32Then you will know the truth, and the truth will set you free." 32 你 們 必 曉 得 真 理 , 真 理 必 叫 你 們 得 以 自 由 。

พระเจ้ามีจริงเป็นเรื่องแปลก(ตรงไหน)

เมื่อวานตอนเย็นๆ หลังจากสอนกีต้าร์เสร็จ เดินคุยกับเด็กคนนึง

เด็กถามผมว่า "เสร็จจากนี่แล้วเด่วครูไปไหนต่อเหรอ"

"ไปโบสครับ"

"ไปทำไมวันนี้ นี่มันวันพุธ"

"คืนนี้ครูต้องไปนำประชุมกลุ่มอธิษฐานครับ"

"ประชุมอธิษฐาน เค้มทำไรกันอะ"

"ก้... ไปเล่นกีต้าร์ร้องเพลงนมัสการพระเจ้า แล้วก็ศึกษาพระคัมภีร์ แล้วก็อธิษฐาน"

คำตอบแต่ละอย่างของผม ตอบแบขขอไปทีทั้งนั้น เพราะเมื่อวานเหนื่อยมาก ตะลอนๆมาตั้งแต่เช้า+เป็นหวัด
แถมตอนกลางวันยังต้องตะโกนแข่งกับเด็กมัธยม

แล้วเด็กคนนั้นที่เดินคุยกับผมก็พูดบางอย่าง ที่ผมรู้สึกสะอึก.....


"ศาสนาพุทธดีที่สุดแล้วครู หนูไมใปเปลี่ยนศาสนาหรอก"

...เด้กมันวกเข้ามาเรื่องนี้ได้ไงเนี่ย?...
เอาน่ะ หลังจากเจอคำนั้น ที่จริงถ้าร่างกายผมแข็งแรงดี ผมก็อยากจะพุดอะไรบางอย่างเล้กน้อยเพื่อชี้แจงความเข้าใจ แต่พอดีเมื่อวานเหนื่อยมากจริงๆ คอแห้งๆเสียงก็เริ่มไม่มีเลยไม่อยากพูดอะไร



......

"เปลี่ยนศาสนา"

"เปลี่ยนศาสนา"


ทุกวันนี้ มนุษย์ยังเข้าใจว่า พระเจ้าเป็นเรื่องของศาสนา
ซึ่งใสความเป็นจริงและตามหลักแล้ว

ศาสนาช่วยอะไรใครไม่ได้จริงๆหรอก อาจแค่เกือบผ่าน
แต่ยังไงก็ตกอยู่ดี

....

นึกเล่นๆว่า

ตอนที่ผมตอบเด็กคนนั้นว่าผมจะไปไหนต่อนั้น
พอเด็กฟังคำตอบของผม เด็กคนนั้นคิดยังไง

คิดงี้รึเปล่า
อ่อ ...เด่วครูจะไปร้องรำทำเพลง ให้พระเจ้าที่ไหนไม่รู้ฟัง ...เออ ครูนี่เพี้ยนดีนะ ตลกดี



..มองเห็นความขัดแย้งบางอย่างมั้ยครับ???


"ถ้า"
การไปนมัสการพระเจ้าของคริสเตียน เป้นเรื่องตลก
ก้แสดงว่า ..พระเจ้าไม่มีจริง

และคริสเตียนที่ไปนมัสการพระเจ้า ..ก็ "โง่" สุดๆ

ดูก็ฉลาดดีนะ แต่พอบอกว่าจะไปนมัสการพระเจ้า ได้คะแนนโง่ติดตัวทันที.... เหอะๆ

.........

สมมุติมีคนถามว่าผมจะไปไหน
ผมบอกเค้าไปว่า จะไปร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้เพื่อนคนนึง

อันนี้ไม่แปลก....

หรือผมอาจจะตอบว่า

จะไปร้องเพลงหลีสาวว่ะ

เออ อันนี้ก็ไม่แปลก

"แต่"

พอบอกว่าจะไปร้องเพลงนมัสการพระเจ้า
...ดันแปลก....

......

นี่คนข้างนอกเค้ายังเชื่อกันจริงๆหรือ ว่าพระเจ้าไม่มีจริง
นี่คนข้างนอกเค้ายังเชื่อกันจริงๆหรือว่าที่คริสเตียนไปนมัสการพระเจ้าเนี่ย ..ไปนมัสการพระเจ้าในจินตนาการของมัน

นมัสการพระเจ้าในจินตนาการของมัน?

เออนะ ..คิดเข้าไปได้

นี่ผมบ้าขนาดยอมเสียค่ารถ เสียเวลา ยอมกลับบ้านดึกเกือบห้าทุ่มเพียงเพื่อไปนมัสการพระเจ้าในจินตนาการผม งั้นเหรอ???

......



การไปนมัสการพระเจ้าของคริสเตียน มองให้สมเหตสมผลได้แค่สองอย่าง
1-พระเจ้ามีจริง
2-คริสเตียนมันบ้าไปแล้ว....


ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์คุ้มครองครับ
อาเมน




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2549   
Last Update : 21 ธันวาคม 2549 2:03:08 น.   
Counter : 367 Pageviews.  

สาร กับผู้รับสาร

ดูเถิด....

มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช
และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก

แต่เมื่อแดดจัดแดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มีจึงเหี่ยวไป
บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย
บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง

ใครมีหูจงฟังเถิด"

"เพราะว่าข้อความลึกลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้
ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่ผู้ใดที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา

เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ

คำพยากรณ์ของอิสยาห์ก็สำเร็จในคนเหล่านั้นที่ว่า
`พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่รับรู้
เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาเขาเขาก็ปิด เกรงว่าในเวลาใดเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และจะหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้หาย'

แต่ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็น
และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน

เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ศาสดาพยากรณ์และผู้ชอบธรรมเป็นอันมากได้ปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้ แต่เขามิเคยได้เห็น
และอยากจะได้ยินซึ่งท่านทั้งหลายได้ยิน แต่เขาก็มิเคยได้ยิน

เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืชนั้น
เมื่อผู้ใดได้ยินพระวจนะแห่งอาณาจักรนั้นแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย

นั่นแหละได้แก่ผู้ซึ่งรับเมล็ดริมหนทาง

และผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความปรีดี
แต่ไม่มีรากในตัวเองจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงต่างๆเพราะพระวจนะนั้น ต่อมาเขาก็เลิกเสีย

ผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และการล่อลวงแห่งทรัพย์สมบัติก็รัดพระวจนะนั้นเสีย และเขาจึงไม่เกิดผล



ส่วนผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง"

มัทธิว13/1....23

.......



ผมมักจะแปลกใจเสมอมา เมื่อเวลาอธิบายอะไรให้ใครฟังซะยาวเหยียดแต่สุดท้าย ..เขาก็ไม่เข้าใจ

บางรายเข้าใจ แต่กลับพยามสร้างแนวคิดเหตผลจอมปลอมขึ้นมาครอบความเข้าใจที่ได้เกิดขึ้นในตัวเขา...

และก็มักแปลกใจเสมอ
บ่อยครั้งที่ผมเพียงพยามบอกเล่าเรื่องราวบางอย่าง ..ที่ไม่ได้สำคัญอะไร
..แต่คู่สนทนากลับต่อยอดจากสิ่งที่บอกเล่านั้น เกิดความเข้าใจในระดับที่ "สูงยิ่งกว่า" ที่ผมได้บอกเล่าให้เขาฟัง...

....
จากสิ่งที่เกิดขึ้น ผมจึงต้องมักกลับมาเชคตัวเองบ่อยๆ ว่าเป้นคนพูดจาไม่รู้เรื่องหรือไม่ ..หลังจากเชคดู ก็ยากจะตัดสิน เพราะคนที่จะตัดสินได้คือคนอื่น มิใช่ผมที่มีอำนาจตัดสิน

แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า ผมเองยังพอจะเป็นคนที่พูดจารู้เรื่องอยู่บ้าง แม้จะเข้าใจยากก็ตาม

ก็คือ ในบรรดาสิ่งที่มีคนบอกว่าไม่รู้เรื่อง หรือไม่เข้าใจนั้น
ก็ยังมีคนเข้าใจ ....และ เข้าใจตรงกับสิ่งที่ผมพยามจะนำเสนอ.. ที่ได้แฝงไว้กับสิ่งที่พยามนำเสนอ


.....ฉะนั้น ความผิดพลาดและความดีความชอบ คงไม่ได้อยู่ที่ตัวของผม ซึ่งเป็นคนส่งสาร ...แต่น่าจะเป็นผู้รับสารเอง ..ว่าเขาเป็นคนอย่างไร...


.....
พระวจนะของพระเจ้าเรื่องผู้หว่านพืช
ได้บอกไว้ว่า



"สาร"
ชนิดเดียวกัน

ส่งต่างที่ ผู้รับต่างคน ผลก็ต่างกัน


----------


บางคนมีนิสัยลูกคุณช่างเถียง ขอเถียงไว้ก่อน ถูกมาก็เถียง ผิดมาก้เถียง ..คืออย่างไรเสียฉันกต้องขอแสดงสติปัญญาของฉันบ้าง ...
ท่านน่าจะเคยเจอคนประเภทนี้บ่อยๆในสังคมที่ท่านอยู่
คือประเภท ..เถียงไว้ก่อนพ่อสอนไว้ ..เงียบๆเด่วเขาหาว่าโง่

บ่อยครั้งที่คนนิสัยประเภทนี้มักจะเถียงในสิ่งที่ไม่ควรเถียง
บ่อยครั้งที่เขามักจะต้องสรางตรรกะใหม่ขึ้นมา ที่ยิ่งใหญ่กว่าความจริงๆง่ายๆว่า พระอาทิตย์มันขึ้นและตกทางนั้น


......

และสุดท้าย เขาที่เข้าใจแล้วก้กลายเป็นคนที่ไม่เข้าใจ ไปโดยปริยาย เพราะว่าเขาพยามที่จะ .."เหนือกว่า" วันยังค่ำ


...

แต่ยังน่าดีใจอยู่บ้าง
เพราะอย่างที่พระเจ้าตรัสไว้

ว่ามันก็มีดินหลายประเภท...

มีดินที่ไม่อาจปลูกอะไรได้ มันก็มีดินที่ปลูกอะไรขึ้นเหมือนกัน

มีกระทั่งดินดี ที่ขนาดไม่ได้ตั้งใจหว่านหรือคาดหวังว่ามันจะเกิดผลที่นั่น ..ก็กลับเกิดผลขึ้นมา

คนลักษณะแตกต่างกันยังคงมีต่อไป ....คริสเตียนทำได้ก็เพียงแค่หว่านต่อไป ....

ทั้งเรา ทั้งเปาโล ทั้ง อปอลโล ..ก็แค่ทำหน้าที่หว่านและรดน้ำ


...เขาจะโต หรือจะเกิดผลหรือไม่ ...
"อยู่ที่พระเจ้า"



ขอบคุณพระเจ้าที่งานของเรา "ไม่หนัก" เกินไป พระองค์ทรงช่วยเราทำงานด้วย
ขอบคุณพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์
อาเมน




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2549   
Last Update : 21 ธันวาคม 2549 1:59:42 น.   
Counter : 418 Pageviews.  

ลิงได้แก้ว กับ เสือติดปีก

จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไปถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง

...เอเฟซัส4/13-14

ในวันนั้นท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะทรงประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน
แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม
เราพูดเรื่องนี้กับท่านเป็นคำอุปมา แต่วันหนึ่งเราจะไม่พูดกับท่านเป็นคำอุปมาอีก แต่จะบอกท่านถึงเรื่องพระบิดาอย่างแจ่มแจ้ง
ในวันนั้นพวกท่านจะทูลขอในนามของเรา และเราจะไม่บอกท่านว่า เราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน
เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย เพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า

.....ยอห์น 16/23-27

***

พระเยซูตรัสตอบเขาว่า
ท่านเป็นอาจารย์ของชนอิสราเอล และยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ
เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พวกเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราได้เห็น และท่านหาได้รับคำพยานของเราไม่
ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายโลกและท่านไม่เชื่อ ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร
....ยอห์น 3/10-12

...........

ฝ่ายพวกสาวกจึงมาทูลพระองค์ว่า
"เหตุไฉนพระองค์ตรัสกับเขาเป็นคำอุปมา"

พระองค์ตรัสตอบเขาว่า
"เพราะว่าข้อความลึกลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้
ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ
แต่ผู้ใดที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา

เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ

คำพยากรณ์ของอิสยาห์ก็สำเร็จในคนเหล่านั้นที่ว่า `พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่รับรู้

....มัทธิว13/10-14


...........

อาณาจักรแห่งสวรรค์ยังเปรียบเหมือนชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไปยังเมืองไกล จึงเรียกพวกผู้รับใช้ของตนมา และฝากทรัพย์สมบัติของเขาไว้

คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์
คนหนึ่งสองตะลันต์
และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคน

แล้วท่านก็ออกเดินทางทันที


คนที่ได้รับห้าตะลันต์นั้นก็เอาเงินนั้นไปค้าขาย ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์
คนที่ได้รับสองตะลันต์นั้นก็ได้กำไรอีกสองตะลันต์เหมือนกัน
แต่คนที่ได้รับตะลันต์เดียวได้ขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้


ครั้นอยู่มาช้านาน นายจึงมาคิดบัญชีกับผู้รับใช้เหล่านั้น

คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินกำไรอีกห้าตะลันต์มาชี้แจงว่า `นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินห้าตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์'
นายจึงตอบเขาว่า `ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด'

คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า `นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์'
นายจึงตอบเขาว่า `ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด'


ฝ่ายคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงว่า
`นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้จักท่านว่าท่านเป็นคนใจแข็ง เกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย
ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิด นี่แหละเงินของท่าน'
นายจึงตอบเขาว่า
`เจ้าผู้รับใช้ชั่วช้าและเกียจคร้าน เจ้าก็รู้อยู่ว่าเราเกี่ยวที่เรามิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่เรามิได้โปรย
เหตุฉะนั้น เจ้าควรเอาเงินของเราไปฝากไว้ที่ธนาคาร เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย
เพราะฉะนั้น จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้คนที่มีสิบตะลันต์

ด้วยว่าทุกคนที่มีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้แก่ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ
แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา
จงเอาเจ้าผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน'

.....มัทธิวบทที่25/14-30

.......


บรรดาสิ่งที่เราได้รับมานั้น คงจะมีอะไรหลายๆอย่างที่ถูกปิดซ่อนไว้ด้วยสิ่งต่างๆมากมาย
บางครั้งบางอย่างก็ถูกปิดไว้ด้วย เกมพัสเซิ่ลง่ายๆ ที่ต้องฝึกใช้หรือกระตุ้นให้สมองทำงานก่อนที่จะรับสิ่งนั้น

เพราะหากรับมาง่ายๆโดยที่สมองยังไม่ตื่น ก้เหมือนไก่ได้พลอยลิงได้แก้ว

...เราจึงพึงที่จะใช้สมองไต่ตรอง "ดีๆ" ในบรรดาสิ่งต่างๆรอบตัวเรา

การฝึกใช้สมองก่อนที่จะรับสารนั้นหรือไปสรุปสารนั้น ....
ก็ดีกว่า ที่จะสรุปสารนั้นตั้งแต่ต้น โดยไม่ฝึกเล่นพัสเซิ่ลเลย....

ข่าวสรบางอย่าง ก็เหมาะแก่คนแต่ละระดับ
ผนึกที่ปิดซ่อนสารนั้น ก็จึงต้องเป็นผนึกที่ใช้เปิดหรือพัฒนาคนคนนั้น "ให้พร้อมสำหรับสารนั้น"


เพื่อเค้าจะเป็นเสือติดปีก มิใช่เป็นลิงได้แก้ว....



.......ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ...




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2549   
Last Update : 21 ธันวาคม 2549 1:57:21 น.   
Counter : 486 Pageviews.  

กลับใจใหม่?

คำว่า

"กลับใจใหม่"


-ยอห์น3/1-2
คราวนั้นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา มาประกาศในถิ่นทุรกันดารแคว้นยูเดีย
กล่าวว่า
"ท่านทั้งหลายจงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์มาใกล้แล้ว"
.....
ยอห์น3/8
เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น


...........

ในพระคัมภีร์เดิม มีบันทึกเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่ชื่อ "โยนา" .. ซึ่งก็น่าจะให้ความหมายของการกลับใจได้ส่วนนึง..


ขออณุญาติเล่าด้วยภาษาของผมแล้วกันนะครับ เพราะว่าค่อนข้างยาว
(หมายเหต-ท่านสามารถไปอ่านจากพระคัมภีร์โดยตรงได้ที่
//www.thaipope.org/webbible/32_001.htm )

โยนาเป็นชายซึ่งมีอดีตฝังใจเพราะชาวนีนะเวห์ฆ่าครอบครัวของเขา
เมื่อเขาโตเป็นหนุ่ม พระเจ้าได้ตรัสกับเขา และบอกให้เขาไปยังนีนะเวห์ ..เพื่อไปบอกประชากรนั้นให้ "กลับใจใหม่"

เพราะว่าบาปชั่วที่ชาวเมืองนั้นประพฤติอยู่ มันชั่วช้าจนพระเจ้ากำลังจะทำให้เมืองนั้นและประชากรเมืองนั้น "พินาศ"

แต่มากกว่าการที่จะทำลายเมืองนั้น พระองคืปรารถนาจะ "อภัยโทษ" ให้ชาวนีนะเวห์ มากว่า พระองค์จึงตรัสกับโยนาห์ ให้ไปบอกให้ชาวเมืองนั้นกลับใจ ..เพื่อรอดพ้นความพินาศที่จะมาจากพระเจ้า....


เมื่อโยนาไปแจ้งเรื่องนี้แก่นีนะเวห์สำเร็จ
"ท่าที"
ของชาวนีนะเวห์ก็คือ

....โยนา3/4-10....

โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่านก็ร้องประกาศว่า

"อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกคว่ำ"

ฝ่ายประชาชนนครนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า เขาประกาศให้อดอาหาร และสวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดถึงผู้น้อยที่สุด

กิตติศัพท์นี้ลือไปถึงกษัตริย์นครนีนะเวห์
พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออกเสีย ทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า
พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ โดยอำนาจกษัตริย์และบรรดาขุนนางทั้งหลายว่า

"คนหรือสัตว์ ไม่ว่าฝูงสัตว์ใหญ่หรือฝูงสัตว์เล็ก ห้ามลิ้มรสสิ่งใดๆ อย่าให้กินอาหาร อย่าให้ดื่มน้ำ
ให้ทั้งคนและสัตว์นุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ตั้งจิตตั้งใจร้องทูลต่อพระเจ้า เออ ให้ทุกคนหันกลับเสียจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือเขากระทำ
ใครจะรู้ได้พระเจ้าอาจจะทรงกลับและเปลี่ยนพระทัย คลายจากพระพิโรธอันรุนแรงเพื่อว่าเราจะมิได้พินาศ"


เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของเขาแล้วว่า เขากลับไม่ประพฤติชั่วต่อไป
พระเจ้าก็ทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษตามที่พระองค์ตรัสไว้ และพระองค์ก็มิได้ทรงลงโทษเขา


-------

ระดับความ "จริงจัง" ของการ "กลับใจใหม่"


.....

อันนี้ยกตัวอย่างแบบโลกๆนะครับ เพื่อให้เห็นภาพ ว่าการกลับใจใหม่นั้น มีความ "จริงจัง" มากแค่ไหน

สมมุติมีผู้ชายคนนึง เจ้าชู้มากๆ เค้าคบหาเป็นคู่หมั้นอยู่กับหญิงสาวคนนึง
...ทีนี้ หญิงสาว ก็รเมจะทนความเจ้าชู้ของว่าที่สามีไม่ได้ ... คือในตอนแรก ความเจ้าชู้ของอีตาคนนี้ก็ดูน่ารักดี แต่พอคิดไปถึงชีวิตแต่งงานจริงๆแล้ว
.."ฉันรับไม่ได้"

ผู้หญิงคนนั้นจึงยื่นคำขาดว่า
"ถ้าไม่เลิกเจ้าชู้ ก็ถอนหมั้น แล้วก็ จบกันแค่นี้ ทางใครทางมัน"



....

ถาม....

1-คุณคิดว่าผู้ชายคนนั้นจะ "ยอมเลิกเจ้าชู้" หรือไม่?

2-ถ้าเขายอม ..ทำไมเขาถึงยอม

3-ถ้าเขาให้สัญญาจริงๆว่า จะเลิกเจ้าชู้ ..เขาจะทำตามสัญญาได้หรือไม่

4-การ "เลิกเจ้าชู้" ..... "กิน" ความหมายแค่ไหน ทั้งในด้าน "ระยะเวลา" ..และ "ลักษณะพฤติกรรม"


----------


อีกตัวอย่างหนึ่ง

สมมุตมีโจรชั่วคนหนึ่ง ฆ่าคนไม่กระพริบตา ฆ่าชิงทรัพย์มาแล้วกว่าร้อยศพ ..และเร็วๆนี้จะฆ๋าอีกครอบครัวนึง...

มีวันนึง โจรคนนี้ไปนั่งที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ....
เขานั่งๆแบบเย็นใจ ...นั่งมองดูใบไม้ปลิดปลิว ..นั่งมองดูเด็กๆปั่นจักรยาน นั่งมองดูเมฆ ดูฟ้า...

...แล้วหมอนี่ก็เกิดความคิดว่า ..เหย.. นี่เราเป็นใคร เราทำอะไรอยู่..


แล้วฟ้าก็ผ่ากลางวันแสกๆ ...แล้วคุณโจรคนี้ก็
..เกิดควมคิดว่า

ชีวิตทุกชีวิตล้วนมีค่า เหตใดเราจึงได้ปล้นชิงแย่งคนอื่น ไม่พอยังไปฆ่าเค้าอีก

...โจรคนนั้นก็เลยล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าครอบครัวๆนึงที่วางแผนไว้เสีย...แล้วเขาก็นอนอมยิ้มอย่างปิติสุขด้วยความสุขเปี่ยมล้นในใจ



อยู่มาวันหนึ่ง... ถัดจากวันนั้นหลายวันจนจำไม่ได้


โจรคนนี้ขาดเงิน เพราะใช้เงินเก่ง... และหนี้สินพัวพันหลายตลบ ยากจะแก้ไข


...เขาจึงตัดสินใจ
"ปล้น"

อีกครั้ง....

ระหว้างที่จะปล้นนั้น เขาก็บังเกิดจำได้ขึ้นมาว่า
...เหย.. วันนั้นนี่เราคิดว่าเราจะเลิกทำอย่างนี้แล้วนี่หว่า....
...เอาน่ะ ..คิดมาก ..เพื่อปากเพื่อท้อง ....

ปล้นฆ่าต่อไปนี่ล่ะวะ ชีวิตมันถึงจะครบวงจร ..มีเงินใช้ไม่ขาดมือ




แล้วโจรคนนี้ก็ กลายเป็นโจรต่อไป....

วันดีคืนดี ..ก็ไปนั่งระลึกว่าจะเลิก เลิกเถอะ
แล้วก็ปล้นฆ่าอีก
แล้วก็ว่าจะเลิกอีก
แล้วก็ทำอีก

ว่าจะอีก แล้วก็ทำอีก ..แล้วกว่าจะอีก ..แล้วก็ทำอีก



ถาม...
คุณคิดว่า โจรคนนี้ กลับใจใหม่หรือไม่?


---





ทุกวันนี้ มีคริสเตียนมากมาย ที่เชื่อเอาว่าเขาเป้นคริสวเตียน .. "ไม่ได้กลับใจใหม่"


โดยปกติ....การเป็นคริสเตียน ก็หมายถึงว่า เขาคนนั้นต้องมีพระเยซูคริสต์ อยู่ในชีวิตของเขา
และการจะมีพระเยซูคริสต์ในชีวิต เขาคนนั้น ก็จะต้อง อธิษฐานต้อนรับพระองค์ "จากใจจริง"

และการที่เขาจะไปถึงขั้นอธิษฐานต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต ...เขาก็ต้องผ่านขั้นตอนเหล่านี้คือ
1-เชื่อถึงการมีอยู่ของพระเจ้าพระผู้สร้าง
2-ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป
3-เชือว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ตายและฟื้นขึ้นมาในวันที่สาม ..

สุดท้าย ... อธิษฐานต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต

จะเห็นว่าจากข้อหนึ่งถึงข้อสาม ไม่มีคำว่ากลับใจใหม่
แต่ ถ้าเราดูโดยอาการ ที่นำไปถึงลักษณะอย่างนั้น
จริงๆแล้วมันก็คือ "การกลับใจใหม่" นั่นเอง...


***

1-เชื่อถึงการมีอยู่ของพระเจ้าพระผู้สร้าง
2-ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป
3-เชือว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ตายและฟื้นขึ้นมาในวันที่สาม ..

สุดท้าย ... อธิษฐานต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต

....

กลับใจใหม่ตรงไหน??

1-??
แน่นอนว่าถ้ามีคนเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ก็จะต้องมีคนที่เชื่อว่าพระเจ้าไม่มีจริง

และการเปลี่ยนความคิดจากที่เคยเชือว่า พระเจ้าไม่มีจริง มาเป้นเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง .... ตรงนี้ก็น่าจะเรียกว่า "กลับใจใหม่"

2???
ถ้ามีคนที่ยอมรัว่าตัวเองบาป ก็จะต้องมีคนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองบาป

และการเปลี่ยนจากการคิดว่าตัวเองดีเลิประเสริฐ มาเป็นการคิดว่าตัวเองเป็นแค่คนบาปคนนึง .....ก็น่าจะเรียกว่า "กลับใจใหม่"

3??
มีคนเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ก็ต้องมีคนที่คิดว่าพระเยซูเป็นแค่มนุษย์ หนักกว่านั้นบางนถึงขนาดคิดว่าเป็นแค่นิทาน...

และใครก็ตาม ที่หันมาเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า
ก็น่าจะเรียกว่า
"กลับใจใหม่"


สุดท้าย???

การอธิษฐานต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต...
"การกลับใจใหม่ ที่ยากที่สุด...."


เป็นอันที่เข้าใจกันอยู่แล้วว่า
การอธิษฐานต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต นั่นหมายความว่า ..จากวันที่คุณอธิษฐานต้อนรับพระองค์เข้ามา ...
ชีวิตคุณ ก็จะต้องถูกตรวจสอบโดยพระเจ้า อย่างได้รับการอณุญาตจากตัวคุณเอง ..จากสัญญาที่คุณเซ็นด้วย "หัวใจของคุณ" ตอนอธิษฐาน


สมมุติว่า เราเป็นคนที่ชอบ ทำบาปอะไรซักอย่างอยู่ประเภทนึง ...และเราก็เชื่อครบหมดทั้งสามข้อแรกแล้ว

การจะมาถึงขั้นตอนสุดท้าย คือเซ็นสัญญาขอพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต
..แน่นอนว่า จากวันนั้นไป คุณจะทำบาป "ยากขึ้น"

เพราะแน่นอนว่า พระเยซูต้องไม่ทำบาปแน่ๆ
และเมื่อพระองค์อยู่ในชีวิตใคร พระองค์ก็ต้องไม่ประสงค์ให้คนคนนั้นยังคงทำบาปเก่าๆที่เค้าเคยทำแน่นอน .. แม้ว่าพระองค์จะยอมอยู่กับคนบาปโดยไม่รังเกียจ "ตัวของคนบา"ก็ตามที...

แต่จะอย่างไร พระองค์ก็รังเกียจ "บาป" แน่ๆ


ตรงจุดนี้ ขอโยงกลับไปถึงตัวอย่างเรื่องชายเจ้าชู้กับคู่หมั้น ที่พูดไว้ตอนต้นโพส5

การเชิญพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต อุปมาก้เหมือนการแต่งงานนั่นเอง..

พระเยซูคริสต์ ไม่รังเกียจ ว่าเราจะเคยสำส่อนมามากแค่ไหน โสโครกมามากแค่ไหน เจ้าชู้มามากแค่ไหน

"แต่"

ถ้าเราตัดสินใจ จะแต่งงานกับพระองค์
นั่นหมายความว่า .

เมื่อพระองค์ไม่ทรงจดจำอดีตหรือรังเกียจอดีตของเราแล้ว ง. เราก็ต้อง ละทิ้งอดีตของเราให้มันเป็นอดีต ด้วยเช่นกัน..

เราอาจจะเคยมีกิ้ก ..หรืออะไรพวกนั้น ..แต่แน่นอน ถ้าเราเลือกจะแต่งงานกับใครสักคน นั่นหมายความว่า กิ้ก จะไม่มีอีก .. แม้แต่กิ้กในใจก็ไม่ได้ เพราะถือว่าไม่แฟร์

การแต่งงาน หมายถึง การที่คนสองคนตัดสินใจ จะใช้ชีวิตร่วมกัน อย่างวซื่อสัตย์ ไปจนตายจาก

ไม่ใช่แค่เป็นเอาการแต่งงานเป็นผักชีโรยหน้าอะไรบางอย่าง หรือทำๆไป เพราะสังคมเขาทำกันแบบนี้มานาน
..ดังจะเห็นได้ว่า จริงๆแล้วทุกวันนี้ มากกว่าครึ่งของคู่สามีภรรยาที่แต่งงานโดยปราศจากความเข้าใจในความหมายของการแต่งงาน .."กำลังนอกใจคู่ครองของตัวเอง"

เพราะว่าพวกเขา ..."ไม่กลับใจใหม่"
และพวกเขา แต่งงาน โดยที่ "ไม่กลับใจใหม่"


พวกเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อกันมาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน แม้แต่ขณะที่อยู่ในพิธีแต่งงาน ไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน แม้แต่ขณะหลับนอนด้วยกัน ...และแม้ว่าพวกเค้าจะไม่เคย "มีชู้" อย่างเป็นรูปธรรม แต่พวกเขาก็นอกใจคู่ครองของตัวเองเสมอๆ....


--------


จะเริ่มเห็นว่า

"การกลับใจใหม่"

มีความหมายที่ค่อนข้างจะกว้างมาก

และมีลักณอาการหลายๆอย่างที่ คล้ายจะเรียกว่า "กลับใจ" แต่ในความเป็นจริง .."ไม่ได้กลับใจ"


"การกลับใจใหม่"
ไม่ใช่การ "อยากกลับใจใหม่"

เหมือนที่การ "ฆ่าใครสักคน"
มันก็ไม่เหมือนการ "อยากฆ่าใครสักคน"
..จริงอยู่

ผลอาจจะเป็นว่า เราฆ่าไม่สำเร็จ แต่แน่นอน ว่า ท่าทีหรืออะไรบางอย่างที่เราเลือกจะทำนั้น เป้นการชี้ชัดว่า
"เราพยามจะฆ่ามัน"

การกลับใจใหม่ ก็เหมือนการพยามจะ ฆ่า "ตัวบาปเดิมของเรา" ...ไมใช่แค่การ " อยากจะฆ่าตัวบาปเดิมของเรา"



..ข้อหาพยามฆ่า กับข้อหาฆ่าคนตาย
..มันจะต่างกันก็ตรงที่ผล ..คือคนที่เราฆ่า "ตายหรือไม่"


..แต่ แค่การคิด หรืออยากฆ่าใครคนั้น หรือต่อให้บอกต่อหน้ามันว่า ฉันอยากฆ่าแก... ก็ยังไม่ผิดกฏหมาย ..และไม่มีผลอะไรนักในทางกฏหมาย ...หรืออาจจะเอาไปปรักปรำเราได้บ้างถ้าคนนั้นดันตายจริงๆจากการฆาตรกรรมของใครไม่รู้...
แต่ที่แน่ๆคือ ถ้าความจริงเปิดเผย เราก็ไม่โดนข้อหาอะไรอยู่ดี...



อยากจะฆ่า
พยามฆ่า
และฆ่าคนตาย


ทั้งสามอันนี้ สองอันหลังเกิดผลทางกฏหมาย
อันแรก ไมเกิดผลทางกฏหมาย
(ต้องขอโทษด้วย ถ้าความรู้ทางกฏหมายผมผิด วานผู้รู้แก้ไข)



อุปมาโยงเรื่องนี้กลับไปยังเรื่องกลับใจใหม่




อยากฆ่า แทนด้วย อยากกลับใจ
พยามฆ่า แทนด้วย พยามกลับใจ
ฆ่าคนตาย แทนด้วย กลับใจสำเร็จ


ทั้งสามข้อ ข้อแรกไม่เกิดผลทางกฏหมาย
สองข้อหลังเกิดผล...



เพียงแค่พยามหรือมีท่าทีที่พยามจะกลับใจใหม่ด้วยการกระทำ ... กจะหมายถึง "การกลับใจใหม่" ..ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม
...และท่าทีนี้เอง ที่ใช้เรียกว่าการกลับใจใหม่ในทางคริสเตียน



เราจะไม่นับประเภท "อยากกลับใจ"
ไว้ในคำว่า "กลับใจใหม่" เด็ดขาด


เพราะถือว่านั่นดีแต่ปาก... แต่ใจจริงนั้นไม่....



----

ในมุมมองของคริสเตียน...
มีคนยกตัวอย่างเรื่องการกลับใจใหม่อย่างนี้บ่อยๆคือว่า..

มันเหมือนการหันกลับ180องศา จากเส้นทางเดิมที่เคยเดินมาทั้งชีวิต

ถ้าเราหันหลังกลับ
ลักษณะของเราก็คือ

เราจะได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะเราหันหลังให้ตลอดมา
และในขณะเดียวกัน "ทางเก่า" ที่เราเคยมองเห็น หรือเคยมุ่งไปไม่ว่าจะด้วยเหตผลอะไร ..
ถ้าการเดินทางของชีวิตเรายังคงดำเนินไป ...

เราก็จะค่อยเดินห่างออกมาจากเส้นทางเก่าเรื่อยๆ ..ทิ้งมันไว้เป็นอดีต


และ"เส้นทางใหม่"
ที่เราจะมุ่งไป ก็คือเส้นทางที่เราหันหลังให้ตลอดมา ..


...
โรม 3:22-24

คือความชอบธรรมของพระเจ้า
ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อเพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน..
เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า..

แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า

โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว..

.....

ฟังดูเหมือนว่า "การกลับใจใหม่"หรือเส้นทางใหม่หลังจากการกลับใจนั้นเป็นการเดินทาง ไปยังที่ที่หนึ่ง

แต่ในความเป็นจริงแล้ว
มันหมายถึง ..การกลับบ้าน....

บ้านที่เราจากมา แสงสว่างที่เราจากมา
สิ่งไม่ดีต่างๆทั้งหมดที่เราทำในชีวิต ก็คือการก้าวเดินห่างออกจากบ้านของเราเองเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว

...สิ่งยั่วยวนมากมายในโลกนี้ซึ่งเป็นความมืด ชักจูงมนุษย์ให้เผลอก้าวห่างจากบ้านของตัวเองมากขึ้นๆ


สมัยเมื่อครั้งอาดัมกับเอวาทำบาป ..พวกเค้า "ไม่กล้าสู้หน้าพระเจ้า และหลบซ่อนตัวจากพระเจ้า


พระเยซูคริสต์ พระเจ้าซึ่งทรงรับสภาพมนุษย์ และตายไถ่บาปผิดทั้งหมดที่เราทำแล้วที่กางเขน.. พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ลงมาเพื่อช่วยมนุษย์ให้ หันหลังกลับบ้าน...

รพะองค์ทรงเคาะที่ประตูใจเราทุกคน หากใครได้ยิน และลุกไปเปิดประตูต้อนรับพระองค์ พระองค์ก็จะเข้าไปร่วมชีวิตกับคนคนนั้น และจะช่วยเหลือเค้าในสิ่งที่เค้าเอาชนะไม่ได้

พระองค์เป็นเสียงที่เรียกเราจากฝั่งที่พระองค์อยู่ คือแสงสว่าง
เรียกเราซึ่งกำลังเผลอเดินไปสู่ความมืด

พระองค์พยามเรียกเรามาตอลด ให้เราหันกลับไปมองตามเสียงเรียกของพระองค์ เพื่อเราจะมองเห็นว่า ด้านหลังเรที่เรา เข้าใจผิด
และคิดว่าน่ากลัวนั้น

แท้จริงไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ..

ข้างหลังเราที่เราเดินจากมานั้น

แท้จริงก็คือ บ้านซึ่งให้กำเนิดเรานั่นเอง


"พระเจ้าทรงเป็นแสงสว่าง"

และ

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า

สุขสันต์วันคริสต์มาส
ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์คุ้มครองครับ
อาเมน





 

Create Date : 21 ธันวาคม 2549   
Last Update : 21 ธันวาคม 2549 1:55:51 น.   
Counter : 484 Pageviews.  

ฉันกับควมหมายของงานคริสต์มาส

งานคริสต์มาสครั้งแรกในชีวิตที่ไปราวๆสิบปีก่อน
...ไม่รู้เรื่องอะไรเลย....

ครั้งที่สองที่ไปประมานสองปีก่อน
....เริ่มสนใจอยากรู้ ว่าพระเจ้าคืออะไร แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ดี

ครั้งที่สามปีที่แล้ว
....รู้แล้วว่าพระเจ้าคืออะไร
....รู้แล้วว่าพระเยซูคริสต์คือพระเจ้า

ครั้งที่สี่ก็ช่วงนี้แหล่ะ
....รู้สึกว่ากำลังเฉลิมฉลองการมาบังเกิดของ"ผู้หนึ่ง" ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยสนใจเลยว่าเค้าจะเป้นใคร หรือเป็นยังไง
คริสต์มาสนี้ คงจะเป็นการระลึกถึงท่านผู้นั้นซึ่งมีบุคุณมากๆของฉันตลอดสองปีที่ผ่านมา

สองปีสำหรับฉันในฐานะที่เรียกว่าคริสเตียน
แต่ทั้ชีวิต เมื่อนึกย้อนกลับไปว่าท่านผู้นั้น คอยดูฉันมาตลอด

.....

ฉันได้คำเฉลยในช่วงสองปีที่ผ่านมา ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตนั้น แท้จริงมันคืออะไร

สองปี สำหรับคำตอบ สำหรับคำถามยี่สิบกว่าปี.....



........

ถ้านับคนที่ฉันรู้จักตอนนี้ มีหลายคน
ในจำนวนนั้น คนที่ฉันรู้วันเกิดของเขา ก็มีมากอยู่พอสมควร

ฉันสังเกตเห็นว่า "มีแค่บางคน" เท่านั้น ที่ฉันใส่ใจว่าเขาหรือเธอคนนั้นเกิดวันที่เท่าไหร่
สำหรับบางคน ฉันถึงขนาดโทรไปถามเค้าว่า เค้าเกิดวันที่เท่าไหร่

แม้ฉันจะรู้จักใครหลายคนอยู่ แต่จริงๆแล้วฉันกลับสนใจวันเกิดของคนแค่ไม่กีคนเท่านั้นเอง



ทำไมนะ
ทำไมฉันถึงสนใจวันเกิดของคนเหล่านั้น



ฉันรักพวกเค้า....
ฉันอยากทำอะไรดีๆให้กับเค้าในวันเกิดของเค้า
ให้เค้ารู้สึกดี...

แม้ว่าวันเกิดจะเป็นเพียงแค่จุดสมมุติ และไร้ค่าหากจะมองหาสาระ
แต่จริงๆแล้ว เราก็มักจะสนใจมันอยุ่ดีนั่นล่ะ

...........

คริสต์มาสนี้ และทุกคริสต์มาสที่ผ่าน เป็นเวลาสมมุติ ที่เราได้ร่วมระลึกถึง

"ผู้หนึ่ง"

ผู้ได้มาบังเกิด โดยมีจุดประสงค์
เพื่อเป็น "ของขวัญ" ให้แก่คนเป็นอันมาก

ผู้หนึ่งซึ่งถุกกล่าวหามากที่สุดในประวัติศาสตร์
ผู้หนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ผู้หนึ่งซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันเกี่ยวตัวของท่านจนทุกวันนี้ ..และจะจวบจนสิ้นโลก....

ผู้หนึ่งซึ่งการบังเกิดของท่าน เพื่อ"รับความตาย" แทนผู้อื่น
ผู้หนึ่งซึ่งบริสุทธิสมบูรณ์ แต่ต้องถูกลงโทษถึงความตายเยี่ยงคนที่บาปที่สุด


ผู้หนึ่งผู้เดียว ผู้ตายและคืนชีพได้ และไม่ตายอีก

ผู้หนึ่งผู้เดียวที่กล้าประกาศว่าตัวเองเป็น พระเจ้า.... พร้อมหลักฐาน...

.....


ผู้หนึ่งผู้เดียว ที่กล้าท้าให้ฉันและใครต่อใครพิสูจน์ว่าท่านยังดำรงอยู่....

ณ เวลานี้ และสืบไป.....

.....
ผู้หนึ่งผู้เดียว
ที่ทำให้ฉันยอมและกล้าที่จะถูกหาว่าโง่ได้

ผู้หนึ่งผู้เดียว
ที่เปลี่ยนแปลงฉันได้มากขาดนี้

ผู้หนึ่งผู้เดียว
ที่ให้กำลังและสันติสุขแก้ฉันในการมีชีวิตอยู่บนโลกได้มากขนาดนี้

........


ฉันขอบพระคุณ
สำหรับการมาบังเกิดและตายของพระองค์
ขอบพระคุณพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า
อาเมน




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2549   
Last Update : 21 ธันวาคม 2549 1:49:30 น.   
Counter : 396 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

เดียวดาย9อักษร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เดียวดาย9อักษร's blog to your web]