สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ

สูตรอายุรเวท เพิ่มสวย ลดป่วย ชะลอแก่

แท้จริงแล้วอายุรเวทคือวิธีการดูสุขภาพแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งกายใจ สอดแทรกอยู่ในทุกกิจกรรมและทุกช่วงเวลาของชีวิต ตั้งแต่ลืมตาตื่นถึงเข้านอน จากกลางวันถึงกลางคืน จากฤดูกาลสู่ฤดูกาล จากวัยแรกเกิดถึงวัยชรา ผ่านการกินอาหาร ยาสมุนไพร การออกกำลังกาย การพักผ่อน การชำระล้างร่างกายและจิตใจ

เมื่อทั้งภายในและภายนอกร่างกายมีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ความงามย่อมปรากฏ ความเจ็บป่วยย่อมห่างไกล และเตรียมพร้อมสู่ความเปลี่ยนแปลงแห่งวัยอย่างแข็งแรงและสุขภาพดี



อายุรเวทคืออะไร


อายุรเวทเป็นศาสตร์การดูแลสุขภาพของอินเดียที่มีอายุหลายพันปี ใน “ตำราจรกะสัมหิตา” ซึ่งเป็นตำราอายุรเวทที่ได้รับการบันทึกไว้เป็นเล่มแรก เพื่อให้ความรู้แก่หมอหลวงและถือเป็นตำราสำคัญจนถึงทุกวันนี้ซึ่งมีอายุถึงสามพันห้าร้อยปี

หลักการสำคัญของอายุรเวทคือมนุษย์เราเกิดมาโดยมีเงื่อนไขและปัจจัยเป็นตัวกำหนดไว้แล้ว เรียกว่า “ประกฤติ” ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าคำว่า “พันธุกรรม” ที่เราคุ้นเคย นั่นคือนอกจากจะกำหนดสภาพทางกายแล้วยังครอบคลุมถึงความคิดและจิตใจอีกด้วย

อายุรเวทแบ่งคนออกเป็น 3 ประเภทโดยดูจากความโดดเด่นของโทษ 3 ประการ หรือเรียกว่า ตรีโทษะ ซึ่งถูกนำมาเรียกขานแบบไทยๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้น (แม้จะไม่ตรงความหมายดั้งเดิมนัก) ว่า “ตรีธาตุ” นั่นคือ ธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุดินหรือน้ำ

จากหลักการข้างต้นนำมาสู่การดูแลร่างกายและจิตใจให้เหมาะสมกับ “โทษ” หรือ “ธาตุ” ดังนั้นผู้ต้องการดูแลสุขภาพกายและใจตามหลักอายุรเวทจึงต้องรู้ว่าตัวเองเป็นคนธาตุใด เพื่อจะได้ดูแลตัวเองด้วยการกินอาหาร การออกกำลังกาย การผักผ่อน และการชำระล้างร่างกายและจิตใจให้เหมาะสมตามธาตุนั้นๆ

เมื่อรู้ความหมายของหลักอายุรเวทกันแล้ว เรามาดูการวิธีการดูแลตัวเองตามหลักอายุรเวท โดยเริ่มจาก การกิน



กินอยู่แบบอายุรเวท เมื่อสามพันห้าร้อยปีที่แล้ว ตำราจรกะสัมหิตากล่าวถึง หลักการกินไว้อย่างน่าสนใจและร่วมสมัย ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ดังนี้

• กินอาหารร้อนเพื่อกระตุ้นการย่อย
• กินอาหารมื้อต่อไปหลังจากร่างกายย่อยอาหารมื้อก่อนหน้าหมดแล้ว
• กินในสถานที่ที่เงียบสงบและรื่นรมย์พร้อมของตกแต่งที่จำเป็น เช่น ดอกไม้หรือผ้าปูโต๊ะที่สะอาด เพื่อไม่ให้จิตใจหดหู่
• ไม่ควรกินอย่างเร่งรีบหรือเฉื่อยช้าเกินไป เพื่อให้อาหารเข้าสู่ทางเดินอาหารอย่างเหมาะสม
• ไม่ควรหัวเราะหรือพูดขณะกิน กินอย่างใส่ใจและพิจารณาสิ่งที่กินว่าสิ่งใดดี-ไม่ดี
• ไม่กินเมื่อไม่หิว หรือมีอารมณ์โกรธ เศร้า หรือความเครียด
• ไม่ทำอาหารเพื่อกินคนเดียว แต่ต้องทำเพื่อการแบ่งปันด้วย ในอินเดียโบราณจะแบ่งอาหาร (นอกจากกินเอง) ออกเป็น 5 ส่วนคือ เพื่อบูชาไฟในบ้าน วัว กา สุนัข และคนแปลกหน้า
• เดินร้อยก้าวหลังอาหาร เพื่อช่วยระบบย่อย แต่ไม่ควรออกกำลังกาย มีเพศสัมพันธ์ เรียน หรือนอนหลับภายใน 1 ชั่วโมงหลังอาหาร
• ไม่กินอาหาร ภายใน 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน



กินตามธาตุ


อาหารแต่ละชนิดมีความหนัก-เบา ร้อน-เย็น แตกต่างกัน อาหารจึงเป็นส่วนสำคัญหรือตัวหลักในการเสริมหรือลดคุณสมบัติเด่น-ด้อยของธาตุต่างๆ
ส่วนควรจะกินอาหารอะไรนั้น เรามีคำอธิบายดังนี้

คนธาตุลม
เน้นอาหารรสหวาน เปรี้ยว เค็ม เช่น แป้ง โปรตีน เพื่อเพิ่มน้ำหนัก ควรกินผักสุกหรือผักผัดน้ำมันมากกว่าการกินผักสด ลดอาหารรสขม ฝาด เผ็ดร้อน และไม่ควรรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดลม เช่น ถั่ว ขนมกรุบกรอบ และน้ำเย็น ควรดูแลร่างกายในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงลมแรงซึ่งจะเสริมธาตุลมในตัวให้รุนแรงขึ้น

คนธาตุดิน
เน้นอาหารรสเผ็ดร้อน ขม ฝาดเพื่อลดความชื้นในร่างกาย ควรกินทั้งผักสดและผักสุกให้มาก ลดอาหารรสหวาน เปรี้ยว เค็ม ซึ่งเป็นอาหารที่เสริมความชื้นในร่างกาย และควรลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและไขมันลงด้วย
ควรดูแลร่างกายในช่วงต้นฤดูร้อนเป็นพิเศษ

คนธาตุไฟ
เน้นอาหารรสหวาน ขม ฝาด เพื่อลดความร้อนในร่างกายควรกินอาหารประเภทนึ่งมากกว่าทอด ลดอาหารรสเผ็ดร้อน เปรี้ยว เค็มซึ่งเป็นอาหารเพิ่มธาตุไฟ ควรระวังร่างกายในฤดูร้อนและฤดูหลังฝนเป็นพิเศษ เพราะจะทำให้ธาตุไฟกำเริบ



จากการกินตามธาตุมาต่อกันที่ การออกกำลังกายตามธาตุ


ออกกำลังกายตามธาตุ

คนแต่ธาตุมีร่างกายทนทานแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ คนบางคนจึงรู้สึกมีพลังหลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก แต่บางคนกลับอ่อนล้าหมดแรงเอาเสียเฉยๆ

คนธาตุลม มีร่างกายผอมแห้งและอารมณ์วูบไหว มีความทนทานน้อยจึงไม่ควรออกกำลังกายแบบรุนแรงเพราะทำให้ธาตุลมกำเริบ ดังนั้นควรออกกำลังกายแบบสงบ นิ่ง สม่ำเสมอ

คนธาตุไฟ ควรออกกำลังกายแบบพอเหมาะ การออกกำลังกายมากและแรงเกินไปทำให้ธาตุไฟกำเริบ ดังนั้นควรออกกำลังกายแบบเพิ่มความเย็น ผ่อนคลาย นิ่มนวล

คนธาตุน้ำ เป็นคนเฉื่อยชาและน้ำหนักตัวมาก จึงต้องออกกำลังกายแบบหนัก-แรงเพื่อขับไล่ความเฉื่อยเหล่านั้นไปเสีย ดังนั้นควรออกกำลังกายแบบกระตุ้น เคลื่อนไหว ให้มีความร้อนและพลังในหนังสือ Yoga & Ayurveda แนะนำท่าโยคะที่เหมาะกับคนแต่ละธาตุไว้ดังนี้

ธาตุลม ท่านั่งดอกบัว ท่านั่งเพชร ท่าสิงโต ท่าไหว้พระอาทิตย์แบบช้า ท่านักรบ ท่ายืดหลัง ท่างู ท่าตั๊กแตน ท่าบิดกระดูกสันหลังแบบนอน และปิดท้ายด้วยท่าศพ

คนธาตุไฟ ท่านั่งสมาธิทุกท่ายกเว้นท่าสิงโตซึ่งเป็นท่าเพิ่มความร้อน ท่าไหว้พระจันทร์ ท่าเปิดสะโพก เช่น ท่าสามเหลี่ยม ท่าเรือ ท่าปลา ท่าธนู ท่าเด็ก ท่าบิดหลังแบบนั่ง ท่าโยคะมุทรา ปิดท้ายด้วยท่าศพ

คนธาตุดิน ท่าสิงโต ท่าไหว้พระอาทิตย์แบบต่อเนื่องหรือกระโดด ท่าสุนัขคว่ำหน้า ท่ายืนด้วยศีรษะและยืนด้วยไหล่ ท่าคันไถ และท่าแอ่นกระดูกสันหลัง เช่น ท่าธนู ท่าอูฐ และปิดท้ายด้วยท่าศพแบบสั้นๆ
หมายเหตุ: โปรดเรียนรู้ท่าโยคะข้างต้นจากครูโยคะของคุณ

ได้วิธีการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจตามหลักอายุเวทอย่างครบถ้วนอย่างนี้แล้ว อย่าลืมลงมือปฏิบัตินะคะ

เรื่องสุขภาพ “ใครทำใครได้”




ขอบคุณข้อมูลจาก//www.cheewajit.com/
articleView.aspx?cateId=1&articleId=1923




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2553
0 comments
Last Update : 15 มิถุนายน 2553 9:09:09 น.
Counter : 632 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
15 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.