[3] บ้านประหลาด : เปิดดูใบเสร็จ บุกทลายกองดอง แล้วเดินทางไปเยี่ยมญาติๆ?!
บ้านประหลาด : เล่มที่ 3 ของหนังสือชุดอยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย เลโมนี สนิกเก็ต (เขียน) : อาริตา พงศ์ธรานนท์ (แปล) : สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น : ราคา 95 บาท การดูใจ รู้นิสัย หรือศึกษาใครสักคน โบราณว่าต้องอาศัยวัน เวลา และความเข้าใจ ฟังดูเป็นเรื่องที่ไม่จบในตอนสั้นๆหรือทำกันง่ายๆใช่ไหมครับ
แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ เอาเข้าจริง...มันจะยิ่งยาวนานและยากกว่าที่เราคิด!?
การที่เราต้องอาศัยเวลานานๆในการสำรวจใจใครสักคนนั้น นอกเหนือไปจากเพื่อค่อยๆกะเทาะเปลือกของเขาหรือรอดูธาตุแท้ให้แน่ชัดแล้ว ผมว่า จังหวะ ในการทำความรู้จักกับใครสักคน ก็มีผลไม่น้อย
ในที่นี้ผมเหมาไปถึงจังหวะในการได้ทำความรู้จักกับหนังสือสักเล่มด้วยเช่นกัน
สแกนใบเสร็จข้างบนนี้ฟ้องว่าในเวลา 16.04น. ของวันที่ 8 เดือนมีนาคม ปี 2005 ร้านหนังสือบุ๊คไวไรตี้ โซนบิ๊กซี รังสิตได้จำหน่ายหนังสือบ้านประหลาด หนังสือเล่มที่ 3 ในชุดอยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้ายให้แก่ผู้ชายที่ใช้นามปากกว่า ขอรบกวนทั้งชุดนอน (ด้วยหลักฐานที่ไม่เพียงพอ เราไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนที่ไปซื้อจะเป็นนายชุดนอนตัวจริงไหม เพราะในใบเสร็จไม่มีอะไรยืนยันว่าคนที่ชำระเงินสวมชุดนอน...แต่ทางสรรพกรไม่ต้องออกติดตามไล่ล่าหาความจริงแต่อย่างใด เพราะด้านล่างของใบเสร็จได้ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า สินค้าได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้แล้ว)
หนังสือเล่มนี้อาศัยความเก่าของใบเสร็จเอ่ยปากถามผมอย่างงอนๆ ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมได้หนังสือเล่มนี้ทันทีที่ซื้อมันมา ณ วันนั้นเมื่อ 3 ปีก่อน อันนี้ผมแปลอย่างสุภาพ ที่จริงใบเสร็จมันถามผมว่า มึงรู้ตัวไหมว่ามึงดองกูไว้ตั้ง 3 ปี!!
เราคงเคยดองหนังสือกันทุกคนใช่ไหมครับ คุณก็รู้ว่าเวลาดองเรามักจะไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นในการกระทำนั้น ผมเลยไม่มีคำตอบใดๆ ไปตอบหนังสือที่ทำแก้มป่องเชิดหน้าใส่ ได้แต่คิดตามคำถามของมันไปว่า ชีวิตของผมจะเปลี่ยนไปไหม ทัศนคติของผมจะเป็นยังไง ถ้าผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้ทันทีที่ซื้อมา หลังจากเอามันมาปัดฝุ่น ง้อเอาใจสารพัด(ซึ่งทำยังไงก็ไม่ได้ผล) แล้ว(จึงตัดสินใจขืนใจปล้ำ)อ่านมัน(ซะเลย) เมื่ออ่านจบ ผมอาศัยความคุ้นเคยกันกับหนังสือ(ที่เคย ผ่านมือ กันมาแล้ว) ถามหนังสือเล่นๆ บ้างว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพวกเด็กกำพร้าโบดแลร์ได้มาทำความรู้จักกับ ป้าโจเซฟีน ก่อนที่พวกเขาจะถูกส่งตัวมาอยู่ด้วยในฐานะที่ป้าคนนี้คือ 1 ในบรรดาญาติๆของตระกูลโบดแลร์
เคยไปเยี่ยมบ้านญาติไหมครับ? สมัยเด็กๆ นี่ เวลาไปเที่ยวบ้านญาติถือเป็นการผจญภัยประเภทหนึ่ง เราจะได้ไปที่ใหม่ๆ พอไปถึงก็แค่ยกมือไหว้เจ้าของบ้านแล้วอาศัยความที่ยังเป็นเด็กไม่ต้องมีมารยาทมากนัก วิ่งฉิวไปหาอะไรที่พอจะเหมาะมือมาจับเล่นได้ในทุกซอกมุมทั่วทั้งบ้าน หากเราโตขึ้นมาหน่อยเป็นวัยรุ่น การไปเยี่ยมญาติเหมือนเป็นการไปแสดงความเคารพที่ควรกระทำ (เพราะถ้าเรารอนานไป เราอาจจะต้องไปแสดงความเคารพญาติในสถานการณ์ที่ญาติไม่สามารถยิ้มตอบกลับมาได้ ...หรืออาจจะยิ้มตอบได้...แต่จะเกิดเป็นเรื่องหลอนพองขนติดตามมา) เวลาไปถึงก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ทำหน้าตาให้ดูสังเกตเห็นได้ชัดว่าโตเป็นหนุ่มขึ้นเป็นกอง และคอยตามคำถามจำพวกว่าเรียนที่ไหน เป็นยังไงบ้าง หรือประมาณว่ามีแฟนหรือยัง
ผมรู้มาแค่ 2 สเต็บครับ เพราะมีประสบการณ์แค่ในช่วงชีวิตวัยรุ่น 555+ (ไม่ยอมแก่) เลยไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ไปเยี่ยมผู้ใหญ่กว่า หรือคนเฒ่าคนแก่ไปมาหาสู่กันเค้ารู้สึกยังไง
ใน บ้านประหลาด 3 เด็กกำพร้าโบดแลร์ถูกส่งตัวไปอาศัยอยู่กับป้าโจเซฟินในดินแดนอันห่างไกล เรื่องราวในระหว่างที่พวกเด็กๆอาศัยอยู่ในบ้านประหลาดถูกบันทึกอยู่ในหนังสือแล้ว แต่อย่างที่ผมสงสัย คือจะเกิดอะไรขึ้นถ้าตอนที่พ่อแม่ของพวกเด็กๆยังมีชีวิตอยู่ได้พาพวกเขามาเยี่ยมป้าโจเซฟินบ้าง ใน จังหวะ ที่การได้ทำความรู้จักเปลี่ยนไปนี้ พวกเด็กจะรู้สึกกับป้าคนนี้อย่างไง
ในวันที่พวกเด็กๆเดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ป้าอาศัยอยู่ พวกเด็กจะรู้สึกยังไงกับชื่อของสถานที่สุดประหลาดคล้ายจะเพี้ยนอย่างท่าเรือตายใจ ทะเลสาบระทมทุกข์ และภัตตาคารตัวตลกวุ่นวายใจ...และที่ประหลาดที่สุดคงไม่พ้นตัวบ้านของป้าโจเซฟินเอง
พวกเด็กๆจะยังวิ่งเล่นไปทั่วบ้านไหม ถ้าพบว่าบ้านถูกสร้างอยู่ไว้บนหน้าผาสูง โดยมีไม้เก่าๆ ผุๆ ฟังๆ เป็นเสาค้ำไว้แบบเสียมิได้ไม่กี่อัน ...แถมในทะเลสาบด้านล่างยังมีเอเลี่ยนดุร้ายอาศัยอยู่...(ครับ...เล่มนี้มีเอเลี่ยนด้วย?!)
พวกเด็กๆจะตลกขบขำ สับสนไม่เข้าใจ หรือเก็บเอาป้าไปนินทาระหว่างเดินทางกลับไหม เมื่อพบว่าป้าคนนี้เป็นคนที่หวาดกลัวอะไรได้ทุกสรรพสิ่งด้วยเหตุผลของตัวป้าเอง เธอกลัวเครื่องทำความร้อน เพราะเกรงว่ามันอาจระเบิดถ้ากดเปิดมัน เธอกลัวพรมเช็ดเท้าหน้าบ้าน เพราะใครอาจจะเดินไปสะดุดมันเข้า...จนล้มคอหักตายได้ หรืออย่างโทรศัพท์ เธอที่กลัวมันเพราะถ้าหากจับมันเมื่อไหร่ เธออาจจะถูกไฟดูดตายได้... ในเรื่อง...เมื่อโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้น ป้าโจเซฟินเกิดอาการตกใจก่อนในจังหวะแรก... ตายแล้ว! เราจะทำยังไงกันดี ก็รับโทรศัพท์สิครับ/คะ พวกเด็กๆว่า แต่ในจังหวะสองหลังหายตกใจป้าโจเซฟินหันมาลังเลใจแทน มันอาจจะเป็นเรื่องสำคัญก็ได้นะ แต่ป้าไม่รู้ว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยงต่อการถูกไฟดูดตายรึเปล่า จนแล้วจนรอดป้าแกก็ไม่รับ...จนพวกเด็กๆทนไม่ไหวไวโอเล็ตเลยต้องเสี่ยงชีวิต(?)เข้ารับแทน
ที่ประหลาดหนักเข้าไปอีกคือ พอป้าโจเซฟินเห็นเด็กๆรับโทรศัพท์แล้วยังรอดปลอดภัย เธอสารภาพว่าตัวเองไม่เคยรับโทรศัพท์มาก่อน ปกติสามีของเธอจะเป็นคนรับให้ แต่นั่นเป็นเพราะสามีของเธอสวมถุงมือพิเศษป้องกันเอาไว้แล้ว (โอ้...ประหลาดทั้งผัวทั้งเมีย) ทิ้งท้ายเธอบอกกับพวกเด็กๆว่า แต่ตอนนี้ป้าเห็นไวโอเล็ตรับโทรศัพท์แล้ว...คราวหน้าถ้ามีใครโทรมาอีก ป้าอาจจะลองรับดู ทันใดนั้นหลังป้าพูดจบ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น...ในจังหวะแรกป้าโจเซฟินยังไม่ได้รับสาย...เธอตกใจก่อน -*- แล้วจึงตระโกนว่า ป้าไม่คิดว่ามันจะดังอีกเร็วขนาดนี้ โอ้ย! ช่างเป็นคืนที่ต้องผจญภัยเสียจริงๆ! (เอากับป้าแกสิ)
จริงอยู่หากเรายังอยู่ในวัยเดียวกับพวกเด็กๆโบดแลร์ การที่นานๆ ครั้งได้ไปพบเจอญาติเพี้ยนๆ สัก 2 -3 ชั่วโมงดูจะเป็นเรื่องสนุกติดตลก แต่เราคงจะขำไม่ออกแน่ หากเรากลายเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก แล้วต้องถูกส่งไปอยู่กับญาติเพี้ยนๆไปตลอดชีวิต
คำถามที่ผมถามหนังสือจึงไม่มีวันได้รับคำตอบ (เหมือนที่ผมไม่มีคำตอบให้หนังสือว่าทำไมไปดองเค็มมันอย่างเลือดเย็นอย่างนั้น) เพราะ จังหวะเดียว ที่พวกเด็กๆจะได้ใช้วัน เวลา และทำความรู้จักกับป้าโจเซฟิน คือจังหวะหลังจากพวกเขาตกอยู่ในฐานะเป็นเด็กกำพร้า(ที่มีจอมวายร้ายไล่ล่า)ไปเสียแล้ว นี่ยังไม่นับว่า จังหวะ ที่ว่านั้นช่างเป็นจังหวะที่ไม่เหมาะจะทำความรู้จักกับป้าคนนี้เอาเสียเลย ด้วยเมื่อสามีของเธอจากไป(เจอเอเลี่ยนหม่ำงั่มๆ) ความเพี้ยนของป้าแกก็เลยทะลักจุดแตก เด็กๆจึงไม่ได้รับทั้งความรักความอบอุ่น จำต้องทนเอือมระอากับความหวาดกลัวที่ไร้เหตุผล แถมยังต้องสับสนไปกับตีความ คาดเดา หรือการทำความเข้าใจในพฤติกรรมสุดหลุดโลกของป้าเค้าอีกต่างหาก
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพ่อแม่ของพวกเด็กๆไม่เคยพาลูกๆไปเยี่ยมญาติมาก่อน เลยไม่รู้ว่าพวกตนมีญาติคนไหน(ที่เป็นคน)เยี่ยมๆ(ดีๆ)บ้าง ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ไปเขียนพินัยกรรมส่งลูกของตัวเองไปเผชิญเคราะห์กรรมอย่างเรื่องราวในเล่ม 3 นี้
ถึงตอนนี้จวบจนกำลังจะเขียนรีวิวจบ...ผมก็ยังคิดอยู่ตลอดว่าการได้อ่านหนังสือในช่วงจังหวะเวลาที่ต่างกัน ส่งผลกับความคิดอ่าน การนำสารไปย่อย และการดูดสับสาระเข้าสู่ร่างกายจริงๆ และผมจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า จะเป็นยังไงหากผมอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน มันเป็นการพลาดที่เกิดขึ้นได้เพราะความไม่รู้ เราจะรู้ได้ยังไง ว่าหนังสือที่เราเดินผ่านไปผ่านมาบนชั้นวางตามร้านหนังสือ จะน่ารักขนาดไหน หากเราตักสินใจซื้อกลับบ้านแล้วได้ไปรู้จักกับมันเดี๋ยวนี้ มันจะสอนอะไรเราได้มากมายขนาดไหน ถ้าคืนนี้ เราเอามันไปนั่งอ่านเล่นก่อนนอน และมันจะเปลี่ยนแปลงความคิดหรือชีวิตเราไปเป็นคนละเรื่องเลยไหมนะ ถ้าเราได้อ่านมันวันนี้
ถ้าเราไม่ไปเยี่ยมมัน...เราจะรู้ได้ยังไงว่ามันเยี่ยม... อย่าเป็นอย่างผมนะครับ อย่าเสียเวลาและพลาดโอกาสในการอ่านหนังสือเล่มนี้ไปเป็นปีๆ เพียงเพื่อที่จะได้มาซึ่งความค้างคาใจที่พลาดโอกาสสัมผัสหนังสือใน จังหวะ แรกที่ได้พบเจอ
เพราะไม่แน่นะ จังหวะนี้ อาจจะเป็นจังหวะที่เหมาะที่สุดที่คุณจะอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ได้ ^^
Create Date : 17 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 6 ธันวาคม 2552 15:24:50 น. |
|
15 comments
|
Counter : 2207 Pageviews. |
|
|
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 17 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:00:39 น. |
|
|
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 17 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:04:28 น. |
|
|
|
โดย: Martha IP: 124.121.27.218 วันที่: 17 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:12:51 น. |
|
|
|
โดย: nikanda วันที่: 18 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:33:43 น. |
|
|
|
โดย: นัทธ์ วันที่: 18 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:20:50 น. |
|
|
|
โดย: BloodyMonday~ IP: 124.120.63.30 วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:12:49:53 น. |
|
|
|
โดย: Martha IP: 124.122.192.216 วันที่: 21 กรกฎาคม 2551 เวลา:23:51:23 น. |
|
|
|
โดย: แม่ไก่ วันที่: 23 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:06:08 น. |
|
|
|
โดย: หนังสือมือสอง (AngelTomorrow ) วันที่: 25 กรกฎาคม 2551 เวลา:1:31:44 น. |
|
|
|
โดย: หมูย้อมสี วันที่: 26 กรกฎาคม 2551 เวลา:14:00:21 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เราใช้เวลานานกว่านั้น
ให้ทาย..............
ตอนที่ 3 ของหนังสือชุด พิมพ์ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนกันยายน 2545
และในเดือนถัดมา เราก็ซื้อหนังสือเล่มนี้มาจากงานสัปดาห์หนังสือ (หลักฐานคือ เราห่อปกพลาสติกเอง)
6 ปีที่หนังสือเล่มนี้ และเล่มก่อนหน้านี้ ดองไว้ในตู้หนังสือนอกห้องนอน และเราตัดสินใจบอกตัวเองไว้ว่า ...จะอ่านเมื่อจบชุด
เล่มต่อๆ มาเราก็เลยไม่กระตือรือร้นที่จะซื้อหนังสือออกใหม่อีกเลย
ไว้หาซื้อตอนช่วงลดราคา ไว้ดูในร้าน 50% ก็ได้
คุณชวนเราหยิบหนังสือชุดนี้มาอ่าน ....ซึ่งเราเชื่อว่า เราใช้เวลาอ่านน้อยกว่าคุณนะ
ที่ทำให้เราแค้นใจตัวเองก็คือ
ตอนที่อ่านเล่มที่ 3 อย่างสนุกสนานติดพัน มาถึงหน้า 64 แล้ว
หน้าถัดมาที่ควรจะเป็นหน้า 65 ...หายไป
กลายเป็นหน้า 49 - 64 อีกครั้ง
เราพลิกไปเรื่อยๆ ก็ไม่เจอว่า หน้า 65 - 80 ไปซุกซ่อนอยู่ตรงไหน
ทิ้งช่วงมานานถึง 6 ปี จะส่งหนังสือไปขอเปลี่ยนกับสำนักพิมพ์ก็กระไรอยู่ เลยจำใจอ่านข้ามไป จนจบนั่นแหละ
แต่มันก็ยังค้างคาใจอยู่ดี เลยต้องเสาะหาหนังสือตอนที่ 3 อีกครั้งจากร้าน 50%
เคราะห์ดี หรือไม่ก็เพราะเด็กกำพร้าทั้งสามอยากให้เรารับรู้เรื่องราวชีวิตอย่างต่อเนื่องก็เป็นได้
ทำให้เราพบเล่ม 3 ในร้าน 50% ร้านแรกที่แวะเข้าไปทันที
ตอนนี้ติดตามมาถึงตอนที่ 5 แล้วค่ะ .....แล้วก็ที่เราเข้าใจว่ามีหนังสือครบชุดอ่ะ ...เราเข้าใจผิดไปเอง
เล่ม 6 ยังไม่มีเลย .....แต่ก็ไม่รีบร้อนนัก
เพราะคุณอ่านกว่าเรา เราจะค่อยๆ หาต่อไป ....
วางเรื่องของเด็กกำพร้ามาใส่ใจกับต้นไม้ก่อน ...เดี๋ยวจะผิดสัญญา
หากเด็กกำพร้าเหล่านี้ เป็นเด็กสัญชาติไทย หรือสัญชาติเอเซีย ละก้อ
เชื่อว่า พวกเค้าต้องเคยไปเยี่ยมเยียนและทำความรู้จัก คุณป้าโจเซฟินแน่ๆ
สมัยเด็กๆ ....เรามักจะรอเวลาปิดเทอม
เพราะพ่อกับแม่ จะพาไปเยี่ยมปู่กับย่า และพักอยู่บ้านปู่กับย่า ได้ทำความรู้จักญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายพ่อ ทั้งปู่ ย่า ลุง ป้า อา และลูกพี่ลูกน้อง
อีกปีถัดมา ก็ถึงคิวทำความรู้จักญาติทางแม่ เพราะไปเยี่ยมตากับยาย
ที่นี่ เราได้ผจญมากกว่าบ้านปู่กับย่า เพราะเป็นบ้านสวน
เลยได้เดินเที่ยว ทำตัวเป็นนักผจญภัยได้เต็มขั้น ปีนต้นฝรั่ง สอยมะขามเทศ และเก็บไข่มดแดง
แล้วก็ทำความรู้จักคุ้นเคยกับตา ยาย ลุง ป้า น้า และลูกพี่ลูกน้อง ฝั่งนี้บ้าง
ชีวิตแบบครอบครัวใหญ่ลักษณะนี้ ...สามพี่น้องโบดแลร์คงไม่เคยสัมผัสหรอก
พวกเค้ามีความสุขอยู่กับครอบครัวเล็กๆ ของตัวเอง
และคุ้นเคยกับ มิสเตอร์โพ มากกว่าญาติของตัวเองซะอีก
ช่างเป็นเด็กกำพร้าที่มีชีวิตเศร้าและโชคร้ายสุดๆ