มาอ่านบทความที่ดิฉันให้สัมภาษณ์กับหนังสือ JobCyber ฉบับลงวันที่ 16-31 มีนาคม 2552 กันค่ะ
สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ และน้อง ๆ ชาวบล๊อกแก็งค์
เมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ดิฉันได้รับข้อความหลังไมค์ จากน้องคนหนึ่งว่าหนังสือของเค้า อยากจะขอลงสัมภาษณ์เกียวกับชีวิตและการทำงานในอเมริกาของดิฉัน ตอนแรกที่ดิฉันได้รับข้อความหลังไมค์ก็รู้สึกไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรว่าจะให้สัมภาษณ์ดีหรือไม่ จึงได้หลังไมค์ไปหาคุณวิสกี้โซดา เพื่อนบ้านผู้น่ารักของดิฉัน ว่าเคยได้ยินชื่อหนังสือ JobCyber บ้างไหม
พอหลังไมค์ไปไม่นาน คุณวิสกี้โซดาก็ได้ส่งข้อความมาและให้ตัวอย่างของเพื่อนในบล๊อกแก็งค์คนหนึ่งที่ให้สัมภาษณ์ไปกับหนังสือนี้ พอดิฉันได้รับข้อความคุณวิสกี้โซดาและตัวอย่างของบทความที่เพื่อนคนหนึ่งในบล๊อกแก็งค์ให้สัมภาษณ์ลงหนังสือนี้ไป ดิฉันจึงได้ตอบตกลงกับน้องที่จะมาสัมภาษณ์ดิฉัน
นี่คือหน้าที่ลงบทความสัมภาษณ์ดิฉันเกี่ยวกับชีวิตและการทำงานในต่างแดน
มาดูแต่ล่ะส่วนใกล้ ๆ ค่ะ
นี่คือภาพที่ดิฉันส่งไปลงในหนังสือค่ะ
ดิฉันสวยพอเป็นดาราได้ไหมค่ะ
นี่คือรายละเอียดบทความที่ดิฉันได้เขียนให้สัมภาษณ์ไปค่ะ
My Life in Southern California, U.S.A.
สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน Oversea job report ฉบับนี้ ดิฉันได้มีโอกาสได้เขียนเล่าประสบการณ์การทำงานในต่างแดน ดิฉันชื่อไก่ค่ะ ตอนนี้อยู่ที่ Southern California, U.S.A. ที่มาอยู่อเมริกาเพราะแต่งงาน สามีเป็นคนอเมริกัน ตอนที่มาแรก ๆ เมื่อ 5 ปีก่อน เชื่อไหมค่ะแรก ๆ ไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะกลัวคนอเมริกันฟังเราพูดไม่ออกและหลงทาง ถึงแม้ว่าตัวเองจะจบปริญญาโทมาจากเมืองไทย ภาษาอังกฤษที่เมืองไทยนับว่าใช้ได้เลย แต่พอมาอยู่อเมริกาเราต้องมาเริ่มต้นใหม่ เพราะเมืองไทยภาษาอังกฤษที่เราเรียนจะเป็นสำเนียงอังกฤษ ฉะนั้นสำเนียงการออกเสียงจึงต่างไปจากอเมริกัน พอเรามาพูดสำเนียงอังกฤษ คนอเมริกันก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เราก็ไม่ค่อยเข้าใจสำเนียงอเมริกันนัก ต้องใช้เวลาพอสมควรเลยค่ะ รัฐ California ที่อยู่เป็นรัฐที่มีแทบทุกชาติอาศัยอยู่ หรือเรียกว่า melting pot หมายถึงเป็นที่หล่อหลอมคนหลายชาติเข้าด้วยกัน ดังนั้น คนที่อยู่แคลิฟอร์เนียจึงมีหลายชาติมาก ๆ รัฐที่สามีอยู่คือรัฐแคลิฟอร์เนียมีชาวเอเชียอยู่มาก นอกจากนั้นก็จะมีชาติอื่น ๆ อยู่อีก เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่มีหลายเชื้อชาติอยู่รวมกัน ปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิวจึงไม่มี แล้วอเมริกาก็มีกฏหมายห้ามการเหยียดสีผิวและถือว่าผิดกฏหมาย แต่ลึก ๆ ก็คิดว่าคงมีคนอเมริกันที่เหยียดสีผิวบ้าง เท่าที่ผ่านมาไม่เคยเจอเลย
พอมาอยู่แรก ๆ เรียกว่าอยากกลับเมืองไทยมาก ๆ เลย ก็เพราะชีวิตแต่ละวันไม่มีอะไรทำ ชีวิตเปลี่ยนไปจากคนทีทำงานหารายได้ด้วยตัวเอง ต้องมาอยู่บ้านเฉย ๆ และแบมือขอเงินสามี รู้สึกตัวเองไม่มีค่า พอมาอยู่ได้สักเดือน ก็ไปเรียนที่ Adult School ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย บางครั้งยังให้หนังสืออีก เรียนมาได้ประมาณหนึ่งปี เรียกว่าเรียนจนไม่มีอะไรให้เรียนแล้ว ก็มาเรียนที่ College เรียนจนจบได้รับ Associate of Arts Degree (AA) 2007 and Certification in Accounting 2008 ช่วงที่เรียนด้วยก็ทำงานที่ห้างขายเสื้อผ้านี้ไปด้วย คิดว่าถ้าจบมาจะได้งานที่ดีขึ้น แต่จบมาในช่วงเศรษฐกิจขาลงของอเมริกา ส่งใบสมัครงานไปหลายทีก็ไม่มีที่ไหนเรียกเอาเลย บางครั้งก็รู้สึกท้อเหมือนกัน แต่การสมัครงานที่อเมริกาดีอย่างหนึ่งคือ บริษัทฯ องค์กรส่วนใหญ่ จะให้เราสมัครงานทางเวปไซด์ เมื่อทางบริษัทฯ หรือหน่วยงานสนใจก็จะอีเมลล์หรือโทรฯติดต่อกลับมา ในกรณีของตัวเองสมัครงานทางออนไลน์ไป แล้วทางห้างฯ โทรฯ ติดต่อกลับมาค่ะ สัมภาษณ์สองครั้ง ก่อนเรี่มงานต้อง Orientation ก่อน 4 ชั่วโมง ทางห้างฯ จ่ายค่าแรงในวันนี้ให้ค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีพนักงานมาสอนงานเรา สำหรับงานทำอยู่ก็เป็นงานง่าย ๆ คือทักทายลูกค้า ช่วยเหลือลูกค้า เอาเสื้อผ้าไปเก็บเข้าที่ พาลูกค้าไปห้องลองเสื้อผ้า แคชเชียร์ เรียกว่างานในห้างฯ ต้องทำได้หมด ตอนนี้ดิฉันเลยได้งานเป็นพนักงานห้างขายเสื้อผ้าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของอเมริกาอยู่ในเครือของ Gap ค่ะ เพื่อนร่วมงานที่ทำงานก็น่ารักกันส่วนใหญ่ เพราะเป็นวันรุ่นเด็ก ๆ พวกเขาทำงานไปเรียนไป พอเรียนจบก็หางานอื่นทำ เรียกว่าเพื่อนร่วมงานน่ารักเสียมากกว่า เวลาไม่สบายใจ ส่วนใหญ่ก็จะไปคุยปรับทุกข์กับเพื่อนร่วมงาน เพราะพวกเขาเด็ก ๆ กัน มองโลกในแง่ดี เข้าใจเรา คอยปลอบใจเรา
ชีวิตในอเมริกานั้นจะแตกต่างจากในไทย เพราะเราต้องอยู่ในกฏ ระเบียบ ภัตตาคาร ร้านอาหารเปิดปิดเป็นเวลา การขับรถก็คนละเลนส์ ทุกคนต้องเคารพกฏจราจร เวลาจะทำอะไรหรือติดต่ออะไรก็ต้องเข้าแถว มากกว่านั้นเราต้องรู้จักออกมาพูดปกป้องสิทธิของเรา สำหรับเรื่องอาหาร การกิน อย่างที่ทราบ ๆ รัฐที่อยู่และเมืองที่อยู่นั้นหาอาหารไทยได้ง่ายมาก มีซุบเปอร์มาเก็ตเอเชียมากมาย ร้านอาหารไทยเต็มไปหมด นอกจากนั้นก็มีอาหารเอเชีย เช่น อาหารจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ให้เลือก และหากมีรถส่วนตัวจะดีค่ะ เพราะรถเมลล์ที่นี่จะมาเป็นเวลา หากอยากสะดวกมีรถส่วนตัวจะดีกว่า การทำงานในอเมริกาส่วนใหญ่จะทำงานตรงเวลา และทำงานกันอย่างรวดเร็ว เรียกว่าแต่ละนาทีมีค่า ในความคิดเห็นส่วนตัว สำหรับคนที่อยากมาทำงานที่อเมริกาคิดว่า ตอนนี้คงหางานลำบากมาก ๆ ค่ะเพราะบริษัทอเมริกาปิดกันได้ทุกวัน บริษัทส่วนใหญ่เลย์ออฟพนักงาน ไม่มีการจ่าย 3 เดือน 6 เดือนให้เหมือนในไทย อาจจะดีหน่อยมีให้แพ็คเกจเงินแต่ไม่มากนัก และถ้าได้งานก็จะเป็นงาน Part-Time เสียส่วนใหญ่ ถ้าน้อง ๆ และเพื่อน ๆ คิดจะทำงานหรืออยู่อเมริกา อยากจะให้เรียนภาษาอังกฤษของอเมริกัน เพราะที่นี่จะพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน ส่วนตัวดิฉันเองแล้วคิดว่าการได้มาอยู่อเมริกานับว่าเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ เพราะท้าทายความสามารถ คือเราต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แล้วไปแข่งขันกับคนอเมริกัน สังคมอเมริกันสอนให้ตัวเองต้องลุกขึ้นออกมาปกป้องสิทธิของตนเอง โดยการพูดออกไป เพราะบางครั้งถ้าเราไม่พูดออกไป คนอเมริกันจะไม่รู้ว่าเราคิดอะไร และอาจถูกเอาเปรียบจากคนรอบข้างเรา แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นต้องพูดในสิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน ทุกคนต้องเคารพกฏหมายและสิทธิซึ่งกันและกันค่ะ
หวังว่าบทความที่สัมภาษณ์ดิฉัน เพื่อน ๆ และน้อง ๆ คงได้รับประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยน่ะค่ะ สำหรับการใช้ชีวิตในต่างแดน เช่นกันถ้ามีการพิมพ์ผิด ก็ต้องขอโทษผู้อ่านด้วยน่ะค่ะ เพราะบทความที่ดิฉันลงให้สัมภาษณ์ น้องที่สัมภาษณ์ดิฉัน เค้าแสกนบทความดิฉันมาให้เป็นไฟล์ที่ลงท้ายด้วย .pdf พอดิฉันจะมา copy ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่มีฟอนที่สามารถอ่านตัวนหนังสือได้ ดิฉันเลยต้องมาพิมพ์ใหม่
ขอขอบคุณผู้ที่แวะมาอ่านบล๊อกดิฉัน แล้วดิฉันจะไปเยี่ยมน่ะค่ะ มีความสุขมาก ๆค่ะ
Create Date : 27 มีนาคม 2552 |
|
54 comments |
Last Update : 27 มีนาคม 2552 3:30:16 น. |
Counter : 1215 Pageviews. |
|
|
|
wow ดีใจกับพี่จินนี่คนเก่งด้วยนะคะ ดังใหญ่ล่ะ เดี๋ยวหนูต้องรีบขอลายเซ็นต์พี่ล่ะเนี่ย