัดอ่านคำตัดสินในวันรุ่งขึ้นทันที วันที่ 18 กรกฎาคม ศาลอาญาธนบุรี มีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตไอ้พันธ์โดยไม่มีการลดหย่อนโทษ เพราะเป็นบุคคลอันตรายต่อสังคม และเคยก่อเหตุถูกจับกุม 9 ครั้งจึงไม่มีเหตุผลพอที่จะลดหย่อนโทษเพื่อให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีแต่อย่างใด ทางด้านไอ้พันธ์ก็พยายามยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต โดยยกเรื่องให้การรับสารภาพมาเป็นประโยชน์ในการลดหย่อนโทษ ศาลอุทธรณ์ใช้เวลา 4 เดือนเศษ มีคำพิพากษายืนให้ประหารชีวิตโดยไม่ลดหย่อนโทษ ไอ้พันธ์ดิ้นรนอีกเฮือกสู้ถึงศาลฏีกาแต่ไม่เป็นผล ศาลฏีกายืนยันให้มีการประหารชีวิตโดยไม่ลดหย่อน อย่างไรก็ตามฆาตกรโหดก็ไม่ยอมลดความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เลยตัดสินใจถวายฎีกาขอรับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งเป็นทางออกสุดท้ายของนักโทษประหาร แต่ก็ไร้ผลอีก เพราะไอ้พันธ์เคยได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมาแล้ว แต่ไม่นานก็กระทำผิดอีก แสดงว่าไอ้พันธ์ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ไม่กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี วันที่ 21 มิถุนายน 2542 ก่อนถูกตัดสินนายพันธ์ยังคงมีอาการเป็นปกติ กระทั่งรู้ตัวว่าต้องโทษประหารก็ถึงกับเข่าอ่อนมือไม้ไม่มีเรี่ยวแรง เขากำลังจะถูกประหารพร้อมเพื่อนเขาอีกคนที่โดนข้อหาฆ่าเจ้าอาวาสมรณภาพเมื่อปี 2537 นับเป็นนักโทษประหารรายที่ 2 และ 3 ของปี ก่อนการประหารชีวิต มีการนิมนต์พระมหานันทา นันทปัญโญ จากวัดบางแพรกใต้ มาเทศนาแสดงธรรมให้แก่นักโทษประหารทั้งสองราย โดยชี้ให้ระลึกนึกถึงบาปบุญคุณโทษที่ได้กระทำมาสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ และให้มีสติปัญญาตั้งมั่นก่อนที่จะถูกประหารชีวิต 15.00 น. เริ่มขั้นตอนควบคุมนักโทษประหารออกจากที่คุมขัง และให้นักโทษขอสิ่งสุดท้ายที่ต้องการ นายพันธุ์ สายทองเลือกขอกินอาหารมื้อสุดท้ายเป็นแกงส้มและเนื้อเค็ม หลังจากที่กินอิ่มหน่ำสำราญแล้วเจ้าหน้าที่ก็พานักโทษไปยังแท่นประหาร ตามคิวแล้วนายพันธ์จะถูกประหารเป็นรายที่สอง เมื่อถึงเวลา นายพันธ์ถึงกับเข่าอ่อน ไม่มีแรงเดิน เจ้าหน้าที่จำต้องประคองปีกขึ้นไปยืนรอความตาย นายประยุทธ สนั่นเจ้าหน้าที่เรือนจำระดับ 4 เป็นผุ้ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตเขาลั่นกระสุนจำนวน 9 นัด เป็นอันปิดฉากชีวิตฆาตกรคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ข้อมูลเพิ่มเติม เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ประหารชีวิตผู้ใดแล้ว ศาลที่เป็นเจ้าของคดีจะได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ส่งไปยังผู้บัญชาการเรือนจำในท้องที่ที่ศาลนั้นตั้งอยู่ หมายจะระบุถึงชื่อโจทก์ จำเลย ฐานความผิด จำเลยต้องโทษตามบทกฎหมายใด มาตราใด พร้อมคำสั่งว่าภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์พ.ศ. 2479 ให้ประหารชีวิตจำเลย เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำได้รับหมายดังกล่าวแล้ว จะนำนักโทษไปประหารชีวิตในทันทีไม่ได้ ต้องรอให้ครบกำหนด 60 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาตามมาตรา 262 ถ้านักโทษหรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องได้ยื่นฎีกาขอ พระราชทานอภัยโทษ และทรงยกเรื่องราวมาก่อนครบ 60 วัน ก็ดำเนินการประหารชีวิตได้ ในทางปฏิบัติ เมื่อนักโทษได้ยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ต้องรอฟังพระบรมราชวินิจฉัยเสียก่อน จึงจะดำเนินการขั้นต่อไป ฎีกาของนักโทษประหารให้ยื่นได้ครั้งเดียวเท่านั้น ในการประหารชีวิตนักโทษนั้น ให้มีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการ ประกอบด้วย ผู้บัญชาการเรือนจำในท้อง ที่ที่ทำการประหาร เป็นประธานกรรมการ เจ้าพนักงานเรือนจำระดับหัวหน้าฝ่าย แพทย์การประหารชีวิตส่วนมากจะทำที่เรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีหรือผู้แทนร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย โดยกรมราชทัณฑ์จัดผู้แทนไปดูแลความเรียบร้อยในการประหารชีวิต ก่อนวันประหารชีวิต ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการพิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ถูกประหาร พร้อมทั้งรับแผ่นพิมพ์ลายนิ้วมือของนักโทษที่มีอยู่ในสำนวนและหมายศาลมาทำการตรวจสอบ การตรวจสอบนั้นให้สอบกับแผ่นพิมพ์ลายนิ้วมือที่เก็บอยู่ ณ กองทะเบียนประวัติอาชญากร ตามเลขคดีและนามผู้ต้องโทษ เมื่อตรวจแล้วรายงานผลการตรวจสอบและส่งแผ่นพิมพ์ลายนิ้วซึ่งได้จัดการพิมพ์ขึ้นคราวนี้ 1 ฉบับ กับแบบพิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ต้องโทษที่เอาไปจากสำนวนตามหมายศาลไปยังคณะกรรมการ เรือนจำซึ่งมีหน้าที่ต้องทำการประหารทำการตรวจสอบคดี ตำหนิ รูปพรรณตามทะเบียนรายตัว ทำบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อมิให้มีการประหารผิดตัว เมื่อถึงกำหนดวันประหารชีวิต เจ้าพนักงานเรือนจำจะจัดนิมนต์พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนาให้นักโทษที่ถูก ประหารที่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนนักโทษที่มิได้นับถือศาสนาพุทธ มีความปรารถนาจะประกอบพิธีกรรมตามศาสนาก็อนุญาตได้ตามสมควร หากนักโทษมีความประสงค์จะขอทำพินัยกรรมก็จะจัดการทำให้จัดหาอาหารมื้อสุดท้ายให้นักโทษก่อนนำไปประหาร ผู้บัญชาเรือนจำจะนำคำสั่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมด้วยสำเนาคำพิพากษาอ่านให้นักโทษฟังนำนักโทษประหารไปยังที่จัดเตรียมไว้ จัดการยิงให้ตายต่อหน้าคณะกรรมการ ให้คณะกรรรมการตรวจนักโทษว่าได้ตายแล้วจริง พิมพ์ลายนิ้วมือลงนามรับรองว่าเป็นลายนิ้วมือของนักโทษประหารจริง ส่วนศพถ้ามีญาติมารับก็อนุญาตถ้าไม่มีญาติมาขอรับ เรือนจำจะดำเนินการให้ ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ กำหนดให้ประหารชีวิตก่อน 07.00 น. ตั้งแต่พ.ศ. 2505 ได้เปลี่ยนมาดำเนินการใน เวลาเย็น ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป
Create Date : 18 มีนาคม 2553 |
Last Update : 18 มีนาคม 2553 0:12:15 น. |
|
31 comments
|
Counter : 24668 Pageviews. |
|
|