29 ตค 2552 อีสานเขียว
การทำblog จริงๆก็สนุกดี เขียนอะไรเป็นสัญลักษณ์แล้วออก มาเป็นภาพหรือเป็นหนัง คนคิดได้เก่งน่าดู คนอื่นๆที่ชอบทำblogของตัวเองส่วนหนึ่งก็คงเพราะความสนุกที่ได้จากการตกแต่งนี่เอง เราเองก็อยากใส่โน่นใส่นี่เข้าไปในแต่ละส่วนของเวปเพจให้เยอะๆแต่ก็ชอบของเราแบบที่มันเป็นแล้วล่ะ ( สงสัยคิดไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเขา ) เขาอุตส่าห์คิดวิธีประดิดประดอยให้มันสวยน่ารัก ก็ไม่สนใจอยากจะใช้ อย่างว่าคนมันเป็นยังไงก็เป็นยังงั้น นิสัยใจคอการพูดการกระทำของเราก็เหมือนกัน คนโน้นอยากเห็นเราเป็นอย่างโน้นคนนี้อยากให้ทำอย่างนี้ โอย สารพัด ใครจะเป็นอย่างที่ใครอยากได้ล่ะถึงเปลี่ยนไปมันก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา ทุกวันนี้ก็พยายามให้ถูกใจใครๆมากที่สุดเท่าที่ทำได้ เคยไปฟังเทศน์หลวงตามหาบัวท่านว่า ลักษณะนิสัยที่สะสมมาจากชาติก่อนๆเปลี่ยนกันไม่ค่อยได้ นั่งเฉยๆก็มองออก อย่างคนที่เคยเกิดเป็นสิงโตหลายๆชาติก็จะมีลักษณะเฉพาะตัว เช่นไปนั่งที่ไหนก็มีสติและสัตว์อื่นหรือคนอื่นจะรู้สึกกลัว อุปนิสัยและวาสนาเหล่านี้บรรดาพุทธสาวกไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ยกเว้นแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น
วันนี้ได้ที่ใส่เพลงมาใหม่ แหร่มมาก ( ไล่เรียงภาษาตามยุคสมัย ดีเยี่ยม สุดยอด เจ๋ง จ๊าบ แหร่ม ) นั่งทำก็สนุกดีแก้เบื่อ แต่ก็ไม่เสียงานเท่าไหร่เพราะวันนี้ค่อนข้างว่าง ตั้งใจจะเขียนเรื่องภาคอีสานต่อไม่ให้เสียแรงอุตส่าห์ถ่ายแต่รูป เดี๋ยวนี้อีสานเป็นอีสานเขียวไปแล้ว ที่ดินถูกพัฒนาไปปลูกพืชเศรษฐกิจกันหมด ที่จังหวัดเลยที่เราไปประจำนั่นก็กลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกยางพารา มีนายหัวจากทางใต้มาซื้อที่ดินทำสวนยางพารากันทั่วไป เวลาเราไปทีไรก็จะพบรถทะเบียนใต้มาจอดตามปั๊ม เคยคุยกันว่ามาดูสวนยาง ตอนนี้ประกันราคากก.ละ 70 บาท แรงงานที่ไปทำงานตามที่อื่นก็เริ่มทะยอยกันกลับบ้านมากรีดยางกัน อัตราค่าแรงก็แบ่งคนละครึ่งกับเจ้าของสวน แค่ลงแรงกรีดยางเท่านั้น ตอนนี้มองไปทางไหนก็เขียวสดใสไปหมด ตามบ้านชาวบ้านก็มีแผ่นยางดิบตากไว้ทั่วไป และมีการทำบ้านใหม่พร้อมกับรถกะบะบ้านละคัน เศรษฐกิจดีมากๆข้าวของแพง ที่สำนักของหลวงพ่อเรามีพื้นที่ว่างก็ปลูกยางพาราไว้ทั่วไปแต่ไม่ได้ไว้กรีด เอาไว้ทำร่มเงาให้ลูกศิษย์กางเต๊นท์ข้างใต้ รอบๆสำนักก็เป็นสวนผลไม้ มีสวนเงาะ สวนพุทราลูกใหญ่ สวนมะขามหวาน สวนส้มเขียวหวาน สวนมังคุด เพราะแถวนั้นมีลำธารสายใหญ่ไหลมาจากภูหลวง จะมีพ่อค้าขับรถมาซื้อและเก็บเองที่สวน คนปลูกก็มีแต่หน้าที่ปลูกและดูแลเท่านั้น ไม่ต้องไปเก็บมาขาย ถ้าเราไปตรงกับช่วงเก็บผลผลิตเราก็ไปเดินเที่ยวและได้ทานผลไม้เหมือนท่องเที่ยวสวนผลไม้ ล่าสุดสวนพุทราปลูกแค่ หกเดือนก็ติดลูกแล้ว เขากำลังห่อลูกเล็กๆกันแมลง และเก็บลูกที่แก่แล้ว เราก็ได้ทานสดๆจากต้นอร่อยมากๆ ปกติไม่ค่อยชอบพุทรา แต่แม่ชีบอกว่าเก็บแล้วทานทันทีจะอร่อยมาก ก็จริงเหมือนกันคงรวมกับความสนุกด้วยมั้ง
ภาพทางไปสำนักหลวงพ่อ ทางขวาคือเขาภูหลวง ด้านหน้าเป็นสวนยางพาราทั่วไปหมด เขียวขจี
บริเวณที่ว่าง ชาวบ้านก็ทำนากันส่วนใหญ่ เป็นข้าวเหนียวซึ่งเป็นอาหารหลักของที่นี่ ที่ทานข้าวเหนียวชาวบ้านว่าทานข้าวเจ้าแล้วไม่ค่อยมีแรงทำงาน ส่วนเราทานข้าวเหนียวแล้วไม่ค่อยอยากทำงาน อยากนอนซะมากกว่า
บรรยากาศภายในสำนักหลวงพ่อปลูกยางพาราไว้ห้าปีแล้วเป็นขนาดที่เริ่มกรีดได้ แต่ไม่ได้กรีด เพราะข้างใต้มีร้านเอาไว้กางเต๊นท์นอนได้ และมีทางเดินจงกรมรอบๆ แต่เราไม่เคยมานอนเพราะกลัวคนและกลางคืนอาจมีสัตว์ป่าลงมาจากภูหลวงบ้าง ทีมีร่องรอยก็หมูป่า แต่บนภูหลวงนั้นยังมีสัตว์ป่าอยู่มาก โดยเฉพาะช้างป่ามีคนพบเป็นประจำ ล่าสุดคนที่สำนักและพระไปพบเข้าวิ่งหนีกันจนหลงทาง คือพอตกใจวิ่งหนีก็หาทิศทางกลับในป่าไม่ถูกแล้ว ยังดีว่ามีโทรศัพท์มือถือติดต่อและหาพิกัดได้หลวงพ่อเลยให้คนไปรับกลับ อดอาหารไปสองวันเดินกันไม่ไหว
การออกไปท่องเที่ยวธรรมชาติ หรือที่แปลกๆ ก็ได้ประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยรู้เคยทราบมาก่อน อย่างเช่น ต้นมะค่า เราก็ไม่เคยรู้จักเคยแต่เห็นไม้ เลยถ่ายรูปมาฝากคนที่ไม่เคยเห็น
ต้นและดอกถั่วพู เป็นร้าน (ฮ้าน) ที่แม่ชีปลูกไว้เราก็ไม่เคยเห็นต้นและดอกมาก่อน
บรรยากาศรอบๆสำนักอีกที เป็นเขาภูหลวง เราพยายามถ่ายสุดความสามารถ แต่ก็ไม่ค่อยสวย สงสัยกล้องไม่ดี วันก่อนไปร้านกล้องจะไปซื้อกล้องใหม่ ราคาพร้อมเลนส์ตั้งแสนกว่าบาท คนขายบอกกล้องกับเลนส์ของเราก็ใช้ได้แล้วไปหัดถ่ายให้คล่องๆดีกว่า คนขายร้านนี้ดีจริงๆบอกหลายอย่างและแนะนำตรงไปตรงมา ตอนนี้ก็เลยพยายามใช้ที่มีอยู่ให้มันดีขึ้นและถามผู้รู้เพื่อพัฒนาบ้าง
ภาพยามเย็นถ่ายออกไปรอบๆสำนักเห็นภูหลวงยังเป็นป่าสมบูรณ์อยู่ และลำธารที่ไหลผ่านกลางสำนัก มีที่พักปลูกอยู่ขนาบข้าง แต่ในระดับสูงไม่ต้องกลัวน้ำพัด เพราะหลวงพ่อเป็นวิศวกรมาก่อนออกแบบไว้ปลอดภัยไร้กังวล
เวลาเย็นเดินเล่นไปดูสวนพุทราของชาวบ้านรอบๆ เขาห่อพุทราทุกลูกมีความพยายามและอดทนจริงๆ เจ้าของเขาคงสงสารเราที่ไม่มีสตางค์มาเลยให้มาชิมหนึ่งลูกอร่อยอย่างที่บอก ใกล้มืดแล้วเดินตามทางกลับสำนักดีกว่า เราไปวันนั้นเป็นเดือนมืดมากๆ มองมือตัวเองไม่เห็น แต่มองเห็นดาวเต็มท้องฟ้าเหมือนท้องฟ้าเป็นรูรั่วสีต่างๆไปทั่ว สวยมาก ซึ่งอยู่ในเมืองจะไม่มีโอกาสได้เห็นแบบนี้ บางคนสงสัยว่าทำไมคนเมืองถึงออกไปหาธรรมชาติ ทั้งที่อยู่บ้านก็สบายดี จากที่เราเล่ามาก็จะเห็นว่ามีหลายๆอย่างประกอบกัน ที่สำนักก็มีบรรยากาศอีกแบบนึง สงบ สบาย ไม่มีความทุกข์หรือความกังวล และก็มีความรักทั่วไปทุกคนที่ไปส่วนใหญ่ก็รักกัน และดีต่อกัน เพราะทุกคนต้องการมาทำกายทำใจตัวเองให้สะอาด ก็คงเหมือนเราเข้าไปที่ๆสะอาดก็มีความสุข และมีเวลาอยู่เงียบๆกับตัวเองได้ศึกษาจิตใจตัวเองให้ถ่องแท้ จริงๆแล้วข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการยังชีพก็ไม่ได้ต้องใช้อะไรมาก เท่าที่มีในสำนักก็อยู่ได้สบายๆ ยาจกดื่มจากกะลาก็มีความสุขเท่ากับการดื่มจากจอกทองคำถ้าเรามีความพอใจ
Create Date : 29 ตุลาคม 2552 |
Last Update : 30 ตุลาคม 2552 6:57:49 น. |
|
3 comments
|
Counter : 2388 Pageviews. |
|
|