Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
22 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
22 กค 53 สรุปเทศน์หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน



หยุดเขียนบล็อกไป หลายวัน
ความอยากเขียนที่เคยมีหายไปเสียเฉยๆ
สมองว่างเปล่าไม่มีเรื่องราวไม่มีไอเดีย
เปิดดูภาพถ่ายดอกไม้ที่ยังหลงเหลือ
ก็ไม่เกิดความอยากที่จะเขียน
มีแต่ความเงียบ  อยู่ในใจ


วันนี้พอจะมีความคิดอ่านขึ้นบ้าง
จึงพยายามหาเรื่องราวมาเขียนค่ะ
แต่วันนี้ก็คงมีแต่เรื่องที่มีสาระอรรถธรรม
ที่ผ่านมามีหนทางมาได้เพราะมีธรรมะเป็นที่พึ่ง
เป็นที่ยึดเหนี่ยว จึงขอลงคำสอนของครูบาอาจารย์
หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน
ที่สรุปใจความค่ะ



"ทำอะไรให้จริงจังบ้างนะ เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าเหลาะๆ แหละๆ ไม่ดี ลูกชาวพุทธจริงจังทุกอย่าง ตัดสินใจว่าจะทำอันนี้แล้วเพราะเหตุผลอันใดลงเหตุผลเสียก่อน เหตุผลลงแล้วเอาๆ อย่างนั้น ไม่ใช่ทำสุ่มสี่สุ่มห้าใช้ไม่ได้นะ"
 วันที่ 21 กรกฎาคม. 2553 เวลา 7:50 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


" เห็นแก่เขาแก่เราคือให้เห็นแก่กันและกัน เห็นแก่พรรคแก่พวกของตัวเองใช้ไม่ได้ ให้เห็นแก่เพื่อนฝูง เห็นแก่มนุษย์ที่เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น นั่นให้เป็นอย่างนั้นนะ ..... อยู่ในวัดเป็นหัวใจเดียวกัน แยกแยะให้เป็นเสี้ยนเป็นหนามต่อกันไม่ได้นะ "
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓


ท่านเทศน์โปรดชาวลาว ซึ่งปีก่อนหลวงตาเมตตาตระเตรียมเงินและของเพื่อไปบริจาคให้แก่ประเทศลาว แต่ทางประเทศลาว ไม่สามารถรับเมตตาขององค์หลวงตาได้ โดยกล่าวว่ามีไข้หวัดนกกำลังระบาด ในครั้งนั้นหลวงตาจึงได้ระงับการเดินทางและการบริจาควัตถุสิ่งของไปยังประเทศลาว


"มันเป็นอย่างนั้นละกรรมของคน ที่ควรจะได้รับการสงเคราะห์ไม่ยอมรับ มันกรรมของสัตว์ .....
 ....วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้แก่การอบรมจิตใจให้บริสุทธิ์เต็มที่แล้วกิจอื่นที่จะให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี ไม่มีอะไรที่จะสำคัญยิ่งกว่าการชำระจิตใจ ถ้าจิตใจดีแล้วไปที่ไหนดีหมด ถ้าจิตใจขุ่นมัวมัวหมองแล้วไปไหนก็ไม่สบาย ขึ้นอยู่บนต้นไม้ไม่สบาย ขึ้นดาวเทียมก็ไม่สบาย ถ้าใจสบายแล้วอยู่ไหนสบายหมด สำคัญที่ใจ ให้พากันอบรมใจนะ ถ้าใจสบายอยู่ที่ไหนอยู่ได้หมด ไม่เลือกสถานที่อะไรๆว่าสูงว่าต่ำอะไรไม่มี ใจได้ประดับตัวเต็มที่แล้วสบายหมด วางใจให้เหมาะสมกับธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วสบายหมด ถ้าใจยังปีนเกลียวกับธรรมอยู่แล้วเรียกว่ากิเลสกับธรรมรบกันยังหาความสบายไม่ได้นะ


          ความสบายอยู่ที่จิต ซักฟอกเสร็จเรียบร้อยแล้วสว่างไสว จ้าทั้งกลางวันกลางคืนหลับตื่นเหมือนกันหมด ท่านผู้จิตบริสุทธิ์เป็นอย่างนั้น ยืนก็บริสุทธิ์ นั่งนอนบริสุทธิ์ หลับตื่นบริสุทธิ์ อยู่แสนสบาย นั่นละผู้สบายอยู่ที่นั่นละ ผู้เป็นทุกข์คือกิเลสมันเป็นเสี้ยนเป็นหนาม เสียดแทงจิตใจ ไปอยู่ที่ไหนหาความสุขไม่ได้นะ ท่านจึงสอนให้ชำระจิตใจ ให้ชำระจิตใจมันไม่อยากมอง มองนู่นหาฟืนหาไฟมาเผาหัวใจ หาอยู่อย่างนั้นละแต่ไม่เคยพอ ไฟเผาหัวใจ ผู้ชำระจิตใจออกหมดแล้ววางหมด แสนสบาย......
    .....คำว่าภาวนาใครยังไม่เห็นเข้าถึงตัวจริงขององค์ภาวนาแท้คือใจ ว่าภาวนาๆ มีแต่คว้าหาอารมณ์มาโปะเข้าๆเป็นฟืนเป็นไฟ การภาวนาชำระอารมณ์ออกให้มีแต่จิตสงบผ่องใส นั่นละสบาย สบายจากการภาวนาเป็นอย่างนั้น สบายจากการกินอยู่หลับนอนไม่เท่าไรกวนเรื่อย  ตอนี้สบายหน่อยเดี๋ยวกวนแล้วๆ สบายทางจิตตภาวนาไม่กวน มีแต่ความสงบ.........
.....วันนี้ไม่มีอะไรพูดละ มีเท่านั้นละพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง  ผู้ฟังก็ให้ฟังด้วยความสง่างามภายในจิต ผู้พูดพูดด้วยความสง่างามภายในใจ ให้รับกันบ้างซิ พระพุทธเจ้าพูดสอนโลกสง่างามหมดทั่วแดนโลกธาตุ พระอรหันต์ท่านพูดกับโลกแสดงธรรมแก่โลกก็สง่างามหมด พวกเราผู้ฟังมีแต่มูตรแต่คูถเต็มหัวใจมันเข้ากันไม่ได้ เข้าใจเหรอ ชำระใจให้สง่างามซิมันถึงน่าดู ใจสง่างามอะไรจะเหมือนไม่เหมือน วันคืนปีเดือนอย่าเอามาเทียบ เทียบไม่ได้ เที่ยงตรงคือพระนิพพาน นี่เทียบแล้ว คือจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วคือพระนิพพาน ไม่ไปหาที่ไหนหานิพพาน จิตที่กิเลสถูกถอดถอนออกหมดเหลือแต่จิตล้วนๆ นั่นละพระนิพพานทั้งเป็น ถ้าจิตมีแต่ฟืนแต่ไฟนั่นนรกทั้งเป็น พากันจำเอา อย่าไปหาที่ไหน หาที่หัวใจ ดูหัวใจก็รู้


            ทำอะไรถ้าทำจริงผลก็เห็นจริงๆ นะ ถ้าทำเหลาะๆ แหละๆ อะไรไม่ก็เป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าทำอะไรให้จริงแล้วจริง เห็นผลประจักษ์ใจ ยกตัวอย่างเช่นการภาวนาฟาดกิเลสขาดสะบั้นไปจากใจหมดแล้วสง่างาม จ้า หลับตื่นลืมตาสว่างจ้าคือจิตสิ้นกิเลส อย่างจิตพระอรหันต์ท่าน ท่านสิ้นกิเลสท่านเอาความจริงออกมาพูด ไม่ใช่พูดลมๆ แล้งๆ ไม่มีตนมีตัว ของท่านมีตัว  พระพุทธเจ้าสว่างจ้า-พระอรหันต์สว่างจ้ามาสอนโลกที่มืดบอดให้สว่างไสวขึ้นบ้างพอเห็นศีลเห็นธรรม"
วันที่ 18 กรกฎาคม. 2553 เวลา 7:45 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


"        ศีลธรรมกับชาวพุทธเราอย่าให้แยกจากกันนะ ศีลธรรมกับชาวพุทธเราให้ติดแนบไปกับตัวกับครัวเรือนหนึ่งๆแล้วจะสวยงามมาก ทุกสิ่งทุกอย่างการเก็บการใช้สอยต่างๆนี้จะไม่ฟุ้งเฟ้อ ถ้าเอาธรรมพระพุทธเจ้าไปใช้แล้วจะพอดี ไอ้ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมนั้นมันเรื่องของกิเลส ใช้เท่าไรไม่พอ ได้เท่าไรไม่พอ ใช้จนหมดจนตายก็ไม่พอ แต่เรื่องธรรมนี้พอ สมควรแล้วพอๆ อย่างนั้นละ ให้มันมีความพอดี อย่าให้มีแต่เรื่องเตลิดเปิดเปิงไปหมดไม่ดี
          ทางวัดก็เป็นสถานที่ให้การอบรมบรรดาประชาชนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็อบรมตามกำลังความสามารถนั้นแหละ ได้ไปแล้วก็ให้เอาไปปฏิบัติ อย่าสักแต่ฟังเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ ฟังแล้วท่านสอนว่าอย่างไร ที่ควรแก่ฐานะของเราแล้วให้นำไปปฏิบัติ อย่าสักแต่ว่ามาฟังๆ แล้วไปไม่เกิดประโยชน์นะ ให้พากันจำเอาไว้ วัดเป็นแบบฉบับ หรือศาสนาเป็นแบบฉบับของการดำเนินการครองชีพ การประพฤติตัว การจับจ่ายใช้สอยอยู่กับพุทธศาสนาของผู้ถือพุทธศาสนาเป็นเจ้าของ จะไม่เตลิดเปิดเปิง จะพอดิบพอดี ที่มันเตลิดเปิดเปิงมันมีแต่เรื่องกิเลสนั่นละไปเป็นเจ้าของ มีเท่าไรหมดๆ แล้วหาสิ่งที่ตอบแทนจากความหมดไม่มี มีแต่หมดเรียบวุธๆ ไปอย่างนั้น
         วันนี้ก็ไม่พูดอะไรให้ฟัง พี่น้องทั้งหลายฟังการอบรมแล้วให้ประพฤติปฏิบัติตัว การรักษาสิ่งใดไม่เหมือนรักษาตัวเรา การปฏิบัติตัวทุกสิ่งทุกอย่างต้องถือเราเป็นหลักเกณฑ์ ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์อยู่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นไปตาม มีหลักมีเกณฑ์ไปตาม ถ้าเราไม่มีหลักมีเกณฑ์แล้วโกโรโกโสไม่เป็นท่านะ ให้พากันจำเอา มีเท่านั้นละ..."
วันที่ 16 กรกฎาคม. 2553 เวลา 7:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


             "ศาสนาเป็นวงคำสอนของจอมปราชญ์มาดั้งเดิม ศาสนาเป็นวงเป็นรั้วล้อมสัตว์ให้อยู่ในวง อย่าออกนอกวงมันจะลงนรกอเวจี รักษาไว้ให้อยู่ในรั้ว อยู่วงของศีลของธรรมกั้นเอาไว้ ไม่เช่นนั้นมนุษย์เรานี้ดื้อ ดื้อจริงๆ ต้องได้เอาคำสอนสอนไว้เป็นชั้นๆ สอนมนุษย์ เช่นอย่างเวลามาบวชก็สอนในเบื้องต้น จากนั้นก็สอนความละเอียดของกิเลสของจิตที่มันพัวพันเป็นข้าศึกในหัวใจเป็นลำดับไปก็สอนไป ไม่สอนไม่ได้ จิตใจมนุษย์..และสัตว์ทั่วๆ ไปเขาไม่มีขอบเขต แต่มนุษย์นี้มีขอบเขตศีลธรรมกั้นเอาไว้พอดูกันได้ ถ้าไม่มีศีลธรรมกั้นเอาไว้มนุษย์นี่ดูกันไม่ได้ เป็นยักษ์เป็นผีไม่มีใครเกินมนุษย์ แต่ต้องอาศัยกฎหมายบ้านเมืองส่วนหยาบ ย่นเข้ามาหาศีลหาธรรมรักษามนุษย์คนเดียวเรานี้ มนุษย์นี้รักษายาก ใครรักษาตัวให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสชุ่มเย็นในใจเต็มสัดเต็มส่วนไม่มี ต้องมีด่างพร้อยเสมอ แม้แต่พระที่เข้าไปปฏิบัติท่านก็เอาเต็มความสามารถของท่าน แต่สิ่งที่ด่างพร้อยช่องทางของกิเลสจะไปทำลายให้คุณภาพของพระของคนลดลงมันมีอยู่ตลอด จึงต้องได้บังคับเอาไว้ บังคับเอาไว้
          การรักษาศีลธรรมมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ละเอียดหยาบต่างกัน แล้วแต่เจตนาของผู้มารักษาและความโง่ความฉลาดมันตามกันไป ถ้าฉลาดก็รักษาตัวได้เรียบร้อย มีแต่เจตนาดีเฉยๆ ความฉลาดไม่พอก็ให้กิเลสความชั่วช้าลามกมันกัดจิตกัดตับกัดปอดไปกินนั่นละ ท่านต้องให้รักษาทุกระยะเวลา พอพูดอย่างนี้เราระลึกถึง..เคยพูดแล้วมังว่าเณรผองอยู่ห้วยทราย แกดัดแกนะนั่น เณรผองแกดัดแก เราก็นั่งภาวนาอยู่ กุฏิมันไม่ห่างกันนะ หากมันเป็นป่ามองหากันไม่เห็น อยู่ดีๆ ฟังเสียงตุ๊บเลยตก แกฝึกแก อยู่ข้างในนั่งภาวนาง่วง ดัดมัน มานั่งอยู่หมิ่นๆ กุฏิ เฉลียงกุฏินั่งหมิ่นๆ กันง่วง ถ้าง่วงให้มันตกตรงนี้ว่าอย่างนั้น ออกจากข้างในกันง่วง ไล่ออกมาข้างนอกเพื่อไม่ให้ง่วง ก็มานั่งหมิ่นๆ ถ้ามันง่วงให้มันตกว่าอย่างนั้น
        ทีนี้เราก็นั่งภาวนาอยู่ประมาณสองทุ่มกว่าฟังเสียงตุ๊บเสียงหนักๆ เอ๊ะมันเสียงอะไรนะ ไม่นานเราคอยฟังเสียง มาได้ยินเสียงพุมพัมๆ มาคุยกัน เป็นอย่างไร พระเสียท่าให้กิเลส กิเลสฟาดเอา มานั่งหมิ่นๆ ถ้ามันง่วงให้มันตก มันหากง่วงจริงๆ ตูมเลย นั่นเห็นไหมกิเลส เผลอช่องไหนมันเอาช่องนั้น มาว่าจะกันไม่ให้มันง่วงมันก็ง่วง กันไม่ให้มันตกมันก็ตก เป็นอย่างนั้นละ
         นั่งภาวนาที่ไหนเป็นทางเสือมาไปนั่งอยู่ที่นั่น อยู่ในภูเขาเสือชุมแต่ก่อน ไม่เหมือนทุกวันนี้นะ พวกเสือพวกเนื้อชุม ไปอยู่ที่ไหนมันมีทั้งเนื้อทั้งเสือ ไปอยู่ทางไหนเสือมาไปนั่งอยู่นั้นละให้มันกินคนเซ่อ เสือมันหากรู้จักคนนะ คนไปนั่งขวางทางเสือมันมาเห็นมันหลบหนี มันไม่เข้าไปกิน มันเบื่ออาหารประเภทนี้ อาหารประเภทนี้ใช้ไม่ได้เลยแม้แต่เสือก็ไม่กิน มันเป็นอย่างนั้นละท่านดัดท่าน เสือนอนอยู่บนถ้ำ ข้างล่างเป็นเงื้อมพระอยู่ข้างหลัง เสือมันมาขึ้นไปนอน มันรู้คน..เสือ คนอยู่ข้างล่างมันมามันก็หลบทางขึ้นไปนอน..เสือ กลางวันนอน กลางคืนออก พอสามทุ่มมันออกล่ะออกเที่ยวหากิน  พอตีสามตีสี่มันกลับมาเข้าไปนอน พระก็อยู่ข้างล่าง มันก็รู้จักพระ มันอยู่ข้างล่างมันก็มาเลียบๆ ขึ้นไปเลย มันรู้ว่าพระไม่ทำมันด้วย อยู่อย่างนั้นละพระกับเสืออยู่ด้วยกัน เสือมันมามันก็ขึ้น พอจวนสว่างมาล่ะเสือขึ้ไปนอน ตอนกลางคืนออกเที่ยวหากิน พระก็อยู่ถ้ำเงื้อมผา ไม่ใช่ถ้ำจริงๆ อยู่เงื้อมผาข้างนอก อยู่ด้วยกันได้น่ะละ เสือมาก็หลีกขึ้น เวลาหากินก็ลงไป พระก็อยู่ตรงนั้นละไม่มีอะไรกัน อยู่สบายๆ กัน
            เวลานั้นท่านดัดท่านนั่นแหละ แต่เอาเสือเป็นครู กับคนครูบาอาจารย์มันไม่กลัว มันกลัวเสือเอาเสือเป็นครู ไปนั่งเสือขึ้นมา นั่งภาวนาทางเสือขึ้นมา เสือมันมาเห็นคนนั่งอยู่มันก็หลบเสีย มันไม่มานะมันรู้คน คนเศษมันไม่มีราคากินก็ไม่ลงกลืนไม่ลงมันก็เลยหลบ เสือขึ้นไปนอนข้างบน พระก็นั่งภาวนาอยู่ทางมันมา ท่านทำอย่างนั้นละคือท่านดัดท่าน เสือมามันกลัวเสือจิตจะลง มันไม่ได้กลัวอะไรทีนี้เวลามันจะหลับมันนั่งหลับก็ได้ เป็นอย่างนั้นละ การฝึกทรมานลำบากลำบน ไปฝึกทรมานอยู่ในป่าท่านฝึกวิธีต่างๆ ทางไหนทางเสือเดินเสือผ่านท่านไปนั่งอยู่ที่นั่นให้เสือช่วย เสือมันมาเห็นคนมันก็หลบหนีเสีย เป็นอย่างนั้น
            เทวดาเขามีอยู่ในถ้ำมีพวกเทวดา รุกขเทวดา เขาเคารพพระนะ เวลาพระไปอยู่ที่นั่นเช่นไปอยู่ถ้ำเงื้อมผาที่ไหนภาวนาพวกเทวดาอยู่ตามแถวนั้นลงนะ ลงหมด อยู่ที่ราบๆ อยู่ที่ต่ำกว่าพระอยู่ เทวดาก็รู้มีความเคารพ เทวดาอยู่ตามแถวนั้นพระก็อยู่ที่นั่นเทวดาจะลงจากที่สูงมาอยู่ที่ต่ำมาเคารพพระผู้รักศีลรักธรรม เป็นอย่างนั้นนะ แต่ท่านไม่พูดเฉยๆ จิตของท่านรู้เห็นพวกเทพมา  พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นกับพวกเทพเข้ากันสนิท ท่านอยู่ในป่าลึกๆ ตอนค่ำพวกเทพมาล้อมท่าน มาฟังเทศน์มารับความเมตตาจากท่าน ท่านไปภาวนาพวกเทพเขาลงมามาคอยฟังธรรมจากท่าน ทีนี้บางองค์ท่านมีความรู้แพรวพราวภายในใจมองเห็นกระทั่งพวกเทพทั้งหลาย เห็น เขามาด้วยความเคารพ พวกเทพที่อยู่บนต้นไม้ พระก็อยู่นั้น ลง เขาเคารพพระ ท่านก็เลยเมตตาอยู่ที่นั่น เขาชุ่มเย็น มีความสุข
            เวลาอยู่ในที่เงียบๆ จิตมันเปลี่ยวมันก็ถอยเข้ามาข้างใน มันไม่เพ่นพ่าน จิตกลัวเป็นจิตเพ่นพ่านนะ กลัวเสือคิดหาแต่เสือ กลัวผีกลัวอะไรคิดหาแต่สิ่งเหล่านั้น มันกล้า กล้าไม่เข้าท่า ถ้าว่ากลัวแล้วอย่าออก อยู่ข้างใน นั่นเรียกว่ากลัว อยู่กับธรรมชุ่มเย็น ตัวเองก็หายกลัว พวกสัตว์ทั้งหลายก็เคารพ ท่านภาวนาอยู่ในถ้ำในป่าในถ้ำเทวดาบางพวกมาบอก คือท่านต้องการความสงบสงัดไม่ต้องการให้ใครมารบกวน ท่านไม่ฉันจังหัน กี่วันไม่ฉัน ถ้าวันไหนคนตายที่บ้านพวกเทพมาบอกแล้ว วันนี้คนตายที่บ้านเขาจะมารบกวนท่านนะ คือคนตายที่บ้านพวกเทพอยู่นี้ก็มาบอกท่านว่าเขาจะมารบกวนท่านไปให้บุญเขา ไปกุสลา แล้วเป็นจริงๆ พอสายสักหน่อยเขาก็มา มาก็นิมนต์ไปให้บุญคนตาย เป็นอย่างนั้นแหละ  พวกเทพเขามาบอก เขาอยู่ข้างๆ มาบอกพระ พระภาวนา ดังนั้นต้องเตรียมการไว้เลยไม่ผิด ถ้าเขามาบอกว่าวันนี้คนตายเขาจะมานิมนต์พระไปให้บุญเขา แล้วก็มาจริงๆ ท่านก็ต้องได้ลงไป บางทีไม่ฉันจังหันกี่วันก็ต้องได้ลงไป อย่างนั้นละ
           ผู้ตั้งใจภาวนาจริงๆ ลำบากมากนะ ข้าวไม่ค่อยกินแต่ภาวนาเร่ง ข้าวกินบ้างไม่กินบ้างอย่างนั้นละ เพื่อดัดทางจิต กิเลสอยู่กับจิต ถ้าให้มันกินอิ่มพอปากพอท้องแล้วมันอืดอาด เหมือนส่งหมูขึ้นเขียง ถ้ามันอดบ้างอิ่มบ้างดีภาวนา ท่านฝึกของท่านอย่างนั้นละ อยู่ในภูเขาพวกถ้ำพวกอะไรพวกเงื้อมผาท่านชอบอยู่อย่างนั้น พระกรรมฐานไปอยู่อย่างนั้นการกินต้องป่าช้าอยู่กับตัวเอง มันหิวมันโหยเมื่อไรค่อยกิน ถ้ามันไม่หิวไม่กิน ท่านฝึกท่านเอง บางทีกี่วันก็ตามท่านถึงลงไปบิณฑบาตมาฉัน พอยังชีวิตให้เป็นไปวันหนึ่ง แต่การภาวนานี้แน่ว อดอาหารอดไปสองสามวันไม่มีง่วงเหงาหาวนอนไม่มี นั่งภาวนาสติดี ถ้ากินให้อิ่มฉันทั้งวันมักจะหลับจะนอนเก่ง แน่ะต่างกันนะ ถ้าให้อดบ้างอะไรบ้างความง่วงเหงาหาวนอนไม่ค่อยมี ภาวนาดี .."
วันที่ 15 กรกฎาคม. 2553 เวลา 7:55 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี





Create Date : 22 กรกฎาคม 2553
Last Update : 22 กรกฎาคม 2553 19:55:45 น. 0 comments
Counter : 1469 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

mcayenne94
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 36 คน [?]




Bangkok

Kyoto

Sydney

Mcayenne94's Diary มีวัตถุประสงค์เพื่อบันทึกเรื่องราวของเจ้าของบ้านและสิ่งแวดล้อม ไม่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการ จัดจำหน่าย ต้นไม้ดอกไม้ หรือสิ่งใด อนุญาตให้นำภาพถ่าย พร้อมชื่อMcayenneผู้ถ่ายภาพไปใช้ประโยชน์ได้ และสงวนสิทธิ์ไม่อนุญาตให้นำภาพถ่าย Mcayenne ไปใช้ โดยการดัดแปลงตัดต่อหรือลบชื่อภายในภาพ
Friends' blogs
[Add mcayenne94's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.