ผืนฟ้า แดนดิน โลกกว้าง และ ชีวิต คือ ห้องเรียนห้องใหญ่ของผม

ความทรงจำ2- Hyperventilation syndrome @ 2005/10/10 08:51:12

จริงๆแล้วผมมี Blog มานานแล้ว แต่ไม่เขียนเพราะปกติผมเขียนไว้ที่ๆนึงแต่ว่า ตอนนี้มันปิดซ่อมอยู่


เอาเหอะ เพราะผมไม่ได้คิดว่าจะมาเขียนให้ใครดูอยู่แล้ว ผมขอแค่ให้ผมได้มีทางระบายออกก่อนที่อาการจะเป็นหนักกว่านี้





hyperventilation syndrome มันเป็นอาการที่ผมเป็นขณะนี้ มันเป็นโรคที่ทำให้ผมกับแฟนต้องถึงคราวที่ต้องแตกหักเพราะเค้าคิดว่า ทำไมผมต้องเอาชีวิตผมไปฝากไว้ที่เค้าด้วย เค้า คือ คนที่ผมรักมากที่สุดคนนึง เค้าเป็นแฟนคนที่สองในชีวิตผม ไม่แปลกหรอกครับที่เค้าจะรู้สึกอย่างนั้นเพราะเค้าเองเด็กกว่าผมมาก มากถึง 8 ปี ยังมีชีวิตอีกเยอะ ยังมีอนาคตอีกไกล ผมเองอยู่ดีๆทำไมถึงเป็นโรคนี้ ผมเองตอบได้เลยว่าไม่รู้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็น จนกระทั่งเมือ่ประมาณสามอาทิตย์ที่แล้ว ผมมีปํญหากับคนที่ผมรักมาเกือบสามสี่เดือน แล้วสรุปสุดท้ายผมถามเค้าว่าเอายังไง เค้าบอกว่า ขอเลิก ผม ถึงสามครั้ง แต่สุดท้ายผมไม่ยอม เมื่อถามถึงปํญหาถามลึกๆไปมา ปรากฎว่า เค้านอกใจผม เค้าแอบไปมีอะไรกับคนอื่น แต่รู้ไหมผมตอบว่าไง ผมตอบว่า อ้าวเรื่องเท่านี้เองเหรอ นึกว่ามีใครคนอื่นจริงๆจังอีก ถ้าถามผมจากใจจริงผมรู้สึกไหม รู้สึกครับ รู้สึกมากด้วย แต่เมื่อผมเปรียบเทียบกับความรักความห่วงใยที่เค้ามีให้มาเสมอ ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่มากตราบใดที่เค้ายังรักผม เราจะฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน นี่เป็นเเบบทศสอบอีกอันของชีวิตคู่เรา ว่าเราจะประคับประคองมันได้มากน้อยเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้มันร้ายแรงขึ้นไปกว่าเดิมคือ เค้าเริ่มรู้สึกหมดรักผมแล้ว อะไรต่างๆที่เราเคยทำร่วมกันเค้าเริ่มทำด้วยความฝืน ไม่ได้ทำด้วยใจเหมือนเมื่อก่อน





ผมยังจำได้ เมื่อวันอาทิตย์ของสามอาทิตย์ก่อน หลังจากผมเลิกเรียนเสร็จ ตอนเย็นเค้าชวนผมไปบ้านเค้า ผมก้ไป เค้าบอกว่าจะไปดูหนังแต่ให้ผมรอเค้าเเป็บนึงเพราะเค้าขอล้างรถก่อน ผมก็ไปนอนรอที่ห้องเค้า ผมเองวันนั้นก็รู้สึกไม่สบายตัวร้อนเหมือนกันไม่รู้เพราะผมไม่สบายเองหรือเป็นเพราะผมเครียดมากเรื่องงานก็ไม่รู้ ผมเองไม่แน่ใจว่าอะไรมันเริ่มก่อน ผมเองเริ่มมีปํญหากับที่ทำงานเกิดมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในองค์กร ลูกน้องเพียงคนเดียวของผมถูกย้ายไปทำแผนกอื่นโดยที่ผมไม่มีคนใหม่มาแทน งานทั้งหมดของผมเริ่มชงัก งานของผมเองนั้นก่อนหน้านั้นเองยังต้องการคนเพิ่มเพื่อช่วยให้มันสำเร็จแต่ VP ของผมกลับลดคนไปอีก ไม่รู้คิดยังไง เหมือนกำลังตัดแขนขาผมออกไป ซึ่งปกติการทำงานของผมนั้นผมไม่ได้เป็นประเภทนั่งสั่ง ผมชอบลงไปลุยเองเลย เพื่อให้งานสำเร็จตามเป้า ไม่ใช่เเบ่งงานไม่เป็นนะแต่ไม่มีคนให้แบ่ง ต่อมาผมไปคุยกับ Department Mgr ของผมซึ่งเทียบเท่ากับ Director บอกว่าทำอย่างนี้ไม่ถูก แต่เรื่องก็เงียบไป มันทำให้ผมเครียดมากกับเรื่องงาน นอกจากนี้มีอีกเรื่องนึง มีงานของน้องในฝ่ายเดียวกันซึ่งเค้าไปดูงานที่อินโดนีเซีย เค้าฝากเลขาผมช่วยประสานงานด้านอาหาร ผมเองตอนแรกก็ไม่เกี่ยวแต่เนื่องจากหาคนช่วยไม่ได้ Director ก็สั่งแบบสายฟ้าก่อนวันงานสองวันให้ผมจัดการ โห ปกติงานตัวเองก็แทบทำไม่ทันแล้ว ยังต้องมาทำงานให้คนอื่นอีก แต่เอาเหอะเมื่อเจ้านายสั่ง ผมก็ต้องทำ แต่ช่วงนั้นอาการโรคกระเพาะของผมกำเริบขึ้นเรื่อยๆ ผมเองตอนนั้นด้วยความที่ว่าไม่ค่อยสบายและในใจก้ไม่ได้คิดอะไรละเอียดมากเรื่องโปรเจคนี้ เพราะตอนผมโทรไปหาน้องเค้าที่อินโด เค้าบอกว่าไม่มีอะไรมากเค้าจัดการหมดเรียบร้อยแล้ว เรื่อง Topic การประชุมก็จัดไว้หมดแล้ว แต่ผมเองถึงแม้อย่างนั้นก็โทรไปหาคนที่สำนักงานกรุงเทพ พยายามที่จะประสานงานเรื่องสถานที่ให้ โทรไป ปตท ฝ่ายที่จะมาพรีเซนท์งานเพื่อถามถึงหัวข้อการสนทนา ว่าเป็นยังไง โทรถึง ปตท ฝ่ายจัดแสดงนิทรรศการเรื่อง การจัดนิทรรศการ ที่บริษัทผม แต่ผมเองด้วยความประมาทไม่ได้ไปดูสถานที่จริงก่อนจัดงาน ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นตอนเช้าไปถึงห้องประชุมก็ยังไม่ได้จัด เอกสารก็ไม่เรียบร้อย ผมเองตอนเช้าโทรไปขอร้องน้องที่ทำงานที่สนิทคนนึงให้เข้ามาช่วย พอเจ้านายเดินเข้ามาดู เห็นก็โกรธมากเหมือนกับผมไม่รับผิดชอบ ผมมาเผางานก่อนเริ่ม ซึ่งโทษเจ้านายก็ไม่ได้ผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะผมเองนึกว่าเจ้าหน้าที่ที่ออฟฟิต กทม ที่ผมติดต่อเค้าจะช่วยจัดการให้ผม แต่ปรากฎเค้าลาป่วยเมื่อ บ่าย วันก่อนจัดงาน ผมเองก็โทษเธอไม่ได้เพราะถ้าผมไปดูเองก่อนวันจริง ผมเองก็คงแก้ไขอะไรได้ก่อนหน้านี้เยอะ ต่อมาห้วหน้าผมเรียกผมเข้าไป แล้วพูดกับผมว่า ผมผิดหวังกับตัวคุณจริงๆต้อม ผมก็ขอโทษพี่เค้าแล้วบอกแกว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยสบาย แกก็บอกว่าทำไมไม่บอกจะได้ให้คนอื่นทำ ผมเองก็รู้ว่าควรบอก แต่ว่างานแค่นี้ผมคิดว่าผมน่าจะทำได้ถึงแม้ไม่ได้มาดูด้วยตนเอง แต่งานครั้งนี้ทำให้หัวหน้าผมไม่พูดและไม่แม้กระทั่งมองหน้าผมมาเป็นอาทิตย์ ผมเองไม่โทษพี่เค้าหรอก ผมผิดเองจริงๆ





จากการเหตุการณ์ทั้งหลายเรื่อง ทั้งเรื่องสุขภาพ ทั้งโรคกะเพาะ โรคริดสีดวง เรื่องงาน อีกสารพัดจิปาถะ มันทำให้ผมเครียดค่อนข้างมาก แต่ผมเองทางที่ดีควรเล่าให้แฟนผมฟังบ้างเพื่อจะได้ระบายออก แต่ แต่ผมก็ไม่ได้เล่า เพราะเรื่องระหว่างเรามันตึงเครียดกันอยู่แล้ว มันไม่ดีที่จะเอาเรื่องอื่นเข้ามาหาเค้าอีก ผมก็เลยเก็บเรื่องงานไว้ที่ผมเพียงลำพัง แต่พอเย็นนั้น เย็นที่ผมนอนเล่นรอเค้าล้างรถนั้น ผมไข้ขึ้น ผมอยากให้เค้าดูแล ซึ่งเค้าก็ดูแลพอสมควร จริงๆลึกผมอยากให้เค้ากอดผมนานๆ ทั้งคืนได้ก็ดี เพราะผมรู้สึกอยากได้กำลังใจจากใครสักคน แต่ เพราะผมเองเคยบอกกับเค้าว่า ผมเองเวลากอดเค้าก็รู้สึกเหมือนกันว่าอยากมีอะไรกับเค้า ไม่รู้สิ มันรู้สึกเหมือนความอบอุ่นอีกอย่างนึงที่เราอยากได้รับในทางกายมั้ง แต่เพราะผมเคยพูดแบบนี้กับเค้า มันทำให้เค้าไม่ค่อยอยากกอดผมเท่าไหร่ กอด แต่มันก็ฝืนๆ ผมรู้ ผมรู้สึก ผมก็เลยคุยกับเค้า ถามเค้า ไปๆมาๆ ก็กลายเป็นทะเลาะกัน พอทะเลาะกันมากๆผมก็ร้องไห้ พอร้องไห้มากๆ ผมก็หอบและหายใจไม่ออก จนเค้า ต้องพาผมไปส่งโรงพยาบาล





จากจุดนี้มันทำให้เค้ารู้สึกว่าผมฝากชีวิตไว้กับเค้า อืม จิงๆก็เข้าใจนะว่าทำไมเค้ารู้สึกอย่างนั้น เพราะตอนนั้นอยากได้ความรักจากเค้า อยากได้มากๆ แต่พอมันไม่ได้ มันก็เริ่มสูญเสียความควบคุมตัวเองโดยไม่ตั้งใจ ถ้าจะถามกับแฟนคนแรกที่เลิกกัน เคยเป็นไหม ตอบได้ว่าไม่เคยเป็น ถึงแม้แฟนคนแรกผมจะรักเค้ามาก เค้าเป็นคนที่ชอบคอยชี้แนะผมเรื่องการทำงาน แต่ด้วยเหตุที่ว่าเค้า materialisum มากไปหน่อย ผมเองก้เลยกลายเป็นตัวถ่วงเค้า แล้วเราก็เลิกกัน แต่ตอนที่เลิกกับแฟนคนแรกนั้นผมยังมีงานที่ค่อนข้างดี ตอนนี้นที่บริษัทกำลัง implement ระบบใหม่ ซึ่งผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เรื่องระบบนี้ ดังนั้นหลังจากเลิกกับแฟนคนแรกซึ่งก็แรงพอสมควร อย่างน้อยผมยังมีงาน มีคนที่ทำงานที่ทำให้รู้สึกว่าผมสำคัญ ผมพยายามผลักดันตัวเองไปทำงาน สุดท้ายมันก็ทำให้ผมพออยู่ได้มาเรื่อย 1 ปี ก่อนเจอเค้า แต่คราวนี้ผมเหมือนรู้สึกว่า ผมไม่มีที่ให้อยู่ ไม่มีที่ให้เดิน ผมต้องมาทำงานเพราะผมไม่อยากให้ครอบครัวผมเป็นห่วง แต่มาก็ว่างเปล่า เจ้านายเริ่มถอดความสำคัญออกไป แฟนก็บอกว่าเค้าเกลียดผม เค้าอยากเลิกกับผมตลอดเวลา สุขภาพผมก็ช่างย่ำแย่เสียเหลือเกิน ไม่รู้เมื่อไหร่ จะหมดกรรม ซะทีวะ อยากนอนจัง นอนแล้วไม่ต้องตื่น มันคงจะดีกว่านี้มาก





มันเป็นความเห็นแก่ตัวของผมเองครับ ที่รั้งแฟนผมคนปัจจุบันเอาไว้ โดยผมกับเค้ามีข้อตกลงว่าพอสิ้นปีเค้าจะมีอิสระต่อตัวเค้าเอง แต่ตอนนี้ผมขอเหอะ ขอเหอะ ช่วยอยู่ก่อน ช่วยอยู่เป็นกำลังใจให้ผม เพราะผมรู้ตัวดีว่าตอนนี้ผมไม่ไหวจริงๆ ทั้งเรื่องงานและสุขภาพ ผมเห็นแก่ตัวจริงๆครับที่ต้องมากักขังเค้าไว้ ต่อมาผมได้คุยกับหมอต้น หมอต้นบอกผมว่า If you love someone, set him free. ผมฟังแล้วอึ้งๆแต่ยังไม่ปล่อย ด้วยความยึดมั่นถือมั่นของผม ต่อมา น้องสาวผม แซว เป็นน้องสาวผมที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ผมคุยกับแซว ผมได้คติข้อคิดหลายอย่าง เช่น 1 ผมยึดมั่นถือมั่นเกินไป ผมเองคาดหวังกับคนอื่นมากไป ทั้งๆที่กับตัวเองยังคาดหวังไม่ได้ 2 เวลาผมรักใคร ผมรักเค้าเกิน 100% มันทำให้ผมไม่มีจุดและที่ยืนที่เป็นของตัวเอง ดังนั้นเมื่อผมเลิกกับแฟนมันทำให้ผมอยุ่แทบไม่ได้ หลังจากที่ผมฟังทั้งสองคนพูดแล้วผมก็พยายามปรับตัว แต่ด้วยความเป็นอัตตาของผม มันทำให้ผมปรับตัวค่อนข้างช้า แต่ผมก็ค่อยๆปรับไปทีละนิด จนกระทั่งเมื่อวานตอนเย็น ผมได้รับโทรศัพท์จากคนคนหนึ่ง มันเป็นเสียงที่แข็งๆแต่คุ้นเคย มันเป็นโทรศัพท์จากแฟนเก่าผมเองครับ ผมได้เล่าเรื่องคร่าวๆให้เค้าฟัง โดยเปรียบเทียบเรื่องการว่ายน้ำในทะเลของชีวิต คำบอกกล่าวแรกที่ได้ยินจากเค้า ผมไม่แปลกใจเลยเพราะผมรู้จักนิสัยของเค้าดี แต่คำพูดต่อมาที่ได้ยินจากเค้า มันทำให้ผมมีสติขึ้นมาได้ เค้าบอกผมว่า คุณ คุณจมน้ำคนเดียวไม่พอเหรอไง ทำไมคุณต้องลากแฟนคุณลงไปตายด้วยกันหละ คำพูดคำนั้นมันทำให้ผมรู้ว่า สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ มันกำลังลาก แฟนผม คนที่ผมรัก ให้จมน้ำตามผมไป ด้วยไอ้ข้อสัญญาบ้าบอเรื่องสิ้นปีนี้ แต่ผมก็ไม่รุ้ว่าผมควรต้องทำอย่างไรดี ผมควรบอกเค้าให้ไปเหอะไม่ต้องมาสนผมเหรอ ผมควรต้องพูดอะไร ผมคิดไม่ออก ผม ผม ผมไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะว่าตอนนี้ไม่ว่าอะไรที่ผมทำมันก็ดูผิดไปหมด โดยเฉพาะในสายตาเค้า





ย่าครับ ผมคิดถึงย่ามากครับ อะไรหลายๆอย่างที่หมิงทำมันทำให้ผมคิดถึง ย่า ครับ หมิงชอบนอนเกาหลังให้ผมเพื่อให้ผมหลับเหมือนที่ย่าเคยทำ เวลาผมปวดท้องหมิงก็เอามือมาลูปท้องให้ผม เหมือนกับที่ย่าเคยทำให้ผมตอนผมเด็กๆ ย่าครับต้อมไม่รู้จะทำยังไงดีกับชีวิตแล้วครับ ต้อมรู้ครับว่าต้อมกำลังเป็นภาระให้หมิง การที่หมิงอยู่กับต้อม หมิงต้องมาดูแลคนที่เจ็บออดๆแอดๆ ทำให้หมิงเริ่มรู้สึกว่าหมิงไม่มีชีวิตเป็นของตนเองเพราะต้องมาดูแลต้อม มันคงทำให้เค้าเบื่อหน่าย ต้อมเคยถามเพื่อนหลายคนที่ไม่รู้สถานการณ์ของต้อม เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็คิดเหมือนกันว่าถ้าแฟนเค้าป่วยบ่อย ป่วยมาก ชีวิตเค้าคงไม่ Happy ดังนั้นเค้าก็คงอยากเลิกเหมือนกัน เกือบทุกคนที่เป็นผู้ชายจะรู้สึกว่าอยากได้คู่ที่สามารถไปด้วยกัน สามารถนำชีวิตเค้าประสพความสำเร็จได้ร่วมกัน ซึ่งต้อมตอนนี้คงขาดคุณสมบัตินั้นแล้ว ก็คงไม่แปลกที่หมิงจะรู้สึกอย่างนั้น ย่าครับ เมื่อคืนต้อมทำผิดพลาดอีกแล้วครับ เมื่อคืนต้อมปวดท้องมากกินยาแล้วก็ยังปวดไม่หาย ต้อมเผลอโทรไปหาหมิงอีกแล้วครับว่าต้อมปวดท้อง ตอนนั้นต้อมอยากได้กำลังใจมากเลย ก็คิดเหมือนกันว่าจะโทรไปหาแม่ แต่แม่คงนอนแล้ว ต้อมไม่อยากให้แม่ต้องมารับโทรศัพท์ด้วยความเป็นห่วงอีก แต่การที่ต้อมโทรไปหาหมิงนั้นมันอาจทำให้หมิงยิ่งรู้สึกไม่ดีกับต้อมก็ได้ ต้อมไม่อยากเป็นภาระให้หมิง ต้อมไม่อยากให้หมิงรู้สึกว่าต้อมกำลังใช้การไม่สบายนี้ดึงเค้าเอาไว้ ต้อมไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆนะครับย่า ต้อมแต่ต้องการกำลังใจจากคนที่ต้อมรักเท่านั้น มันทำให้ความตั้งใจของต้อมที่พยายามไม่ให้หมิงต้องมาจมน้ำตายกับต้อมเสียหาย ต้อมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆตรับย่า ต้อมไม่รู้จริงๆ




ย่าครับเมื่อไหร่จะถึงวันที่ต้อมจะได้ไปอยู่กับย่าบ้างครับ ต้อมรู้ต้อมพูดอย่างนี้ไม่ดีต่อพ่อกับแม่ แต่ต้อมเหนือ่ยเหลือเกิน แต่ก่อนใครๆก็ว่าต้อมเป็นอภิชาติบุตร แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ต้อมเป็นเลวร้ายกว่านั้นมากๆ ต้อมทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วง ต้อมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงให้พวกท่านรู้สึกไม่เป็นห่วงต้อม แต่ต้อมก็คงทำได้เท่านี้ ย่าครับ เห็นเค้าบอกกันว่าโรคมะเร็ง มันสามารถเป็นตามกรรมพันธ์ ไม่รู้ว่าต้อมจะเป็นเหมือนอาเล็กรึเปล่า ถ้าเป็นต้อมก็จะไม่เสียใจครับ เพราะมันอาจถึงเวลาของต้อมแล้วก็ได้ ไม่ต้องห่วงนะครับย่า ต้อมไม่ทำอะไรโง่ๆหรอก ไม่งั้นถ้าต้อมไปเจอ ย่าในสวรรค์ ต้อมจะตอบคำถามย่าได้ยังไงว่าทำไม แต่ถ้ามันเป็นกรรม ต้อม ก็ถือว่า ต้อมได้ชดใช้ แต่ตอนนี้ครับเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยมากครับย่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงวันนั้น ต้อมรักและคิดถึงย่ามากนะครับอีกไม่นานหรอกครับเราคงได้เจอกัน
edit @ 2005/10/10 08:51:12



Create Date : 01 กรกฎาคม 2549
Last Update : 1 กรกฎาคม 2549 19:05:21 น. 0 comments
Counter : 362 Pageviews.  

น้องzeroสุดหล่อ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




พายุที่มันพัดผ่าน หอบฝนมา
ฟ้ามืดหม่นสักเท่าไร เราอาจจะต้องหนาว
ต้องทรมานแต่ไม่นานก็คงจางหาย
มันเป็นเหมือนกำลังใจจากฟ้า
ส่งมาให้คนรู้ว่าชีวิตมีค่า..
แค่อย่าเพิ่งถอดใจ
[Add น้องzeroสุดหล่อ's blog to your web]