บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
11 มกราคม 2549
 
All Blogs
 
จิตสำนึกแห่งทางเลือกในยุคทักษิณครองเมือง(20)-ดร.สุวินัย ภรณวลัย








จิตสำนึกแห่งทางเลือกในยุคทักษิณครองเมือง (20)

โดย สุวินัย ภรณวลัย 10 มกราคม 2549 16:59 น.


//www.suvinai-dragon.com

20. ว่าด้วยอัตตาในทักษิณาธิปไตย

"ผู้รู้แจ้งอยู่ เบื้องหลัง ดังนั้น จึงอยู่ เบื้องหน้าปล่อยวาง จึงเป็นหนึ่งเดียวกับทั้งมวล ทำอย่างไร้ตัวตน จึงเพียบพร้อมสมบูรณ์"เต๋าเต็กเก็ง

คงคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก ในสังคมที่ผู้คนขาดสติกันเป็นจำนวนมากในทุกระดับชั้นว่า การหลีกเลี่ยงอารมณ์ตึงเครียด จะทำให้เกิดศานติขึ้นภายในจิตใจได้ และจะเป็นหลักประกันว่าคนผู้นั้นจะมีสุขภาพดี และอายุยืนตามธรรมชาติได้

ผู้ใดก็ตามที่ดำเนินชีวิตสวนทางกับหลักการนี้จะถูกทำลายจากอวัยวะภายในอย่างรุนแรง "ผู้นำ" ที่ลืมตน เจ้าอารมณ์ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอารมณ์เสียมากเกินไปบ่อยครั้งไป นานวันเข้าเขาผู้นั้นย่อมตกเป็นเหยื่อของโลภะ โมหะ โทสะ สมองที่ตึงเครียดเกินไป จะบ่อนทำลายศีรษะของเขา อารมณ์ที่ปั่นป่วนมากเกินไปจะบั่นทอนหัวใจของเขา ความหลงตัวเอง และความโลภของเขาจะกัดกร่อนกระเพาะของเขา ร่างกายของเขาจะทรุดโทรมจากภายในอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้

เมื่อใดก็ตามที่ ความโกรธ ปะทุขึ้น มันจะบั่นทอน อวัยวะตับ ของคนผู้นั้น ทำให้ร่างกายของผู้นั้นสูญเสีย หยิน อย่างรุนแรง ถ้าทำได้คนเราควรเข้าถึงสภาวะจิตที่สามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้โดยปราศจากความโกรธ หรืออย่างน้อยควรมีสติรู้เท่าทันความโกรธของตนเองให้จงได้

คนที่ชอบ วิตกกังวลมากเกินไป จะมีผลต่อ หัวใจ และ ม้าม ทำให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย สุดท้ายจะหมดพลัง และขาดสมาธิ

คนที่ชอบ เร่งรีบมากเกินไป จะทำให้ร่างกายสึกหรอเร็ว

คนที่ชอบ คิดมากเกินไป จะทำให้สูญเสียความแจ่มใสของสมอง

คนที่มี ความปรารถนามากเกินไป จะทำให้สมองและจิตวิญญาณสับสนเสื่อมถอย

ในช่วงห้าปีมานี้ เป็นที่สังเกตเห็นได้ชัดว่า จุดตันเถียนบนของ "ผู้นำ" คนนี้ของเราอ่อนแอลงมาก จนตกอยู่ในสภาพการณ์ที่คล้ายกับรถที่กำลังเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ตัวคนขับไม่รู้ว่าจะควบคุมรถอย่างไร ซึ่งสุดท้ายย่อมอาจเป็นอันตรายกับคนอื่นทำร้ายตัวเอง และทำลายรถด้วย ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ และผลด้านลบทางจิตใจของเขา เช่น ความโกรธ ความเครียด จะส่งผลกระทบหลายระดับในวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก เหมือนอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้ "ผู้นำ" คนนี้ของเรากำลังตกอยู่ในสภาวะ "เสียสมดุลภายใน" อย่างรุนแรง แล้วกำลังทำให้สังคมไทยของเรา "เสียระบบ" อย่างรุนแรง

การที่ "ผู้นำ" ของเราเคยเผลอหลุดปากออกมาว่า จะดูแลพื้นที่ที่เลือกคนของพรรคไทยรักไทยก่อนพื้นที่อื่น ภายหลังจากที่ทราบผลว่า พรรคของตนพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่สะท้อนลักษณะแพ้แล้วพาล ความเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นของตนออกมาอย่างล่อนจ้อนซึ่งสะท้อนภาวะการเสียสมดุลภายในของตนเท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำลาย "ระบบ" ของสังคมด้วย ทั้งๆ ที่ตัวเขาและรัฐบาลของเขาก็ได้ทำลาย "ระบบ" ของสังคมมาโดยตลอด ด้วยการลวงล่อปัจเจกชนให้ละโมบและชักจูงให้หลงลืมผลประโยชน์ส่วนรวมมองอะไรไม่ไกลไปกว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้าส่วนตน

เรื่องทั้งเรื่องล้วนมีที่มาจาก "อัตตา" ของคนเพียงคนเดียวเท่านั้น คนผู้นี้แอบอ้างว่าเคยอ่านงานเขียนของท่านพุทธทาสภิกขุมาหลายเล่มจนเลื่อมใสถึงขนาดน้อมรับเอาธรรมะของท่านพุทธทาสมาเป็นแนวทางปฏิบัติงานของตนที่มุ่งจะเป็น นักการเมืองโพธิสัตว์

ผู้ใดก็ตามที่ศึกษางานของท่านพุทธทาสจนเข้าถึงจะรู้ดีว่า คำสอนที่ท่านพุทธทาสเน้นมากที่สุดก็คือ คำสอนเรื่อง "ตัวกูของกู" (อัตตา) จึงเป็นเรื่องแปลกแต่จริงเรื่องหนึ่งที่ปัจจุบันประเทศของเรามี "ผู้นำ" ที่มีอัตตาสูงมากที่สุดคนหนึ่งในรอบหลายสิบปีมานี้ มิหนำซ้ำ เขายังเป็นคนที่พูดอย่างทำอย่าง อย่างยากที่จะหาใครเปรียบได้ด้วย

สิ่งนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ "ผู้นำ" ของเราต่างกับท่านพุทธทาสอย่างเห็นได้ชัด เพราะท่านพุทธทาสเป็นคนที่มี จุดยืน ชัดเจน ท่านไม่เคยปฏิเสธสิ่งหนึ่ง แล้วยอมรับสิ่งเดียวกันนั้นกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ธรรมบรรยายของท่านก็ไม่อิงกับกระแสสังคม ไม่ขึ้นกับบุคคล แม้ว่าจะตรงข้ามกับความเห็นของบุคคลผู้มีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาของสังคม หรือไม่ตรงกับความเห็นของคนส่วนใหญ่ หรือแม้แต่ไม่ตรงกับคำสอนของพระทั่วไปก็ตาม

คนที่สามารถยืนในจุดยืนของตนเองได้ตลอดเวลาโดยไม่โอนเอนตามสังคมนั้น จะต้องเป็นคนที่มีความหนักแน่น มั่นคง รอบคอบ กล้าหาญ และเคารพความจริง ซึ่ง "ผู้นำ" คนนี้ของเราไม่อาจทำให้พวกเรารู้สึก และยอมรับว่าเขาเป็นคนประเภทนี้ได้ อีกประการหนึ่งที่อยากจะชี้ให้เห็นก็คือ






ภายใต้สภาวะปัจจุบันที่เป็นอยู่ มันยากยิ่งที่จะเชื่อได้ว่า นักการเมืองโพธิสัตว์ จะมีอยู่จริง หรืออย่างน้อยคงไม่ใช่ "ผู้นำ" คนนี้แน่ที่จะมีคุณสมบัติอย่างนั้นได้ เพราะไม่ว่าจะดูยังไง หรือให้โอกาสมานานถึงห้าปีแล้ว คนผู้นี้ก็ยังคง เสียสละไม่จริง ไม่ได้มีจิตที่เมตตาต่อสรรพสัตว์อย่างไม่จำแนกจริง ยังปล่อยวางไม่ได้จริง และหาได้มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่จริง แต่อย่างใดไม่

ในสถานการณ์อย่างนี้ ถ้าโพธิสัตว์ทั้งหลายจำเป็นต้องลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อปกป้องธรรมและเพื่อพิทักษ์แผ่นดิน ดูจะมีความเป็นไปได้มากกว่า

ความมี อัตตาสูง มีความเป็น "ตัวกูของกู" สูงของคนเรานั้นดูกันที่ตรงไหน? ผู้มีปัญญาในสมัยโบราณท่านชี้แนะให้ดูที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตของบุคคลผู้นั้นว่า ทำตนดุจ ตุ๊กตาหน้าโง่ ที่ปล่อยให้ "มายา" จูงจมูกด้วยเชือกที่เรียกว่า กิเลส ตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังหรือไม่?

ให้ดูที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตของบุคคลผู้นั้นว่า รู้ทัน สมมติบนโลก ได้หรือไม่ว่า ชีวิตของเราเป็นเพียงการหยิบยืมของบนโลกนี้มาใช้ชั่วคราวเท่านั้น ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้จริง อย่างมากก็ได้แค่สิทธิครอบครองเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดสิทธิหมดเวลา ก็หมดอำนาจการครอบครองดูแล หากผู้ใดก็ตามไปหลงลืมตัวคิดว่าเป็นของตนได้จริงย่อมจะเกิดทุกข์

หากบุคคลใดก็ตาม ยังคงยึดมั่นถือมั่นในอำนาจเงินทองวัตถุสิ่งของที่มุ่งสะสมไว้ราวกับว่า ตัวเองไม่มีวันตาย ย่อมเกิดภาระทางใจที่คอยเหนี่ยวรั้งดวงจิตของผู้นั้นให้หลง ยึดติดกับอำนาจและเงินทองวัตถุสิ่งของบนโลกว่าเป็นตัวกูของกู คนผู้นั้นย่อมยากที่จะมี พัฒนาการทางจิต ได้

ท่าน "ผู้นำ" เอย ท่านได้ตระหนักบ้างหรือยังว่า การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของท่าน จมปลักอยู่กับสิ่งที่ไร้สาระหาแก่นสารมิได้มากกว่า เกาะติดอยู่กับกระแสธรรม?

ท่าน "ผู้นำ" เอย ท่านเคยมีสติรู้ทันอัตตาตัวตนของท่านบ้างหรือไม่ว่า ท่านยังคงลุ่มหลงอยู่ในกิเลส ตัณหา อุปทานและอวิชชาอย่างหนาแน่น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลให้จิตใจของท่านตกเป็นทาสของสมมติบัญญัติ เกิดอวิชชาหลงผิดคิดว่าเป็นจริงเป็นจัง ทั้งๆ ที่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นเพียงภาพมายาแห่งจิตเท่านั้น?

ท่าน "ผู้นำ" เอย จงอย่าเพียงพูดว่าแผ่เมตตาแต่ปาก ทั้งๆ ที่ในจิตใจของท่านยังคงโกรธแค้นอาฆาตอยู่ โดยหามีความเมตตาอยู่ภายในจิตใจเลย อย่างนี้จะแผ่เมตตาออกไปได้อย่างไรเล่า?

การที่คนเราจะเมตตาให้กับสิ่งใดได้นั้น คนเราจะต้องรักสิ่งนั้นให้ได้เสียก่อน เพราะอารมณ์เมตตานั้นจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ความรัก เสมอ โพธิสัตว์ที่แท้จะต้องรักได้แม้แต่คนที่คิดเป็นศัตรูกับตัวเอง คนเราเวลาศึกษาธรรมจะต้องไม่หลอกตนเอง จะต้องกล้าที่จะพิจารณาสภาวธรรมตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในจิตใจตนถึงจะสามารถ "ก้าวข้าม" อัตตาตัวตนแห่งตัวกูของกูได้

อวิชชา เปรียบเหมือน ปมของเชือก ที่ผูกซ้อนกันไว้เป็นชั้นๆ ด้วย ปัญญา คนเราย่อมสามารถแก้ ปม เหล่านั้นออกได้จนมาถึง ปมสุดท้าย แต่เมื่อปมสุดท้ายของเชือกถูกแก้ออกเชือกเส้นนั้นกลับหายไป

เพราะมีปมจึงมีเชือกอยู่

พอหมดปมเชือกก็ไม่ดำรงอยู่

ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนที่เดินทางมาถึง ปมสุดท้ายของอวิชชา ซึ่งเป็น หมากตาสุดท้าย ของนักกลยุทธ์ เขาย่อมพบกับความจริงของคำว่า "อนัตตา" ว่า

ปมและเชือกมันไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงเลยตั้งแต่ต้น








Create Date : 11 มกราคม 2549
Last Update : 11 มกราคม 2549 8:49:30 น. 3 comments
Counter : 516 Pageviews.

 
ขอบคุณค่ะสำหรับบทความดีๆ

...

ระวัง เขาจะว่า ...เห่า...อะไรกันอีก


โดย: กระจ้อน วันที่: 11 มกราคม 2549 เวลา:9:28:24 น.  

 
แวะมาสวัสดีค่ะ คุณคนเดินดินฯ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 11 มกราคม 2549 เวลา:9:38:25 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณเดินดิน
แวะมาอ่านบทความดี
ล่ะก็ พยักหน้าหยิกๆ อึมๆๆ
เห็นด้วยเลยค่ะ

ภาพประกอบสวยมากค่ะ


โดย: พลอยสีรุ้ง วันที่: 11 มกราคม 2549 เวลา:10:14:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.