7พย 52 ขั้นตอนการปฏิบัติธรรม
จริงๆไม่ค่อยอยากเขียนเรื่องธรรมะเท่าไหร่เลยค่ะ เพราะมีเขียนกันไว้มากมายและน่าสนใจทั้งนั้น แต่การรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาสาธยายให้กระชับสั้นนั้นไม่ค่อยเห็นมีใครบันทึกไว้ ส่วนใหญ่ต้องอาศัยการประติดประต่อเอาเอง เหมือนจิ๊กซอว์ วันนี้จึงขออนุญาตเล่าเรื่องธรรมะสักเล็กน้อย เพื่อต่อเนื่องจากเมื่อวานว่าการถอดถอนกองรูปเป็นเพียงการเดินปัญญาเบื้องต้นเท่านั้น มิใช่ธรรมะเบื้องสูงแต่อย่างใด และสำหรับผู้ที่สนใจ หรือมีปัญหาแต่ยังไม่ทราบหนทาง คลำทางไปไม่ถูกค่ะ บันทึกนี้อาจเป็นประโยชน์ได้บ้าง เพราะลำพังตัวเองก็เพียงตัวเท่าหนู ( สำนวนหลวงตาค่ะ ) เท่าที่สังเกตพบว่าผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรม จำแนกได้เป็นสาม 1. เคยทำมาแต่อดีตชาติ และชาตินี้มาทำต่อเนื่อง 2. พิจารณาถึงชีวิตและเห็นความไม่มีสาระของชีวิต 3. ประสบกับปัญหาในชีวิต เกิดความทุกข์ และใช้ทำธรรมะกล่อมเกลาจิตใจให้ความทุกข์เบาบางลง แต่ไม่ว่าจะมีจุดเริ่มต้นเข้าสู่หนทางมาอย่างไร ขั้นตอนการปฏิบัติให้ถึงทางพ้นทุกข์ ก็เป็นไปในหลักการเดียวกัน โดยเริ่มจากความสนใจ เข้าไปใกล้ นั่งลง เงี่ยหูฟังธรรม สำหรับวิธีการปฏิบัติดำเนินไปตามมรรคแปด ย่อลงเป็นสามคือ ศีล สมาธิ และปัญญา ศีลโดยมีศีล 5 เป็นพื้นฐาน เมื่อมีศีลห้าครบถ้วนเป็นปกติแล้ว จะเกิดความร่มเย็นภายในใจ ไม่มีความเร่าร้อนเผาลน ให้ต้องคอยระแวงภัยในเรื่องที่ไม่ดีงามต่างๆ
สมาธิ เมื่อมีศีลครบแล้ว ขั้นต่อไปคือ สมาธิ หมายถึงทำจิตใจให้มีความสงบในอารมณ์อันเดียว ตัดขาดจากสิ่งรบกวนจิตใจต่างๆ ทำเพื่อให้จิตมีกำลังไปพิจารณาทางด้านปัญญาต่อไปได้
ปัญญา คือใช้สติปัญญาพิจารณาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เรายังติดข้องอยู่ ให้เกิดการเห็นโทษของมัน และ เบื่อหน่ายจืดจาง จางคลาย ไปจนถึงการสลัดคืนได้ในที่สุด
โดยขั้นตอนการถอดถอนด้วยปัญญานั้น ครูบาอาจารย์สอนให้พิจารณาตามลำดับขั้นจากง่ายไปยาก ดังนี้ค่ะ
ขั้นที่หนึ่ง ปล่อยวางรูปขันธ์ พิจารณาด้วยปัญญา ให้เห็นไตรลักษณ์ ให้เห็นโทษ และเกิดความจางคลาย ปล่อยวางสลัดคืน ในกองรูป
กองรูปหมายถึง สิ่งที่สัมผัสด้วย ตาหูจมูกลิ้นกายได้ อาจเป็น คนสัตว์ สิ่งของ เนื่องจากรูปเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดสัมผัสง่ายจึงนำมาใช้เป็นโจทย์เพื่อพิจารณาก่อน จัดว่าเป็นการใช้ปัญญาพิจารณา ( วิปัสสนา) ขั้นต้น กรรมฐานที่ใช้ เช่น อาหาเรปฏิกูลสัญญา หรือสุภะ- อสุภะ เป็นต้น ซึ่งท่านมักสอนควบคู่กันไป เพราะคนส่วนใหญ่ล้วนต้องติดข้องในกามทั้งนั้น ( รูปสวย รสอร่อย เสียงไพเราะ สัมผัสที่ชอบใจ ) เมื่อถอนละวางกองรูปได้จนหมดจึงกระทำการละวางสิ่งที่ละเอียดยิ่งขึ้นในขั้นต่อไป ซึ่งเฉพาะกองรูปก็ประมาณระยะเวลาไม่ได้ ขึ้นกับแต่ละคนว่าติดข้องอะไรบ้างมากน้อยแค่ไหน ( คำว่า ติดข้องแปลความง่ายๆ ก็คือเรายังเกิดความหวั่นไหวเพราะมันอยู่ )
ขั้นที่สอง ปล่อยวางนามธรรม คือ เวทนา สัญญา สังขาร ที่เรายังติดข้องอยู่
ขั้นสุดท้าย คือ ปล่อยวางวิญญาณ องค์หลวงตามหาบัว มักจะใช้คำเปรียบเทียบว่า "ห้องว่างหมดแล้วแต่ยังเรายืนอยู่"
สรุปหนทางเดินสู่ความปล่อยวางจากสรรพสิ่งทั้งปวงเริ่มจาก สุตมยปัญญาการสะสมข้อมูลจากการฟังการอ่าน จินตมยปัญญาการคิดตามด้วยเหตุผล จนถึงการทำภาวนามยปัญญาการทำให้จิตยอมรับความเป็นจริงนั้นอย่างถอนรากถอนโคน เพราะการเกิดจินตมยปัญญานั้นเป็นเพียงการรับรู้รับทราบและไม่คัดค้านแต่เพียงภายนอก แต่ภายในจิตยังไม่เกิดกระบวนการยอมรับความจริงดังกล่าว จึงต้องอาศัยการพิจารณาธรรมะด้วยกำลังของจิตจากสมาธิ เมื่อจิตรับรู้รับทราบและปล่อยวางในแต่ละขั้น ส่วนใหญ่แล้วจิตมักจะแสดงอาการให้ปรากฏแก่ผู้ปฏิบัติได้รับทราบ ส่วนขั้นตอนสุดท้ายนั้นมีบางรูปที่ไม่แสดงอาการเป็นแต่ราบเรียบไปเฉยๆ เช่น พระอาจารย์สิงห์ทอง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักแสดงอาการให้ปรากฏ
การปฏิบัติ ก็อาศัย ความหมั่นพิจารณาตรวจสอบไตร่ตรองอยู่เสมอ ด้วยความไม่ประมาท ว่าเรายังเหลือสิ่งใดที่ติดข้องทำความกระทบกระเทือนต่อจิตใจของเราได้ เป็นรูป หรือ เป็น นามธรรมใด และนำมาพิจารณาถอดถอน ให้จิตใจเป็นอิสระ และ ปล่อยวางจิตใจคืนสู่ธรรมชาติในที่สุด
ดังคำสอน ในคิริมานนทสูตรว่า "อันที่แท้จิตใจนั้นหากเป็นลมอันเกิดอยู่กับโลก มิใช่จิตใจของเรา โลกเขาตั้งแต่งไว้ก่อนเรา เราจึงมาอาศัยอยู่กับลม จิตใจ ณ กาลภายหลัง". . . . ."การปล่อยวางจิตใจ คือ วาง สุข ทุกข์ บาป บุญ คุณ โทษ วางโลภ โกรธ หลง ลาภ ยศ นินทาสรรเสริญทั้งหมดทั้งสิ้นเหมือนดั่งไม่มีหัวใจจึงชื่อว่าทำให้เหมือนแผ่นดิน"
Create Date : 07 พฤศจิกายน 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 28 มกราคม 2553 18:41:12 น. |
Counter : 1130 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณที่นำเรื่องราวธรรมะดีๆมาให้อ่านครับ
ของผมคงจัดอยู่ในข้อสาม ที่กำลังหาทางขึ้นไปข้อสองอยู่มั้งครับ... ที่จริงข้อสองนั้น ก็เข้าใจนะครับ... แต่การละวางจริงๆ คงยากและต้องอาศัยการฝึกจิตอย่างมาก...
จะหาโอกาสมาอ่านซ้ำนะครับ ^^