|
จิตสำนึกแห่งทางเลือกในยุคทักษิณครองเมือง(17)
จิตสำนึกแห่งทางเลือกในยุคทักษิณครองเมือง ( 17) โดย สุวินัย ภรณวลัย 20 ธันวาคม 2548 17:48 น. //www.suvinai-dragon.com 17. บรรษัทอาณาจักรแห่งทุนนิยม ปัจจุบัน บรรษัทขนาดใหญ่ กลายเป็น สถาบันที่มีอำนาจมากที่สุด ในโลกทุกวันนี้ไปแล้ว แต่แม้มันจะมีอิทธิพลมากขนาดไหนก็ตาม ความเป็นจริงก็คือ บรรษัทขนาดใหญ่นี้มันไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นเพียง สิ่งสมมติที่ถูกต้องตามกฎหมาย และ มันเป็นเพียงวิธีบริหารจัดการของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น บรรษัท เป็นเพียง กระบวนการในการจัดตั้งธุรกรรมต่างๆ อย่างหนึ่ง ซึ่งคล้ายกับ ลมพายุหมุน คือมันเป็นอะไรที่ดูดกลืนผู้คนดูดกลืนทรัพยากรของโลก โดยมุ่งหากำไร (และเก็งกำไร) เคลื่อนย้ายไปตามที่ต่างๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อใครหรือที่ใดเป็นพิเศษ ยกเว้นจะรับผิดชอบต่อตัวบรรษัทเองเท่านั้น แต่ถ้าเราดูที่ แกนใน ของบรรษัท เราจะพบว่า มันไม่มีอะไรอยู่ภายใน เหมือนกับแกนหลักของพายุหมุนที่เป็นเพียงกระบวนการการเคลื่อนไหวเท่านั้น มันไม่มีแก่นแกนที่แยกออกจากกระบวนการได้ โลกใบนี้ รวมทั้งสังคมไทยเราล้วนถูกครอบงำด้วยบรรษัทอาณาจักร ที่เหมือนลมพายุหมุนที่กวาดพัดไปทั่ว และมีชีวิตโดยตัวของมันเอง ทั้งๆ ที่ในตัวบรรษัทเองนั้น มันไม่ได้มีแก่นแกนอะไรอยู่ในนั้นเลย มันมีแต่ รูปแบบของการจัดองค์กรที่สะท้อนระดับจิต และระดับโลกทัศน์ของคนกลุ่มหนึ่ง (มีมสีส้ม) เท่านั้น ซึ่งยังไม่ใช่ระดับจิตและระดับโลกทัศน์ที่สูงสุดในระดับโลกียะด้วย แต่บรรษัทขนาดใหญ่เหล่านี้กลับมีอำนาจอย่างล้นเหลือ จนกระทั่ง ปัจเจก เองก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ การณ์กลับเป็นว่าบรรษัทเหล่านี้เป็นผู้สั่งการผู้คนต่างๆ โดยที่ผู้คนที่เป็นปัจเจกกลับควบคุมบรรษัทได้ยากมากราวกับมันมีชีวิตด้วยตัวของมันเอง บรรษัทมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับรัฐบาลมาตั้งแต่แรกแล้ว โดย รัฐบาลทำหน้าที่ดูแลบรรษัท ขณะที่บรรษัทก็ตอบแทนรัฐบาล โดยประชาชนทั่วไปถูกกีดกันออกไป นี่คือวิถีที่บรรษัทพัฒนาตนเอง และเติบใหญ่จนมีอำนาจมากมาย รวมทั้ง อำนาจทางการเมือง อย่างที่แลเห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดในปัจจุบัน เพราะ คนร่ำรวยที่เป็นเจ้าของบรรษัทขนาดใหญ่สามารถทำการ "ยึด" ประเทศหนึ่งๆ ได้โดยไม่ต้องใช้กำลังทหาร เพียงแค่ใช้ "เงิน" ซื้อสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งอย่าง "ชอบธรรม" และ "ถูกกฎหมาย" ด้วย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อบรรษัทอาณาจักรสามารถ "ครอบงำ" ราชอาณาจักรหนึ่งๆ ได้โดยพฤตินัย อิทธิพลที่ทรงพลังที่สุดของบรรษัทก็คือ มันสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีการมองโลกของผู้คน ซึ่งรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงศาสนา และจิตวิญญาณของผู้คนด้วย เพราะมันข้องเกี่ยวกับวิธีการเข้าใจตนเอง และเข้าใจโลกทั้งหมดของ ปัจเจก ซึ่ง แตกต่าง ไปจากระบบความเชื่อและโลกทัศน์ดั้งเดิมที่ผู้คนเคยยึดถือมาเป็นจารีต ราชอาณาจักร กลายมาเป็น สินค้า ที่เรียกว่า ทรัพยากรและที่ดิน มนุษย์ ถูกเปลี่ยนฐานะมาเป็นแค่ แรงงาน วัฒนธรรม อันมีค่ามีความหมายทางจิตใจถูกลดทอนกลายเป็น ทรัพยากรสำหรับเงินทุน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกรับรู้ ถูกเข้าใจแต่เฉพาะมิติด้านเงินตราอย่างเดียวเท่านั้น ในสายตาของบรรษัท คนจน ดำรงอยู่ในโลกนี้ในบรรษัทอาณาจักรนี้ ก็เพื่อที่จะถูกสูบกลืนเอาผลประโยชน์ โดยคนที่ร่ำรวยกว่าเพื่อให้มีเงินมากมายขึ้น ส่วน คนรวย ก็ดำรงอยู่ในโลกนี้ เพียง เพื่อฉกฉวยโภคทรัพย์และเพิ่มพูนจำนวนเงินกับอำนาจให้กับตนเองเท่านั้น คนรวย ในโลกทัศน์แบบ บรรษัทนิยม จึงไม่มีทางเข้าถึง ความหมายที่แท้จริงของชีวิต ได้ เพราะเป้าหมายแห่งชีวิตของพวกเขา คิดได้แค่ ทำอย่างไรถึงจะสนองความพึงพอใจทางวัตถุ และความโลภที่ไร้ขีดจำกัดของตนเองเท่านั้น จะว่าไปแล้ว การมองโลกแบบนี้หรือโลกทัศน์แบบนี้มันเป็นแค่ มายาภาพ หรือ ภาพลวงตา อย่างหนึ่งเท่านั้น วิธีการมองโลกแบบนี้ที่ "ผู้นำ" ของประเทศเรากำลังยัดเยียดโลกทัศน์เช่นนี้ให้แก่ผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศ มันจะไม่นำไปสู่สิ่งใดทั้งสิ้น นอกจาก ความสับสนและความทุกข์ยากของชีวิต เท่านั้น ภายใต้บรรษัทอาณาจักร เงินกลายเป็นพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุด ขณะที่ บริโภคนิยมกลายเป็นสิ่งเสพติดของผู้คน โดยทำให้คนทั่วไปพึ่งพาตนเองไม่ได้ ไม่รู้แม้แต่ว่า น้ำและอาหารที่บริโภคกันทุกวันนั้นได้มาอย่างไร ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีการดูแลตนเองในสภาพแวดล้อมตามท้องถิ่นของตนทำได้อย่างไร คนทั่วไปถูกทำให้เชื่อว่า เราต้องมุ่งหน้าไปสู่อนาคตอยู่เสมอ เพราะพวกเราไม่เคยรู้สึกพอ ทั้งๆ ที่ชีวิตนี้แสนสั้นนัก เราควรพอใจกับความเป็นตัวเรา และเป็นตัวของตัวเองจะดีกว่า เราควรพอใจกับการใช้เงินเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น และเพื่อแสวงหาความหมายที่แท้จริงให้กับชีวิตจะดีกว่า ไม่ใช่มุ่งแต่จะสั่งสมความร่ำรวย โดยมีความร่ำรวยเป็นเป้าหมายโดยตัวของมันเอง เพราะนี่คือ หนทางที่นำไปสู่หายนะ หากคนทั้งโลกหลงผิดคิดเช่นนี้เหมือนกันหมด มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่ ปัญญาญาณ ชีวิตและการมีจิตสำนึก จะต้องถูกบูรณาการเข้าด้วยกันกับวิวัฒนาการของจักรวาฬ และสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในจักรวาฬ เราต้องไม่ลืมว่า ชีวิตเป็นเรื่องของทางเลือก การที่พวกเราจะสนองตอบต่อ ทางเลือก ที่อยู่ตรงหน้าได้ดีเพียงไร และทำให้ศักยภาพแห่งชีวิตของเราปรากฏเป็นจริงได้มากน้อยเพียงไร จึงเป็นการทดสอบที่จะเปิดเผยให้เห็นว่า สติปัญญาของเรานั้นล้ำลึกเพียงไหนด้วย การต่อต้าน การครอบงำของบรรษัทอาณาจักรที่มีต่อราชอาณาจักรในประเทศของเราขณะนี้ จึงกลายเป็นการต่อสู้เชิงจิตวิญญาณอย่างหนึ่งไปโดยปริยาย เพราะมันเป็นการต่อสู้ การปะทะกันทางโลกทัศน์ที่มีมิติเชิงจิตวิญญาณดำรงอยู่ เพราะลึกๆ แล้ว บรรษัทอาณาจักรแห่งทุนนิยมก็ทำหน้าที่ไม่ต่างไปจากศาสนาชนิดหนึ่ง เพราะมันปลูกฝังศรัทธาในผลกำไรให้แก่ผู้คน มันเผยแพร่ความเชื่อในบริโภคนิยมไปทุกที่ มันเปลี่ยนแปลงระบบความเชื่อระบบคุณค่าของผู้คนในท้องถิ่น เพื่อ "รื้อถอน" โครงสร้างของสังคมนั้นให้ "ยอมสยบ" อยู่ใต้อาณาจักรของตน กล่าวโดยความหมายนี้ "ผู้นำ" แห่งบรรษัทอาณาจักรของประเทศนี้ก็เป็นแค่ "ร่างทรง" ของ ศาสนาใหม่แห่งบริโภคนิยม ที่แฝงตัวเข้ามาในคราบของ นักการเมือง เท่านั้น
=================================
หลังยุคทักษิโณมิกส์ ปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ (จบ) โดย ยุค ศรีอาริยะ 20 ธันวาคม 2548 17:46 น. ทักษิโณมิกส์ คิดเก่า-ทำเก่า 5 ประการ ประการแรก คือ คิดเก่า ทำเก่า ทางเศรษฐกิจ โดยคิดว่า "โลกาภิวัตน์คือรุ่งโรจน์" จึงหลงชื่นมื่นในเศรษฐกิจฟองสบู่ และประเมินกระแสความผันผวนในยุคโลกาภิวัตน์ต่ำกว่าที่เป็นจริง จึงวางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบให้โป่งพองอีกครั้งหนึ่ง และวางฐานรากระบบเศรษฐกิจไทยบนฐานการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ หรือการส่งออกเป็นสำคัญ และในเวลาเดียวกัน ก็พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเป็นสำคัญ ท่านลืมไปว่า เศรษฐกิจฟองสบู่ คือระบบเศรษฐกิจเก่าที่เคยทำลายประเทศไทยมาแล้ว จึงถือว่าเป็นระบบเศรษฐกิจที่อันตราย และไม่ยั่งยืน และท่านไม่เข้าใจว่า โครงสร้างการพึ่งพารวมทั้งนโยบายเน้นการส่งออก และการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันคือนโยบายเศรษฐกิจเก่าตั้งแต่สมัย "คุณปู่" สุดโบราณ แสนโบราณ ซึ่งทำให้ไทยไม่อาจพัฒนาไปข้างหน้าได้ ส่วนนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งแต่ขยาย GNP ก็สุดโบราณอีกเช่นกัน เดี๋ยวนี้ระบบเศรษฐกิจโลกใหม่กำลังหันกลับมาสู่แนวคิดที่ขยาย "ความสุข" ของประชาชน ด้วยการสร้างวัฒนธรรมที่งดงามและพอเพียง โดยไม่ได้มองในแง่การผลิต และการบริโภคเป็นหลัก กล่าวอย่างสรุปคือ ทักษิโณมิกส์ไม่เข้าใจว่าประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างระบบเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่ยั่งยืน และพึ่งตัวเองได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการวางฐานเศรษฐกิจวัฒนธรมที่พอเพียงภายใน และขณะเดียวกันก็ต้องสร้างตลาดภายในที่มั่นคง และลดการพึ่งพาต่างชาติลง ประการที่สอง ความ "โปร่งใส" ได้กลายเป็นคุณลักษณะพิเศษทางการเมืองในยุคนี้ เนื่องจากความไม่สามารถปกปิดได้ และการไหลของข้อมูลข่าวสารที่มีลักษณะทั่วโลกและไร้พรมแดน นักการเมืองคนใดก็ตามที่ต้องการวางฐานการเมืองที่มั่นคงและระยะยาวขึ้น ต้องสร้างระบบการเมืองใหม่ที่โปร่งใสขึ้น ไม่เช่นนั้น นักการเมืองคนนั้นจะมีอายุสั้นอย่างยิ่ง และอาจจะมีจุดจบในฐานะทรราชผู้ปล้นแผ่นดิน และไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม เพราะหากความ "ไม่โปร่งใส" เกิดขึ้น ไม่ว่าในรูปของการคอร์รัปชัน การเปิดโปงด้านข่าวสารซึ่งอยู่เหนือกว่าการควบคุมจะก่อตัวขึ้น จนอาจก่อกระแสต้านระบบการเมืองที่ "ไม่โปร่งใส" ดังกล่าว ดังนั้น ความพยายามที่จะควบคุมสื่อ คือแบบแผนของการเมืองแบบทรราชเก่า ซึ่งการดำเนินนโยบายดังกล่าวถือได้ว่าเป็นนโยบายที่โง่งมอย่างยิ่ง และใช้ไม่ได้ อีกเช่นกัน ประการที่สาม คือ การที่ทักษิโณมิกส์หลงอยู่กับเรื่อง "เงิน" และ "อำนาจ" ทำให้มองข้ามความสำคัญของวัฒนธรรม การศึกษา และการสร้างชุมชนแห่งปัญญาขึ้น นี่สะท้อนถึงความล้มเหลวเรื่อง การปฏิรูปการศึกษา และการสร้างวัฒนธรรม และค่านิยมที่ดีงามแก่ประชาชนไทย ประการที่สี่ การดำเนินนโยบายโดยใช้การปราบปรามที่รุนแรง คือนโยบายที่สุดๆ "โง่งม" นโยบายนี้เป็นนโยบายเก่าโบราณสุดๆ เช่นกัน ระบบโลกปัจจุบันได้เคลื่อนเข้าสู่ยุค Chaos จึงสร้างลักษณะพิเศษทางการเมืองขึ้น กล่าวคือ "ยิ่งปราบ ยิ่งปั่นป่วน และยิ่งรุนแรง" ประการที่ห้า การเมืองกำลังพัฒนาไปจาก "ยุคการเมืองเลือกตั้ง" สู่ "การเมืองแบบมีส่วนร่วม" นี่คือลักษณะพิเศษของการเมืองยุคคลื่นลูกที่สาม ปัจจุบัน กลุ่มชนต่างๆ กำลังแสดงบทบาททางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นคนเล็กคนน้อย จนถึงกลุ่มพลังขนาดเล็กๆ จนถึงขนาดใหญ่ ดังนั้น การพยายามปิดกั้นการแสดงออกทางการเมือง รวมทั้งความคิดที่จะสร้างรัฐตำรวจ คือนโยบายที่โง่งมอีกเช่นกัน พอฟังผมสรุป เพื่อนคนหนึ่งกล่าวว่า "ในเมื่อทักษิโณมิกส์ล้มเหลวจนก่อเกิดกระแสต่อต้าน แต่หากว่าคุณทักษิณมี "อัตตา" สูงก็คงไม่ยอมรับว่าตัวเองล้มเหลว ถ้าเป็นเช่นนี้ เมืองไทยคงหนีความรุนแรงไปไม่พ้น" ผมตอบว่า นี่คือความรู้สึกที่ดี เพราะโดยพื้นฐานคนไทยไม่ชอบความรุนแรงอยู่แล้ว ความไม่ชอบความรุนแรงนี้ ทำให้การเมืองไทยมี "ทางออก" แต่ถ้าถามผมอย่างเป็นรูปธรรมว่าจะสร้างทางออกแบบสันติวิธีได้อย่างไร ผมคิดว่าเราต้องสร้างกลุ่มพลังกันขึ้น และหันไปผลักดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ โดยเริ่มจากการแก้รัฐธรรมนูญครั้งใหม่ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมเห็นด้วยกับ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ เพราะนี่คือเส้นทางสันติธรรมที่สอดคล้องกับกฎหมายบ้านเมือง หรือรัฐธรรมนูญเดิม โดยอาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 313 เป็นหลัก แต่วิธีการที่ผมเสนอแตกต่างจากที่ ดร.อมร นำเสนอ ผมจะเน้นเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสำคัญ ตามมาตรา 313 การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีที่มาได้ 2 ทางคือ จากคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีปัจจุบันคงไม่มีใครคิดแก้ แต่มาตรานี้ยังเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดย ส.ส. หรือจาก ส.ว.จำนวน 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกในสภานำเสนอได้ นี่หมายความว่า พรรคฝ่ายค้านถ้ารวมตัวกัน หรือ ส.ว.ถ้าผนึกกำลังกัน ก็สามารถนำเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่ที่สำคัญการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ควรจะมีการเคลื่อนไหวเป็นกระแสทั่วประเทศ ก่อนนำเสนอ โดยเปิดเวทีสาธารณะขึ้น ให้ประชาชนและนักวิชาการมีส่วนร่วม เช่น การเปิดเวทีรัฐธรรมนูญขึ้นในจุดต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเปิดการแลกเปลี่ยน และระดมสมองจากประชาชนทั่วประเทศ ในการนี้ควรจะมีการสร้างเครือข่าย "ชุมชนแห่งการเรียนรู้" และศึกษาเรื่องรัฐธรรมนูญและปัญหาประชาธิปไตยขึ้นทั่วประเทศ ดังนั้น การนำเสนอ หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในเวลาเดียวกันนอกจากจะเป็นการสร้างระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมแล้ว ยังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการขจัดการผูกขาดและการพยายามรวบอำนาจทางการเมืองของทักษิโณมิกส์ และในเวลาเดียวกันก็จะช่วยเสริมฐานความโปร่งใสทางการเมืองแก่ระบบการเมืองไทย การปฏิรูปการเมืองครั้งที่แล้ว ได้ผ่านมาแล้วหลายปี ผมคิดว่านักวิชาการและคนไทยหลายคนเริ่มเห็นข้ออ่อนใหญ่ๆ หลายประการแล้ว เราน่าจะนำเอาข้อบกพร่องเหล่านี้มาสำรวจ วิจารณ์ และแก้ไข ตัวอย่างเช่น ประการแรก วุฒิสภา ที่เคยคาดหวังว่าจะสร้าง ส.ว. ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง ดูจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว สาเหตุหนึ่งเนื่องมาจากบรรดาผู้สมัคร ส.ว. ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในการหาเสียง จำเป็นต้องอาศัยฐานพลังการเมืองจากพรรคการเมืองเป็นกำลังสนับสนุน ประการที่สอง สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ผ่านมามีฐานะไม่ต่างจากสภาโจ๊ก เพราะหากรัฐบาลไม่สนใจ บทบาทในฐานะที่ปรึกษาก็จะหมดไป ประการที่สาม องค์กรที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบทั้งหมด รวมถึงองค์กรอิสระทั้งหมด ได้กลายเป็นองค์กรที่ถูกแทรกแซงด้วยกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอำนาจทางการเมืองหนุนหลัง ไม่มากก็น้อย ทั้งนั้น ประการที่สี่ การให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสูงเกินไป แทนที่จะก่อให้เกิดผลดี กลับทำให้เกิดระบบรัฐบาลแบบ "ข้าแน่ ข้ามีอำนาจแต่ผู้เดียว" นอกจากนี้ ก็ยังมีประเด็นเล็กๆ อีกจำนวนมากที่ต้องแก้ไข อย่างเช่น เงื่อนไขกฎหมายที่ทำให้ ส.ส. ต้องขึ้น หรือเป็นทาสกับพรรค และประเด็นเรื่องผู้สมัครต้องจบปริญญาตรีก็น่าจะหยิบยกขึ้นมาแก้ไข ผมคิดว่าถ้าประชาชนช่วยกันเคลื่อนไหวผลักดันการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 การปฏิรูปครั้งนี้จะกลายเป็นประตูทางออกทางการเมืองที่หลายๆ ฝ่ายเห็นพ้องกันว่า "การเมืองไทยได้ก้าวมาถึงทางตันแล้ว" แต่ถึงอย่างไร ผมคิดว่า เราน่าจะไม่คิดเฉพาะแต่เรื่องของการปฏิรูปการเมือง เหมือนครั้งที่แล้ว เราน่าจะคิดเรื่องการปฏิรูปแบบบูรณาการ ขึ้น พูดง่ายๆ ผมคิดว่า เราน่าจะตั้งคณะกรรมการขึ้น 4 ชุด ชุดแรก คือ ชุดที่ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ และการเมืองไทย ชุดที่สอง คือ การปฏิรูปวัฒนธรรม และการศึกษา โดยดูจากความล้มเหลวในการแก้ปัญหาดังกล่าว ชุดที่สาม คือ เรื่องเศรษฐกิจซึ่งน่าจะหันมาศึกษาการสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ว่าจะวางรากฐานระบบนี้ได้อย่างไร ชุดที่สี่ คือ กลุ่มที่ศึกษาความล้มเหลวในการปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ และวางแผนแก้ปัญหานี้ว่าจะแก้กันอย่างสันติวิธีได้อย่างไร ชุดที่ 2 ถึง 4 น่าจะจัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอผ่านสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางเสนอแนะอย่างเป็นรูปธรรม ที่ประชาชนนำเสนอต่อรัฐบาล ผมขอสรุปสุดท้ายว่า สภาวะวิกฤตในตัวเองก็คือ โอกาส วิกฤตการเมืองปัจจุบันกำลังสร้างโอกาสให้เราได้ก้าวสู่ยุค "สังคมแห่งการเรียนรู้" และระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม การจัดตั้งชุมชนเพื่อศึกษาปัญหาบ้านเมืองอย่างจริงจังในขอบข่ายทั่วประเทศ คือ ขบวนการการสร้าง "สังคมแห่งการเรียนรู้" แบบหนึ่ง เมื่อเราศึกษาเรียนรู้ และเข้าใจปัญหาอย่างถึงราก การเริ่มต้น คิดใหม่ ทำใหม่ ก็จะเกิดขึ้นอย่างเป็นจริง ในเวลาเดียวกัน การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ดังกล่าว จะกลายเป็นรากฐานของระบบประชาธิปไตยใหม่ หรือประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม =================================
ขยายรูปโพไฟล์ล่าสุด
Create Date : 21 ธันวาคม 2548 |
Last Update : 21 ธันวาคม 2548 15:07:20 น. |
|
20 comments
|
Counter : 465 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ju (กระจ้อน ) วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:9:47:51 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:9:58:02 น. |
|
|
|
โดย: merf1970 วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:10:10:59 น. |
|
|
|
โดย: บันทึกสีขาว วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:13:39:04 น. |
|
|
|
โดย: ป้ามด วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:13:39:17 น. |
|
|
|
โดย: Black Tulip วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:15:04:18 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:16:02:33 น. |
|
|
|
โดย: กุมภีน วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:18:30:33 น. |
|
|
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:18:40:03 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 22 ธันวาคม 2548 เวลา:1:22:08 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 22 ธันวาคม 2548 เวลา:2:57:16 น. |
|
|
|
โดย: Black Tulip วันที่: 22 ธันวาคม 2548 เวลา:10:32:58 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 22 ธันวาคม 2548 เวลา:10:35:15 น. |
|
|
|
โดย: ยัยบี๋ วันที่: 22 ธันวาคม 2548 เวลา:13:59:00 น. |
|
|
|
โดย: จูล่ง_j IP: 58.8.109.66 วันที่: 21 มีนาคม 2549 เวลา:18:27:25 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เนื้อความประมาณว่า คนไทยอดทนเป็นเลิศ อดทนต่อการถูกเอาเปรียบจากกลุ่มผู้นำ โดยไม่โต้แย้ง