รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย จะเกิดภาคไหนๆก็ไทยด้วยกัน
เชื้อสายประเพณีไม่มีกีดกั้น เกิดใต้ธงไทยนั้น ปวงชนทุกคนคือไทย
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
6 กุมภาพันธ์ 2549
 
All Blogs
 
Fw: สุขภาพดีถ้วนหน้าเพื่อกายเราเฮฮาพาสดใสค่า

From: Pornvenus Gunmod
Sent: Friday, November 04, 2005 2:59 PM

Good One
ใช่ว่าจะกินแต่แคลเซียม แล้วจะทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ไม่เป็นสาวกระดุกเปราะ หลังโก่ง เมื่อเป็นคุณยาย เพราะทุกวันนี้คุณอาจเผลอกินอาหารที่ทำลายกระดูกแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้

อาหารที่ลดความหนาแน่นของกระดูก
1.ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 2 ถ้วย
มีงานวิจัยล่าสุดจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่า กาแฟแค่ 2 ถ้วยก็มากพอที่จะทำให้กระดูกเปราะบางได้ เนื่องจาก คาเฟอีนในกาแฟ จะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ ว่าแล้วสาว ๆ ที่ติดกาแฟ ก็ดื่มน้อย ๆ ลงจะดีกว่านะ

2.น้ำอัดลม
มีงานวิจัยล่าสุดพบว่าเครื่องดืมเย็นซ่าชื่นใจชนิดนี้ มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะกระดูกหักง่ายค่ะ โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จะมีโอกาสเกิดกระดูกพรุนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่าทีเดียวละ อยากให้กระดูกแข็งแรง ดื่มให้น้อยลง จะดีกว่านะ

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของกระดูก ผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว ความหนาแน่นของกระดูก นอกจากจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเริ่มลดลงด้วย หากช่วงก่อนหน้านี้ คุณไม่ได้บำรุงกระดูกให้แข็งแรงเต็มที่ ก็อาจทำให้คุณกลายเป็นยายแก่ ที่กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก ซึ่งจะเจ็บปวดและทรมานมาก นอกจากนี้ ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงราว ๆ 2 เปอร์เซ็นต์ทุก 1 ปี ในขณะที่การกินแคลเซียม เมื่ออายุมากขึ้น ไม่ได้ช่วยความเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยชะลอการสูเสียปริมาตรของกระดูกลง มาเริ่มต้นสร้างความแข็งแรงให้กระดูกตั้งแต่วัยสาว ๆ หน้ายังใสดีกว่า

วิธีเสริมความแข็งแรงให้กระดูก
นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายความหนาแน่นของกระดูกแล้ว ควรหาวิธีปกป้องและเสริมความแข็งแรงให้กระดูกกันตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า

1.ออกกำลังกาย
เป็นวิธีที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรงค่ะไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง แอโรบิค เล่นเทนนิส ยกเวท กระโดดเชือก ช่วยเสริมความหนาแน่นให้กระดูกได้ ยกเว้นการว่ายน้ำที่กลับไม่ได้ผลดีนัก

2.รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม
แคลเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัที่สุดสำหรับกระดูกและฟัน โดยเฉพาะแคลเซียมในนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต เนยแข็งเป็นแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดี แต่ก็มักได้ไขมันเป็นของแถมหากเลือกเป็นนมพร่องมันเนย ก็น่าจะปลอดภัยกว่า นอกจากนี้ อาหารพื้นบ้านเช่นปลากรอบ กุ้งแห้ง กะปิ ผักใบเขียว เต้าหู้แผ่น และถั่วเหลือง ก็เป็นเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่นกัน โดยเฉพาะถั่วเหลืองนั้นนอกจากช่วยชะลอความเสื่อมของ กระดูกแล้ว ยังลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมอีกด้วย

3.ควบคุมน้ำหนักตัว
การที่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไปจะทำให้คุณเสี่ยงกับการเป็นโรคกระดูกผุได้

4.เลิกสูบบุหรี่
สาวๆ ที่ติดบุหรี่ มักมีปัหาโรคกระดูกผุก่อนเวลาได้ เนื่องจากบุหรี่ จะขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้

5.วิตามินดี
วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ ช่วยเพิ่มปริมาตรของกระดูกได้ โดยเฉพาะนม มีทั้งแคลเซียมและวิตามินดีสูง แต่การซื้อวิตามินดีมารับประทานจะทำให้เกิดการสะสมในร่างกายมากเกินไป และเกิดอันตรายได้

*******************************************************************

พลังมหัศจรรย์ในอาหาร
เป็นยาขนานวิเศษที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
ไร้โรคภัยมาเบียดเบียน..


1.เต้าหู้...คุณภาพคับก้อน
จากเมล็ดถั่วเหลืองซึ่งจัดว่าเป็นยอดขุนพลของพืชตระกูลถั่ว ถูกแปลงโฉมมาเป็นเต้าหู้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งชนิดก้อน ชนิดหลอด จะเลือกแบบแข็งหรือแบบนิ่มก็ยังได้ เลือกได้ตามใจชอบกัน ราคาก็ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย แต่ให้คุณค่าสูงอุดมด้วยโปรตีน เหล็กและแคลเซียม แต่ปลอดคลอเรสเตอรอล

ดร.แอนเดอร์สันแห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี ระบุว่า การกินเต้าหู้ เป็นประจำทุกวันจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และยังช่วยป้องกันการผิดปกติของฮอร์โมนที่จะก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำใส้ สำหรับสาวๆ ที่ต้องการมีผิวพรรณที่สดใสผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรรับประทานเต้าหู้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง จัดเมนูอาหารเต้าหู้ไว้บนโต๊ะอาหารทุกวันนอกจากสุขภาพจะดีแล้ว ผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอีกด้วยเห็นไหมคะ คุณภาพคับก้อนจริงๆค่ะ

2. มะเขือเทศ .....พระเอกตัวจริงของอาหารอิตาลี
ผลไม้สีสันสดใสชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก ต่อมาได้นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในยุโรป แต่กลายมาเป็นพระเอกตัวจริงในอิตาลี ชาวอิตาลีจัดได้ว่าเป็นนักบริโภคมะเขือเทศตัวยงอาหารยอดฮิตของอิตาลีล้วนมีมะเขือเทศเป็นส่วนผสม สำคัญ เคล็ดลับความอร่อยของอาหารอิตาลีจึงอยู่ที่ซอสมะเขือเทศนี่แหล่ะค่ะ

ผลสรุปของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า การบริโภคมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศในปริมาณสูง สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งหลายชนิด ได้ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งในช่องท้อง เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้วิตามินเอและซีในมะเขือเทศก็ยังช่วยให้สุขภาพผิวสดใส ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงกันเลยทีเดียว

3. กินกระเทียมให้เป็นยาโดยไม่ต้องพึ่งใบสั่งแพทย์
คงจะคุ้นเคยกันดีสำหรับพืชสมุนไพรชนิดนี้เพราะแทบทุกครัวเรือนต่างมีไว้คู่ครัว ถ้าศึกษาจากผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้ว เราอาจจะต้องเก็บกระเทียมไว้เคียงคู่กับตู้ยาก็เป็นได้

ดร.วาร์โรอี. ไทเลอร์ ที่ปรึกษาคณะเภสัชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเพอดู เวส ลาฟาเยต พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเสมือนยาแอส-ไพริน คือทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น สารอัลลิซินในกระเทียม จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การกินกระเทียมเป็นประจำทุกวันโรคหัวใจก็ไม่ถามหากันง่าย ๆ เพราะกระเทียมเป็นตัวช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี

ยังไม่หมดนะค่ะ สำหรับสรรพคุณของกระเทียม ..หากเราย้อนประวัติศาสตร์ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กระเทียมเป็นผู้ช่วยตัวเอกในการรักษาบาดแผลของทหาร เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรคสารพัดชนิด ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ก่อนจะหยิบอาหารเข้าปากในมื้อต่อไป อย่าลืมกระเทียมสดๆสัก 2 ช้อนชา รับประทานคู่กับอาหารมื้ออร่อยของคุณนะคะ คุณจะได้สารอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยาทีเดียว

4. แก้นิสัยโกรธง่ายด้วยโยเกิร์ต
ดร.เม็ทชนิคอฟแห่งสถาบันปาสเตอร์ ในฝรั่งเศส ได้สรุปผลงานของเขาไว้ว่า การกินโยเกิร์ตทุกวัน จะทำให้สุขภาพดีและอายุยืน จุลินทรีย์แลคโตแบคซิลัสในโยเกิร์ต จะช่วยสร้างยาปฎิชีวนะใน ลำใส้ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบททีเรียต่างๆ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลำใส้ ป้องกันกระเพาะจากการเป็นแผล ลดไขมันในเส้นเลือด และยังช่วยไม่ให้ฟุ้งซ่านและโกรธง่ายอีกด้วย

****************************************************************
6 อัศวินสำหรับร่างกาย
ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูงระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันและหัวใจวายแน่นอน อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดีเยี่ยม 6 อัศวินตัวสำคัญนั้น คือ มะเขือต่างๆ หอมหัวใหญ่ กระเทียม ถั่วเหลือง แอปเปิ้ลและโยเกิร์ต

วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน เช่น เมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเปราะ หรือมะเขือพวงมากๆ

เมื่อรับประทานไข่มากๆ ซึ่งเป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลที่น่ากลัวนัก คุณก็ควรรับประทานหอมหัวใหญ่ร่วมกับไข่เจียวหรือไข่ดาวด้วย หรือรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ผลทุกๆ วัน หรือโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วยทุกๆ วัน รับประทานกระเทียมสดๆเล็กน้อยกับอาหารจานยำ จานคาวต่างๆ เพื่อขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย อันเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายกว่าการเลิกรับประทานอาหารมันๆ ทุกจานโดยสิ้นเชิง คุณยังสามารถรับประทานเนยแฮม เบคอน ขาหมู ไข่ หรือ อาหารไขมันสูงจานต่างๆ ได้ในบางมื้อบางวัน หากเพียงคุณรู้จักรับประทานอาหารอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว อาหาร 6 อย่างนี้ยังมีคุณค่าของสารอาหารและแร่ธาตุสำคัญ ที่จะนำประโยชน์สู่ร่างกายของคุณอย่างมากมายในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น แอปเปิล หอมใหญ่และโยเกิร์ต ช่วยให้คุณขับถ่ายดี ผิวพรรณสวยงาม เป็นต้น

***********************************************************

เรื่องกล้วยๆ
การกินกล้วยหอมหนึ่งผล ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องเท่ากับข้าวหนึ่งจานเท่านั้น แต่กล้วยยังให้ผลทางยาและสมุนไพรที่ข้าวไม่มี คือสามารถดูแลและรักษากระเพาะอาหารของเราได้ ดร.จีนคาร์เพอร์ นักโภชนาการ แจ้งว่า กล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในกระเพาะ (dyspepsia) ได้เป็นอย่างดี การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ปัญหาจากกรดในกระเพาะจะลดลง ผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น นอกจากนี้ กล้วยยังมีฤทธิ์ทางปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อได้อีกด้วย จากการศึกษาผู้ป่วย 46คน ที่มีอาการปวดในกระเพาะ โดยไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร โดยจัดให้ผู้ป่วยจำนวน 23 ราย ได้รับกล้วยผงบรรจุแคปซูลทุกวัน ส่วนอีก 23 ราย ให้รับแคปซูลของยาหลอกที่บรรจุแป้งธรรมดา

พบว่าผ่านไปได้ 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ได้รับผงกล้วย ร้อยละ 50 ไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย และร้อยละ 25 มีอาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน ร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่ามีอาการค่อยยังชั่วขึ้น แสดงให้เห็นว่าการรับประทานกล้วย แม้ว่าจะอยู่ในรูปของกล้วยผงก็สามารถช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้


ลองอ่านๆกันดูนะคะ เห็นว่าดีมีประโยชน์เผื่อจะนำไปใช้ในชีวิตได้ค่าเอามาฝากกัน..


Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2549
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2549 13:02:57 น. 1 comments
Counter : 566 Pageviews.

 



ทุกวันนี้ดูดแต่กาแฟเย็น....เฮ้อออ




โดย: อย่ามาทำหน้าเขียวใส่นะยะ วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:15:07:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

FaRaWaYGiRL
Location :
นครราชสีมา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




It hurts to love someone and not be loved return. But what is more painful is to love someone and never find the courage to let that person know how you felt. May be god wants us to meet a few wrong people before meeting the right one so that when we finally meet the right person, we will know how to be greateful for that gift. "เพื่อน 'OoY เขียนให้ก่อนจากกัน"(ขอบคุณค่า)

เราเป็น ญ ที่ดูจะทำมะดาคนนึงที่มีบ้านเกิดอยู๋โคราชเป็นคนสุดท้องของครอบครัว เอาแต่ใจตัวเอง ใจร้อน ขี้หงุดหงิด โมโหง่าย..ขี้น้อยใจ โกรธง่ายหายไว..แค่เนี้ยพอมะ??

เราเริ่มทำบล็อกเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2549 โดยการชักนำของเพื่อนคนนึง..จะว่าเค้าชักนำก้อไม่ได้ ก็เค้าส่งบล็อกเค้ามาอวด เราก้อสนใจ..จากนั้นก้มีบล็อกเป็นของตนเอง..

แต่งโน่นเติมนี่จนเป็นอย่างที่เห็นค่ะ

สุดท้ายนี้ก้อจะลืมไม่ได้คือ ขอบคุณป้ามด, คุณนุทศรี, คุณgoret, คุณ asita, คุงอย่ามาทำหน้าเขียว น้องแข Rebel, คุง9A และคนอื่นๆที่ไม่ได้เอ่ยชื่อด้วยนะคะที่ช่วยเอื้อเฟื้อสำหรับทุกอย่างที่ทำให้หน้าบล็อกออกมาเก๋ไก๋ชไนเดอร์แบบเนี้ยกิกิกิ



หลังไมค์ถึงเรา




แบนเนอร์ย่าดา..โดนบังคับอ่ะ 555555

Color Codes ป้ามด
ชื่อบล็อกเพื่อนทางนี้ค่า
New Comments
Friends' blogs
[Add FaRaWaYGiRL's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.