DR.MOO CAN DO
Group Blog
 
 
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
30 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
ฆ่า...บูชาพระอินทร์ทางออกสังคม

         จะมีใครคาดคิดบ้างว่าครอบครัวที่ดำรงอยู่อย่างเรียบง่ายและสมถะในสวนมะพร้าว อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนบ้านจะก่อเหตุการณ์สะเทือนขวัญคนทั้งประเทศ ด้วยการฆ่าปาดคอลูกสาววัย 12 ขวบเพราะเชื่อว่าจะช่วยขจัดสิ่งชั่วร้าย แล้วดวงวิญญาณของเด็กจะไปสู่สรวงสวรรค์ ภายใต้การดูแลของพระอินทร์ !?!


         เรื่อง ราวสุดแสนจะพิสดารที่เกิดจากความเชื่อยิ่งกว่าเทพนิยายนี้ เกิดขึ้นจริงในโลกปัจจุบัน ในสังคมไทยที่มีพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ จากวันนั้นถึงวันนี้เกือบ 5 ปีเต็ม ณ บ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่ง หมู่ 11 ต.แพงพวย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี สถานที่เกิดเหตุสยองขวัญและได้กลายเป็นตำนานอันพิลึกพิลั่น ยังคงมีผู้คนอาศัยอยู่ 4 คน ซึ่งมีความเกี่ยวพันฉันญาติกับเจ้าของบ้านเดิม บัดนี้แทบไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเมื่อก่อน ยกเว้นสภาพจิตใจของพวกเขาและเธอที่อยากจะลืมเรื่องร้ายๆ เหล่านี้ไปจากใจ ทว่าก็ยากเกินจะทน และไม่ขอพูดถึงเมื่อถูกถามถึงเรื่องราวในอดีต


         แต่ใช่ ว่าเรื่องนี้จะลืมกันได้ง่ายๆ ตรงกันข้ามทุกคนยังจดจำได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนบ้านอย่าง "บุญสม พูลสินธุ์" ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ที่มีบ้านถัดออกไปเพียง 500 เมตรและก่อนเกิดเหตุไม่กี่วันเขาได้รับคำชักชวนในทำนองเพ้อฝันจากเจ้าของ บ้านหลังนี้ด้วย ผู้ใหญ่บุญสมเท้าความเมื่อเกือบ 5 ปีก่อนให้ "คม ชัด ลึก" ฟังอีกรอบ         เรื่องมีอยู่ว่า...บ่ายวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ตำรวจ สภ.ดำเนินสะดวก ได้รับแจ้งเหตุฆาตกรรมในบ้านหลังนี้ จึงเดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุและต้องพบกับภาพอันชวนตกตะลึง เมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของ ด.ญ.ประภัสสร เจียมเจริญ อายุ 12 ขวบ นอนสิ้นลมหายใจอยู่กลางบ้านท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง บริเวณลำคอถูกของมีคมปาดจนหลอดลมขาด เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง กลางบ้านมีโต๊ะวางอยู่คล้ายกับกำลังทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ มีเส้นผมจำนวนหนึ่งแช่น้ำอยู่ในกะละมัง ที่นอนถูกนำไปเผาทิ้งข้างบ้าน และมีดอีโต้เปื้อนเลือดตกอยู่ใกล้ๆ ศพ


         บริเวณชั้นบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงสวดมนต์ด้วยภาษาบาลีเล็ดลอดออกมาจากประตูห้องนอน ห้องหนึ่ง ด้วยความงุนงงสงสัยเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเรียกให้คนข้างในเปิดประตู แต่ไม่เป็นผลจึงตัดสินใจพังประตูเข้าไปพบผู้หญิง 4 คนกำลังสวดบริกรรมคาถาด้วยถ้อยคำไม่ได้ศัพท์ ประกอบด้วย นางกาญจนา เจียมเจริญ อายุ 50 ปี นางบัว เจียมเจริญ อายุ 68 ปี นางอนงค์ เจียมเจริญ อายุ 45 ปี และ น.ส.จรินทร์ เจียมเจริญ อายุ 32 ปี ทั้งหมดเป็นพี่น้องกันทันทีที่เห็นตำรวจทุกคนก็ด่าทอขับไล่ตำรวจ แล้วคว้ามีดไล่ฟันจนเกิดความโกลาหลขึ้น        



         เพราะ เวลานั้นไม่ได้มีแต่เฉพาะตำรวจเท่านั้น แต่ยังมีไทยมุงอีกจำนวนมากที่สนใจใคร่รู้ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นเพื่อนบ้านที่ต่างก็รู้จักมักคุ้นกับครอบครัวนี้ ทั้งสิ้น ต่างแตกหนีกระเจิงไปในสวนมะพร้าวคนละทิศละทาง บางคนล้มลุกคลุกคลาน ตกน้ำตกท่าลงไปในคูร่องสวน ได้แผลเปิดเปิงกันไปพอหอมปากหอมคอ หลายคนพยายามเรียกชื่อให้คืนสติ แต่เหมือนกับยิ่งยั่วยุมากขึ้นๆ จนตำรวจต้องใช้กำลังเข้าควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ในที่สุด


         "สี่พี่น้องมีความเชื่อเรื่องการบูชาพระอินทร์มา นานแล้ว เขาเคยมาชวนชาวบ้านละแวกนี้ให้มาร่วมทำพิธีกรรมต่างๆ นานาหลายครั้ง ด.ญ.ประภัสสรเองก็เป็นลูกของนางกาญจนา ที่อ้างว่าเป็นร่างทรงและก่อนเกิดเหตุก็กำลังเข้าทรง แล้วสั่งให้นางอนงค์ไปตัดต้นมะพร้าวในสวนให้หมด จากนั้นให้ฆ่าลูกสาวตัวเองเพื่อทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณ เพราะเชื่อว่าเด็กคนนี้นำความชั่วร้ายติดตัวมาด้วย จึงต้องฆ่าเสีย" ผู้ใหญ่บุญสม เล่า


            ผู้ใหญ่บุญสมเองก็เป็นหนึ่งในเพื่อนบ้านที่ ได้รับการชักชวนจากกาญจนา โดยเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2547 หรือ 2 วันก่อนเกิดเหตุ เวลาประมาณตี 3 อนงค์ได้มาตามที่บ้านผู้ใหญ่บุญสม ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 500 เมตร เขาเข้าใจว่าเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นจึงเดินตามไปที่บ้าน เมื่อขึ้นไปชั้นบนก็สังเกตเห็นโต๊ะหมู่บูชา อนงค์บอกให้นั่งหลับตาทำสมาธิ เพราะตัวเขาเคยทำร้ายพระอินทร์ในชาติภพก่อน ผู้ใหญ่บุญสมได้แต่นั่งหลับตามั่งลืมตามั่ง พอเห็นท่าไม่ดีเลยขอตัวกลับบ้าน


         เรื่อง น่าจะจบลงแค่นั้น ทว่าคืนต่อมาเวลาประมาณ 4 ทุ่ม อนงค์กลับมาหาผู้ใหญ่บุญสมอีกครั้ง ถึงตอนนี้เขาเริ่มรู้แล้วว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นที่บ้านหลังนี้จึง ปฏิเสธไป กระทั่งคืนวันที่ 4 ตุลาคมเวลาราวๆ ตี 2 ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงก็ได้ยินเสียงเด็กร้องกรี๊ดด้วยความเจ็บปวดแล้วก็ เงียบหายไป ไม่มีใครคาดคิดไปถึงว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นในสังคมชนบทที่สุดแสนสงบ เงียบแห่งนี้


         ... ด.ญ.ประภัสสรถูกอนงค์ผู้มีศักดิ์เป็นป้าใช้มีดอีโต้ปาดคอจนเสียชีวิต แล้วตัดผมของเด็กไปแช่น้ำ นำเสื้อผ้าและที่นอนไปเผา ด้วยเชื่อว่าเป็นการส่งวิญญาณให้ไปสู่สุคติ ช่วยให้โลกสว่างไสวขึ้น และการที่กาญจนาผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้าสามารถสื่อสารกับพระอินทร์ได้ จะช่วยส่งวิญญาณของลูกสาวให้พระอินทร์ดูแล


            "ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพื่อนบ้านต่างหวาด ระแวงครอบครัวนี้ เด็กๆ หลายคนถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้บ้านหลังนี้ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเราจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน หลายคนเชื่อว่าเหตุเศร้าสลดเหล่านี้เกิดจากความกดดันในอดีตของแม่เด็ก" ผู้ใหญ่บุญสม กล่าว


            บาดแผลในอดีตของกาญจนาคือการถูกคนร้ายข่มขืน ขณะอายุได้ 17 ปี ต่อมาเธอให้กำเนิด ด.ญ.ประภัสสร โดยมีอนงค์ผู้เป็นป้าคอยดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่แล้วทุกคนก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวที่เคยสุขสงบนี้ ปัจจุบันสี่พี่น้องเข้ารับการรักษาอาการทางประสาทที่สถาบันกัลยาณ์ราช นครินทร์


            อาจารย์เสือ เข็มเทวดา ชมรมการอนุรักษ์สักยันต์ไทย ให้ความเห็นว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังคงมีผู้คนเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ในรูปแบบต่างๆ จะเห็นได้จากพิธีการต่างๆ ที่อาจารย์แต่ละสำนักจัดขึ้น มักจะเน้นเรื่องการแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ และอำนาจ สามารถพบเห็นได้ตามแนวชายแดน เช่น พม่าและเขมร ยังมีการบูชายัญและฆ่าเด็ก ขึ้นอยู่กับคนในสังคมว่าหลงงมงายมากน้อยแค่ไหน ความเจริญด้านวัตถุเข้าถึงหรือไม่ ขณะเดียวกันก็ต้องตั้งคำถามว่า อะไรคือปัญหาที่ทำให้คนต้องหันไปพึ่งสิ่งเร้นลับและไสยศาสตร์


            "ปัจจุบันมีอาจารย์สำนักต่างๆ เกิดขึ้นหลายสำนัก พยายามแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ตัวเองกลายเป็นที่ยอมรับของสังคม จึงไม่แปลกที่จะเห็นการทำร้ายตัวเองด้วยมีด ไม้ รวมถึงการนั่งบริกรรมคาถาในน้ำมันร้อนฉ่า เพราะถ้ามีคนยอมรับอุทิศตัวเป็นศิษย์ก็จะมีผลประโยชน์เข้ามาเป็นเงาตามตัว ตรงกันข้ามการที่เราจะเป็นที่ยอมรับของศิษย์นั้น ไม่จำเป็นต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไรเลย แค่ทำความดีให้เขาเห็น เมื่อเขาศรัทธาในการกระทำอันบริสุทธิ์ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปทำร้ายตัวเอง" อาจารย์เสือแนะนำ


            สำหรับเรื่องราวของกาญจนาและครอบครัวนั้น อาจารย์เสือให้ทัศนะว่า น่าจะมีอะไรฝังอยู่ในจิตใจลึกๆ เมื่อได้รับฟังคำแนะนำจากคนที่มีความเชื่อศรัทธาก็จะถูกชักจูงได้ง่าย โดยเฉพาะการชักจูงให้ทำเรื่องไร้สติอย่างที่เกิดขึ้น


            ขณะที่ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดัง ยืนยันทันทีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหากมองทางการแพทย์หรือนักจิตวิทยาเข้าข่าย ผู้มีจิตใจผิดปกติ หรือมีอาการทางประสาท แต่ต้องมองย้อนกลับไปด้วยว่าคนเหล่านี้ไปเอาความเชื่อเหล่านี้มาจากไหน เรื่องความเชื่อลักษณะนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือในกลุ่มคนอะบอริจิ้นชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย ที่มีพฤติกรรมฆ่าตัดคอหรือบูชาสาวพรหมจรรย์


            "เรื่องเหล่านี้มาจากความเชื่อทั้งสิ้น ทั้งหมดไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ มโนภาพต่างๆ เกิดจากจินตนาการจับต้องไม่ได้ คนที่มีความเชื่อลักษณะนี้รู้เพียงอย่างเดียวว่าทำแบบนี้ แบบนั้น ตามคำบอกของผู้นำกลุ่มก็พอแล้ว คล้ายกับเรื่องอุปทานหมู่"


         ดร.วัลลภแนะนำด้วยว่าหากต้องการแก้ไขเรื่อง นี้จะต้องเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนสังคมใหม่ให้มองเรื่องของรูปธรรมอย่าไปสนใจเรื่องนามธรรมมากเกินไป ขั้นแรกเริ่มจากที่บ้านก่อนด้วยตัวของพ่อแม่ ให้ความรู้ที่ถูกต้อง ขั้นที่สองคือที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ครูอาจารย์ต้องมีวิชาหนึ่งๆ ให้นักเรียนนักศึกษาและเปลี่ยนทัศนคติต่อกัน โดยครูหรือใครก็ตามต้องแสดงให้เห็นว่า การกระทำหรือความเชื่ออะไรที่ถูกต้อง สุดท้ายสังคมต้องมีทางออกให้คนเหล่านี้ด้วย อย่าให้เขาหันไปพึ่งสิ่งที่จับต้องไม่ได้


ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก


Create Date : 30 มกราคม 2553
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2553 10:16:41 น. 0 comments
Counter : 2705 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

DR.MOO CAN DO
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




ผมเป็น นิติพยาธิแพทย์ หรือ จะเรียกว่า หมอนิติเวช ก็ได้ครับ นิติพยาธิแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปีแล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง นิติพยาธิอีก 3 ปี และเมื่อสอบผ่าน ก็จะได้รับวุฒิบัตรเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ และได้เป็นนิติพยาธิแพทย์ โดยสมบูรณ์
หน้าที่ของหมอนิติเวช แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
ส่วนแรก จะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยคดี โดยในผู้ป่วยคดีนั้นแพทย์นิติเวชจะมีหน้าที่ในการตรวจ และให้ความเห็นกับพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับบาดแผลที่ตรวจพบ ซึ่งตำรวจจะนำไปใช้ในการตั้งข้อกล่าวหากับคู่กรณี และหน้าที่ต่อมาของแพทย์นิติเวชคือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีดังกล่าว
ส่วนที่สอง จะเกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต โดยในกรณีผู้เสียชีวิตนั้นแพทย์นิติเวชมีหน้าที่ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุในกรณีตายผิดธรรมชาติตามที่กฎหมายกำหนด และหากมีความจำเป็นต้องผ่าชันสูตร ก็จะต้องมีการทำรายงาน และให้ความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิต ส่งให้พนักงานสอบสวน สุดท้ายหน้าที่หลักที่สำคัญโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีนั้นๆครับ
ประวัติการศึกษา
1.แพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
2.วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.ประกาศนียบัตร “Crime Scene Investigation” โครงการร่วมระหว่าง International Law Enforcement Academy กับ Federal Bureau of Investigation Academy
4.ประกาศนียบัตร “การบริหารงานโรงพยาบาล” คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลงาน
1.อาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มศว.
2.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
3.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
4.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
5.วิทยากร หัวข้อ "ICD-10" ของกระทรวงสาธารณสุข
6.วิทยากร หัวข้อ "การตรวจสถานที่เกิดเหตุ" ของมูลนิธิร่วมกตัญญู และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
7.วิทยากรอบรมหลักสูตรนายร้อยตำรวจอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
8.วิทยากร หัวข้อ "KPI รายบุคคล" ให้กับโรงพยาบาลและมหาลัยวิทยาลัย ในภาครัฐ
9.วิทยากร หัวข้อ "Living will" ให้กับโรงพยาบาลในภาครัฐและเอกชน10.วิทยากร หัวข้อ "นิติเวชศาสตร์กับงานด้านโบราณคดี" ให้กับคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
11.ร่วมเขียนหนังสือ "KPI รายบุคคล"
12.ร่วมเขียนหนังสือ "มาตรฐาน ICD-10, ICD-9"
13.ที่ปรึกษารายการ "เรื่องจริงผ่านจอ" และ "Redline"
14.บทความทางวิชาการและผลงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ 15 เรื่อง
15.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ตั้งแต่ ปี พศ.2553
16.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพ ฯ คณะแพทยศาสตร์ มศว. ตั้งแต่ปี พศ.2551
ผศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี (DR.MOO CAN DO)
New Comments
Friends' blogs
[Add DR.MOO CAN DO's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.