...คิดว่ายังมีความหวัง ตราบที่ยังมีลมหายใจ...
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
 
18 กุมภาพันธ์ 2555
 
All Blogs
 
พบเธอที่บ้านถ้ำธง ๑๒



ธนารีบเดินไปหาทันที
“คุณยานียังไม่นอนอีกหรือครับ” ธนาถามทั้ง ๆ ที่ไม่แน่ใจ แต่เธอคนนั้นไม่พูด

“ลงมาเดินเล่นคนเดียวเงียบ ๆ แบบนี้อันตรายนะครับ เกิดว่าพวกนั้นมาเจอเข้า” ธนาพูดอีก

“คืนนี้อากาศดีนะคะ” เธอกลับชวนคุยไปเรื่องอื่น

“ครับ อากาศดีมาก เชิญคุณยานีไปนั่งที่เต็นท์กับเราก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวพอจะกลับเข้าบ้าน
ผมค่อยไปส่ง”

“เชิญคุณสองคนตามสบายดีกว่านะคะ ดิฉันจะเดินตากลมเย็น ๆ เล่นสักครู่แล้วก็จะกลับไปนอน”

กล่าวแล้วเธอก็เดินทอดน่องแบบสบาย ๆ ไปตามแนวหาด ธนาไม่อยากให้เธอเดินคนเดียวเพราะกลัวจะมีอันตรายจึงรีบออกเดินตาม ทว่า…ธนาเผลอแผล็บเดียวเท่านั้น ยานีหายไปแล้ว ธนาจึงต้องออกวิ่งตามและพยายามค้นหา

“คุณยานี” ธนาเรียกเสียงดัง แต่เสียงของธนาเหมือนถูกกลืนหายไป ในท่ามกลางเสียงคลื่นและลมที่ไกวยอดสนชายหาด

ธนาวิ่งตามหาจนเหนื่อยหอบ จนไกลออกมาประมาณ ๕๐๐ เมตรจากเต็นท์ที่พักก็ไม่พบ ในที่สุดธนายอมตัดใจหันกลับ จะเดินกลับไปที่เต็นท์ ทว่าธนากลับเห็นเธอนั่งเขี่ยทรายเล่นอยู่ ในระห่างจากที่เขายืนประมาณ ๑๕ เมตรเท่านั้น

ธนาขยี้ตามองให้แน่ใจ พลางนึก ตอนแรกทำไมไม่เห็นหว่า บทจะหายก็หายวับ บทจะเห็นก็เห็นขึ้นมาเฉย ๆ
“ทำไมคุณยานีต้องหนีผมมาด้วยล่ะ ผมเป็นห่วงคุณจริง ๆ นะ” ธนาต่อว่าขณะนั่งลงข้าง ๆ

“ตอนกลางคืนพวกมันทำอะไรดิฉันไม่ได้หรอกค่ะ คุณลืมเสียแล้วหรือ”

เธอพูดแล้วหัวเราะด้วยสุ้มเสียงที่ฟังดูแปร่งชอบกล แล้วพูดต่อไปว่า “คุณลืมเหตุการณ์เมื่อคืนและคืนก่อน ๆ เสียแล้วหรือคะ”

“เหตุการณ์เมื่อคืนก่อน!” ธนาอุทานแล้วก็ทำท่าตกใจ “ใช่ซีเมื่อคืนก่อน ตอนที่พวกมันบุกเข้าไปจะเผารถยนต์นายเรือง แล้วก็ก่อนหน้านั้นที่คุณทำผีหลอกมัน คุณยานียอมรับแล้วหรือว่า ที่แท้ก็ฝีมือของคุณ”
เธอไม่ตอบเขาแต่หัวเราะ หยุดเขี่ยทรายแล้วลุกขึ้นเดิน ทำให้ธนาต้องรีบก้าวตาม กลัวว่าเธอจะเดินหายไปเสียอีก และขณะนั้นจันทร์เสี้ยวกำลังจะลับขอบฟ้าด้านตะวันตก

“ทำไมคุณต้องหลอกเรา” ธนาตัดพ้อ

“ดิฉันหลอกยังไงคะ”

“หลอกว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านตอนกลางคืนไม่ใช่ฝีมือคุณ”
“แล้วไงอีก”

“หลอกว่า คุณที่ผมเห็นกลางวันกับที่พบในตอนกลางคืนไม่ใช่คนๆ เดียวกัน คุณทำอย่างนั้นทำไม”

“มันจำเป็น เรื่องนี้ดิฉันเคยบอกคุณแล้ว”

“แล้วเมื่อไหร่จะเลิกทำ”

“จนกว่าดิฉันจะแก้แค้นพวกมันได้สำเร็จ”

“ก็ผมบอกแล้วไงจะช่วยคุณ คุณปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมายไม่ได้หรือ”

“ดิฉันรอกฎหมายมาสามปีกว่าแล้ว ไม่ได้ผลอะไรเลย เลยต้องหาทางจัดการเองอีกแรงหนึ่ง”

“งั้นคืนนี้เราคุยกันให้เต็มที่สักคืนนะ โปรดอย่าได้หนีผมไปอีก”

“หมายความว่า คุณจะให้ดิฉันนอนที่เต็นท์ที่ชายหาด อย่างนั้นหรือคะ”

“โอ ไม่ ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก เพียงแต่ว่าเราคุยกันให้นานหน่อยแล้วผมจะไปส่งคุณที่บ้าน”

“งั้นตกลง แต่ก็คงคุยได้ไม่นานนักนะคะ เพราะดิฉันเริ่มง่วงนิด ๆ แล้ว” เธอพูดพลางอ้าปากหาว ธนาจึงจูงมือเธอพาเดินให้ห่างไปจากเต็นท์ที่พัก แล้วก็ดึงมือของเธอให้นั่งลงบนทรายสีขาวและแห้ง มีกอผักบุ้งทะเลแทนเสื่อ

“คุณยานี เอ้อ ผม…” ธนาอยากจะบอกเธอในความรู้สึกบางอย่าง เมื่อรู้ว่ายานีเป็นคน ๆ เดียวกับเธอที่นำเขาเข้าไปพักในบ้าน

“อะไรคะ” เธอถามเหมือนไม่รับรู้ในกริยาอาการของธนา
ธนาพูดไม่ออกแต่รวบร่างของเธอเข้ามากอดไว้ในอ้อมกอด ทว่า กายเธอกลับเย็นเฉียบ แถมมีกลิ่นอับ ๆ จนธนาต้องปล่อยร่างของเธอให้หลุดจากวงแขน

เธอหันมองเขาอย่างสงสัย คล้ายจะถามแต่ไม่ถาม

“ทำไมตัวคุณเย็นจัง” ธนาพูดเก้อ ๆ

“ก็เรามาเดินตากน้ำค้างกันตั้งนานแล้วนี่คะ”

“ถ้างั้นผมขอลองใหม่” แล้วธนาก็กอดเธออีกครั้ง
คราวนี้ร่างกายของเธอกลับอบอุ่นเช่นคนปรกติ แถมทั่วเรือนร่างและเรือนผมของเธอยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยมา คล้าย ๆ กลิ่นดอกไม้อะไรสักอย่าง ทำให้ธนากอดรัดร่างนั้นไว้แน่นยิ่งขึ้น และสุดที่ ธนาจะอดใจไว้ต่อไปไหว เขาจูบไซ้ไปทั่วใบหน้าและเรือนร่างของเธอ และเมื่อเธอไม่ขัดขืน ธนาก็ทำท่าจะให้ความรักที่จุกอกอยู่มันดำเนินไปต่อ แต่คราวนี้เธอขืนตัวไว้และว่า

“เดี๋ยวค่ะ”

“ทำไมล่ะ?”

“คุณรักดิฉันหรือ”

“ครับ”

“แต่คุณยังไม่เคยบอกรักดิฉันเลยสักคำ”

“ก็บอกแล้วไง”

“บอกเมื่อไหร่”

“เมื่อตะกี๊”

“นั่นเพราะดิฉันถามต่างหาก”

“งั้น บอกใหม่ก็ได้ ผมรักคุณจริง ๆ รักและอยากจะแต่งงานกับคุณ”

”คุณรักดิฉันเพราะอะไรคะ

“หลายอย่าง”

“เอาอย่างแรกก่อน คุณมีบุญคุณและหวังดีต่อผมซึ่งเป็นคนแปลกหน้า คุณวางใจผมขนาดว่าพาผมเข้าไปให้พักในบ้าน คุณให้เกียรติและไว้วางใจผมซึ่งไม่เคยมีผู้หญิงคนใดเคยทำ หรือกล้าทำ แม้ผมจะยังสงสัยว่าคุณคิดอย่างไร ทำไมจึงกล้าไว้วางใจผมมากขนาดนั้น”

“ถ้าดิฉันจะตอบคุณว่า ดิฉันสามารถล่วงรู้ภายในจิตใจของคุณ ว่าคุณเป็นคนเช่นไรคุณจะเชื่อไหม”

“เชื่อ”

“ทำไมจึงเชื่อคะ”

“เพราะสิ่งที่คุณทำ เป็นสิ่งที่คนทั่วๆ ไปทำอย่างคุณไม่ได้ คุณทำผีหลอกพวกกำนันเทิน คุณสะกดจิตให้พวกมันเอาไฟเผาตัวพวกมันเอง… หมดคำถามแล้วใช่ไหม งั้น… ผมขอรักคุณต่อ…”

ธนาพูดแล้วก็ก้มหน้าลงกอดจูบร่างนั้นต่อไปแต่แปลกที่ว่า ไม่ว่าธนาจะทำอย่างไรกับเธอเธอกลับไม่ได้แสดงอาการตอบรับ อย่างที่ผู้หญิงทั่ว ๆ ไปพึงกระทำ



“พอหรือยังคะ” เธอถาม หลังจากนอนเฉย ๆ ให้ธนากอดและจูบมาพอสมควร

“ยังไม่พอ”

“ทำไมยังไม่พอ” เธอถามอีก

“ผมจะเก็บความหวานและความหอม จากกายและหัวใจของคุณมากักตุนไว้ในหัวใจของผมให้มากที่สุด”

“คุณทำราวกับว่าดิฉันจะหนีไปไหนยังงั้นแหละ”

”คุณอาจจะไม่หนี แต่โอกาสที่เราจะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังอย่างนี้มันหายาก”

ธนาพูดพลางแกะกระดุมเสื้อชุดนอนของเธอออก ทว่า เสียงหนึ่งที่มาร้องกู่ขึ้นใกล้ ๆ ทำให้ต้องหยุดยั้งสิ่งที่กำลังจะกระทำลงอย่างหัวเสียและเสียดายเป็นที่สุด

“วูว์ นายธนา นายธนาเว้ย อยู่ตรงไหนโว้ย”




รถยนต์กระบะสีขาวเทาตอนเดียวติดหลังคาผ้าใบ บรรทุกปุ๋ยคอกเป็นกระสอบๆ มาเต็มคันรถ และเพราะเหตุที่กลิ่นของสิ่งซึ่งอยู่ในกระสอบไม่ค่อยสะอาด มันจึงสามารถผ่านด่านต่างๆ มาได้อย่างสะดวก ไร้การหน่วงเหนี่ยวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งด่านตรวจ

อันที่จริงมันถูกเรียกตรวจเหมือนกัน ซึ่งชายสองคนที่ผลัดเปลี่ยนกันขับรถคันนี้มาก็ได้หยุดรถให้ตรวจโดยดีทุกครั้ง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างล่าถอยไปยืนอยู่ห่างๆ เมื่อได้กลิ่นเอกลักษณ์จังหวัดนครปฐม (ตอนนั่งรถไฟผ่าน)

ชายทั้งสองคนอายุอยู่ในวัยประมาณ ๓๐ แต่งกายชุดชาวสวน ชายที่เป็นคนขับสวมหมวกปีกใหญ่เป็นหมวกสานด้วยใบลาน อีกคนโพกศีรษะด้วยผ้าขาวม้าลายแดงขาว ทั้งสองคนท่าทางบอกยี่ห้อเป็นราษฎรเต็มขั้น ประกอบกับคำตอบที่แกล้งดัดสำเนียงเสียงอีสาน ชายสองคนจึงขับรถผ่านด่านมาได้ตลอดกระทั่งมาเลี้ยวเข้าตลาดมาบอำมฤตเมื่อเวลาบ่าย ๓ โมงเศษ ๆ




ชายคนที่นั่งข้างบอกให้ชายคนขับขับช้าๆ เพื่อหาโรงแรม ครั้นแล้วก็พบว่ามันตั้งอยู่ด้านซ้ายมือเยื้องกับโรงภาพยนตร์อำมฤตรามา ทั้งสองจอดรถที่หน้าโรงแรมแล้วเดินลงไปถามที่เคาเตอร์ ซึ่งขณะนั้นอาแป๊ะนั่งซดน้ำชาและดีดลูกคิดก็อกแก็ก พลางจดอะไรขยุกขยิกอยู่ในสมุดเล่มยาวๆ


ชายคนนั่งข้างลงไปถามไถ่ตาแป๊ะผู้จัดการโรงแรมอยู่สักครู่ ตาแป๊ะพยักหน้าหงึกหงัก ชายคนนั้นจึงเดินกลับมาบอกคนขับให้จอดรถให้เรียบร้อย ก่อนทั้งสองจะคว้ากระเป๋าคนละใบแล้วเดินหายขึ้นไปบนโรงแรม

ถ้อยคำที่ชายคนแรกกล่าวกับอาแป๊ะ ทำให้ชายฉกรรจ์ ๔ - ๕ คนที่นั่งกินเหล้าอยู่ที่โต๊ะใต้ถุนโรงแรมโต๊ะหนึ่งหูผึ่งทันที

“เฮ้ย มาอีกสองแล้วเว้ย พวกนายธนา” จ้งร้องขึ้นตาจ้องเขม็งไปที่ชายสองคน ที่เดินตามหลังบ๋อยโรงแรมหิ้วกระเป๋าขึ้นไปยังชั้นบน

“หาเรื่องมันเสียเลยตอนนี้ดีไหม?”
จ้งชายขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง ทำเก่งเพื่อจะเอาความดีความชอบเสนอลูกพี่

“อย่าเพิ่ง ดูมันไปก่อน ขืนบุ่มบ่ามจะฉิบหายวายป่วงกันอีก ตอนนี้จ่าช้อยแกมาเตือนๆ อยู่ แล้วก็สารวัตรคนใหม่ที่ย้ายมาปะทิวคนนี้ก็เอาเรื่องไม่เบา” ยอด ดอนไผ่ ปรามบริวารพลางนั่งใจเย็นซดเบียร์ต่อไป

“มันบรรทุกอะไรมาในรถวะ” สง สินลา พูดขึ้น

“จะยากอะไร อยากรู้ก็ไปกรีดกระสอบดู ปะเหมาะมีของดีๆ ก็ปล้นมันเสียเลย” จ้งชายคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้างแสดงสัญชาติโจร

“อย่าไปแตะต้องอะไรของพวกมันโดยที่ข้ายังไม่ได้สั่ง ไอ้จ้งมึงพูดคำไหนไม่เคยห่างประตูคุก คราวที่ให้เอ็งไปดักฉุดนังยานีเอ็งก็พลาดมาทีหนึ่งแล้ว ดีแต่ว่าเจ้าทุกข์เขาไม่เอาเรื่อง มึงอยู่เฉยๆ ก่อนดีกว่าอย่าซ่า กูขี้เกียจให้พี่เทินด่าอีก” ยอด ดอนไผ่ ปราม

“ผมว่าเราเพียงแต่ไปเวียนเดินดูๆ ใกล้ๆ เผื่อมียาบ้าจะได้แจ้งตำรวจจับ ได้ความดีความชอบอีก รถจอดอยู่ใครๆ ก็ไปเดินดูได้ ข้อสำคัญเราไม่ได้ไปแตะต้องของเขา” จ้งแย้ง และเมื่อเห็นว่ายอดไม่ว่ากะไรอีก พวกมันสามคนก็ลุกเดินไปวนเวียนอยู่ ที่ข้างๆ รถ
พวกมันทุกคนทำจมูกฟุตฟิต เมื่อได้กลิ่นสิ่งที่อยู่ในรถ

“กลิ่นเค็มๆ สงสัยจะเป็นปลาหมึกแห้ง” จ้งว่า “พวกมันเป็นพ่อค้าปลาหมึกแห้ง แอบล้วงไปสักครึ่งกระสอบ เอาไปให้คนครัวที่โรงแรมทอดแกล้มเบียร์ดีไหมวะ”

“ไอ้บ้า ปลาหมึกแห้งที่ไหนกัน กูว่าขี้หมูแหงเลย” ไอ้เวียงซึ่งคิดว่าจมูกดีกว่าพูด

“ใช่ขี้- ขี้หมู ขี้หมูจริงๆ ฮะๆ ฮ่าๆ ไอ้จ้งจะกินขี้หมูทอดแกล้มเบียร์ ฮะ ๆ ๆ ฮ่าๆ ๆ” พวกสมุนของยอดเลยได้หัวเราะกันครื้นเครง ในความเซ่อของไอ้จ้ง

“แต่ตะกี๊ดูเหมือน กูได้ยินมันพูดกับแป๊ะเฮ้ง ว่านายหัวมันชื่อธนา เพิ่งมาซื้อสวนอยู่ที่นี่ งั้นได้การแล้ว ไปดอดเล่นงานมันกลางทางเลยดีกว่า”





สง สินลา เข้ามาสะกิด ยอด ดอนไผ่ และซุบซิบอะไรกันอยู่ครู่หนึ่งทั้งคู่จึงพากันเดินออกไป

เมื่อออกมาพ้นชั้นล่างของโรงแรม สง สินลา เอ่ยว่า
“ไอ้สองคนนั่นบรรทุกขี้หมูมาเต็มคันรถ จะเอาไปให้ไอ้ธนา ผมว่าให้พวกไอ้จ้งจัดการเสียก่อน อย่าให้ทันไปถึงไอ้ธนาดีไหมพี่”

“ดีเหมือนกัน เป็นทีของเราที่จะได้แก้แค้นพวกมันบ้าง แม่ง...จัดการเผาเสียทั้งคนทั้งรถ แล้วเอาไปหมกอย่าให้เห็นซาก… เอาเลยข้ารับผิดชอบเอง แล้วจะบอกพี่เทินทีหลัง” ยอด ดอนไผ่ พยักหน้า


เวลา ๔ โมงเย็น คนของธนา คือ ชิดกับมาด จึงได้เดินลงมาจากชั้นบนของโรงแรม ทั้งสองอยู่ในชุดเสื้อผ้าใหม่ ผมเผ้าหวีเรียบร้อย หน้าตาสดชื่นดูดีกว่าตอนแรกมาถึง

มาด ตัดผมสั้นทรงอเมริกัน สวมเสื้อยืดสีน้ำตาลแดงยี่ห้อดังราคาแพง ทำให้เห็นกล้ามแขนเป็นมัดๆ กางเกงยีนส์สีเทาที่สวมใส่ดูคับ ท่าทางทะมัดทะแมง

ชิด หุ่นสำอาง ท่วงท่าดูกล้องแกล้งและบางกว่ามาด แต่ทว่าทุกท่วงท่าดูคล่องแคล่ว ปราดเปรียว เขาใส่เสื้อเชิ้ร์ตแขนยาวสีครีมมีลายขวาง ยัดชายเสื้อไว้ในขอบกางเกงสีน้ำตาลแกมดำ

ชิด เดินไปฝากกุญแจห้องไว้กับแป๊ะเฮ้งที่เคาเตอร์ แล้วเดินตาม มาดออกไปที่ถนนหน้าโรงแรม ขณะที่เดินเขากวาดสายตาไปยังสมุนบริวารของยอด ดอนไผ่ พลางเก็บภาพใบหน้าของคนเหล่านั้นไว้ในความจำ ทั้งสองพากันเดินไปที่บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ เพราะมีอาหารหลายเจ้ามาตั้งแผงวางขาย


“พี่ยอด พี่สง สั่งให้เราตามไปดูแล้วหาเรื่องมัน” จ้งชวนเพื่อน

“ดี ได้หาเรื่องอัดคนฉันชอบ ท่าทางมันทั้งสองคนก็น่าหมั่นไส้ดีนัก” เพื่อนๆ ของจ้งว่า

การปรึกษากันและลุกออกไปของสมุนบริวารของเทิน ท่าลาด หรือ ยอด ดอนไผ่ และสง สินลา อาแป๊ะหรือโกเฮ้งมองเห็นอยู่โดยตลอด แกส่ายหน้าพลางรำพึงอยู่ในใจ

“ม่ายหวาย ไอ้นักเลงพวกนี้ มากิงแล้วก็ม่ายจ่าย กิงแล้วก็ลู้กไป พอทวงก็โกก... เมื่อหล่ายหนอตำหลวกจะมาจับ ไอ้พวกเปกนี่ปายขังคู้กเสียให้หมก มีไอ้พวกเหี้ยนี่จืงทามให้ธูละกิกการท่องเที่ยวเสียหมก”
ชิดกับมาดเดินมาถึงลานบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ ทั้งสองมองๆ ว่าจะกินอะไรดี แต่สายตาก็ยังเห็นสมุนบริวารของยอด ดอนไผ่ ที่ตามมา ชิดจึงกระซิบกระซาบกับมาด

“มาด ไอ้พวกนั้นตามเรามา ดูท่าไม่ค่อยดี”
“เห็นแล้ว” มาดตอบ “ว่าแต่พวกมันตามเรามาทำไม?”

“ช่างเถอะ เราทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ลองดูซิว่าพวกมันจะเอาอย่างไรกับเรา” ชิดให้ความเห็น

ทั้งสองจึงทำทีเป็นว่าไม่รู้ไม่สนใจ กับการตามมาของนักเลงเจ้าถิ่น ซึ่งมีจ้งเป็นหัวหน้าทีม

“ขนมจีนปักษ์ใต้ ลองดูหน่อยไหม?” ชิดเอ่ยกับมาด พลางหยุดยืนที่แม่ค้าสาวเจ้าหนึ่ง

“น่าลองเหมือนกัน อยากรู้ว่ารสชาติจะเหมือนกับขนมจีนที่บ้านข้าไหม?” มาดตอบ

ทั้งสองจึงนั่งลงบนเก้าอี้หัวโล้น หน้าแผงขายขนมจีน ซึ่งเป็นแคร่ใหญ่วางกระจาดผัก กระจาดใส่เส้นขนมจีน ถ้วยชาม น้ำดื่มและหม้อน้ำยา

“กินขนมจีนต้องกินผักเยอะๆ จึงจะอร่อย นี่ลูกเนียง นี่สะตอนายกินเป็นหรือเปล่า?” ชิดถามมาด

“สะตอพอได้ แต่ลูกเนียงไม่ไหว” มาดตอบ พลางชี้ไปที่ยอดผักต่างๆ ที่เขาไม่รู้จัก แล้วถามว่า “นี่ยอดอะไรต่ออะไรเยอะจัง?”

“นั่นชะอม นั่นกระถิน นี่ผักแว่นหรือบัวบก นั่นยอดมะกอก ที่สีออกเนื้อๆ อมชมพูนั่นยอดเสม็ดชุน ที่แดงๆ นี่ยอดมะม่วงเล็ดล่อ...” ชิดชี้ไปที่ยอดผักต่าง ๆ

“มะม่วง อะไรวะที่เล็ดล่อ” มาดถามขัน ๆ
ชิดเป็นคนใต้จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่วนมาดเป็นคนแถวๆ ชานกรุงเทพฯ ชิดจึงรู้จักและเคยกินยอดผักต่างๆ ทางภาคใต้ดี จึงอธิบายให้เพื่อนฟัง

“มะม่วงเล็ดล่อก็คือมะม่วงหิมพานต์ ผลสุกสีเหลืองๆ บางพันธุ์เหลืองอมแดง เมล็ดมันออกมาโผล่ห้อยอยู่นอกผล เขาจึงเรียกมะม่วงเล็ดล่อหรือเมล็ดล่อ เมล็ดแห้งอบกรอบราคาแพง กินแกล้มเบียร์เหล้าอร่อย ยอดอ่อนของมันเขาเอามากินเป็นผักมีรสฝาดนิดๆ แต่กินกับน้ำแกงพวกแกงกะทิเผ็ดๆ จะอร่อย”

“แล้วนี่ล่ะยอดอะไร?”
มาด หยิบยอดไม้ที่ยอดอ่อนมีสีแดง และยอดเพสลาดสีเขียวอ่อนก้านใบสีแดง ส่วนใบแก่มีสีเขียวเข้มขึ้นมาดูกิ่งหนึ่ง คราวนี้ชิดเคยกินแต่จำชื่อไม่ได้จึงตอบไม่ถูกและหันไปถามแม่ค้า

“นี่ยอดอะไรจ๊ะแม่ค้า”

“ยอดพุงหมูจ้ะ” แม่ค้าสาวตอบพลางยิ้มเขินๆ วางจานขนมจีนสองจานลงตรงหน้าคนทั้งสอง ทำให้ชิดและมาดรวมทั้งแม่ค้าสาวหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน และขณะนั้นสมุนบริวารสี่ห้าคนของยอด ดอนไผ่ ก็มายืนจับกลุ่มมองสองหนุ่มแปลกหน้าอยู่ไม่ห่างนัก

“เขาหัวเราะขำขันอะไรกันหรือจ๊ะ น้องอ้อม สุนิสา” จ้งถามมาจากกลุ่มพวกพ้อง แม่ค้าสาวไม่ได้ชื่ออ้อม หรือ สุนิสา แต่เธอรู้ว่าจ้งหมายถึงเธอจึงตอบไปโดยซื่อว่า

“เขาขำคำว่ายอดพุงหมูกันจ้ะ”

“นั่นแค่ยอดพุงหมู ถ้าได้กินยอดตีนหมาจะอร่อยกว่านี้” อ๊อดหนึ่งในพวกพ้องของจ้งสิงห์มอเตอร์ไซค์หาเรื่องรวนทันที เพราะรู้สึกไม่ชอบใจที่มีหนุ่มต่างถิ่น มาทำท่าจีบแม่ค้าสาวที่มันอุปโลกน์ให้เป็นอ้อม สุนิสา ดารานักแสดงและนักร้องในจอโทรทัศน์ ที่มันสนใจและทำคะแนนแข่งกันอยู่ แบบใครดีใครได้

“ที่บ้านพี่ชายมีหรือ ยอดผักอะไรที่ว่านั่น”

ชิดหันไปถามเสียงราบเรียบ ส่วนปากเคี้ยวกินขนมจีนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“มี มีมาก ข้าจะเด็ดมาให้กินถ้าเอ็งทั้งสองอยากจะกิน” จ้งพูดจายียวน อีกสี่คนที่เหลือจึงพลอยรู้สึกสนุกไปด้วย เพราะมันคิดว่า ชิดกับมาดดูเด๋อด๋าเหมือนคนอีสานพลัดถิ่น และคิดว่าไร้พิษสง

“งั้น พี่คงจะเด็ดมากินเป็นประจำนะซีครับ” มาดว่าไปแบบเรื่อยๆ แต่ปากยังคงเคี้ยวขนมจีน อย่างเอร็ดอร่อย





Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2555 10:54:25 น. 4 comments
Counter : 2147 Pageviews.

 
สวัสดีครับลุงบูลย์

มิน่าว่าทำไมลุงหายไปไหน ผมก็มีครับเฟซบุ๊ค เขาบอกหนุกหนานมาก ผมไปเล่นอยู่ไม่กี่วัน ก็หันมาเล่นบล็อกอีก เพราะไม่ถนัดทางนั้น อีกอย่างถ้าเล่นสองอย่าง พอดีเลย ไม่ต้องทำมาหากินหรือพักผ่อนกัน เพราะส่วนใหญ่เวลาเล่นบล็อกก็ตอนกลางวันที่แอบว่าง กลางคืนดูข่าว สารคดี พักผ่อน หมดเวลาพอดีเลยลุง วันๆมันผ่านไปรวดเร็วจริงนะ


โดย: ปลายแป้นพิมพ์ วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:11:51:02 น.  

 
สายัณห์สวัสดีค่ะลุงบูลย์ ที่เคารพรัก
+=================================+

ว้าว! นวนิยายมาแล้ว
คราวนี้เต็มอิ่มกับนวนิยายลึกลับ.. ระทึกใจ(ในฉากรักนิส์สนึ่ง!) หุ หุ
คืนนี้จะนอนหลับอะป่าวเนี่ย! อะคึ่ ๆ

ขอบคุณลุงบูลย์ที่แวะไปทักทายค่ะ


โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:20:56:25 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณลุง มีตัวละครฝ่ายพระเอกเพิ่มมาอีก 2 คน อยากรู้จังว่าจะมีทีเด็ดแบบไหน ต้องรออีกกี่วันน้า...
คุณลุงประโยคนี้"ทว่าธนากลับเห็นเธอนั่งเขี่ยทรายเล่นอยู่ ในระห่างจากที่เขายืนประมาณ ๑๕ เมตรเท่านั้น" ตกคำว่าในระยะห่างค่ะ อัพเร็วฝากแจ้งเตือนด้วยนะค่ะ555รออ่านค่ะ


โดย: หญิงแก่น วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:21:38:37 น.  

 
สวัสดีครับคุณลุงบูลย์

มาตามอ่านต่อครับ ชอบประโยค "ขณะนั้นจันทร์เสี้ยวกำลังจะลับขอบฟ้าด้านตะวันตก" ให้ความรู้สึกถึงช่วงเวลาของคืนนั้นที่วังเวงและน่ากลัวโดยไม่ต้องบอก

ภาพของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ชายหาด เหมือนกับผู้อ่านไปเดินอยู่แถวนั้นด้วยครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:22:53:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pantamuang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




ไม่อยู่อย่างอยาก แต่ยังอยากจะอยู่
อยู่อย่างไม่ลำบาก เวลาที่เหลือน้อยรีบสอยรีบคว้า
ก่อนจะหมดเวลาให้สอย

ดวงดาวบนฟ้าก็สอยได้ ถ้ารู้จักต่อด้ามฝันให้ยาวพอ

ฝันถึงไหนก็ได้ มีสิทธิ์ฝัน แต่จะเป็นจริงหรือไม่ช่างฝัน
เพราะสิ่งที่ฝันคือนวนิยาย..

ชีวิตก็คือนวนิยายเรื่องหนึ่ง ที่เราเป็นผู้เขียนและกำกับ.

เริ่ม 9 กันยายน 2550

Friends' blogs
[Add pantamuang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.