ผืนฟ้า แดนดิน โลกกว้าง และ ชีวิต คือ ห้องเรียนห้องใหญ่ของผม

2เดือนแล้วสินะ เชียงดาวในห้วงฝัน

นี่เกือบสองเดือนแล้วครับ ที่ผมดองรูปที่ผมไปเที่ยวเชียงดาวในห้วงฝัน จิงๆเคยเขียนเรื่องการไปเที่ยวมาทีนึงแล้วครับ แต่เนื่องจากมันหายไปกะสายยยยย ลมมมมม ก็เลยเอามาเขียนใหม่ค้าบบบ...

ผมกะอ้วนจัง (เพื่อนผม ที่ชอบสั่งสอนผมเหลือเกิน จนบัดนี้ ยกให้มันเป็นพี่อีกคนนึ่งแล้ว) เราสองคนได้เดินทางไปยังเชียงใหม่ด้วยรถบขส เพื่อรอรถตู้พาพวกเราขึ้นดอยเชียงดาว ตอนแรกก็เกือบไม่ได้มาแล้วนะเพราะ ทริปโดนยกเลิก เนื่องจากคนไม่ครบ ผมก็กร่อยอยู่พักนึง แต่เนื่องจากด้วยความมุ่งมั่นว่าอย่างไรก็ต้องไปให้ได้ ก็เลยไปหาทีมอื่นที่เขาไปกันแล้วขอไปจอยด้วยครับ

นี่คือด่านแรกคร้าบบ ผม... ป้ายอยู่ตีนเขา ซึ่งหลังจากที่ผมมาพบกับทีมที่จะขึ้น จัดของ สัมภาระ อาหารการกิน(ผมไม่ได้จัดหรอก พวกพี่เค้าจัด ผมจ่ายอย่างเดียว) พวกผมเดินแบกเป้ ขึ้นเขากันเองนะครับ ยกเว้นถุงนอน 0 F ของผมซึ่งหนักเหลือเกิน ก็เลยเอาฝากพี่ลูกหาบขึ้น หลายคนอาจแปลกใจว่าแบกเป้เองแล้วทำไมต้องจ้างลูกหาบใช่ไหมครับ คือว่า ที่ดอยหลวงเชียงดาวนั้น ไม่มีแหล่งน้ำบนเขาครับ ต้องแบกขึ้นเอาไปกันเอง รวมทั้งหม้อ ชาม ข้าวสารด้วย ครับ

นี่คือ กลุ่มเพื่อนที่ร่วมชะตากรรมครับ มาจากหลากหลายสารทิศ แต่ทีมที่เสมือนเพื่อนเดินทางของผม ประกอบด้วยพวกผมสองคน กับเพื่อนของอ้วนจังที่เคยเจอกันที่ ภูสอยดาว คนนึง รวมเป็นสามคน ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่เดินด้วยกันตลอด จนกระทั่งวันที่สองที่เริ่มสนิทกับ อีกทีมนึง ซึ่งเป็นเพื่อนกัน มากันจากเพชรบูรณ์ โดยมีคุณอ้อ ผู้หญิงหมวกขาว เป็นผู้นำทีม หะๆๆ เห็นสาวๆแบบนี้นะครับ เดินป่าเก่งกว่าผมอีก อายจังเลย ... ก็ผมเด็กใหม่หัดเดินนี่นา...

เหล่านักรบ รอคอยพระอาทิตย์ตกดินครับ ซึ่งจะเห็นได้ในเกือบทุกทริปนะครับ เท่าที่เจอๆ จุดมุ่งหมายของพี่ๆนักรบเหล่านี้ คือ ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก ถ่ายรูปดอกไม้ต่างๆ สำหรับผมคือ การเดินๆๆๆ และการผชญภัยค้าบบบ (แหะๆ เห็นคนเสื้อชมพูป่าว อ้วนจังเพื่อนผม มันบอกว่าน่ารัก อิอิ .. เอ! สองคนนี้มีภาคต่อรึป่าวนา เหอะๆ... ต้องไปถามกันเองนะค้าบบบ ผมไม่เกี่ยว)

นี่คือ พระอาทิตย์ตกดิน เมื่อเรายืนอยู่บนยอดดอยเชียงดาวครับ สวยป่าวๆๆ ใช้กล้องออโต้ได้ขนาดนี้ก็บุญแล้วนะ แต่พี่ๆเพื่อนๆหลายคนที่ไปด้วยกันบอกว่า ที่นี่สวยและอุดมสมบูรณ์มาก แต่สำหรับผม เดินยากฉิบเลย นี่ขนาดผ่านมาสองเดือนข้อเท้าผมยังไม่หายเจ็บเลย ผมล้มขาแพลงตอนลงจากเขาครับ ผมว่าเดินขึ้นง่ายกว่าเยอะเลย แต่ยังไงก็เหอะ ความสนุกกับรสชาติการใช้ชีวิตอีกแบบซึ่งผมไม่ได้ลอง มันก็ทำให้ผมมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้อีกครั้งนึงครับ ทริปหน้า ว่าจะไป ม่อนจอง แต่ยังไม่ได้ฤกษ์สักที แหะๆๆ ไม่รู้ว่าจะได้ไปไหม แต่ถ้าได้ไปจะเอารูปมาฝากนะครับ




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2549   
Last Update : 14 กรกฎาคม 2549 15:10:40 น.   
Counter : 1509 Pageviews.  

การเดินทางรอบ2ของผม

ตื่นขึ้นมาตอนตีสองก่าๆ ในเช้าวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม เนื่องจากนอนมากไป รู้สึกตอนนอน จะนอนประมาณสามทุ่มกว่า และ ไม่ได้อาบน้ำ เช่นเคย (งานนี้รีบทานยาตั้งแต่กลับบ้าน ก่อนขึ้นมาห้องนอนแล้ว) ตั้งใจว่าจะงีบนึงตามสูตรแล้วค่อยตื่นมาอาบน้ำ แต่คราวนี้ตื่นได้จริงๆ และหลับค่อนข้างสนิทด้วย (ปกติชอบหลับก่อนเพื่อบรรเทาความเหนื่อย แต่มักจะนอนไม่สนิท)

ตอนตื่นขึ้นมา ลืมตาโพลง สมองก็เริ่มรู้สึกทำงาน คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยๆ มาสะดุดอยู่ความคิดนึง นั่นคือ การเดินทางของผม ผมเองต้องขอบคุณ พี่ชายอ้วนของผม ที่ชี้ประตูบานนี้ให้ผมเห็น(อย่างไม่ตั้งใจ) แต่คนที่ไขประตูบานนี้ได้ก็คือผม และกุญแจมันก็อยู่ในใจผมเอง

อ้วนจังตัวแสป ชอบเดินทาง เพราะต้องการแสวงหาตัวตนของเค้า แต่ผมกลับไม่ใช่ สิ่งที่ผมแสวงหาคือ จุดหมายของมันตะหาก ผมจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตไร้จุดหมายมาตลอดก้ได้ ทุกเป้าหมายที่ผมเดินผ่านมานั้น เป็นจุดหมายที่คนที่ผมรักพยายามชี้ให้ ผมเองก็พยายามทำ ถึงแม้ไม่ได้ดีอย่างที่พวกท่านหวัง แต่ก็น่าจะถือได้ว่าไม่เลวร้ายนัก หลังจากที่ผมเรียนจบ ป. โท อย่างที่เป็นจุดมุ่งหมายที่คุณพ่อผมตั้งไว้ว่า คุณพ่อผมจะทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด คือการส่งเสริมให้ลูกชายคนนี้ได้การศึกษาที่ดีที่สุด หลังจากนั้นท่านถือว่าท่านส่งผมถึงฝั่งแล้ว หน้าที่ต่อไปของผม คือ หาเส้นทางที่ผมต้องเลือกเดินทางของตนเอง

หลังเรียนจบ ผมมีโอกาสได้ใช้ชีวิตลำพังและท่องเที่ยวบ่อยครั้ง แต่ก็ถือได้แค่ว่า "ท่องเที่ยว" ไม่ใช่ "การเดินทาง" เหตุผลที่ผมมองคำสองคำนี้ต่างกันคือ ผมเห็นวัตถุที่แปลกตามากมายในการท่องเที่ยว แต่ผมมองไม่เห็นความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในของการเดินทางแต่ละครั้งเลย ตอนนั้นผมท่องเที่ยวในต่างแดนเพราะผมเหงาจนกระทั่งผมรู้สึกเหงายิ่งกว่าที่ต้องเดินทางลำพัง เพราะทุกครั้งที่ผมไปคนเดียวผมจะรู้สึกเงียบเหงา และเป็นการเดินทางที่เงียบงัน มีแต่เสียงลมหายใจ และเสียงเต้นของหัวใจอันน้อยๆของผมเป็นเพื่อนร่วมทาง ซึ่งน้อยครั้งนักที่ผมจะได้เพื่อนๆที่รู้จักกันร่วมเดินทาง หรือแม้กระทั่งเจอเพื่อนร่วมทางตามรายทาง โดยเฉพาะเวลาที่ผมเดินทางแบบขับรถไปคนเดียว จนผมรู้สึกว่า ความเหงาที่ผมขาดมัน ได้แปรออกเป็น สิ่งที่ผมต้องการจริงๆ นั่นคือ .... ความรัก....

ดังนั้นผมจึงเลือกเดินทางกลับบ้านผม ที่ๆผมรู้แน่ว่า ที่นั่นมีความรักมอบให้ผม แต่อย่างที่ว่า ผมมีความรู้สึกกับตัวผมเองว่า มันยังไม่พอ ไม่ใช่พ่อแม่ไม่รักผมนะครับ ท่านรักผมมาก แต่สิ่งที่ทำให้ผมคิดว่าไม่พอ นั้นเกิดมาจากว่า เมื่อถึงเวลานึงของพวกท่าน ผมอาจเหลือแค่ ตัวผมคนเดียวในโลกใบนี้ ผมจึงเดินทางอีกครั้ง เพื่อค้นหา ... ความรัก หาใครสักคนที่สามารถจะให้ความารักผมได้ จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตผม แค่คนๆเดียว ขอแค่คนๆเดียวเท่านั้นจริงๆ ...

ดังนั้น สามสี่ปีที่ผ่านมา ผมจึงพยายามและไขว่คว้า หาคนๆนั้น จนในที่สุดผมพบว่าแนวทางความคิดนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกนัก เพราะตั้งแต่มีแฟนมาสองคน ผมเหมือนผูกชีวิตและอนาคตไว้ที่คนทั้งสองนั้น แต่เมื่อเร็วๆนี้ผมเพิ่งจะมองเห็นว่า ชีวิตแต่ละคนมีเส้นทางที่แตกต่างกัน ถึงแม้เราจะอยู่ร่วมหรือแชร์เส้นทางของเรากับใครสักคนหรือหลายๆคน แต่ยังไงก็ตามแต่ละคนก็อาจมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน แต่ถ้าเราเพียงพบใครสักคนหรือหลายๆคนเป็นเพื่อนร่วมทางกับเราได้ มันก็คงจะดีไม่น้อย ดังนั้นผมจึงเริ่มเดินทางอีกครั้งครับ... เพียงแต่ครั้งนี้เป้าหมายมิใช่แสวงหาใครสักคน แต่เป้าหมายของผมคือ การหาเป้าหมายที่เหมาะกับตัวผมครับ (อ่านแล้วงงไหมเอ่ย..)

แต่ก่อนที่จะเดินทางนั้น เราควรจะกำหนดเป้าหมายคร่าวๆไว้ก่อน โอเคครับ ผมบอกว่า การเดินทางครั้งใหม่ของผมคือ "การแสวงหาเป้าหมายในชีวิต" แต่สิ่งที่ผมกำหนดเบื้องต้นนั้นมันออกจะเป็นนามธรรมมากเกินไป ทำให้ผมเองอาจเดินสะเปะสะปะไปเรื่อย ดังนั้น ผมขออนุญาติเอาเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนิกชน มาเป็นที่ตั้งก่อนนะครับ นั่นคือ "การเข้าถึงพระนิพพาน "(จนกว่าผมจะหาจุดมุ่งหมายหรือจุดสำเร็จที่แท้จริงของผม)

ผมทราบครับว่า ด้วยสติกำลัง ปัญญา หรือ ความสามารถทั้งหลายทั้งปวงของผมเหล่านี้ของผม ณ.เวลานี้ ไม่มีสิทธิที่จะถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้แน่ และไม่แน่ใจว่าเมื่อถึงเวลาที่เป็นที่สุดของชีวิตน้อยๆนี้แล้ว ผมจะได้มองเห็นแสงของพระนิพพานหรือไม่ แต่อย่างน้อยถ้าเราเดินสักหนึ่งก้าว ย่อมดีกว่าไม่ได้เดินเลยใช่ไหมครับ

เอาหละ เมื่อเรา ตั้ง Goal แล้ว เราก็มาดูว่า Objective ควรเป็นอย่างไร ณ. เวลานี้คร่าวๆก็คงเป็น เพื่อให้เข้าใจในความเป็นไปของชีวิตและความเป็นไปของโลก เพื่อแสวงหาการหลุดพ้นครับ (เหอะๆๆ ก้อป หนังสือพุทธศาสนามาทั้งดุ้นเลย) เมื่อมี Objective ก็ต้องสร้าง Strategic Planning หรือ แผนกลยุทธ์ เพื่อใช้สำหรับการเข้าถึงเป้าหมายให้เป็นรูปธรรม อืม! ณ. เวลานี้คร่าวๆที่ผมคิด คือ การใช้วิธีสร้างบุญบารมีตามหลักพุทธศาสนา (อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้แล้วครับ) คงเริ่มที่ "ทาน" "ศีล" "ภาวนา"

อู้ อะไรกันเนี่ย ยิ่งพูดยิ่งเข้าใจยาก เอาเป็นว่าตอนนี้ ผมเริ่มจากการให้ทาน ก่อนละกัน ค่อยๆเก็บสะสมทีละเล็กทีละน้อย การเดินทางไปยังป่าเขา หรือ ที่ชนบทห่างไกล คือการที่ผมจะได้มองเห็นธรรมชาติของโลกใบนี้ มองเห็นความแตกต่างของมันว่าต่างกันอย่างไร มองเห็นชีวิตความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของผู้คน ความสุขความทุกข์ยากของผู้คนที่หลากหลาย แล้วจะนำกลับมาประมวลเพื่อค้นหาเส้นทางและเป้าหมายเบื้องต้นที่ผมต้องการ

ฮ่าๆๆๆ .... วันนี้พร่ามซะยาวเลย คงต้องบอกเพื่อนๆหรือผู้ที่แวะเข้ามาทุกท่านนะครับว่า บล็อคผมมันอาจแปลกๆ ธีมของมันอาจดูเลอะเทอะในสายตาบางท่าน มีทั้งเรื่องความรัก ท่องเที่ยว กิจกรรม คำบ่น หรือแม้กระทั่งธรรมมะ แต่สำหรับความคิดส่วนตัวของผมมันไม่ได้หลุดเลยครับ เพราะมันทั้งหมดก็คือ ส่วนหนึ่งของ ชีวิตใหม่ของผม หลังจากวันที่เค้าคนนั้นไม่อยู่ ครับ...

คำคมเล็กน้อยสำหรับ entry นี้ครับ

"ธรรมชาติสร้างจินตานาการ อุดมการณ์สร้างความสำเร็จ"




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2549   
Last Update : 14 กรกฎาคม 2549 15:04:05 น.   
Counter : 757 Pageviews.  

ปันรักให้น้อง (เด็กก่อนวัยเรียน)

เย้ๆๆๆ จะได้ไปเที่ยวอีกแล้ว แต่คราวนี้แตกต่างจากทุกทีนะครับ ผมไปเที่ยว เพราะคราวนี้ผมจะไปกับพวกพี่ๆเพื่อนๆที่เค้ามีจิตศรัทธา หาสิ่งของ อุปกรณ์การศึกษาไปบริจาคให้กับน้องๆ เย้ๆๆๆ ดีใจจังเลย ผมเองไม่ได้ช่วยพวกพี่ๆเค้ามากหรอก แต่ขอติดสอยห้อยตามไปสักหน่อย อยากไปดูชีวิตอีกด้านนึง เพื่อจะได้รู้จักชีวิตมากขึ้น

ตัวผมเองนี่ แย่นิดนึงที่ติดนิสัยเป็นคุณหนูนิดหน่อย ใครๆก็ว่าผมเป็นเด็กเอาแต่ใจตัว จิงๆไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ แต่ก่อนไม่ได้เป็นอย่างนี้นะ ไม่รู้ไปติดมาจากใคร เอ หรือว่าเป็นมาแต่เกิดแล้วเพ่งมาแสดงออกมั้ง ไม่รู้ดิ พ่อแม่ก็ไม่ได้ตามใจมากนะ บ้านก็ไม่ได้รวยด้วย แต่ทำไมก็ไม่รู้ รู้สึกเหมือนว่าชีวิตมันล่องลอยเหลือเกิน นี่ผมยังคิดว่าจบจากทริปนี้ผมคงจะเข้าใจชีวิตมากขึ้นก็ได้ หรือไม่อย่างน้อย ผมจะได้รู้ว่ายังมีคนยากลำบากและต้องการความช่วยเหลือมากกว่าเรา และมันอาจส่งเสริมให้ผมเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆๆ เฮ้อๆ พักนี้ไม่รู้เป็นไร ตั้งแต่เป็นโสด รู้สึกว่าตัวเอง อ่อนแอ ยังไงก้ไม่รู้ แต่ยังไงวันนี้ก็เข้มแข็งกว่าเมื่อวาน กว่าเมือ่ว่านซืน กว่าเมื่อวานโน้น กว่าเมื่อวานโน้นๆๆๆ อีก

แหะๆๆ พล่ามมานานแล้ว ผมเอา กำหนดการมาให้ดู ผมเพ่งได้จากเพื่อนมา เลยเอามาเก็บไว้ ฝากนายซีโร่ไว้ เผื่อคราวหน้า ไปที่อื่นจะได้เอามาเทียบกันได้ ... ไปก่อนนะค้าบบบ

**********************************************************


กำหนดการเดินทางร่วมโครงการ
“ปันรักให้น้อง (เด็กก่อนวัยเรียน) กับศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน” โรงเรียนบ้านห้วยสะจุก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน


วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 254919.00 น. -ออกเดินทาง

**********************************

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2549 (วันเด็กแห่งชาติ)
04.30 น. - ถึงจังหวัดน่าน ทำภารกิจส่วนตัว ล้างหน้า แปรงฟัน ณ บ้านรับรองดู่ใต้
05.00 น. - เดินทางเข้าตัวเมืองน่าน แวะซื้ออาหารสด เสบียง เดินชมตลาดเช้า สัมผัสหมอกเมืองน่าน
05.30 น. - เดินทางไปวัดพระธาตุแช่แห้ง กิ่งอำเภอภูเพียง ระยะทาง 2 กิโลเมตร
- รับประทานอาหารเช้า นมัสการพระธาตุแช่แห้ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองน่าน
พระธาตุประจำปีเกิดปีเถาะ (กระต่าย)
- ใส่บาตรตามวิถีคนเมืองน่านเพื่อเป็นสิริมงคล (ตรงกับวันพระใหญ่พอดีครับ)
08.00 น. - เดินทางออกจากตัวเมืองน่าน สู่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา อำเภอปัว
10.00 น. - ถึงอุทยานแห่งชาติดอยภูคา แวะชมดอกชมพูภูคากำลังใกล้บาน (ราชินีพันธุ์ไม้หายาก
เหลือแหล่งเดียวในโลก) เต่าร้างยักษ์ และจุดชมวิวทะเลหมอก
11.00 น. - ถึงอำเภอบ่อเกลือ แวะชมบ่อเกลือสินเธาว์บนภูเขา หนึ่งเดียวในโลก
12.00 น. - ถึงโรงเรียนบ้านสะจุก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ
- รับประทานอาหารกลางวัน
- ร่วมกิจกรรมวันเด็ก กิจกรรมโครงการปันรักให้น้อง แจกสิ่งของชาวบ้าน
15.00 น. - เดินทางขึ้นที่พักบนภูพยัคฆ์ โครงการส่วนพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ
- เข้าชมอนุสรณ์และหอแสดงประวัติอนุสรณ์สถานสหายคำตัน-ภูพยัคฆ์
- พักผ่อนตามอัธยาศัย ชมทัศนียภาพ ทำภารกิจส่วนตัว อาบน้ำ ชมพระอาทิตย์ตกดิน
17.00 น. - ร่วมกันประกอบอาหารเย็น
18.00 น. - ร่วมรับประทานอาหารเย็น สันทนาการ ตามสมควรแก่เวลา และพักผ่อนท่ามกลางอากาศหนาว
(ที่พักมีให้เลือกทั้งแบบบ้านพักและท้าความหนาวแบบเต้นท์กลางแจ้ง)

********************************
วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2549
05.00 น. - ตื่นเช้า ชมพระอาทิตย์ขึ้น สัมผัสสายหมอกความหนาวอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศา - อาหารเช้า กาแฟ โอวัลติน เนสวีต้า
06.00 น. - เดินทางจากภูพยัคฆ์ เพื่อเดินทางกลับสู่ตัวเมืองน่าน
07.00 น. - แวะซื้อส้มสีทองของดีเมืองน่าน รสดี อำเภอทุ่งช้าง
10.00 น. - ถึงตัวเมืองน่าน แวะชมและเลือกซื้อเครื่องเงิน ร้านชมพูภูคา
11.00 น. - รับประทานอาหารกลางวัน ณ บ้านรับรองท่าน้าว
13.00 น. - นำท่านเข้าชมตัวเมืองน่าน ย้อนรอยประวัติศาสตร์เมืองน่าน บริเวณข่วงเมืองน่าน (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน, คุ้มเจ้าราชบุตร (หมอกฟ้า ณ น่าน), เจดีย์ประวัติศาสตร์
นมัสการพระพุทธรูปปางลีลาลีลาทองคำ วิหารหลวงเก่าแก่ วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร และเข้าชมจิตรกรรมฝาผนัง วิหารจตุรมุขวัดภูมินทร์)
** หากมีเวลาพอ แวะขึ้นชมทัศนียภาพตัวเมืองน่าน นมัสการพระธาตุเขาน้อย บนดอยเขาน้อย
16.00 น. - เดินทางออกจากเมืองน่าน เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ
** แวะจังหวัดแพร่ เพื่อซื้อของฝาก และรับประทานอาหารเย็น
18.00 น. - รับประทานอาหารเย็น

*****************************
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2549 (วันครู)
05.00 น. (โดยประมาณ) ถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพแล้วไปทำงานต่อ .... ง่วงจางเลย

**********************************************************




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2549   
Last Update : 14 กรกฎาคม 2549 15:02:33 น.   
Counter : 307 Pageviews.  

ประสพการณ์ที่แปลกใหม่ จาก ตำบลขุนน่าน

p>สวัสดีครับพี่ๆเพื่อนๆทุกท่าน ก่อนที่จะนำทุกท่านไปชมภาพกิจกรรม ขออนุญาติแนะนำสถานที่ก่อนนะครับ

ตำบลขุนน่าน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน (ที่เพื่อนผมได้ไปทำโครงการบริจาคครับ)

ประวัติความเป็นมา :
ตำบลขุนน่าน เดิมเป็นส่วนหนึ่งของตำบลบ่อเกลือเหนือ อำเภอปัว ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2531 มีการตั้งกิ่งอำเภอบ่อเกลือ ตำบลขุนน่านได้แยกออกมาจัดตั้งเป็นตำบลขุนน่าน กิ่งอำเภอบ่อเกลือ และต่อมาได้ประกาศจัดตั้งอำเภอเฉลิมพระเกียรติเป็นอำเภอกรณีพิเศษ ไม่ผ่านการเป็นกิ่งอำเภอเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสฉลองศิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี ตำบลขุนน่านจึงได้แยกจากกิ่งอำเภอบ่อเกลือ มาขึ้นการปกครองกับอำเภอเฉลิมพระเกียรติ

สภาพทั่วไปของตำบล :
มีเนื้อที่ทั้งหมด 332.76 ตร.กม. มีสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงและเทือกเขาสูงชัน (ไกลโคตรๆๆ ได้ข้อมูลมาว่าเป็นอำเภอที่ยากจนสุดในน่าน นะครับ นอกจากนี้กว่าจะเดินทางถึงนี่ เป็นปวดหัวเลยเพราะ ไกลๆๆๆๆ โค้งก็เยอะ แต่เนื่องจากเป็นอำเภอเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระราชินีนาภ และ สมเด็จพระเทพ ได้ทรงมาเยี่ยมเยียนราษฎรในแถบนี้เป็นประจำครับ)

อาณาเขตตำบล :
ทิศเหนือ ติดต่อ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทิศใต้ ติดต่อ ต.บ่อเกลือ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน
ทิศตะวันออก ติดต่อ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทิศตะวันตก ติดต่อ ต.ห้วยโก๋น อ.เฉลิมพระเกียรติ และ ต.งอบ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน
จำนวนประชากรของตำบล :
จำนวนประชากรทั้งสิ้น 6,012 คน เป็นชาย 3,000 คน เป็นหญิง 3,012 คน

ข้อมูลอาชีพของตำบล :
อาชีพหลัก ทำไร่ รับจ้าง
อาชีพเสริม เลี้ยงสัตว์

เอาหละ เราเข้าเรื่องกันดีกว่า โครงการปันน้ำใจให้น้องนี้ มีต้นกำเหนิดมาจากเพื่อนผู้น่ารักสองคน ที่มีจิตศรัทธามิลืมเลือนบ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งได้แก่ นาย จ. และ นาย ม. เอง

นี่เป็นภาพศูนย์การเรียนร้ของชาวไทยภูเขานะครับ และนี่คือที่ที่ใกล้ที่สุด บ้านสะจุก คนที่นำทางคราวนี้เป็นอาจารย์ใหญ่ที่คุมโรงเรียนชาวเขาทั้งหมดประมาณ 5 โรงเรียนครับ และภาพต่อไปเป็นสภาพภายในโรงเรียน

โต้ะ กับ เก้าอี้ เป็นส่วนสำคัญของที่นี่ ที่นี่มีกระดานดำ มีทีวีที่ใช้เป็นสื่อการสอน แต่เอ! ทำไมม่ายมีคอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เนท นะ ไม่งั้นอัพให้ดูกันสดๆเลย

ที่นี่เค้ามีสอนหมดเลยนะครับ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่งานนี้เราเน้นที่เด็กเล็กครับ แต่เด็กๆที่นี่ก็เก่งนะครับ ฟังภาษาไทยออกด้วย พวกพ่อเเม่เค้า ยังฟังไม่ได้เลย ดูภาพข้างต้นจะเห็นแผนการปฎิบัติงานประจำเดือนของโรงเรียนครับ เห็นแล้วน่าชื่นใจ .. (แหะๆๆ ผมเองไม่มีแผนไรเล้ย ให้ตายสิ ทำงานก็ทำมั่วๆ มะเอาแล้วต้องวางแผนกับเค้าบ้าง ไม่งั้นอายเค้าแย่เลย)

เอาหละ เรามาดูภาพบรรยกาศภายนอกดีกว่านะคับ อากาศถึงจะร้อนแต่ทุกคนก็ทำได้ด้วยความเต็มใจ ... แหะๆๆ ดำหมดเลยอะ

เห็นผู้ชายเสื้อเหลืองไหมครับ นั่นคือ นาย ม. เพื่อนผมเอง ยังโสดนะครับ ใครสนใจบอกได้ๆจะนัดให้ เอิ้กๆๆๆ และที่อยู่บนโต้ะคือส่วนหนึ่งของของที่นำไปบริจาค ซึ่งนาย ม. กับ นาย จ .ได้จัดการอย่างดี ส่วนใหญ่ส่งไปล่วงหน้ากับทางรถไฟแล้ว มีทั้งมอบให้กับน้องๆ และ มอบให้โรงเรียน มีทั้งเสื้อหนาว ขนม ยา ข้าวสาร และอุปการณ์การเรียนการสอน

ภาพสุดท้ายนี้เป็นบรรยกาศก่อนแจกของนะครับ ดูสิครับเหล่าน้องๆ รอกันเต็มไปหมดที่เตนท์ แหะๆ เพราะพวกผมกว่าจะเดินทางไปถึงก้เที่ยงแล้ว อยากไปเร็วกว่านี้เหมือนกันแต่ด้วยระยะทาง มันเร็วสุดได้แค่นี้ครับ

เอาหละ ... ขอจบการรายงานกิจกรรมภาค1 ณ.ตอนนี้นะครับ เนื่องจากผู้ประกาศข่าวอย่างผม ปวดหัวมาก เป็นไข้ด้วยอะคับ โรคไซนัสอักเสป กำเริบอีกแล้ว มึนหัวจังเลย .... อ่า โปรเจคหน้าที่ผมคาดว่าจะลองทำเองดูนะครับ คือ โครงการปันกิ้กให้น้องต้อม ตอนนี้ขาดแคลนมากๆ ขอรับบริจาคจากเพื่อนๆพี่ๆด้วยนะครับ ... โอย ไม่ไหวแล้ว ไปนอนดีกว่า เจ็บคอ ปวดหน้าจัง....




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2549   
Last Update : 14 กรกฎาคม 2549 15:01:06 น.   
Counter : 457 Pageviews.  

ประสพการณ์ครั้งแรก... ที่เชียงใหม่ (7/11/05)

แปลกใจและไม่น่าเชื่อสายตาตัวเอง ทำไมเราเขียนบล็อคแบบ ธรรมมะ อย่างนี้ จึงมีคนมาแสดงคอมเมนท์นะ แปลกใจจิงๆนึกว่าไม่มีใครอ่านซะอีก ลองดูๆไปเหมือนคนเขียน เขียนให้อ่านได้คนเดียวนะ ซึ่งนั่นก็คือ ผมเองแหละ อุอุ... ตอนนี้ไม่สบายกาย จึงต้องหาธรรมมะเข้ามารักษาจิตใจ ไม่ให้ป่วยตามครับ แต่ถึงยังไงก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านนะครับทั้งที่อ่านเข้าใจ และ ไม่เข้าใจ

ความหวัง ... ผมหยุดมันไม่ได้หรอกครับ ผมเคยอยู่ปราศจากความหวังมาแล้ว ผมทราบดีว่า ถ้าผมปราศจากความหวัง ผมก็จะเหมือนคนที่ไม่มีค่า มีชีวิตไปวันๆ แต่ความหวัง เราต้องหัดใช้มันให้ถูก ชิมิคับ ... (ทำเสียงดัดจริต นิดหน่อย ตามกระแส อิอิ...)

อ่าๆๆ วันนี้เปลี่ยนจากเรื่องธรรมมะ มาเป็นเรื่องเที่ยวดีฝ่า รู้สึกผมยังไม่บอกใครรึป่าวน้า ว่าผมไม่เคยขึ้นเหนือเลย ทริปเชียงดาวเป็นครั้งแรกก็ว่าได้เลย แต่เรื่องเชียวดาว เล่าไปแล้ว แต่ยังมีเรื่องเชียงใหม่ ยังไม่เคยได้เล่าให้คายฟัง ลองอ่านกันดูนะค้าบบบบบบ

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ตะดึบๆ เสียงหัวใจผมเต้นโครมคราม โครมคราม รอฟังคำตอบจากมัน(ไอ้อ้วนจังพี่ชายตัวแสป) หลังจากลงมาจากเขาดอยเหลวงเชียงดาว ผมหนะอยากพักที่เชียงใหม่หนึ่งคืน ยังไม่อยากกลับกรุงเทพฯในบัดดล เพราะผมเองยังไม่เคยมาเชียงใหม่เลย ก็เลยอ้อนวอน ขอให้ไอ้อ้วนให้พาไปเที่ยวหน่อย .... (มันหนะไม่อยากไปเพราะแฟนเก่ามันเป็นเด็กเชียงใหม่ สงสัยกลัวเห็นภาพความหลังครั้งก่อนกระมัง) ไม่ได้ ผมไม่ยอมแพ้ ผมก็กวนตีนๆๆๆ กวนโอ้ย มันไปเรื่อยๆ งอแง ไปเรื่อยๆ ถ้ามึงไม่พากูไป กูจะป่วนมึงไปเรื่อยๆๆๆๆๆ

สุดท้าย มันก็ทนไม่ได้ รับปากว่าจะพาไปเที่ยว ผมก้ได้ดีใจที่มันรับปาก(ถึงแม้จะหักคอมันก็ตามเถอะ) ครั้งนี้.... เฮ่อ! เป็นครั้งแรก ..ครั้งแรกของผมจริงๆนะครับ.... ที่ได้มาเที่ยวตัวเมืองเชียงใหม่ ดีใจจังเยย

ผมพักอยู่แถบ ประตูท่าแพ เองครับ แถบนี้ตอนเย็นและกลางคืนวันอาทิตย์ จะปิดถนนเป็นคล้ายๆสวนจตุจักรเลยครับ มีน้องๆ มานั่งตีขิม ร้องเพลง มีอาหาร มีขนม มีข้าวของเครื่องใช้ และมีของที่ระลึกเยอะแยะไปหมด เสียดายที่ตอนนั้นแบตเตอรี่กล้องมันหมดพอดี ไม่ได้ ชาร์ท เลยไม่ได้ถ่ายบรรยกาศมาให้เห็น ที่ผมจำได้สนิทใจก็คือ อาหารและขนมเยอะแยะ กินอิ่มแปร้ และที่สำคัญ ไอ้อ้วนจัง พี่ชายผมอะเดะ มันแดกไปเหล่ไป แบบแสกนถี่ยิบ เลย ถ้ามันทำปากซู้ดๆแสดงว่าเจอคนน่ารักแล้ว แต่ไม่อยากบอกน่ารักของมันเนี่ย เห่ยๆ มากกกกก

ผมหนะพยายามมองตามมัน แต่ตามไม่ทันสักที มีครั้งนึงมันบอกคนข้างหน้าที่กำลังเดินสวนมาในกลุ่มนักศึกษาน่ารัก ผมก็ด้วยความไร้เดียงสา เผลอไปชี้น้องเค้าพอดี น้องเค้าก็มองๆแบบแปลกๆ ไอ้อ้วนมันก็รีบลากคอผมไปในทันใด แถมด่าซ้ำว่า วันหลังห้ามชี้เฟ้ย เออๆๆ กูผิดเองแหละ

สถานที่แรกที่ผมได้ไปเที่ยวหลังจากตื่นตอนเช้า ตอนแรกมันบอกไม่ไปได้ไหม บอกว่ามาบ่อยมาก แต่ผมหนะที่แถบตัวเมืองเชียงใหม่ ผมอยากไปที่นี่ที่สุดเลย วัดพระธาตุดอยสุเทพ ครับ

ตอนแรกผมแปลกใจมาก ที่มีทางขึ้นสองทาง อ้วนจังถามผมว่า ไปกระเช้าไหม เพราะผมได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่ข้อเท้าตอนลงดอยเชียงดาว อย่างไรก็ตาม อย่างผมเหรอมีหรือที่จะยอมขึ้นกระเช้าง่าย อาศัยสองเท้าเรานี่หละ ก้าวขึ้นดอยพระธาตุอย่างเต็มภาคภูมิ (เหอะๆๆ ทำเหมือนกับสูงมาก) แต่ดูรูปสิ มันสูงจิงๆนะ ยิ่งขาเดี้ยงๆอย่างผมนะ ต้องเดินไปพักไป ผมก็อาศัย บริกรรม "พุทโธ พุทโธ" หรือ "ปวดหนอ ปวดหนอ " ไปด้วยครับ เผื่อจะได้บุญไปด้วย ซึ่งระหว่างทางก็มี คำธรรมมะเยอะแยะ ติดตามต้นไม้ ให้ได้อ่านเพื่อพิจารณา

แต่พอขึ้นมา ก็พบว่าไม่ผิดหวังเลยครับ พระธาตุสวยงามมากครับ และด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาถึงตัวพระธาตุที่แวววาว ทำให้ผมรู้สึกประทับใจมากครับ การเข้าสักการะ จะมีพระประจำอยู่สี่ทิศครับ และที่ผมได้เอามาให้ดูเป็น พระธาตุด้านเหนือ รวมทั้งคำสวดมนต์ครับ " ขอให้เป็นผู้มีปัญญา ดุจจันทร์เพ็ญ ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎก อันเป็นคำสั่งสอนที่เป็นเครื่องมือนำสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ ฯ "

หลังจากนั้น อ้วนจังบอกผมว่าจะพาไปเลี้ยงอะไรอร่อยๆ เลยพาไปร้านกาแฟชื่อ กาแฟวาวี ครับ อ้วนจังบอกว่าดังมาก แต่ผมก็ไม่รู้ว่าดังแค่ไหน แต่บรรยกาศดีครับ

แต่ไม่อยากบอก มันนะไม่ได้พาผมไปคนเดียวหรอก มันหลอกลวงหญิงสาวสองคนไปด้วย ก็แหม่มเสื้อน้ำตาล กับเสื้อแดงนี่หละครับ เห็นกันตั้งแต่อยู่ที่พระธาตุแล้วหละ แต่พวกเธอทั้งสองคนก็คุยสนุกดีครับ ไม่อยากบอกเลยนะครับว่า การพูดภาษาอังกฤษ์ ของอ้วนจังดีมาก (เอ่อ.. กระเเดะ ดีมาก ขอรับ) ดัดลิ้น ดัดเสียง เหมือนพวกจีนฮ่อ เอ้ย จีนสิงค์โปร์ เลย แต่จิงๆจะว่ามันก็ไม่ได้หรอกครับ เพราะผมเองรวมทั้งคนไทยส่วนใหญ่ พูดภาษาอังกฤษ์ แบบ ทิงลิช คือ (ไทย + อังกฤษ์) ซึ่งฝรั่งฟังมะรู้เรื่องครับ สงสัยมันดู วีซีดี .... บ่อย เลยเก่งสำนวน โดยเฉพาะ ไอ้คำว่า เยสๆๆ โนๆๆ อ่าๆๆๆ พูดเหมือนเจ้าของภาษาอีก

หลังจากกินกาแฟ + ขนมมัฟฟิน + เค้ก (แต่มันไม่อิ่มเลยอะ อยากกินข้าววววววว) ผมก็ไปหาซื้อของฝากประเภทน้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว มาฝากคนที่บ้านและที่ทำงานครับ เสร็จแล้วก็เดินกลับโรงแรมไปเอาของ เพื่อไป สนามบิน (ไฮโซมากกกกกก) ปิ้กบ้าน เมืองบางกอก

ภาพสุดท้าย คือ ป้าย AUA ครับ ไม่รู้คนคิด คิดได้ไงเนี่ย อ่านได้ทั้งสองภาษาเลย เก่งจิงๆ นับถือๆ

อืม! จบแล้ว.... หายเครียดยัง ... วันหลังมีไร จะมาเล่าอีกก็แล้วกัน

บ้ายบายครับ

ปล. คำคม ทุกคำ จำเค้ามา หรือไม่ก็ก็อปเค้ามาครับ (ถ้าจำผมรู้ที่มา ผมก็จะบอกชื่อผู้พูดด้วยครับเพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านเหล่านั้น แต่บางครั้งผมไม่ทราบที่มาจริงๆ ก็ก็อปต่อๆกันมาหละครับ) และ สำหรับวันนี้

" ไม่มีใครมองเห็นวิวด้วยการมองออกไปแค่ 1 เมตร เช่นเดียวกับ ไม่มีใครประสพความสำเร็จในการตั้งเป้าหมายชีวิตในวันเดียว "

ปล. วันนี้ผมอารมณ์ดีครับ (เลียนแบบใครบางคน) เอิ้กๆๆๆ




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2549   
Last Update : 14 กรกฎาคม 2549 15:00:00 น.   
Counter : 1181 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

น้องzeroสุดหล่อ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




พายุที่มันพัดผ่าน หอบฝนมา
ฟ้ามืดหม่นสักเท่าไร เราอาจจะต้องหนาว
ต้องทรมานแต่ไม่นานก็คงจางหาย
มันเป็นเหมือนกำลังใจจากฟ้า
ส่งมาให้คนรู้ว่าชีวิตมีค่า..
แค่อย่าเพิ่งถอดใจ
[Add น้องzeroสุดหล่อ's blog to your web]