ข้อควรคิดก่อนไปทำศัลยกรรมตกแต่ง










































สำหรับคนที่กำลังไม่พอใจกับตัวเอง
แล้วอยากจะทำศัลยกรรมตกแต่ง ลองอ่าน 10
ข้อต่อไปนี้เสียก่อนว่าคุณพร้อมจะเสี่ยงเจ็บตัวแล้วจริงๆน่ะหรือ


1.
คุณรู้แน่ๆแล้วหรือว่าอยากจะเปลี่ยนอะไรในร่างกายบ้าง และเปลี่ยนไปทำไม?

2.
คุณรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมคราวนี้มากเพียงพอแล้วหรือ
แหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น นิตยสาร หนังสือ อินเตอร์เนต หรือจากเพื่อนๆ
และข้อมูลเหล่านั้นเชื่อถือได้แค่ไหน?

3.
คุณปรึกษาหมอผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยตรงแล้วหรือยัง
การรู้แต่เพียงทฤษฎีนั้นไม่สู้ฝีมือ และประสบการณ์ของหมอ
ไปให้หมอผู้เชี่ยวชาญช่วยวิเคราะห์สภาพร่างกายของคุณก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรม
จะดีกว่า อย่าลืมตรวจเช็ครายชื่อว่าอยู่ในสมาคมศัลยกรรมตกแต่งแห่งประเทศไทย
หรือผลงานที่ผ่านๆมาของหมอด้วยว่าฝีมือดีน่าเชื่อถือหรือไม่

4.
ควรหวังผลตามความเป็นจริงว่าการศัลยกรรมตกแต่งนั้นช่วยเปลี่ยนหน้าตา
หรือบุคลิกภาพได้บางอย่างเท่านั้น อาจไม่ใช่ทุกอย่างที่เหมาะสมที่สุด

5.
เลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุด
เพราะหลังจากทำแล้วคุณต้องการเวลาระยะหนึ่งเพื่อพักฟื้นให้แผลหาย

6.
ลองย้อนกลับไปถามตัวเองดูดีๆว่า เหตุที่ทำให้คุณอยากทำศัลยกรรมคืออะไรแน่
เพราะแรงยุหรือน้อยใจว่าสู้คนที่เด็กกว่าไม่ได้
เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นจริงหรือไม่ ตั้งสติดีๆ
ตอบคำถามเหล่านี้อย่างจริงใจก่อนตัดสินใจตกลงกับหมอนะคะ

7.
คุณหมอของคุณบอกคุณหมดแล้วหรือยัง เกี่ยวกับผลที่จะเกิดขึ้นหลังทำศัลยกรรม
การรักษาตัว แผลเป็น ยาที่จะต้องกิน
และผลข้างเคียงที่อาจเกิดกับคนอายุขนาดคุณ อย่าลืมว่า
การรู้รายละเอียดเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งกับชีวิตคุณเชียวล่ะค่ะ

8.

อย่าลืมคิดถึงข้อที่ว่าการศัลยกรรมอาจไปกระทบกระเทือนกิจกรรมที่คุณกำลังทำ
อยู่ หรือนิสัยบางอย่างที่คุณคิด เช่น การสูบบุหรี่

9.
เตรียมทำใจไว้ได้เลยว่า หลังจากการผ่าตัดจะต้องมีแผล บวมอักเสบ
หรือแผลเป็นต่างๆแน่ๆ กว่าแผลจะหายอย่างน้อยก็ 2 อาทิตย์

10.
ท้ายที่สุด ชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบผลดี ผลเสีย ข้อจำกัด
สิ่งที่คาดว่าจะเกิดหลังจากทำศัลยกรรม ให้รอบด้านและมองตามความเป็นจริง
เปรียบเทียบกับสภาพปัจจุบัน ก่อนตัดสินใจทำ อย่าลืมว่าเมื่อหมอลงมีดไปแล้ว
สิ่งใดที่เสียไปจะไม่อาจเอากลับคืนมาได้นะคะ

อยากจะให้ตัดสินใจกัน
ดีๆก่อนจะทำศัลยกรรมนะคะ
เพราะมันอาจจะมีผลเสียกับเรามากกว่าที่เราคิดก็ได้ค่ะ
เลือกหมอที่ชำนาญและที่เชื่อถือได้ ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีนะคะ
ถ้าคิดว่าอย่างไรก็จะทำแน่นอน

ที่มา
: ผู้หญิงนะคะดอทคอม






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 16:18:31 น.
Counter : 332 Pageviews.  

ความเค้นความเครียด

















































ค่า
ความเค้นดึง และความเค้นอัด มีค่าเท่ากับแรงต่อหน่วยพื้นที่


ส่วนค่าความเครียดมีค่าเท่ากับ ระยะที่ยืดหารด้วยความยาวเดิม
ระยะยืดเท่ากับความยาวใหม่ลบด้วยความยาวเดิม ความ
เค้น = แรง / พื้นที่ตั้งฉากกับแนวแรง N/ตารางmm.

ความเค้นจึงสนใจเฉพาะแรงกับพื้นที่หน้าตัด
ส่วนความเครียดสนใจเฉพาะรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นและที่ความเครียด
ไม่มีหน่วยเพราะเป็นการหารกันของความยาวกับความยาว หน่วยจึงตัดกันหมดไป



ส่วนค่า Young modulus คือค่าความยืดหยุ่นของวัสดุ

มีค่าเท่ากับอัตราส่วนระหว่างความเค้นต่อความเครียด
เป็นค่าที่บ่งบอกถึงความยืดหยุ่นของวัสดุชนิดต่างๆเมื่อมีความเค้น
ว่าจะยืดเท่าไร อธิบายง่ายๆคือ ระหว่างเหล็ก
กับอลูมิเนียม
เมื่อมีความเค้นเท่ากัน
ระยะยืดย่อมไม่เท่ากัน จึงทำให้เครียดไม่เท่ากัน และ Young modulus
ก็ไม่เท่ากันด้วย



สมมติเป็นการ
ดึงสปริง


F คือ แรงที่เราดึงสปริง
delta L คือ ระยะยืดของสปริงขณะออกแรง



จุด a
คือขีดจำกัดการแปรผันตรง ตำแหน่งสุดท้ายที่ delta L แปรผันตรงกับ F
ถ้าออกแรง

ดึงเกินจุดนี้สปริงจะยังไม่เสียรูปร่าง แต่ delta L
จะไม่แปรผันตรงกับ F



จุด b คือ
ขีดจำกัดสภาพยืดหยุ่น ถ้าดึงเกินจุด b
สปริงจะเปลี่ยนรูปร่างอย่างถาวร(สภาพพลาสติด)























ขอ
ขอบคุณสาระดีดี จาก








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 16:15:32 น.
Counter : 1768 Pageviews.  

เมื่อรอบเดือนไม่มาตามนัด













































สุขภาพที่แข็งแรงจะเกิดอาการแปรปรวนน้อยกว่า

ราว 10
วัน ก่อนที่ประจำเดือนจะมา ปริมาณแร่ธาตุต่างๆในร่างกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคลเซียมและสังกะสีในเลือดจะค่อยๆลดน้อยลง
แต่ในขณะเดียวกันแร่ธาตุทองแดงกลับเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการคัดเต้านม
ช่องท้องพองตัว ปวดศรีษะ นอนไม่หลับ จิตใจไม่สงบ
หรือในบางครั้งก็ตื่นเต้นอย่างไม่มีเหตุผล น้ำหนักตัวเพิ่ม ภูมิต้านทานต่ำ
และง่ายต่อการแพ้และติดเชื้อ

ทางแก้ไขและป้องกัน
เพื่อไม่ให้เกิดอาการต่างๆดังกล่าวในระยะก่อนมีประจำเดือน
จึงควรรับประทานอาหารที่จะช่วยปรับให้ร่างกายเกิดความสมดุล
นอกจากจะต้องหมั่นรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและสังกะสีเพิ่มขึ้นแล้วก็ควร
เพิ่มการรับประทานวิตามินซี เหล็ก แมกนีเซียม และวิตามินบีรวม
ที่มา :
www.pooyingnaka.com
ลด
อาการปวดเกร็งท้องด้วยวิตามินและแร่ธาตุ

สำหรับอาการ
ปวดเกร็งท้อง ถือเป็นอาการปกติที่ผู้หญิงกว่า 50%จะเป็นกัน
ซึ่งสาเหตุสำคัญเป็นผลมาจากพรอสตาแกลนติน
ฮอร์โมนที่สร้างจากมดลูกสำแดงฤทธิ์เดชทำให้ผนังมดลูกมีการบีบตัวขณะที่มี
ประจำเดือน อย่างไรก็ดีอาการเช่นนั้นสามารถทำให้ลดลงได้
โดยต้องบำรุงร่างกายด้วยวิตามินบี 6 ไนอาซิน โพแทสเซียม และแมกนีเซียม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6
ซึ่งนอกจากจะช่วยลดอาการปวดเกร็งท้องแล้วยังช่วยให้อาการบวมน้ำลดลงด้วย
แล้วถ้าหากรับประทานวิตามินเอ วิตามินบีรวม และโฟเลตเพิ่มเติม
จะยิ่งช่วยบรรเทาภาวะอารมณ์กดดันในช่วงเวลานั้นได้อีกด้วย

ส่วน
ผู้ที่มีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
หรือมาบ้างไม่มาบ้างนั้น
ก็แก้ไขได้ด้วยการรับประทานวิตามินบีรวม วิตามินซี และธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น
แล้วที่สำคัญต้องหมั่นออกกำลังกาย ทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส
และพยายามหลีกเลี่ยงจากความเครียดต่างๆก็จะช่วยปรับให้รอบเดือนมาตรงตามเวลา
มากขึ้น

นอกจากแร่ธาตุและสารอาหารต่างๆแล้ว
เราสามารถลดอาการปวดท้องเนื่องจากประจำเดือนได้โดยวิธีการดังนี้
1.
งดดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน
และไม่รับประทานอาหารมาก
เกินไป
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด
และอาหารที่จะทำให้ระบบทางเดินอาหารปั่นป่วน
ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมให้อาการปวดท้องประจำเดือนยิ่งปวดหนักขึ้น
2.
ออกกำลังกายเป็นประจำ
เพราะการเคลื่อนไหวร่างกาย
นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว
ยังช่วยให้เลือดประจำเดือนไหลออกได้สะดวกขึ้น
และยังทำให้สมองหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟีนเพิ่มขึ้นซึ่งจะไปช่วยต้านความเจ็บ
ปวดจากการบีบตัวของมดลูกได้เป็นอย่างดี

หากปวดท้องมากผิดปกติไม่ควรนิ่งนอนใจ

ประมาณ 5-10%
ของผู้หญิงทั่วไป มีอาการปวดท้องมากเกินปกติในทุกๆครั้งที่มีประจำเดือน
ถึงขนาดต้องรับประทานยาแก้ปวด
ถ้าเช่นนั้นอาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการมีประจำเดือนโดยไม่มีการตกไข่
ซึ่งไม่ถือเป็นกรณีที่ร้ายแรงเพราะยังสามารถบรรเทาเยียวยาได้ด้วยยาแก้ปวด
และต้องใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง

แต่สำหรับสาเหตุอื่นที่ทำให้
เกิดอาการปวดท้องมากผิดปกตินอกเหนือจากกรณีข้างต้น
อาจเป็นกรณีที่เกิดจากโรคร้ายแรงบางอย่างซ่อนอยู่อย่างเช่น
โรคเชิงกรานอักเสบ
ซึ่งเกิดจากการมีเยื่อบุของมดลูกไปก่อตัวขึ้นอยู่ในบริเวณอื่น
และถ้าหากมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติเข้ามาสมทบด้วย
นอกจากจะส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องมากแล้ว
ก็จะทำให้เกิดมีเลือดประจำเดือนมามากผิดปกติร่วมด้วย
ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาทจึงควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

มีเลือดออกกะปริดกะปรอยแบบ
ไม่มีช่วงเวลาแน่นอน

การมีเลือดออกกะปริดกะปรอย
สำหรับผู้หญิงบางคนอาจเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมักจะมีเลือดออกมาทุกครั้งประมาณ 1
สัปดาห์ก่อนมีรอบเดือนมาแบบจริงจัง
โดยสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นอาจเกิดจากการที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่ำ
เกินไป
แต่ถ้าหากการมีเลือดออกกะปริดกะปรอยดังกล่าวเกิดขึ้นแบบไม่มีช่วงเวลาแน่นอน
ในแต่ละเดือน อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับอิทธิพลของฮอร์โมน
แต่อาจมีสาเหตุมาจากก้อนเนื้องอก พังผืด หรือถึงขั้นมะเร็งมดลูกก็เป็นได้

อาการเจ็บคัดเต้านมก่อนและขณะมีประจำเดือน

ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่ง
เพิ่มสูงขึ้นในกระแสเลือด
ก่อนที่รอบเดือนจะมามักส่งผลให้เกิดอาการเจ็บคัดเต้านมได้
และโดยปกติอาการดังกล่าวจะหายไปเมื่อประจำเดือนมาหรือเมื่อหมดไป
ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากคุณรู้สึกหงุดหงิดกับอาการเช่นนี้
ทางที่ดีก็ควรจะงดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะ 1
สัปดาห์ก่อนจะมีรอบเดือนไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ
น้ำอัดลมที่ผสมกาเฟอีนและช็อคโกแลต
นอกจากนี้การรับประทานวิตามินอีก็อาจจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้
เพราะวิตามินชนิดนี้มีฤทธิ์ที่ช่วยต่อต้านเอสโตรเจน

อย่างไรก็ตามหาก
อาการเจ็บคัดเต้านม
ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน
หากแต่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่น เป็นซีสต์ เนื้องอกเนื้อร้าย
หรือเกิดจากการอักเสบของกระดูกซี่โครง เช่นนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ทีj,










ขอขอบคุณที่มา

ผู้หญิงนะคะดอทคอม








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 16:13:02 น.
Counter : 508 Pageviews.  

15 ข้อเตือนใจเมื่อเป็นไมเกรน













































ถึงอย่างไร..เราทุกคนก็มีสิทธิ์จะเป็นเจ้าไมเกรนนี้ได้
เนื่องจากสภาวะในปัจจุบันที่เอื้อต่อโรคเครียดเหลือเกิน ลองอ่าน 15
ข้อแนะนนำต่อไปนี้
แล้วลองพิจารณาดูว่าคุณเข้าข่ายเป็นไมเกรนหรือแค่ปวดหัวธรรมดากันแน่

1.
อย่าคิดว่าไมเกรนเป็นแค่อาการปวดหัวธรรมดา

คนที่เป็นไมเกรนจะ
ปวดหัวรุนแรง และมักปวดหัวข้างเดียว ถ้าหากไม่ไดรับการรัษาโดยทันที
คุณอาจจะต้องทรมานปวดหัวต่อไปอีกถึง 4 ชั่วโมง นานถึง 3 วันติดกัน
นอกจากนี้อาจะมีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้
แพ้แสงในลักษณะเห็นแสงแบบดาวระยิบระยับ
หรือมักได้กลิ่นแปลกๆที่ไม่เหมือนกับคนอื่น
หากยังละเลยปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ไปพบแพทย์
แน่นอนว่าอาการของคุณก็จะแย่ลงเรื่อยๆ

2.
อย่าเก่งด้วยการเป็นหมอรักษาตัวเอง
หลายคนพยายามที่จะรักษา
อาการปวดหัวด้วยตัวเองซึ่งถือว่าผิดมหันต์  หากเข้าข่ายเป็นไมเกรน
ยาพาราเซตามอน 2 เม็ดคงไม่พอ แต่การเพิ่มปริมาณยาให้มากขึ้น
อาจะทำให้คุณติดยาในเวลาต่อมา เพราะบางคนอาจทานยาถึง 16 วันใน 1 เดือน
หรือมากกว่า 180 วันใน 1 ปี ด้วยเหตุนี้
ผู้ที่เป็นไมเกรนจำนวนหนึ่งยังคงมีอาการปวดหัวอยู่
เนื่องจากทานยาแก้ปวดมากเกินไปนั่นเอง

3.
อย่าทานยาแก้ปวดต่างชนิดในวันเดียวกัน
หากคุณปวดหัวแล้วไม่ได้
ปรึกษาแพทย์ก็อย่าทานยาแก้ปวดหัวที่ต่างชนิดกันบ่อยๆ
เพราะอาจจะทำให้มีอาการแย่ลงยิ่งกว่าเดิม
ไม่เพียงแค่นั้นยังทำให้แพทย์สันนิษฐานไม่ได้ หากเกิดอาการแพ้ยาขึ้น
นอกจากนี้อย่าทานยาตอนท้องว่างเพราะอาจทำให้กระเพาะเกิดการระคายเคือง
ทางที่ดีแล้วควรทานอาหารรองท้องก่อนเล็กน้อย
แล้วค่อยทานยาเพื่อให้การดูดซึมยาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

4.
ไม่ควรทานยาช้าเกินไป

เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกปวดหัว
ไม่ควรเพิกเฉย
แต่ควรสังเกตอาการเริ่มแรกให้ดีเพื่อที่จะได้หายามาทานให้ทันท่วงที
เพราะหากช้าเกินไป เพียงแค่เราสัมผัสผมก็อาจทำให้ปวดหัวได้
ถ้าถึงตอนนั้นยาตัวใดก็ไม่สามารถระงับอาการปวดได้
สัญญาณที่เตือนว่าคุณอาจจะเป็นไมเกรนคือ อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย เฉื่อยชา
โมโหง่าย อยากอาหารบางอย่างเช่น ของหวานๆและออกอาการหาวแต่ไม่ได้ง่วงนอน

5.
หากปวดมากกว่า 3 ครั้งต่อเดือน ยาแก้ปวดก็ช่วยไม่ได้แล้ว

หาก
คุณมีอาการอย่างนี้บ่อยๆ การบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติบางทีก็น่าลองดู เช่น
อาจจะจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำหรือขี่จักรยาน ถ้าไม่ถนัดกีฬาที่กล่าวมา
ก็อาจจะเล่นกีฬาชนิดไหนก็ได้ที่คุณชอบ เพียงแต่ขอให้เป็นการเคลื่อนไหวเบาๆ
เพียงแค่วันละ 15 นาทีก็เพียงพอ แต่ถ้าแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
ลองเปลี่ยนวิธีเป็นเดินในห้างสรรพสินค้าดูก็ได้ค่ะ
แต่ก็มีบางคนที่จะต้องทานยาทุกวัน ถึงแม้ว่าจะไม่ปวดหัวก็ตาม
ตัวยาเหล่านี้แตกต่างจากยาแก้ปวดทั่วไปคือ
ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวโดยทำให้ระบบทางเดินโลหิตและระบบประสาททำงานเป็นปกติ

6.
หาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเราจึงปวดหัว

สาเหตุที่ทำให้ปวดหัวมีมาก
มาย แต่ละคนก็ปวดหัวด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันไป
เพราะฉะนั้นควรหาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเราจึงปวดหัว
เมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงไม่ทำอย่างนั้น และพร้อมที่จะเผชิญกับมัน

7.
อย่าเปลี่ยนกิจวัตรบ่อยๆ

การนอนมากหรือน้อยกว่าปกติ
การทานอาหารมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุที่อาจทำให้ปวดหัวได้
การที่ทำกิจวัตรต่างๆไม่ต่อเนื่องกันนี้เสี่ยงต่อการปวดหัวโดยเฉพาะกับคนที่
เป็น "ไมเกรนช่วงสุดสัปดาห์" ซึ่งไม่ควรเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันช่วงเสาร์
-อาทิตย์มากนัก
และอย่าได้ประเมินค่าการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรต่างๆเหล่านี้ต่ำเกินไป
โดยเฉพาะยิ่งถ้าหากคุณเพิ่งฟื้นไข้
คุณจะต้องทานยาที่ถูกต้องและพกยาติดตัวไว้เสมอเผื่อว่าเกิดปวดหัวขึ้นมา
กะทันหัน ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้ปวดหัวได้

8.
อย่าคิดว่าการปวดหัวเป็นผลข้างเคียงจากการมีประจำเดือน

การที่
คุณปวดหัวทุกครั้งในช่วงที่มีประจำเดือนหรือช่วง 2 วันแรกก่อนมีประจำเดือน
ถึงจะแสดงว่าคุณเป็น "ไมเกรนในช่วงมีประจำเดือน"
ซึ่งเกิดจาการที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดต่ำลง ทำให้ปวดหัวนานกว่าเดิม
มากกว่าเดิม และรักษายากยิ่งกว่าเดิม
ในกรณีนี้ไม่ควรเพิกเฉยต่ออาการดังกล่าวแต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจดูอาการ
ให้แน่ใจ

9.
ยาที่ใช้รักษาโรคอื่น อาจทำให้ปวดหัวได้
ยาที่แพทย์สั่งให้ทาน
เพื่อรักษาโรคอื่นที่เป็นอยู่
อาจมีผลข้างเคียงทำให้เราปวดหัวมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้
ในกรณีนี้ลองให้แพทย์สั่งยาตัวอื่นที่รักษาโรคนั้นๆได้และไม่ก่อให้เกิดผล
ข้างเคียงใดๆมาทานแทน

10.
อย่าพยายามเอาชนะโรคไมเกรนสุดสัปดาห์

บางคนมักปวดหัวในช่วงสุด
สัปดาห์เนื่องจากการพักผ่อนมากเกินไป
การพักผ่อนนี้นี้ก็เป็นผลมาจากความเครียดสะสมที่เกิดขึ้นตลอดวันทำงานที่
ผ่านมา ทางที่ดีเราควรหลีกเลี่ยงเรื่องเครียดต่างๆ แล้วหากิจกรรมอื่นทำ
เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นกับสุนัข

11.
อย่าหยุดทานยาคุมกำเนิดเพียงเพราะว่าปวดหัว
สำหรับผู้หญิงบางคน
ถ้าทานยาคุม ไมเกรนจะกำเริบมากขึ้น ในกรณีนี้ให้นำยาไปให้สูตินารีแพทย์ดู
เผื่อว่าแพทย์จะสั่งยาคุมตัวอื่นที่เหมาะกับเราให้เราลองทานดูได้
อย่างไรก็ตามหญิงสาวที่เป็นไมเกรน
และทานยาคุมกำเนิดด้วยนั้นจะต้องไม่สูบบุหรี่เป็นอันขาด
เพราะจะเสี่ยงต่อการที่เลือดแข็งตัวผิดปกติได้

12.
หากคุณอยู่ในช่วงวัยทอง อย่าทำการบำบัดฮอร์โมน
การบำบัดฮอร์โมน
อาจยิ่งทำให้อาการปวดหัวแย่ลง
หากจำเป็นจริงๆให้แพทย์สั่งยาที่จะช่วยคงสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนใน
ร่างกายที่เหมาะกับเราให้ดีกว่า

13.
อย่าทานยาแก้ปวดในขณะที่ตั้งครรภ์อยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง
3 เดือนแรกที่ตั้งครรภ์ เพราะยาแก้ปวดบางตัวอาจจะทำให้แท้งลูก
หรือทำให้ลูกที่อยู่ในครรภ์พิการได้ ดังนั้น
เพื่อให้แน่ใจว่าทานยาได้หรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์เสียก่อน

14.
อย่ารักษาแต่อาการปวดหัว อาการแทรกซ้อนอื่นๆก็ต้องรักษาด้วย

โดยปกติไมเกรนอาจก่อนให้
เกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆด้วย เช่น วิงเวียนและคลื่นไส้อาเจียน
ในกรณีนี้ให้ทานยาแก้วิงเวียน
ซึ่งจะทำให้กระเพาะอาหารซึมซับยาได้ดีขึ้นและทำให้หายปวดหัวได้
ส่วนอาการแทรกซ้อนอีกอย่างก็คือ คลื่นไส้อาเจียน
ควรไปพบแพทย์เพื่อสั่งยาให้

15.
ไม่ได้มีแต่ตัวยาที่ช่วยแก้ปวดหัว

หากคุณได้รับความทุกข์ทรมาน
จากการปวดหัวอยู่บ่อยๆ
ยังมีทางเลือกอื่นที่จะรักษาอาการปวดหัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษแนะนำนั่นก็คือ ไบโอฟีตแบ็ก (Biofeedback)
คือกรรมวิธีการรักษาผู้ที่ป่วยเป็นโรคไมเกรนหรือโรคเครียดที่มีประสิทธิภาพ
วิธีหนึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง ระบบขับถ่ายไม่ดี
ความดันเลือดสูง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ฯลฯ เทรนนิ่งออโตเจโน (Training
Augogeno) คือการควบคุมตัวเองเพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย
เหมาะกับคนที่ชอบวิตกกังวล เป็นไมเกรน มีความเครียดสูง หรือเป็นโรคหอบหืด
และการฝังเข็ม
วิธีการเหล่านี้ต่างก็ได้รับการยืนยันว่าช่วยลดอาการปวดหัวได้

Tips
1.
หากคุณคิดว่าตัวเองเป็นไมเกรนแน่นอนแล้ว คุณควรจะหาชาสมุนไพรเก๊กฮวยดื่ม
ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้
2.
หากใครกำลังใช้ยารักษาไมเกรนยี่ห้อ Avamigram, Cafergot, Degran,
Poligot-CF และ Polygot ควรจะต้องรู้ว่าห้ามทานเกิน 6 เม็ดต่อวัน หรือ 10
เม็ดต่อสัปดาห์ หากต้องการให้ได้ผลควรนอนพักผ่อนในห้องที่มืด เงียบ
และอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่หากมีอาการข้างเคียง เช่น ขาไม่มีแรง เจ็บหน้าอก
แขน คอ ไหล่หรือปวดท้อง ปลายมือเท้าชา และรู้สึกเย็นซ่า
รีบหยุดยาแล้วไปพบแพทย์ทันที

ขอขอบคุณที่มา
ผู้หญิง
นะคะดอทคอม







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 15:52:48 น.
Counter : 387 Pageviews.  

20 วิธีลดหุ่นให้เข้าที่













































1. ใช้จานชามสีเข้มขรึม
เนื่อง
จากภาชนะใส่อาหารที่มีสีสดใสจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้น
ดังนั้นเพื่อสกัดกั้นความอยากเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่มลงมือกิน
จึงควรจัดอาหารใส่ไว้ในภาชนะสีเข้มๆ อย่างเช่น สีดำ หรือสีน้ำเงินเข้ม
จะเป็นการดีกว่า

2. รับประทานผักมากๆ
แบ่งสัด
ส่วนการรับประทานอาหารในแต่ละวันของคุณออกเป็น 4 มื้อ
และสามในสี่มื้อนั้นควรเป็นอาหารประเภทผักล้วนๆ
คิดเสียว่าอย่างไรผักก็มีประโยชน์ และหากอยากลดหุ่นให้ได้จริงๆ
ข้อนี้ห้ามละเลย

3. ดื่มน้ำเย็นๆ
เพราะน้ำเย็นๆ
จะช่วยให้ร่างกายต้องดึงพลังงานความร้อนในตัวออกมาเพื่อปรับอุณหภูมิของน้ำ
นั้นให้เหมาะสมกับอุณหภูมิในร่างกาย
ด้วยเหตุนี้ขณะที่เราได้ดื่มน้ำเย็นๆร่างกายจึงต้องเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น

4.
กินแต่อาหารที่ไม่ติดมัน

อาหารประเภทเนื้อสัตว์ติดมัน
หมูสามชั้นทอดกรอบ กุนเชียง กากหมู หนังไก่หรืออาหารที่ทอดด้วยน้ำมัน
ควรจะงดเว้นให้เด็ดขาด หากยังไม่อยากสูญเสียทรวดทรงองค์เอวอันสวยงามสมส่วน

5.
เลือกกินของหวานอย่างเหมาะสม

ขนมหวานๆอย่างทองหยิบ ฝอยทอง
หม้อแกง เค้กหรือช็อกโกแลตเป็นของหวานที่อุดมไปด้วยนม เนย ไข่ และน้ำตาล
แถมเวลาได้รับประทานแล้วจะรู้สึกเพลิดเพลินมีความสุข
ทำให้ทานชิ้นเดียวหยุดไม่ได้
ฉะนั้นหากต้องการลดน้ำหนักก็จงตัดอกตัดใจเสียเถอะ
ทางที่ดีควรหันมารับประทานลูกพลับ
หรืออินทผลัมอบแห้งจะสามารถช่วยป้องกันอาการอยากของหวานเหล่านั้นได้

6.
งดใส่ครีมในกาแฟ
แม้ครีมเทียมจะทำให้รสชาติของกาแฟกลมกล่อมขึ้น
แต่คิดดูสิ ครีมเทียมเพียง 1 กรัม สามารถให้พลังงานสูงถึง 9 แคลอรี
แล้วกาแฟที่คุณดื่ม ใส่ครีมกี่ช้อนต่อแก้ว ถ้าวันหนึ่งคุณดื่มกาแฟสัก 3-4
แก้ว ร่างกายจะได้รับแคลอรี่โดยไม่รู้ตัวมากมายขนาดไหน

7.
สลัดน้ำข้น ไขมันเพียบ!

คุณบอกว่ารับประทานแต่สลัด
แต่ทำไมยังอ้วนอีก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะน้ำสลัดที่คุณเลือกรับประทาน
ล้วนเป็นน้ำสลัดข้นๆที่อุดมไปด้วยครีมนม และไขมันนม
ถ้ารับประทานอย่างนี้แล้ว จะผอมได้อย่างไรละคะ

8.
ซดน้ำแกงจืดก่อนอาหาร

เป็นความคิดที่ดีที่จะจัดการกับน้ำแกงจืด
หรือไม่ก็ดื่มน้ำสักแก้วสองแก้วก่อนรับประทานอาหาร
ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณรู้สึกอิ่มกับอาหารตรงหน้า
แต่ถ้าหากยังสามารถกินอาหารได้อีก ก็จะกินได้ในปริมาณที่น้อยลง

9.
เลือกกินข้าวกล้องแทนข้าวขาว

ข้าวเป็นอาหารหลักที่เราต้องรับ
ประทานเกือบทุกมื้ออยู่แล้ว และถ้าหากได้รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว
เราก็จะไม่ได้เพียงแค่คาร์โบไฮเดรตเฉยๆ
แต่ยังได้ทั้งวิตามินและเกลือแร่ต่างๆมากมายจากเยื่อหุ้มและจมูกข้าวที่ไม่
ได้ถูกขัดสีออกไปด้วย

10.
เลิกนิสัยกินจุบกินจิบ
อย่าสร้างความเคยชินให้กับตัวเองด้วยการ
กินนั่นกินนี่ไม่เป็นเวล่ำเวลาอยู่เรื่อยไป
แต่ควรกินอาหารเป็นมื้อเป็นคราวเท่านั้น
โดยเฉพาะเวลานั่งอยู่หน้าจอทีวีไม่ควรจหาขนมกรุบกรอบ อาทิเช่น มันฝรั่งทอด
ข้าวเกรียบหรือคุ้กกี้ กินไปดูทีวีไปตลอดเวลา
เพราะจะทำให้กินเพลินจนลืมเรื่องอ้วน

11.
หาเพื่อนร่วมลด
การลดน้ำหนักคนเดียว
บางครั้งอาจทำให้รู้สึกท้อแท้
แต่ถ้ามีเพื่อนหัวอกเดียวกันที่มุ่งมั่นจะรีดไขมันส่วนเกินออกจากชีวิต
เหมือนกัน จะช่วยทำให้มีกำลังใจขึ้นเยอะ อย่างน้อยๆคุณก็ยังรู้สึกว่า
"ฉันไม่ได้เป็นคนอ้วนที่ต้องลดน้ำหนักอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย"

12.
ดินเนอร์ใต้แสงเทียน
ภายใต้แสงเทียนนอกจากจะช่วยสร้างบรรยากาศ
ให้ดูโรแมนติกขึ้นแล้ว
ท่ามกลางแสงสลัวๆแบบนั้นยังทำให้ความอยากอาหารลดน้อยลงอีกด้วย

13.
อาหารมื้อเช้า
อาหารมื้อไหนๆก็ไม่สำคัญเท่ากับมื้อเช้า
ทั้งนี้เพราะช่วงเวลาตั้งแต่ 6 โมงถึง 10 โมงเช้า
เป็นช่วงที่ระบบการเผาผลาญสารอาหารภายในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สูงสุด ดังนั้นจึงควรกินอาหารเช้าใด้เต็มที่
ส่วนมื้อเย็นให้กินแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

14.
ไม่กักตุนอาหรเต็มตู้เย็น

ทั้งนี้เพราะจะทำให้คุณหาของกินได้
ง่ายและสะดวกสบายเกินไป ยิ่งมีของกินในตู้เย็นมากเท่าไหร่
คุณก็จะยิ่งกินตามใจปากมากขึ้นเท่านั้น

15.
ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน
ผลไม้อย่างแอปเปิ้ล ส้ม ฝรั่ง กีวี
สตรอเบอร์รี่ สับปะรด มะม่วงหรือมะเขือเทศ
นับเป็นผลไม้ที่เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รักษาหุ่นอย่างแท้
จริง เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งวิตามินซีคุณภาพสูงจากธรรมชาติแล้ว

16.
ดื่มตบท้ายด้วยชามะนาว

หลังอาหารแต่ละมื้อควรดื่มชามะนาวตบ
ท้าย จะสามารถช่วยชะล้างปากจากอาหารคาว
หรืออาหารมันๆเลี่ยนๆได้ดีกว่าดื่มน้ำเปล่าธรรมดา
แถมยังสามารถช่วยยุติความอยากอาหารเรื่อยเปื่อยของคุณอย่างได้ผลด้วย

17.
ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้
ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญแคลอรีให้กลายเป็นพลังงาน
ได้คราวละมากๆ
ฉะนั้นจึงควรเตือนตัวเองให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ
ซึ่งนอกเหนือจากเล่นกีฬาเป็นงานอดิเรกแล้ว ก็ควรหมั่นฝึกตนให้เป็นคนชอบเดิน
ชอบทำงานบ้าน และชอบขึ้นลงบันได

18.
กิจวัตรแรกสุดของทุกๆวัน
หลังจากตื่นนอนตอนเช้า
กิจวัตรแรกสุดที่ควรทำทันทีก็ไม่ใช่อะไรอื่น
นั่นก็คือดื่มน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถดื่มได้
ทั้งนี้ก็เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นขึ้น
และช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทั้งหนักทั้งเบาทำงานได้อย่าง
คล่องตัว

19. ชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้ง
เมื่อ
ปฎิบัติได้ตามคำแนะนำดังกล่าวข้างต้นแล้ว ควรติดตามผลการลดหุ่น
ด้วยการเปลือยกายสำรวจตัวเองหน้ากระจกในห้องน้ำส่วนตัว
และชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้งก็พอ ไม่จำเป็นจะต้องชั่งทุกๆวัน
เพราะการทำเช่นนั้นรังแต่จะทำให้รู้สึกเครียดและคับข้องใจที่น้ำหนักไม่มี
การเปลี่ยนแปลงให้เห็นผลได้ทันตา

20.
อย่าลืมให้รางวัลกับตัวเอง
หลังจากที่สามารถขจัดไขมันส่วนเกิน
ในร่างกายให้ลดลงไปได้สำเร็จ (แม้จะลงไปเพียงเล็กน้อยก็ตาม)
คุณก็สามารถจะให้รางวัลกับตัวเองด้วยการไปนวดหน้า นวดตัว ขัดผิวและบำรุงผิว
เพียงเท่านี้หน้าตาและผิวพรรณคุณก็จะแลดูสดใสและปิ๊งปั๊งขึ้นมาทันตาเห็น

ขอขอบคุณที่มา
ผู้หญิงนะคะดอทคอม







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 15:49:14 น.
Counter : 271 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.