32Then you will know the truth, and the truth will set you free." 32 你 們 必 曉 得 真 理 , 真 理 必 叫 你 們 得 以 自 由 。

"นาม"

"นาม"

...
เอเฟซัส 1:18-22

และ...
ขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้นเพื่อท่านจะได้รู้ว่าในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้นพระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน
และรู้ว่ามรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร..

และรู้ว่าฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไรสำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อตามอำนาจของพระกำลังและฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์..
ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน..

สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร

และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้นมิใช่ในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย..

พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร..

****



เราลองคิดเล่นๆว่า

ก่อนหน้าไบเบิ้ล... มีนามอะไร
หลังจากไบเบิ้ล ....จะมีนามอะไร

ครั้งนึง โมเสสทูลถามพระเจ้าว่า พระองค์มีนามว่าอะไร
"เป็นซึ่งที่เป็น(เยโฮวา)" นั่นคือคำตอบ....


....ในปฐมกาล เป็นเรื่องราวของการทรงสร้าง ในวิวรณืเป็นนิมิตที่บ่งชี้ถึงอวสาน...

...อวสานของอะไร....

ของไบเบิ้ล... ที่เราๆท่านๆถืออยู่

...
เพราะถ้าหลังจากนั้น จะมีบันทึกต่อไปอีก ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคของพวกเรา .. ไบเบิ้ลนั้น ก็คงจะมีอีกหน้าตานึง..
..ถ้ามันมีล่ะก็นะ..


"เวลา"
เริ่ม "ถูกนับ"
ตั้งแต่ช่วงปฐมกาล
และคงจะสิ้นสุดของ "ระบบเวลา"
เมื่อเข้าสู่ยุควิวรณ์ ..ตามนิมิต...


..."นาม"
นั้นสำคัญไฉน
นามมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

"นาม"
มีเพื่ออะไร

"นาม"
สำคัญหรือไม่?....

..........

เอเฟซัส 1:21 สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครองเหนือศักดิเทพเหนืออิทธิเทพเหนือเทพอาณาจักรและเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้นมิใช่ในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย..

"พระเยซูคริสต์"

นามซึ่ง "ถูกตั้ง"
เพื่อที่จะ ..เหนือนามทั้งปวง ทั้งที่เคยมี

..และที่จะมี..

ทั้งอดีตกาล ..และจวบจนสิ้นยุค...

......

พวกเรา ทุกคนขณะนี้ เพียงอยู่ในยุคนึง ของบันทึก
เปาโล เปโตร ตอนพวกเค้มีชีวิตอยู่
เค้าก็เพียงอยู่ในยุคนึง ของบันทึก....

..อาจจะต่างกัน แต่ก็ไม่ได้ต่างกัน...

***

เคยมีคำถามจากผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียน ซ้ำๆกันในลักษณะว่า
"พวกคุณก็บ้าจี้กันไปได้ ..อย่ายึดติด กับชื่อ พระเยซูคริสตื นักเลย .."
"จะบอกอะไรให้นะ ..จริงๆชือ่ไหน ก็ได้ ... แต่พวกคุณแค่อ้างชื่อพระเยซูคริสต์แล้วมันเวิค พวกคุณเลยบ้าจี้ตามๆกันมากว่าพันปี ..ก็เท่านั้น.."


***

"เหนือนามทั้งปวง"

น่าจะอธิบายได้ดี ไบเบิ้ลเอง ก็บันทึกไว้แล้ว แม้จะไม่ตรงๆตัว ..ว่า...

ใช่แล้ว..
นอกจาก นาม พระเยซูคริสต์ ก็ยังมีนามอื่นๆอีกมากมาย
ทั้งที่มีมาแล้ว ..และที่ "จะมี"

แต่

พระเจ้าได้ตั้ง นามนี้ไว้ เหนือนามทั้งปวง เหนือเทพทุกๆตน
และยังได้บอกอีกว่า

"ทรงปราบสิ่งสารพัด" ..ไว้ใต้พระบาทแล้ว..

***


พระมีมากมาย
นามมีมากมาย
อิทธิฤทธิ์ ก็มีมากมาย

จุดประสงค์ของพระ ของนาม ของอิทธิฤทธิ ..ก็มีมากมายด้วย ...

***

ข้าพเจ้าคงไม่ลามปามไปถึงพระ หรือนาม หรือ อิทธิฤทธิ์ อื่น

แต่ข้าพเจ้าเชื่อตรงกับคริสเตียนอีกมากว่า

พระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์...
คือชีวิต คือทางนั้น และคือความจริง....

เราอาจจะรู้จัก นาม มามากมาย นับจากวันที่เราจำความได้
แต่นามพระเยซู ก็ทำให้เราตระหนักบางอย่างในความจริง..

ในอนาคต อาจจะมีนามมากมายเกิดขึ้น

แต่เรา ก็ขอวางใจ

ในพระนาม....

"พระเยซูคริสต์เจ้า"
อาเมน



...




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2549   
Last Update : 14 ตุลาคม 2549 15:28:13 น.   
Counter : 400 Pageviews.  

ตัวเอก?

1 ทิโมธี 1:14 และพระคุณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นมีมากเหลือล้นสำหรับข้าพเจ้าพร้อมด้วยความเชื่อและความรักซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์..
1 ทิโมธี 1:15 คำนี้เป็นคำจริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอดและในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก..

1 ทิโมธี 1:16 แต่ว่าเพราะเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงได้รับพระกรุณาคือว่าเพื่อพระเยซูคริสต์จะได้ทรงสำแดงความอดกลั้นพระทัยทุกอย่างให้เห็นในตัวข้าพเจ้าซึ่งเป็นตัวเอกนั้นให้เป็นแบบอย่างแก่คนทั้งปวงที่จะเชื่อในพระองค์แล้วรับชีวิตนิรันดร์..

-----

ตัวเอก....

วันนี้ได้ฟังเรื่องของผู้รับใช้สตรีท่านนึงในจีน

ในอดีต.. เธอได้รับการเจิมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างมาก
มีการอิทธิฤทธิ์มากมาย รักษาคนป่วยได้

งานรับใช้ของเธอเกิดผลมาก
และเธอก็กลายเป็นผู้นำคริสตจักรตามบ้านที่นั่น
คริสตจักรขยายตัวอย่างมาก

แล้วเธอก็เริ่มคิดว่า เธอคือเอลียา ไม่ก็พระเมสสิยาห์
ครั้งนึงเธอบอกแก่คนทั้งปวงว่า

"ฉันคือพระเมสสิยาห์"

...?????

เรื่องไม่จบแค่นั้น
ว่ากันว่า ใครไม่เข้าไปเป็นสมาชิกที่คริสตจักรของเธอ
จะต้องตกนรก....

........
ผิดปกติตั้งแต่เธอเรียกตัวเองว่าเมสสิยาห์แล้ว

ผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจพอคงหลงเชื่อเธอ เพราะการอิทธิฤทิ์ต่างๆที่เธอทำไว้ ..ในอดีต...

.........แต่นั่นคืออดีต... การเจิมคงหายไปจากเธอตั้งแต่เธอเริ่มคิดว่าเธอคือพระเมสสิยาห์แล้ว....

------

มีตัวอย่างมากมายในพระคัมภีร์เดิม ที่มีคนที่พระเจ้าเจิมไว้ และถูกปลด เพราะใจที่หยิ่งผยองของเค้า
เช่น ซาอูล หรือแม้แต่ซาโลมอน ที่ว่ากันว่าพระเจ้าให้สติปัญญาอย่างมาก

-----

สตรีท่านที่พูดถึงนั้น คงเริ่มการรับใช้ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์
แต่เมื่อเธอผ่านการเจิม และเต็มด้วยฤทธิ์เดช

เธอเริ่มใช้มันเพื่อตัวเอง
เธอเริ่มคิดว่าเธอเป็น "ตัวเอก"

----
จากพระคัมภีร์ใหม่
หลังจากพระเยซูคืนพระชนม์และประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์
เราจะเห็นว่า ผู้รับใช้อัครทูต ไม่ขโมยเกียรติพระเจ้าเลย
อย่างเปาโลเอง ก็มองว่าถ้าเขาจะเป็นตัวเอก ก็เป็นผู้รายตัวเอก

ยิ่งกว่านั้น
พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า
ก็ยังถวายเกียรติพระบิดา

จิตใจที่ขโมยเกียรติ และยกตัวเป็นตัวเอก ก็มาจากที่เดียว คือมาร
หากเราเลือกจะเชื่อเสียงนั้น

ในที่สุดเราก็จะห่างจากพระเจ้าพระเยซูคริสต์

....ลัทธิเทียมเท็จมากมายเกิดขึ้น ส่วนนึงก็เพราะผู้รับใช้เหล่านี้ที่หลงไป และหลงคิดว่าเขาเป็นตัวเอก....

-------

สำรวจตัวเราขณะนี้
ว่าในงานรับใช้แล้ว
เราได้รับเกียรติซะจนเริ่มรู้สึกว่าเคราเป็นตัวเอกหรือไม่
สปอทไลท์เริ่มฉายมาที่เราแทนที่จะฉายส่องเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าหรือเปล่า
ถ้ามี เรารู้สึกอย่างไรกับการนั้น ...ภูมิใจหรือเปล่า

อันตราย ถ้าเริ่มภูมิใจ
พึงระลึกไว้เสมอว่า
ต่อให้เราเต็มด้วยฤทธิ์เดช สิ่งนั้นก็มาจากพระเจ้า

และทั้งสิ้นนั้น ก็มีเพื่องาน ประกาศข่าวประเสริฐ
ทั้งการรักษามะเร็ง เอดส์ ง่อย หูหนวก
ไม่ว่าท่านจะเคยทำการอัศจรรย์ใดๆก็ตาม ในพระนามพระเยซูคริสต์
...สิ่งที่เกิดนั้นเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า เพื่อข่าวประเสริฐ
เพื่อเขาจะได้เชื่อ และจะได้รอด โดยพระนามพระเยซูคริสต์

หากมีเสียงในใจเร้าให้เราเล่นบทตัวเอก
จำไว้ว่า
"มาจากมารเท่านั้น"

ขอพระเจ้าคุ้มครองเราครับ




 

Create Date : 02 ตุลาคม 2549   
Last Update : 2 ตุลาคม 2549 11:11:57 น.   
Counter : 382 Pageviews.  

ความอายในความเป็นคริสเตียน

2 ทิโมธี 1:8
อย่าละอายที่จะเป็นพยานฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือฝ่ายตัวข้าพเจ้าที่ถูกจำจองอยู่เพราะเห็นแก่พระองค์แต่จงมีส่วนในการยากลำบากเพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐโดยอาศัยฤทธิ์เดชแห่งพระเจ้า..
--

มัทธิว 10:32-33 เหตุดังนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์.
แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ด้วย..
......

........

เมื่อเช้าได้ฟังเรื่องเรื่องนึง

มีนักธุรกิจท่านนึงซึ่งพระเจ้าอวยพรในการเงินอย่างมาก และก็ได้รับของประทานฝ่ายวิญญาในการรักษาโรคด้วย ได้แบ่งปันให้ว่า

เขารู้จักพระเจ้าได้ เพราะลูกจ้างผู้หญิงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นคริสเตียน
เขาสังเกตลูกจ้างคนนี้มานาน ด้วยความสงสัย หน้าตาก็ธรรมดา แต่ทำไมถึงได้ ดูมีสง่าราศี(อาจจะมากกว่าเขา) วันนึงนักธุรกิจท่านนี้จึงเข้าไปถามลูกจ้างคนนั้น
ด้วยคำถามแปลกๆ ...ว่า
"คุณเป็นใคร?"

ลูกจ้างคนนั้นก็ตอบคำถามแปลกๆ ด้วยคำตอบที่แปลกยิ่งกว่า
"เป็นลูกพระเจ้าค่ะ^^"

....ผมได้ฟังมาแค่นั้น ....

.....
มีอีกเรื่องนึง อยากเล่าให้ฟัง
หลายเดือนก่อน สมัยที่ผมยังทำงานอยู่ที่ๆหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ของผู้ที่ไม่ในเชื่อพระเจ้า
ได้เจอพี่สาวท่านนึง แต่ไม่รู้จักกัน บังเอิญเจอกันแว้บเดียวที่นั่น ทราบเพียงว่าเขาผู้เชี่ยวชาญการร้องเพลง หรืออาจจะสอนร้องเพลงอะไรประมานนี้
ก็ผ่านไป

แล้วทีนี้ ก็ผ่านไปอีกเป็นเดือน
ก็มีโอกาสไปร่วมนมัสการที่โบสๆหนึ่ง ก็ไปเจอพี่สาวท่านนี้อีก แต่พี่สาวท่านนี้อยู่ในทีมนมัสการ มีหน้าที่ร้องคอรัส

ผมก็คุ้นๆหน้า แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกันหรือไม่
เพราะถ้าใช่ ก็จะปรากฏว่า ตอนที่เจอพี่สาวท่านนี้ที่บริษัทนั้น ผมไม่ได้ทราบเลยว่า เจอคริสเตียนด้วยกันเอง
ความสงสัยยังคงอยู่ ..และอยู่ต่อไป เพราะไม่มีโอกาสคุยกับพี่สาวท่านน้น

ผ่านไปอีก

มีพี่ชายท่านนึงที่เคารพรักที่บริษัทนั้น เสียชีวิต.....
...
ก็ไปงานศพของพี่เค้าที่วัดมกุฎแถวราชดำเนิน
ก็ให้บังเอิญเจอพี่สาวท่านนี้อีก
ชี้หน้ากันกันยกใหญ่
"คริสเตียนจริงๆด้วย ว่าแล้วววว"
อันนี้อารัมภบท(ยาวไปนิด)

แต่ประเด็นคือ!!
ตอนผมกลับ ผมไปสวัสดีกลุ่มของพี่เค้า พี่เค้าบอกว่า
"บายๆ พระเจ้าอวยพรนะ"

อึ้งครับ....
ท่ามกลางงานศพแบบพุทธเลย
พี่เค้าบอกว่า พระเจ้าอวยพรนะ

....ผมขอสารภาพว่า แม้ว่าผมเองจะประกาศเรื่องพระเจ้าอยู่บ่อยๆ ทั้งในไซเบอร์ และในชีวิตจริง

แต่

"ผมแอบมีความละอายเล็กๆ ในการที่จะแสดงความเป็นคริสเตียนให้คนอื่นรู้ ..ในบ่อยครั้ง"

.....
ผมนับถือ ทั้งลูกจ้างสาวคนนั้น ที่บอกว่า "เป็นลูกพระเจ้า"
ผมนับถือพี่ผู้หญิงคนั้น ที่บอกผมว่า "พระเจ้าอวยพรนะ"
ทั้งๆที่ผมแค่สวัสดีลาเค้าเฉยๆ ไมได้แสดงท่าทีของคริสเตียนอะไรเลย....

..เหมือนถูกแทงใจดำเข้าอย่างจัง....

.........

และผมยังพบว่า

ผม ไม่กล้าที่จะขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหารอย่างออกหน้าออกตานัก ..ในร้านอาหาร...
โอเค ถ้าไปกันเป็นหมู่คณะ ถ้าให้ผมอธิษฐานขอบคุณเสียงดังฟังชัดใน้น ผมกล้าทำ...
แต่ถ้าผมไปคนเดียว..... ผมไม่กล้า.....
ผมจะแค่หลับตามุบมิบๆอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ใครจะสังเกต

........

ในอดีต ผมเคยนึกว่าผมไม่มีความละอายในการเป็นพยานเรื่องพระเจ้า
แต่จากกรณีของสองท่านที่ยกมานั้น เมื่อรวมกัน ทำให้ผมได้เริ่มเห็นว่า

จริงๆแล้ว ผมก็ยังแอบมีความละอายในเรื่องพระเจ้าอยู่

ผมเคยคิดว่า จากประสบการณ์ในความเป็นคริสเตียน ประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ทำให้ผมกล้าหาญในการเป็นพยานแล้ว

แต่จากเรื่องของสตรีสองท่านที่ยกมานั้น....
....ผมเทียบพวกเค้าไม่ได้เลย....

และรู้สึกละอายต่อความขี้ขลาดของตัวเองอย่างมาก
ที่ผมมีความละอายที่จะบอกใครเต็มๆปากว่า
"ผมเป็นลูกพระเจ้าครับ^^"

พระเยซูตรัสว่า...
เหตุดังนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์.
แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ด้วย..
.....มัทธิว 10:32-33

....
ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์ ช่วยให้เรามีใจกล้าที่จะประกาศและเป็นพยานเรื่องการคืนพระชนม์ของพระองค์
มีใจกล้าที่จะไม่ละอายในข่าวประเสริฐอันเป็นฤทธิ์เดช
อันนำความรอดมาสู่มนุษยชาติ
อาเมน




 

Create Date : 02 ตุลาคม 2549   
Last Update : 2 ตุลาคม 2549 11:10:34 น.   
Counter : 358 Pageviews.  

ข้าพเจ้ากับการนมัสการ ....

ผมเข้าไปร่วมนมัสการกับพวกคริสเตียนเพื่อจับผิด และหาคำตอบเรื่องพระเจ้าหลายเดือนก่อนที่ผมจะรับเชื่อ

ถามว่า ตอนนั้นผมคิดยังไงกับเพลงที่พวกเขาร้อง
ความคิดของผมในตอนนั้น

ไม่ได้เรื่อง ร้องแย่ ร้องก็เพี้ยน
เนื้อเพลงก็ไม่ลงกับทำนอง มีการบิดเนื้อร้องให้ลงทำนองซะจนฟังแล้วขัดหู
..สรุปคือ

" ผมหงุดหงิดกับเพลงที่พวกคริสตเตียนร้องตอนนมัสการมากๆ"
ถึงขนาดผมเคยพูดกับพี่สาวผมที่ไปร่วมสังเกตการด้วยกันว่า
"ให้ผมเขียนเนื้อร้องให้เจ้าพวกคริสเตียนพวกนี้มันไว้ร้องนมัสการ ยังจะฟังดูดีซะกว่า"

และแน่นอนผมไม่ได้อยากร้องร่วมกับพวกเค้าเลย แต่ก็ทำเนียนไป เพราะตั้งใจจะมาจับผิดและหาคำตอบ

เวลาผ่านไปอีกหลายเดือน...

ผมกลายเป็นคริสเตียนซะเอง คริสเตียนที่ผมเคยดูถูกอย่างมาก คริสเตียนที่ผมเคยปรามาสว่า โคตรโง่ว่ะ
คริสตียนทุกคนที่มาประกาศกับที่ผม ที่ผมเคยแอบสมเพชพวกเค้า....

แต่ผมก็กลายเป็นคริสเตียน เพราะพระคุณพระเจ้าจริงๆ

....
ท่าทีหลังจากนั้นของผมต่อเพลงนมัสการเป็นอย่างไร??

เหมือนเดิมเป้ะ ไม่มีอะไรเปลี่ยน

ยังคงมองว่าเพลงนมัสการ เพราะตรงไหนฟร่ะ
ยังคงคิดว่าเพลงนมัสการมีไว้ร้องเพื่อเอนเตอร์เทนหรือบิ้วอารมณ์อย่างที่เคยคิด

และก็ยังคงแอบคิดว่า
"พี่ๆคริสเตียที่ร้องเพลงเห่ยๆนั่นแล้วท่าทางมีฟามสุขเนี่ย ..บ้าป่าวหว่า..."

เวลานมัสการเมื่อตอนเป็นคริสเตียนใหม่ๆ
ผมก็จะขมุบขมิบปากไปทำเนียน ด้วยความอึดอัด ..เมื่อไหร่จะจบซะที
คำเทศน์ก็งั้นๆ ...คำสอนแบบพุทธที่ผมเคยศึกษามายังดูดีซะกว่า

เป็นช่วงนึงของชีวิตคริสเตียนที่ผมอึดอัดมากตอนนมัสการและฟังเทศน์
ชอบอย่างเดียว ..ตอนกิน... อาหารอร่อยมากกก^^

---

แต่

ณ ตอนนี้
เมื่อผมได้เห็นสิ่งที่พระเจ้ากระทำให้ผมมากมาย
ได้รู้ถึงความจริงหลายๆอย่างที่พระเจ้าเปิดเผยให้รู้
ได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น เข้าใจพระลักษณพพระเจ้ามากขึ้น
มีประสบการณ์กับพระองค์มากขึ้น ผ่านทางพระนามพระเยซูคริสต์

ผมรักการนมัสการมาก
เพลงก็เพลงเห่ยๆพวกนั้นล่ะ
เพลงที่ฟังดูไม่ลงทำนองพวกนั้นล่ะ

ผมไม่แปลกใจ ถ้ามีใครที่ไม่ได้มีประสบการรืกับพระเจ้าเวลาเห็นผมนมัสการ
..จะต้องคิดเหมือนที่ผมเคยคิดกับพวกคริสเตียน

....พวกนี้เค้าบ้าป่าวหว่า......

แต่ผมไม่สนใจหรอกนะครับ
เพราะผมรู้ว่าผมนมัสการเพื่อใคร....

ถ้าใครจะมองว่าผมบ้า หรือร้องเพลงไร้สาระ
แต่ถ้าพระเจ้าพอใจ ..นั่นก็พอแล้ว
...

นมัสการ ไม่ใช่พิธีกรรมหรอกครับ
เป็นการเหมือนเพลงสรรเสริญพระบารมีนั่นล่ะ

และในหมู่คริสเตียนด้วยกันเอง

ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจว่าการนมัสการที่แท้นั้นคืออะไร
อย่างที่ผมเล่าห้ฟัง ว่าตอนเป็นคริสตเยนใหม่ๆ ผมก็ไม่ชอบนมัสการมากๆ
....





พระเจ้าคุ้มครองครับ




 

Create Date : 02 ตุลาคม 2549   
Last Update : 2 ตุลาคม 2549 11:08:11 น.   
Counter : 322 Pageviews.  

พระเยซูอยู่ไหนครับ

ยอห์นฺ 20:1-18

วันอาทิตย์เวลาเช้ามืดมารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพนางเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว..

"นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรและสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้นและพูดกับเขาว่าเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้วและพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน"..


เปโตรจึงออกไปยังอุโมงค์กับสาวกคนนั้น..
เขาวิ่งไปทั้งสองคนแต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน..
เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน..


ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลังแล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่..
และผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่นแต่พับไว้ต่างหาก..


แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วยเขาได้เห็นและเชื่อ..
เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระธรรมที่เขียนไว้ว่าพระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย..


แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน.


ฝ่ายมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ขณะที่ร้องไห้อยู่เธอก้มลงมองดูที่อุโมงค์..

และได้เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ณที่ซึ่งเขาวางพระศพพระเยซูองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียรองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท..


"ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่าหญิงเอ๋ยร้องไห้ทำไม"เธอตอบว่า"เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้วและข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน"..

เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้วก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่แต่ไม่ทราบว่าเป็นองค์พระเยซู..


"พระเยซูตรัสถามว่าหญิงเอ๋ยร้องไห้ทำไมเจ้าตามหาผู้ใด"มารีย์สำคัญว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบว่า"นายเจ้าข้าถ้าท่านเอาพระองค์ไปขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหนดิฉันจะได้รับพระองค์ไป"..


"พระเยซูตรัสกับเธอว่ามารีย์เอ๋ย"มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า"รับโบนี"(ซึ่งแปลว่าอาจารย์)..


"พระเยซูตรัสกับเธอว่าอย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เพราะเรายังมิได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเราแต่จงไปหาพวกพี่น้องของเราและบอกเขาว่าเราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของท่านทั้งหลายไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย"..


"มารีย์มักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่าข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว"และเธอได้บอกเขาทั้งหลายว่าพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นกับเธอ..

-----------

"พระเยซูอยู่ไหน?"


ภาพสุดท้าย เมื่อเราคิดถึงพระเยซูคริสต์ เราคิดถึงพระองค์ในภาพไหน.....

...อาจจะมีบางท่านตอบว่า บนกางเขน

ถามอีกที

"ภาพสุดท้าย" เมื่อเรานึกถึงพระเยซูคริสต์ พระองค์อยู่ที่ไหน.....

........

ถ้าถามนางมารี ตามเหตการณ์ที่ยกมานั้น
ตามข้อ1
นางอาจจะตอบว่า บนไม้กางเขน ไม่ก็ในอุโมงฝังศพ

จิตใจนางเวลานั้นคงโศกเศร้ามาก

นางไปที่หลุมศพ และเมื่อพบว่าอุโมงเปิดอยู่ และในนั้นว่างปล่าว นางคงตกใจมาก
ศพพระเยซูหาย!!

ตกใจมาก รีบวิ่งไปบอกพวกสาวก
พวกสาวกพอรู้ ตกใจไม่แพ้กัน
ศพพระเยซูหาย!! รีบวิ่งเต็มฝีเท้าไปที่อุโมงนั้น และไม่พบศพจริงๆด้วย ..แล้วก็กลับบ้าน



แต่นางมารียังคงร้องไห้อยู่ตรงนั้น
แม้แต่ศพก็ไม่มีเหลือ...

.....

.............


ถามอีกที

"ภาพสุดท้าย" เมือเรานึกถึงพระเยซูคริสต์ ท่านอยู่ที่ไหน?

เราหยุดอยู่แค่นี้หรือเปล่า
พระองค์ถูกตรึงกางเขน

อันจะเห็นได้ว่า
มีรูปปั้นมากมาย ยังคงให้พระองค์อยู่บนกางเขน
มาดูพระองค์ถูกตรึงกางเขน ...แล้วก็กลับบ้าน....

ถามตัวเราเองกันอีกที



"ภาพสุดท้าย" เมื่อนึกถึงพระเยซู ....พระเยซูอยู่ที่ไหน



.........

1 โครินธ์ 15:3-4
เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้นข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลายตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์..
และทรงถูกฝังไว้แล้ววันที่สามพระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์นั้น..

1 โครินธ์ 15:12-19

ถ้าเราเทศนาว่าพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้วเหตุใดพวกท่านบางคนยังกล่าวว่าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี..

ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มีพระคริสต์ก็หาได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาไม่..

ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาการเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลักทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วย..
และก็จะปรากฏว่าเราอ้างพยานเท็จในเรื่องพระเจ้าเพราะเราอ้างพยานว่าพระองค์ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมาแต่ถ้าคนตายไม่ถูกทรงชุบให้เป็นขึ้นมาแล้วพระองค์ก็ไม่ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา..

เพราะว่าถ้าการชุบให้เป็นขึ้นมาไม่มีพระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา..

และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน..

และคนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย..

ถ้าในชีวิตนี้พวกเราซึ่งอยู่ในพระคริสต์มีแต่ความหวังเท่านั้นเราก็เป็นพวกที่น่าสังเวชที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง..
..........



ถ้าถามว่า
ทำไมถึงมีคริสตชนส่วนนึง ไม่ค่อยกระตือรือร้น หรือยากประกาศข่าวประเสริฐ?

คำตอบก็คงอยู่ตรงนี้ล่ะ

ก็คือเค้ายังคงนั่งร่ำไห้อยู่อย่างนางมารีตรงหลุมศพ
ไม่ก็กลับไปบ้านแล้วอย่างเปโตร

ทั้งสองลักษณะนี้ ถ้าจะลุกขึ้นด้วยความชื่นชมยินดีแล้วเที่ยวไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ก็คงแปลกๆ....

ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องปกติมาก ที่มีคริสตชนส่วนนึง เฉยๆ กับการประกาศ...
.........

เราลองนึกถึงภาพหรือความรู้สึกในหัวใจของนางมารีตอนที่ได้รู้ว่าพระเยซูคืนชีพสิครับ
นึกถึงตอนที่พวกสาวกได้เห็นพระองค์อีกครั้ง

นึกถึงตอนที่พวกสาวกได้เห็นพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องบน "กับตา"

เค้าจะรู้สึกอย่างไร?

ปิดปากเงียบ....
กลับบ้าน...
ใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็น....
งั้นๆแหล่ะ....

รึเปล่า?

เปล่าเลย

ทุกคนคงอยู่ในสภาพดวงตาเป็นประกาย
อยากเล่าให้ใครต่อใครมากมายฟัง
"ว่าพระเยซูทรงคืนพระชนม์ ทรงเป็นพระเจ้า"

.....
ตัวข้าพเจ้าเอง เป็นคริสเตียนใหม่ๆ ก็เฉยๆกับการประกาศ

ฉะนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้จะตำหนิใครที่ไม่ประกาศ เพราะเข้าใจดีว่า ทำไมเขาไม่ประกาศและเป็นพยาน
..ก็มันไม่เห็นมีไรน่าตื่นเต้นนิ...

จนเมื่อได้มีอะไรที่น่าตื่นเต้นในพระนามพระเยซูคริสต์นั่นเอง...
...จึงเริ่มอยากเล่าให้ฟัง.... อยากใครต่อใครได้ยินข่าวประเสริฐ เค้าจะว่าเราบ้าก็ช่างเค้า ..ก็อยากเล่าน่ะ



----
------

นึกถึงว่าถ้าเรารักใครซักคน
แต่คนที่เรารักไม่ได้สนใจเราที่ยืนอยู่ตรงนี้เลย

คนที่เรารัก เอาแต่มองดูรูปเรา เอาแต่คิดถึงอดีตของเรา
ใช่ เค้ารักเรา

แต่เค้าไม่ได้สนใจเราที่ยืนอยู่ข้างๆเค้าตรงนี้เลย...
...เราจะรู้สึกอย่างไร....

......

ถามอีกที

ตอนนี้พระเยซูอยู่ไหนครับ

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ




 

Create Date : 02 ตุลาคม 2549   
Last Update : 2 ตุลาคม 2549 11:06:40 น.   
Counter : 466 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

เดียวดาย9อักษร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เดียวดาย9อักษร's blog to your web]