...คิดว่ายังมีความหวัง ตราบที่ยังมีลมหายใจ...
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
31 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
พบเธอที่บ้านถ้ำธง ๒



ฝนซาลงเหลืออยู่เพียงเม็ดเล็กๆ ปรอยๆ ขณะที่ยอด ดอนไผ่ และ สง สินลา เลี้ยวรถตรงทางแยก ก่อนจะขึ้นเขาไปบ้านถ้ำธง

บ้านไม้หลังใหญ่ของเทิน ท่าลาด ยังมีแสงไฟ แสดงว่าเจ้าของบ้านยังไม่นอน สุนัข ๗-๘ ตัวออกมาทักทายเห่าขรม ขณะที่ยอดและสงขับรถเข้ามาจอดหน้าประตูรั้ว ยอดและสงดับเครื่องรถจอดไว้นอกรั้ว เสียงคนบนบ้านเคลื่อนไหว แต่ไฟดับพรึบแล้วมีเสียงตะโกนถาม

“นั่นใคร”
“ผมเองครับพี่เทิน ยอดกับสง”

ช่องเล็ก ๆ ที่ประตูรั้วสังกะสีเปิดออก พร้อมกับแสงไฟฉายส่องมาที่คนทั้งสอง บ้านของเทิน ท่าลาด กั้นรั้วลวดหนามแซมไม้ไว้หนาแน่น เป็นรั้วที่เพิ่งทำขึ้นใหม่แทนรั้วไม้เดิม หลังเกิดพายุ รอบบ้านเคยรกครึ้มด้วยต้นมะพร้าว แต่บัดนี้ดูโล่งอยู่ในความสลัวของบรรยากาศมัวฝน

“คุณยอดกับคุณสงครับเจ้านาย” เสียงเด็กรับใช้ที่มาเปิดช่องมองที่ประตูรั้วและส่องไฟฉาย ตะโกนบอกขึ้นไปบนบ้าน นั่นแหละในบ้านจึงได้มีแสงไฟ และประตูรั้วเปิดออก

ยอดกับสงจึงได้เดินเข้าไป ขณะที่ประตูรั้วปิดตามหลัง เทิน ท่าลาด ถือไฟฉาย มือซ้ายกำคอปืนลูกซองห้านัด หันปากกระบอกลงพื้น เดินนำยอด ดอนไผ่ และสง สินลา ไปนั่งบนยกพื้นที่นอกชาน

บ้านและสวนของเทิน ท่าลาด ถูกพายุไต้ฝุ่นเกย์ ถล่มเสียราบเรียบเหมือนของชาวบ้านอื่น ๆ แต่อาศัยที่มีพวกพ้อง มีบริวาร วัสดุก่อสร้างต่าง ๆ เช่นสังกะสี และไม้ ที่ทางราชการแจกและขายให้ในราคาถูก เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเกย์ เทิน ท่าลาด สามารถใช้บารมีเอามาเป็นของตนได้มากมาย บ้านหลังใหญ่ที่พังไปเกือบหมดจึงถูกซ่อมแซม ให้อยู่ในสภาพที่ใหญ่กว้างและแข็งแรงเหมือนเดิมได้รวดเร็ว แต่รั้วเมื่อก่อนที่กั้นไว้หลวมๆ มาบัดนี้ต้องกั้นใหม่อย่างหนาแน่น

“แม่ง…ไฟฟ้าดับตั้งแต่บ่ายสามโมง ป่านนี้ยังไม่ยอมติด” เทิน ท่าลาด ด่าการไฟฟ้า

“แต่ในตลาดมาบอำมฤตมันติดนะพี่” สง สินลา พูด

“ในตลาดมันติดเพราะพวกการไฟฟ้ามันอยู่ในตลาด ทำยังไงๆ มันก็ต้องทำให้ที่บ้านมันติดจนได้ แต่แถวบ้านนอกเรากว่าจะติด แม่ง…สามวันสามคืนเป็นอย่างน้อย…” เทิน ท่าลาดด่าการไฟฟ้าเสียอีกหนก่อนจะถามลูกน้องทั้งสองว่า “เอ็งสองคนมาหาข้าทำไมป่านนี้”

“คนกรุงเทพที่พี่นัดไว้มาหาพี่หรือยัง” ยอด ดอนไผ่ ถาม

“ยัง ก็ข้าไปรอตั้งแต่สี่โมงถึงทุ่มยังไม่มา ข้าเลยสั่งแป๊ะเฮ้งไว้ว่า ถ้ามันมาให้มันไปหาเอ็งแล้วให้เอ็งช่วยพามันมาที่นี่ นี่แสดงว่ามันไม่มาตามนัด” เทิน ท่าลาดพูด

“แต่ผมรู้ว่าเขามาแล้ว” ยอด ดอนไผ่ พูด

“มาแล้ว ! ” เทิน ท่าลาด ทวนคำ “มาแล้วอยู่ที่ไหนล่ะ ทำไมพวกเอ็งไม่พามาหาข้า”

“ผมรู้แต่ว่ามันมา แต่ผมยังไม่ได้พบมันเลย ที่ผมรีบมาหาพี่ก็เพราะ… คือเขาไปหาผมที่บ้านแล้วไม่พบ พอดี เอ่อ… ไอ้สงมันไปตามผมให้ช่วยไปดูเครื่องรถให้มัน…” แล้วยอดก็แจงรายละเอียดที่ทำให้ต้องออกจากบ้าน เลยไม่ได้พบกับคนกรุงเทพฯ ที่ไปหาตน

“แล้วพวกเอ็งรู้ไหมว่า ตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหน”

“เราไปหาที่โรงแรมแล้วไม่มี จึงได้พากันมาหาพี่” ยอด ดอนไผ่ ตอบ

“ตายละซี แล้วตอนนี้มันไปไหนอยู่ที่ไหนวะ หรือว่า...” เทิน ท่าลาดพูดค้างไว้

“อะไรพี่...” สง สินลา ถามขึ้นอย่างปอด ๆ พลางเหลียวหน้าเหลียวหลัง

“ช่างเถอะ...” เทิน ท่าลาด ถอนใจแล้วพูดว่า “มันไม่พบเอ็งแล้วมันอาจจะขับรถเลยเข้าไปนอนที่ชุมพรแล้วก็ได้ พรุ่งนี้มันคงมาข้าจะไปรอพบมันที่โรงแรม”

เทิน ท่าลาด พูดกับสมุนบริวารไปอย่างนั้น แต่ลึกๆ ในใจกำลังกังวล อย่างที่สมุนบริวารกำลังกังวล


ฝนเกือบจะขาดเม็ดแล้ว ตอนที่ธนา อารีรักษ์ ขับรถเรื่อยเปื่อยจนมาออกที่บ้านถ้ำธง ถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อหลังจากเลยทางแยกมาได้ประมาณ 1 กิโลฯ ทำให้เขารู้ว่าผิดทาง แต่เมื่อเห็นมีป้ายบอกว่า “ทางไปบ้านถ้ำธง” ทำให้ธนา อารีรักษ์ ตัดสินใจเพราะที่ๆ เขาจะมาซื้ออยู่ที่บ้านถ้ำธง

ในเมื่อเขาได้เข้ามาถึงที่ๆ ต้องการจะมาแล้วจะกลับไปอีกทำไม บางทีคืนนี้เขาอาจจะจอดรถแล้วนอนในรถฟังคลื่นที่ชายหาดเสียก็ได้ เพราะเทิน ท่าลาด เคยพูดว่าที่บ้านถ้ำธงมีวิวสวย ที่ดินและบ้านที่เทิน ท่าลาด จะขายให้กับเขาอยู่บนเนินสูง มองลงไปเห็นอ่าวและแก่งเกาะ สวยจนหาดูที่ไหนไม่ได้อีก ถ้าอย่างนั้นเขามาจอดรถนอนชายหาดสักคืนมันจะเป็นอะไรไป

ธนา อารีรักษ์ ขับรถมาบนถนนลูกรังหลายเลี้ยวหลายโค้ง พอขึ้นเขาถนนก็ราดยาง พอมาถึงป้ายที่เขียนว่าบ้านถ้ำธงถนนก็ราดยางตลอด จนมาสุดที่ชายหาดอันมืดสลัว เสียงคลื่นซัดหาดซาดซ่า มีกระท่อมอยู่ที่ชายหาดหลายหลัง แต่ดูสภาพคล้ายๆ กับบ้านร้าง

ผู้คนไปไหนกันหมด หรือว่าทุกคนกำลังหลับ
มองไปที่หาดทางด้านซ้าย เห็นแต่ทิวสนเรียงรายตะคุ่มๆ ถัดไปมีภูเขาลูกหนึ่งตั้งยื่นออกไปในทะเล มองเห็นสะพานไม้ที่ทอดยาวออกไปคงเป็นสะพานปลา หรือสะพานเทียบเรือประมงเป็นเงาตะคุ่มๆ ทว่า… บนหาดหรือริมหาดไม่มีเรือเลยสักลำ



คลื่นซัดหาดดังครืนโครม ทิวสนที่อยู่ริมหาดโดนลมดังหวูๆ กระแสลมพัดมาค่อนข้างแรง ริมหาดและในทะเลไม่มืดเพราะความขาวของหาด และแสงสะท้อนจากฟองคลื่น ประกอบกับฝนหยุดตกไปตั้งแต่เมื่อใดตอนไหนเขาลืมสังเกต

ยืนชมอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจว่าจะเข้าไปนอนในรถ รถแวนของเขาปรับเบาะให้ราบลงแล้วก็สามารถใช้เป็นที่นอนได้สบาย ทว่าไม่ทันจะเข้าไปนอนเสียงพลิ้วหวานก็ทักขึ้นข้างหลัง

“นอนที่นี่คนเดียวไม่กลัวหรือคะ”

ธนาสะดุ้งโหยง ที่อยู่ ๆ ก็มีหญิงสาวมาปรากฏกายขึ้น ถ้าเป็นคนกลัวผีคงต้องเผ่นแน่บหรือไม่ก็สั่นเป็นเจ้าเข้า แต่พอดีเขาไม่ใช่คนกลัวผีและยอมรับว่ากลัวคนมากกว่า

ทว่าคนๆ นี้เธอเป็นหญิงสาว ผมยาวคลุมไหล่ แต่งกายคล้ายสวมชุดนอนยาวกรอมเท้า แขนเสื้อพองยาวถึงข้อมือ ใบหน้าดูไม่ออกว่าสวยหรือขี้เหร่ แต่จากเรือนร่างโดยรวมน่าจะเป็นคนสวย ธนาจึงคิดว่าเธอคงจะไม่ได้มาร้ายกับเขา แต่เธอมายืนอยู่ข้างหลังเขาตอนไหนเขาไม่ทันรู้ทันเห็น…

“อุ๊ย ! มายืนอยู่ตอนไหน ทำเอาตกใจแน่ะ แหมน่าจะกระแอมให้ซุ่มให้เสียงกันบ้าง มาเงียบ ๆ แบบนี้ไม่ค่อยดีเลย” ธนาพูดและยิ้มเก้อๆ

“คงนึกว่าดิฉันเป็นผีใช่ไหมล่ะ” คนพูดราวกับเดาใจเขาออก
“เอ่อ… คงไม่อย่างนั้นหรอกครับ เพราะผมเป็นคนไม่กลัวผี ว่าแต่ เอ้อ…บ้านคุณคงจะอยู่แถวๆ นี้ละซีครับ” ธนารู้สึกครึ้มใจเพราะฟังเสียงรู้สึกว่าไพเราะ เธอคงสาวและสวย

“ใช่ค่ะ บ้านดิฉันอยู่บนเนินใกล้ๆ นี่เอง ดิฉันนอนไม่หลับเลยลงมาเดินเล่น"

“เอ่อ… ทำไมกระท่อมพวกนี้จึงดูร้างๆ เหมือนไม่มีคนอยู่เลยละครับ”

“คนแถบนี้จะมาอยู่เฉพาะตอนกลางวัน พอค่ำเขาไปนอนที่ตลาดทุ่งมหา”

“อ้าว! ทำไมเป็นอย่างนั้นละครับ มีเสือร้ายหรือโจรปล้นเกิดขึ้นกระมัง” ธนา อารีรักษ์ นึกถึงท่าทางของอาแป๊ะที่โรงแรมกับชายในร้านขายของที่ตลาดทุ่งมหา

“ถ้าบอกคุณคงไม่เชื่อ ผู้คนที่นี่พากันไม่อยู่ที่นี่ตอนกลางคืนเพราะเขากลัวผี”

“กลัวผี… กลัวทำไมครับ ผีมาทำอะไรให้คนแถวนี้กลัวอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มถามอย่างรู้สึกขัน

“ตอนเกิดพายุเกย์คนตายกันยุ่บยั่บ บ้างตายในทะเลศพลอยมาขึ้นตรงนี้ ทั้งหาดเหม็นหึ่งเชียวละ นอกนั้นยังพวกที่ถูกบ้านพังทับ ถูกต้นไม้ล้มใส่ ถูกฆ่าข่มขืนก็มี…” สาวยามวิกาลพูดแล้วหัวเราะ

“อ้าว แล้วคุณล่ะ...คุณไม่กลัวผีหรือ แถมยังออกมาเดินค่ำๆ มืด ๆ” ธนา อารีรักษ์ ถามพร้อมกับพยายามจ้องมองคนพูด เท่าที่พอจะมองเห็นได้ในความสลัวมัวมน

“บางที... ดิฉันอาจจะเป็นผีเสียเองกระมังจึงไม่กลัวผี” หญิงสาวหัวเราะอีก “ว่าแต่คุณเถอะไม่กลัวผีแน่นะ”

“ผมไม่กลัว เพราะผมกับผีไม่เคยมีเรื่องผิดใจกัน ผมไม่เคยทำอะไรให้ผีโกรธหรือเกลียด และผมอยากจะรักผีเสียด้วยซ้ำ เพราะผีน่าสงสารออกยิ่งเป็นผีสาวๆ สวยๆ ด้วยแล้วผมยิ่งอยากให้หลอก… แบบว่า ถึงเขาหลอกก็เต็มใจให้หลอก” ธนาพูดแล้วหัวเราะ

“คุณไม่กลัวผี…” หญิงสาวลึกลับทวนคำขึ้นอีก

“ครับ” ธนารับคำ

“งั้น คุณกล้าไปนอนบ้านดิฉันไหมล่ะ” สาวขี้เล่นถามพลางหัวเราะน้อย ๆ

“บ้านคุณอยู่กันกี่คนล่ะ” ธนาถามนึกสนุก

“คนเดียว” หญิงสาวตอบทว่าคราวนี้น้ำเสียงฟังดูเศร้า ๆ

“ไม่มีพ่อ แม่ พี่ชาย น้องชายในบ้านเลยหรือ?”

“มี แต่เขาไม่ได้มาอยู่ด้วย ดิฉันถูกทิ้งให้อยู่ในบ้านคนเดียวมานานแล้ว ตั้งแต่หลังเกิดพายุเกย์”

ธนารู้สึกสนใจชีวิตของผู้หญิงตรงหน้าทันที เธอมาแปลกดี เธอเป็นใครกันแน่ ทำไมกล้าชวนผู้ชายไปนอนบ้าน ตัดสินใจทันทีว่าจะลองดู เกิดเป็นชายร่างกายก็แข็งแกร่ง ความรู้ก็ไม่น้อย การสู้รบตบต่อยก็เคยผจญ เรื่องปืนผาหน้าไม้ก็พอมีฝีมือ จะมาตายเพราะผีผู้หญิงก็ให้มันรู้ไป

“งั้นคุณมาขึ้นรถไปกับผม แล้วบอกทางว่าบ้านคุณไปทางไหน”

ธนา อารีรักษ์ ขับรถพลางนึกดีใจ อยู่ ๆ มีหญิงสาวมาชวนไปนอนด้วย ใครไม่รับก็โง่เต็มที เสียงก็เพราะ เขาเห็นเธอตอนเปิดประตูรถ ไฟในรถส่องให้เห็นใบหน้าของเธอชั่วขณะหนึ่ง ว่าเธอสวยไม่เบา ผีมีแต่ในนิทานหรือนิยายที่แต่งหลอกกันเล่นสนุก ๆ ผีจริง ๆ ไม่มี

นั่งรถกันมาไม่ถึงอึดใจ หญิงสาวบอกให้เขาเลี้ยวซ้ายลงจากถนนราดยาง เข้าไปตามถนนแคบๆ ห่างจากถนนราดยางเข้าไปประมาณ 300 เมตร เธอบอกให้เขาจอดรถที่หน้าประตูรั้ว ของบ้านตึกครึ่งไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง หญิงสาวลงไปเปิดประตูรั้วเหล็ก ประตูฝืดๆ ถูกแรงผลักดึงเลื่อนออกเกิดเสียงดัง บาดลึกเข้าไปในความรู้สึก

เขาขับรถเข้าไปจอดภายในรั้วจึงเห็นเป็นว่า เป็นบ้านตึกครึ่งไม้หลังใหญ่พอประมาณ รั้วครึ่งล่างเป็นคอนกรีตครึ่งบนเป็นเหล็กโปร่ง บริเวณภายในรั้วน่าจะสักประมาณ ๑ ไร่ ภายในเขตรั้วไม่มีต้นไม้ใหญ่ แต่พืชพรรณขนาดเล็กจำพวกไม้ประดับเห็นตะคุ่มๆ อยู่หลายต้น

หญิงสาวเดินนำขึ้นบ้าน หน้าบ้านต่อจากตัวบ้านมีพื้นคอนกรีต และดาดฟ้ายื่นออกมา ตัวบ้านยกระดับสูงจากพื้นดินประมาณ ๗๐ ซม. มีบันได ๕ ขั้น ประตูบ้านเป็นบานไม้สักหนา แกะสลักลายสองบานปิดเข้าหากัน บันไดขึ้นทำไว้ด้านซ้ายของบ้าน มีลานคอนกรีตเชื่อมต่อกับโรงรถ ซึ่งสร้างเป็นปีกยาวยื่นออกไปจากตัวบ้านด้านซ้าย โรงรถกว้างพอจะจอดรถยนต์ได้สัก ๒-๓ คัน แต่ไม่มีรถจอด

พื้นบ้านเป็นหินขัดเพราะเมื่อถอดรองเท้าออกวาง รู้สึกว่าพื้นเรียบและเย็น ด้านขวามือของพื้นบ้านที่ยื่นออกมา มีที่นั่งยาวก่อด้วยคอนกรีตเป็นรูปตัวแอล เมื่อลูบคลำดูจึงรู้ว่าเป็นหินขัดเช่นกัน

ใกล้บันไดมีไม้ประดับปลูกในกระบะปูน แต่มีหญ้าและเถาวัลย์ขึ้นแทรกเลื้อยพันเสา และไต่ขึ้นเกาะขอบหน้าต่าง ธนาชักไม่สบายใจ ลักษณะแบบนี้มันน่าจะเป็นตึกร้าง มากกว่าบ้านมีคนอยู่

‘อยู่ยังไงวะ ปล่อยให้หญ้ารกราวกับบ้านผีสิง’ ธนานึกตำหนิ แต่พอนึกตำหนิไปหญิงสาวก็พูดขึ้นทันทีว่า

“ดิฉันไม่ค่อยได้อยู่บ้านในตอนกลางวัน จะมาอาศัยบ้านก็แต่เฉพาะตอนกลางคืน จึงไม่มีเวลาที่จะมาทำความสะอาดและตกแต่งบ้าน”

“ปล่อยรกอย่างนี้น่ากลัว งู ตะขาบ แมลงป่องจะมาอาศัยอยู่ร่วมด้วยนะครับ” คราวนี้ชายหนุ่มติออกไปตรงๆ

“พวกสัตว์ทุกชนิดยกเว้นคน ดิฉันถือว่าเป็นเพื่อนร่วมโลก ร่วมเกิดแก่ เจ็บตาย เราต่างฝ่ายต่างอยู่โดยไม่เบียดเบียนกัน ดิฉันไม่เคยแบ่งแยกว่าข้าเป็นมนุษย์ เอ็งเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดิฉันไม่เอาฐานะความเป็นคนไปกดขี่ข่มเหงสัตว์”

“เอ๊ะ! ทำไมคุณพูดแปลกจัง ราวกับว่าคุณเกลียดคนแต่ไม่รังเกียจสัตว์” ธนาเริ่มผิดสังเกตและกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ พลางคิด ‘นี่ข้ามาถูกที่หรือเปล่า เธอเป็นใครกันแน่’

พอดีประตูไม้บานหนาเปิดออกเธอเดินหายเข้าไป ข้างในมืดยิ่งกว่าถ้ำ เขายังไม่ตามเข้าไปแต่ยืนรอให้เจ้าของบ้านเปิดไฟ

“บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้มาสองสามปีแล้ว สายไฟมันขาดหมดตั้งแต่ที่เกิดพายุ ดิฉันยังไม่ได้ต่อมันขึ้นมาใหม่” เสียงหญิงสาวเจ้าของบ้านพูดออกมาราวกับจะรู้ใจเขาอีก

“อ้าว! แล้วคุณเข้าไปอยู่ได้อย่างไรมืด ๆ จะมองอะไรเห็นหรือ แล้วจะให้ผมเข้าไปทั้งมืดๆ อย่างนี้หรือ ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวผมกลับไปนอนในรถ” ธนาพูด พลางทำท่าจะเดินกลับไปที่รถ

“เดี๋ยวซีคะ แหมทำใจร้อนไปได้ดิฉันจะจุดตะเกียงให้”
แล้วแสงตะเกียงดวงหนึ่งก็สว่างขึ้น หญิงสาวเจ้าของบ้านกล่าวต่อไป

“อันที่จริงความมืดเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับดิฉัน ความมืดทำให้ดิฉันอยู่ในบ้านนี้ได้อย่างปลอดภัย ความมืดไม่เคยน่ากลัวเท่ากับความสว่าง ความสว่างแต่ใจมืดต่างหากที่เป็นพิษเป็นภัย เป็นอันตราย” คราวนี้สาวเจ้าเลยเล่นปรัชญาเข้าให้จริง ๆ

“คุณพูดอะไร ผมไม่เห็นจะเข้าใจ?”

ธนา อารีรักษ์ พูดพลางเดินเข้าไปในตึก ตรงที่เขายืนอยู่เป็นห้องโถงใหญ่ ด้านซ้ายชิดฝาห้องมี โซฟาร์รับแขก ตะเกียงรั้วซึ่งมีแสงสว่างแค่พอให้มองเห็นในห้อง วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยซึ่งเป็นไม้สักหนา ด้านหน้าเป็นผนังห้องตกแต่งด้วยไม้ ประตูห้องปิดอยู่และหญิงสาวเจ้าของบ้านนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าประตูห้องนั้น ด้านขวาสุดมีบันไดไม้ขึ้นไปสู่ชั้นบน ถัดจากบันไดขึ้นชั้นบนมีห้องอีกห้อง

จากนั้นพื้นลดระดับลงไปสู่ห้องอีกสองหรือสามห้อง อาจจะเป็นห้องน้ำหรือห้องครัว หน้าห้องมีโต๊ะใหญ่ยาวคงจะเป็นห้องอาหาร มีตู้เก็บถ้วยชามและข้าวของเครื่องใช้

ดึงสายตากลับมาที่ด้านซ้ายของประตูที่หญิงสาวเจ้าของบ้านนั่ง มีตู้โชว์ใส่ของ กระจุกกระจิก ถัดประตูห้องไปทางด้านขวามีตู้เตี้ยคล้ายบาร์เหล้า บนหลังตู้มีภาพถ่ายหลายขนาดใส่กรอบวิทยาศาสตร์หรือเคลือบเรซิ่น ซึ่งไม่อาจจะทราบได้ว่าเป็นภาพของใครบ้าง เพราะแสงสว่างของตะเกียงรั้วส่องไปไม่ถึง นอกจากว่าจะเดินถือตะเกียงไปยืนส่องดู

“คุณบอกว่าคุณเข้ามาอยู่ในบ้านแต่เฉพาะตอนกลางคืน แล้วตอนกลางวันคุณไปทำอะไรอยู่ที่ไหน?”

“ที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีใครเห็นดิฉัน”

“ทำไมคุณต้องทำอย่างนั้น”

“กลางวันไม่ปลอดภัยสำหรับดิฉัน ดิฉันถูกคนปองร้ายนะค่ะ”

“ใครกันที่ปองร้ายผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณ”

หญิงสาวหัวเราะ เสียงหัวเราะของเธอฟังดูน่ากลัว แต่เขาก็อยากจะฟังเสียงของเธอ



“เรื่องหน้าตานี่แหละค่ะ คือศัตรูอีกอย่างหนึ่งของลูกผู้หญิง ถ้าดิฉันหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวดิฉันอาจจะอยู่อย่างมีความสุขกว่านี้”
“คุณยิ่งพูด ผมยิ่งไม่เข้าใจ”

“วันนี้เราเพิ่งพบกัน แต่อีกสักสองสามวันคุณจะเข้าใจ”

“สองสามวัน” ธนา อารีรักษ์ ทำท่างงๆ “หมายความว่า…” ธนายังพูดไม่หมดความหญิงสาวเจ้าของบ้านก็พูดแทรกขึ้น

“คุณจะต้องมาอยู่ที่นี่อีกหลายวันไม่ใช่หรือคะ คุณเดินทางมาเพื่อจะดูที่ดินที่คุณจะซื้อ คุณจะต้องไปพบปะกับใครต่อใครอีกหลายคน กว่าที่เรื่องราวมันจะเสร็จไม่ใช่หรือคะ?”

“เอ๊ะ! ทำไมคุณรู้ คุณเป็นใครกันแน่ ผมชักกลัวๆ คุณเสียแล้วซี” ธนาทำท่าไม่ไว้วางใจ

“คุณไม่ต้องกลัวดิฉันหรอก ดิฉันไม่หลอกคุณมาฆ่ามาแกงแน่ แต่ที่ฉันรู้เพราะมีคนพูดถึงคุณก่อนที่คุณจะมา มีคนพูดว่าคนกรุงเทพฯจะมาซื้อที่ดินแถวนี้ แล้วคุณก็คือคนกรุงเทพใช่ไหมล่ะ”

“ผมอยู่กรุงเทพ แต่ไม่ใช่คนกรุงเทพหรอก บ้านผมอยู่ที่จันทบุรีแต่มาทำมาหากินอยู่ในกรุงเทพ”

“เอาเป็นว่าคุณมาจากกรุงเทพก็แล้วกัน คุณมาเพื่อต้องการพบกับใครคนหนึ่งที่นี่ ซึ่งเขาจะพาคุณไปดูที่ดิน แต่วันนี้คุณมาถึงเอาในเวลามืดค่ำเสียก่อน พรุ่งนี้คุณก็จะได้พบเขา”

“ตายละ คุณยิ่งรู้ละเอียดอย่างนี้ ยิ่งทำให้ผมกลัวคุณมากขึ้น คุณพูดราวกับว่าหลับตามองเห็น คุณเป็นใครหรืออะไรกันแน่”

“ยังมีเวลาอีกหลายวันที่ดิฉันจะเล่าให้คุณฟัง ดิฉันอยากจะขอให้คุณพักอยู่ที่นี่ ที่บ้านหลังนี้แม้ว่ากลางวันดิฉันจะไม่อยู่บ้านก็ตาม ขอให้คุณคิดว่าที่นี่คือบ้านเพื่อนของคุณ คุณพักที่นี่จะปลอดภัยมากกว่าไปพักที่อื่นๆ ดิฉันจึงไปดักรอคุณที่ชายหาดเพื่อจะชวนคุณมาพักที่นี่”

“อู๊ว์ว่ะ แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าผมจะมา ความจริงคืนนี้ที่ผมมาถึงที่นี่เป็นเพราะผมหลงทาง ไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่คืนนี้ผมตั้งใจจะพักที่โรงแรมในตลาด ผมไปเปิดห้องไว้แล้ว”

“ก็บังเอิญอีกละค่ะ คือดิฉันก็เดาๆ เอาว่าเผื่อบางทีคุณจะมา” หญิงสาวตัดบทสั้นๆ

“ผมยิ่งสงสัยคุณใหญ่เลย ผมไปเกี่ยวข้องอะไรกับคุณ คุณถึงได้ตามหาผมแล้วก็ชวนผมมาที่นี่ นี่ผมยังนึกว่าเป็นเรื่องบังเอิญเสียอีกนะที่ได้พบคุณ”

“ดิฉันกำลังเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”

“ต้องการความช่วยเหลือจากผม” ธนา อารีรักษ์ ทวนคำ “ผมจะช่วยคุณได้อย่างไร?”

“เรายังมีเวลาที่จะคุยในรายละเอียดกัน คุณจะนอนแล้วไม่ใช่หรือ ตะกี๊เห็นกำลังจะนอนในรถ… คืนนี้คุณเพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ ดิฉันอยากให้คุณไปนอนพักผ่อนเสียก่อน เพราะคุณขับรถมาไกลและมาเหนื่อยๆ นอนในห้องขวามือนั่นนะคะดิฉันจัดไว้ให้แล้ว ดิฉันจัดเตรียมไว้เพื่อคุณโดยเฉพาะ”

‘เฮ้ย อะไรกัน!’ ธนาอุทานขึ้นในใจ ขณะสาวเจ้าของบ้านยังกล่าวต่อไป

“ห้องน้ำอยู่ตรงข้ามกับห้องที่คุณนอนนะคะ อยู่ติดกับห้องครัวค่ะ” หญิงสาวชี้มือไปทางด้านขวาสุดและทำท่าเหมือนจะตัดบทการสนทนา

“ผมยังไม่ง่วงเลย อยากจะคุยกับคุณมากกว่าคุยทั้งคืนก็ได้ ตะกี๊ผมไม่รู้จะทำอะไร ขับรถไปไหนต่อก็ไปไม่ถูกก็เลยคิดจะนอน…” ธนารีบแย้งแต่ไม่ทันจะจบประโยคหญิงสาวเจ้าของบ้านก็ลุกขึ้น แล้วก็ราวกับว่าร่างนั้นจะเลือนหายเข้าไปในผนังโดยมิได้เปิดประตู





Create Date : 31 กรกฎาคม 2554
Last Update : 31 กรกฎาคม 2554 10:36:41 น. 15 comments
Counter : 2889 Pageviews.

 
จากตอนที่ ๑ มีผู้เข้ามาอ่าน ๘๑ คน แสดงว่ายังมีท่านผู้สนใจมาอ่าน วันนี้จึงตัดสินใจเสนอตอนที่ ๒

ถ้าจะแสดงความเห็นไว้บ้างก็จะเป็นกุศลผลบุญต่อกันนะครับ บอกให้รู้ว่าท่านเข้ามาอ่านคนเขียนก็พอใจแล้ว

หรือจะติงติงทักท้วงก็ไม่ว่ากันครับ


โดย: pantamuang วันที่: 31 กรกฎาคม 2554 เวลา:10:42:33 น.  

 
สวัสดีครับลุงบูลย์

ผมว่าแล้วต้องเป็นเรื่องผี สุดท้ายผีกับคนก็ได้กัน ผมถนัดนักแนวนี้ เขียนไว้ตั้งหลายเวอร์ชั่นแน่ะ เดี๋ยวว่างๆจะเอาลงบ้าง

พรุ่งนี้ลงเรื่องผีนะ ลุงว่างเมื่อไหร่ แว่บมาอ่านละกัน


โดย: ปลายแป้นพิมพ์ วันที่: 31 กรกฎาคม 2554 เวลา:14:39:00 น.  

 
ภาพของบ้านตึกครึ่งไม่ที่คุณลุงให้รายละเอียด ได้ภาพชัดเจนมากครับ เหมือนบ้านในยุคที่ป่าไม้ของเรายังอุดมสมบูรณ์

ชอบการเจรจาของหญิงสาวกับชายหนุ่ม มีกิริยาที่น่าขม และพูดจาไพเราะด้วยกันทั้งคู่ อ่านเพลินเชียวครับ

หญิงสาวคนนี้ถ้าไม่ใช่ผีก็คงตื่นเต้นไม่น้อยครับ แต่ถ้าเป็นผีจริงๆต้องเอาใจช่วยคนกรุงเทพ ที่คิดว่าตัวเองไม่กลัวผี

รออ่านตอนต่อไปครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 31 กรกฎาคม 2554 เวลา:15:54:09 น.  

 
มาลงชื่อก่อน จะกลับมาอ่านในช่วงดึกคะ เป็นกำลังใจให้นักเขียนคนเก่ง รวย รวย นะคะอาจารย์


โดย: คุรแอน (seton ) วันที่: 1 สิงหาคม 2554 เวลา:9:19:41 น.  

 
เรื่องนี้ คนกับผี จะเป็นแฟนกันหรือเปล่าคะ


โดย: seton วันที่: 1 สิงหาคม 2554 เวลา:21:29:08 น.  

 
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณถาวร สุวรรณ ประธานมูลนิธิสุภาว์ เทวกุล อ่านเมื่อตอนผมไปอบรมการเขียนกับมูลนิธิสุภาว์ เทวกุล ประมาณปี พ.ศ.๒๕๔๕(ถ้าจำ พ.ศ.ไม่ผิด) ท่านถาวรเอาไปอ่านแล้วพูดว่า

เรื่องนี้เป็นทั้งนิยายสืบสวนและสอบสวน กับมีการหักมุมตอนจบ อย่างคาดไม่ถึง คุณถาวรท่านว่า "นี่ถ้าผมยังหนุ่ม ๆ ยังทำละครทีวีอยู่ ผมจะเอาเรื่องนี้ไปทำละคร แต่นี่ผมแก่เกินไปแล้ว ผมอยากให้คุณเอาไปเสนอสำนักพิมพ์ แต่ผมก็บอกไม่ได้นะว่าที่ใดจะพิมพ์ให้คุณ"

แต่ผมไม่เก่งทางด้านการตลาด ผมเสนอไปสองสามที่เขาบอกว่า เรื่องนี้มันเกิดตอนพายุไต้ฝุ่นเกย์ เหตุการณ์มันผ่านพ้นไปแล้ว คนไม่สนใจแล้ว"

ผมจึงเอาเรื่องนี้ไปทำเทียมเป็น นิยายเรื่อง "พรายสึนามิ" และได้รับการตีพิมพ์ออกไปแล้ว แต่ผมยังรักของผมว่า เรื่องนี้คือต้นกำเนิดของเรื่องนั้น

ความสดและฉากของเรื่องนี้จะลงตัวกว่า


โดย: pantamuang วันที่: 2 สิงหาคม 2554 เวลา:9:06:58 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณลุง แวะมาอ่านต่อค่ะ ตอนนี้สนุกตื่นเต้นเชียวค่ะ


โดย: หญิงแก่น วันที่: 6 สิงหาคม 2554 เวลา:23:03:45 น.  

 
ยังเฝ้ารออ่านต่อนต่อไปครับคุณลุงบูลย์

คุณลุงบูลย์สบายดีนะครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:17:17:04 น.  

 
ผีกะคน ไม่น่ารอดพ้นกันน้า


แหม ขนาดเสียงหัวเราะเธอน่ากลัว

ธนาก็ยังจะอยากฟังอีก ผู้ชายก็เงี้ย

เป็นเรา ขอเผ่นไปแระ บรรยากาศไม่ดีเอาซะเลย

ไม่อยู่สนทนาแน่นอน...บรื๋อวว


โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 8 สิงหาคม 2554 เวลา:16:22:41 น.  

 
ผมอ่านไป ว่าทำไมมันคุ้นๆ ที่จริงเป็นเวอร์ชั่นต้นฉบับของพรายสึนามินี่เอง

เหมือนลุงว่าเลยครับ ผมเขียนเรื่องสั้นสึนามิเยอะมาก แต่เขียนหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 2-3 ปี ถ้าเขียนหลังเหตุการณ์สัก 6 เดือน ตอนที่เขาตีพิมพ์งานต่างๆขายกันเป็นล่ำเป็นสัน ป่านนี้คงเกิดไปแล้วมั้งลุง


โดย: ปลายแป้นพิมพ์ วันที่: 8 สิงหาคม 2554 เวลา:21:55:28 น.  

 


โดย: คนเดินดิน (หน้าใหม่อยากกรอบ ) วันที่: 9 สิงหาคม 2554 เวลา:12:57:52 น.  

 


โดย: คนเดินดิน (หน้าใหม่อยากกรอบ ) วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:15:15:20 น.  

 


โดย: SassymOn วันที่: 29 พฤศจิกายน 2554 เวลา:2:56:12 น.  

 
ก็...นุกดี


โดย: ลัดดาวรรณ IP: 58.10.6.3 วันที่: 14 สิงหาคม 2555 เวลา:12:58:01 น.  

 
ชอบภาพผู้หญิงที่ถือดอกกุหลาบที่ใส่ชุดสีขาวอ่ะ


โดย: ไม่อยากบอกมีไรป่ะ IP: 58.10.6.3 วันที่: 14 สิงหาคม 2555 เวลา:13:06:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pantamuang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




ไม่อยู่อย่างอยาก แต่ยังอยากจะอยู่
อยู่อย่างไม่ลำบาก เวลาที่เหลือน้อยรีบสอยรีบคว้า
ก่อนจะหมดเวลาให้สอย

ดวงดาวบนฟ้าก็สอยได้ ถ้ารู้จักต่อด้ามฝันให้ยาวพอ

ฝันถึงไหนก็ได้ มีสิทธิ์ฝัน แต่จะเป็นจริงหรือไม่ช่างฝัน
เพราะสิ่งที่ฝันคือนวนิยาย..

ชีวิตก็คือนวนิยายเรื่องหนึ่ง ที่เราเป็นผู้เขียนและกำกับ.

เริ่ม 9 กันยายน 2550

Friends' blogs
[Add pantamuang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.