|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
อั ม พ ว า...วั น นี้ พ า ฝ รั่ ง ไ ป ค่ า ย บ า ง กุ้ ง
- แม่น้ำแม่กลอง -
เ ช้ า วั น เ ส า ร์
ตื่นมากินอาหารเช้าริมแม่น้ำแม่กลอง..
สองฝั่งน้ำวิวงามไม่แพ้กัน....
บรรยากาศเงียบสงบ สบายๆ เย็นลมจากแม่น้ำ
แม้ขนมปังปิ้ง จะมีแค่แยมผิวส้ม กับแยมสตรอว์เบอรี่ ไม่มีเนยมาให้
แต่กาแฟยามเช้า ก็ยังอร่อยเลิศ
..มิสเตอร์พอล นิวแมน เธอไม่ดื่มกาแฟ
แต่จะดื่มชาเวลาอาหารเช้า กับตอนสี่ทุ่ม
เวลาไปไหนมาไหน...ฉันจึงต้องหนีบชาลิปตันเตรียมพร้อมไว้เสมอ
เพราะที่พักบางแห่ง..ก็ไม่มีชาให้ มีแต่กาแฟ อันนี้ไม่ได้ตำหนิเจ้าของ หรือผู้ให้บริการ
เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าก็มักจะดื่มกาแฟเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว
อะไรที่ขาดตกบกพร่องไปนิดๆ หน่อยๆ
จึงถือเป็นหน้าที่ของฉัน ที่จะต้องดูแล
เป็นความสุขเล็กๆ ที่ได้ดูแล.... 55555
วั ด ส ว ย ๆ...ฝั่ ง ต ร ง ข้ า ม
เ รื อ ห า ง ย า ว
ตอนสาย เราออกมาเดินตลาดน้ำอัมพวาอีกครั้ง
วันนี้เป็นวันเสาร์ แน่นอนว่านักท่องเที่ยวต้องแน่นขนัดแน่ๆ
แต่เราก็หาย่อท้อไม่ 55555
แดดเริ่มร้อนเปรี้ยง ....ตอนที่เราเดินออกมาจากที่พัก
ความจริงมันก็ร้อนพอๆ กันทุกที่แหละนะ เราว่า
มาเที่ยวทั้งที จะหลบร้อนอยู่แต่ในห้องแอร์ได้ยังไง
ไปเดินเล่น ถ่ายรูปกันดีกว่า
ถ้าทนไม่ไหว ค่อยว่ากัน...
แล
โบสถ์หลังงาม ตรงทางเข้าตลาดน้ำ
- ร้ า น ริ ม ร ะ เ บี ย ง -
- ฝ รั่ ง จ า ก ส ว น -
บ า ง ช้ า ง ส ว น น อ ก .... ( บ า ง ก อ ก ส ว น ใ น )
เดินริมน้ำ จนเหงื่อไหลไคลย้อย..
จึงหลบเข้าซอย มาทะลุสวนสวยๆ ที่บางช้างสวนนอก
ในนี้ร่มเย็นด้วยเงาต้นไม้ และสีเขียวสบายตา
ผู้คนก็ไม่พลุกพล่านจนเกินไป ไม่ต้องเดินเบียดกันเหมือนริมน้ำ
......................................................
ต่อจากตลาดน้ำ เรามีโปรแกรมจะไปดูโบสถ์โพธิ์ปรก ที่วัดบางกุ้ง
พี่หน่อย เจ้าของบ้านจึงขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกมาให้เราขับไปเที่ยว
แถมด้วยแผนที่อย่างละเอียดอีกหนึ่งแผ่น...
ขอบคุณมากมาย
......................................................
แล้วฉันก็กางแผนที่ ก่อนจะขี่มอเตอร์ไซค์ให้ฝรั่งดั้้งโด่งนั่งซ้อนท้าย
ไปอย่างเก้ๆ กังๆ
พาไปค่ายบางกุ้ง Unseen in Thailand ที่ฉันอยากจะไปตั้งนานแล้ว
จากอัมพวา ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองมาได้ ก็ถึงเขตอำเภอบางคนฑี
ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดสมุทรสงครามแค่ 10 กิโลเมตร เท่านั้นเอง
และค่ายบางกุ้ง ก็อยู่ ณ ที่แห่งนี้...
อ นุ ส า ว รี ย์ พ ร ะ เ จ้ า ต า ก สิ น ม ห า ร า ช
อันว่าค่ายบางกุ้งนี้ ประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเอกทัศ
เป็นค่ายของกองทัพเรือ ที่ยกทัพมาตั้งค่ายรอสู้รบกับพม่าที่ตำบลบางกุ้งแห่งนี้
ส่วนทหารทัพบก ไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองราชบุรีโน่น
สมัยนั้นพระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่าได้ยกทัพมาตีอยุธยา โดยให้มังมหานรธาเป็นทัพหน้า
ได้แวะมาตีค่ายบางกุ้งก่อน จนค่ายแตกในปี พ.ศ. 2308 (จขบ.และคนอ่านยังไม่เกิด)
หลังจากนั้นอีกสองปีกรุงศรีอยุธยาก็ถึงคราล่มสลาย เป็นลำดับถัดมา
แต่ว่าเรื่องยังไม่หมดแค่นี้...ยังไม่ถึงไฮไลท์ของค่ายบางกุ้งค่ะ
ต่อมาพระเจ้าตากสินมหาราชกู้เอกราชกลับคืนมาได้สำเร็จในปี พ.ศ.2310
(เอาคืนในปีเดียวกันนั่นแหละค่ะ)
พระองค์ก็ได้โปรดให้คนจีนจากระยอง ชลบุรี ราชบุรีและกาญจนบุรี
รวบรวมพลพรรคมาตั้งเป็นกองทหารรักษาค่ายนี้ไว้ จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
"ค่ายจีนบางกุ้ง"
...............................................
...ครั้นต่อมา พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต ซึ่งอยู่เวียงจันทร์ แต่อยากเอาใจพม่า
ก็เลยไปทูลกระซิบพระเจ้ามังระว่า บัดนี้ไทยแลนด์มีพระเจ้ากรุงธนบุรี
กำลังตั้งตนเป็นใหญ่ พระเจ้ามังระเลยนั่งไม่ติด
รีบสั่งให้เจ้าเมืองทวาย คุมกำลังเข้ามาเพื่อตรวจตราดูสถานการณ์
ในอยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน
เจ้าเมืองทวายก็ฉลาดแท้ แต่งตั้งโปมังเป็นทัพหน้าคุมทหารพม่ามา 3,000 นาย
แอบเข้ามาทางเมืองไทรโยค
พอเดินทัพมาถึงค่ายบางกุ้งก็จ๊ะเอ๋กับค่ายทหารจีนของพระเจ้าตากสินตั้งอยู่
ก็เลยจัดการให้ทหารพม่าล้อมค่ายบางกุ้งไว้ คงกะจะขยี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง
แต่เจ้าเมืองสมุทรสงครามท่านไวกว่า รีบส่งข่าวไปยังกรุงธนบุรี
(ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงแค่กดโทรศัพท์สองสามจิีก..)
ตามพงศาวดารกรุงธนบุรีกล่าวว่า พระเจ้าตากสินทรงทราบข่าวนี้ด้วยความยินดียิ่ง
โปรดให้พระยามหามนตรี (บุญมา) จัดกองทัพเรือ 100 ลำเศษ
พร้อมด้วยศาสตราวุธรีบเร่งมายังค่ายบางกุ้ง
พระยามหามนตรีก็ไม่รอช้า เพราะคาดการณ์ไว้ว่าค่ายบางกุ้งคงจะต้องแตกในไม่ช้า
จึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองเพื่อวางแผนบงการ และปลุกใจเหล่าทหาร
ก่อนจะเข้าตีทัพพม่า ท่านได้เน้นว่า....
" ถ้าช้าไปอีกวันเดียว ค่ายบางกุ้งจะแตก
และขวัญทหารไทยจะไม่มีวันฟื้นคืนได้ การรบทุกครั้ง การแพ้อยู่ที่ขวัญและกำลังใจ
ถ้าไทยแพ้อีกในครั้งนี้ พม่าจะฮึกเหิม พวกไทยจะครั่นคร้าม และกู้ชาติไม่สำเร็จ
การรักษาค่ายบางกุ้งไว้ให้ได้ในครั้งนี้ ได้ชื่อว่าท่านทั้งหลาย
ได้ช่วยขวัญของไทยในการรบครั้งต่อไป"
การรบครั้งนี้ตะลุมบอนกันด้วยอาวุธสั้น
พระยามหามนตรีนำทหารไล่ฆ่าฟันพม่าข้าศึกแตกกระจาย
ทหารไทยยิ่งฮึกเหิม สู้สุดชีวิต ไล่ฟันแทงข้าศึกล้มตายเป็นอันมาก
พระยาทวายเห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้
ขืนสู้ต่อไปคงมีหวังไม่ได้กลับไปเห็นแผ่นดินพม่าอีก
จึงสั่งถอยทัพ รวบรวมไพร่พลหนีกลับไปเมืองทวายทางด่านเจ้าขว้าว
ทิ้งเรือรบและศาสตราวุธมากมายไว้ให้ดูต่างหน้า
กองทัพไทยเราจึงยึดไว้ทั้งหมด และมีเสบียงอาหารมากมายเป็นของแถม
................
ชัยชนะในการรบที่ค่ายบางกุ้งครั้งนี้ ส่งผลต่อชาวไทยหลายประการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ไทยเรายังคงเป็นชาติเอกราชต่อไป ไม่ถูกย่ำยีทำลายล้างอีก
และได้สร้างขวัญและกำลังใจเป็นอันมากให้กับคนไทยทั้งชาติ
ภายในบริเวณค่ายบางกุ้งนี้มีโบสถ์เก่าที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
ชาวบ้านเรียกว่า โบสถ์หลวงพ่อดำ หรือโบสถ์ปรกโพธิ์
เนื่องจากโบสถ์หลังนี้มีลักษณะพิเศษคือ ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ถึง 4 ชนิด
คือต้นไทร ต้นโพธิ์ ต้นไกร และต้นกร่าง
ข้างในโบสถ์นั้นเย็นมาก เพราะปกคลุมไปด้วยรากและร่มเงาไม้ตลอดเวลา
รากไม้ที่ยึดเกาะกับผนังโบสถ์ ทำให้ได้บรรยากาศเก่าแก่ ขรึม ขลัง
ชวนให้นึกจินตนาการถึงภาพอดีตเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน
ตามแต่ใจจะพาไป
ใครจะไปรู้....เราอาจเดินทับไปบนรอยเท้าของคนในยุคสมัยนั้น
อย่างน้อยๆ ก็เหล่าทหารไทย ทหารพม่า ที่เคยไล่ฆ่าฟันกันแถวนี้
อาจมีใครบางคนเข้ามาขอพรจากหลวงพ่อดำ เพื่อให้มีชัยชนะ
และรอดชีวิตกลับไปหาคนทางบ้าน
โอย...นี่ฉันคิดมากไปหรือเปล่านี่
- ด้ า น ห น้ า โ บ ส ถ์ -
สรุปว่าวันนี้ ได้มาค่ายบางกุ้ง สมที่ตั้งใจ
แม้แดดจะร้อนแรงไปบ้าง
แต่ก็หาเป็นอุปสรรคไม่..อิ อิ
| |
Create Date : 10 ธันวาคม 2555 |
Last Update : 10 ธันวาคม 2555 20:43:12 น. |
|
8 comments
|
Counter : 1640 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 11 ธันวาคม 2555 เวลา:9:45:05 น. |
|
|
|
โดย: PrettyNatty วันที่: 11 ธันวาคม 2555 เวลา:14:42:18 น. |
|
|
|
โดย: NET-MANIA วันที่: 11 ธันวาคม 2555 เวลา:15:23:35 น. |
|
|
|
โดย: ป้าโซ วันที่: 13 ธันวาคม 2555 เวลา:15:12:21 น. |
|
|
|
โดย: หกพันไมล์ วันที่: 13 ธันวาคม 2555 เวลา:23:25:59 น. |
|
|
|
โดย: หกพันไมล์ วันที่: 24 ธันวาคม 2555 เวลา:22:36:25 น. |
|
|
|
|
|
|