32Then you will know the truth, and the truth will set you free." 32 你 們 必 曉 得 真 理 , 真 理 必 叫 你 們 得 以 自 由 。

“น้ำหนึ่งใจเดียว”

“น้ำหนึ่งใจเดียว”

ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา มีโอกาสได้เข้าร่วมในงานฟื้นฟูงานหนึ่งของพี่น้องคริสเตียนที่เชียงใหม่ ผู้เทศนาหลักคือมิชันนารีชาวไต้หวันท่านหนึ่ง
ท่านได้เล่าถึง “ลักษณะ” ของพันธกิจในรูปแบบหนึ่ง ซึ่ง

ขัดขากันเอง
แบ่งพรรคแบ่งพวก
ต่างคนต่างทำ
ไม่ไว้ใจกัน....
ไม่แบ่งผลงาน....
.....
เอเฟซัส 4:3
จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ..
เอเฟซัส 4:16
คือเนื่องจากพระองค์นั้นร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อที่ทรงประทานได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรักเมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว...
.......


หากศึกษาพระคัมภีร์ดู จะพบลักษณะหนึ่งของการใช้คนของพระเจ้า
คือ
ทุกอย่างสอดประสาน กันอย่างลงตัว เหมือนกับว่าทุกๆคนที่กระทำนั้น ทำ”ตามแผน” เดียวกัน
ซึ่งผู้วางแผนก็ไม่ใช่ใครอื่น พระเจ้าพระบิดานั่นเอง....
แต่ในการศึกษาดู เราก็พบบุคคลลักษณะหนึ่งเหมือนกัน ที่ “ไม่ยอมเดินตามแผน” ซึ่งเราก็จะเห็นเหตการณ์ที่มีลักษณะ “อ้อมโลก.....เสียเวลา” ที่ต้องเกิดขึ้น เมื่อมีบุคคลไม่ยอมเดินตามแผน

แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่อดทนนานกับมนุษย์ที่ทำงานไป ดื้อไป ..อย่างเราๆท่านๆ
จนที่สุดก็สำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน โดยองค์พระเยซูคริสต์

.....

ย้อนกลับมามองในงานพันธกิจหลายๆอย่างที่พี่น้องคริสเตียนกระทำกันอยู่
บ่อยครั้งก็ต้องเกิดคำถามเหมือนกันว่า
“ไปให้เร็วกว่านี้ได้มั้ย?”


รู้จัก “วิ่งสามขา” ..มั้ยครับ
คิดว่าต้องทำยังไงตามกฏ เราถึงจะไปได้เร็วที่สุด

แน่นอน ต้อง
“น้ำหนึ่งใจเดียว”

จากพระธรรมเอเฟซัสที่ยกมาด้านบน จะเห็นว่า ไม่เพียงแค่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
แต่ถึงขนาดต้องเป็นกายเดียวกัน สอดประสานสนิททุกๆข้อต่อ เลยทีเดียว......

....แต่ในความเป็นจริง หากมองดูสังคมคริสเตียนทุกวันนี้ ทำอย่างนั้นได้จริงๆหรือยัง
ถ้านี่เป็นเกมวิ่งสามขา เรากำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่เป็นไปได้หรือยัง?


ถ้ายัง

ก็แสดงว่ามีปัญหาบางอย่าง
น้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือเปล่า
สอดประสานกันหรือเปล่า
ถ้าสอดประสานกัน “สนิท” มั้ย
ประสานกัน “ทุกๆข้อต่อ” รึเปล่า....


.*******



โรม 14:1-6

ส่วนคนที่ยังมีความเชื่อน้อยอยู่นั้นจงรับเขาไว้
แต่มิใช่เพื่อให้โต้เถียงกันในเรื่องความเชื่อที่แตกต่างกันนั้น..
คนหนึ่งถือว่าจะกินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแต่คนที่มีความเชื่อน้อยก็กินแต่ผักเท่านั้น..

อย่าให้คนที่กินนั้นดูหมิ่นคนที่ไม่ได้กินและอย่าให้คนที่มิได้กินกล่าวโทษคนที่ได้กินเพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดรับเขาไว้แล้ว..

ท่านเป็นใครเล่าจึงกล่าวโทษบ่าวของคนอื่นบ่าวคนนั้นจะได้ดีหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขาและเขาก็จะได้ดีแน่นอนเพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธิ์อาจให้เขาได้ดีได้..

คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งดีกว่าอีกวันหนึ่งแต่อีกคนหนึ่งถือว่าทุกวันเหมือนกันขอให้ทุกคนมีความแน่ใจในความคิดเห็นของตนเถิด..

ผู้ที่ถือวันก็ถือเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่กินก็กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้าและผู้ที่ไม่ได้กินก็มิได้กินเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและยังขอบพระคุณพระเจ้า..

-------------

โรม 14:12-13
ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า..

ดังนั้นเราอย่ากล่าวโทษกันและกันอีกเลยแต่จงตัดสินใจเสียดีกว่าว่าจะไม่วางสิ่งซึ่งทำให้สะดุดหรือสิ่งกีดขวางทางของพี่น้อง..




ในพันธกิจต่างๆ มองพันธกิจอื่นๆ ว่ายังไง ด้วยมุมมองไหน
ผมเคยได้ยินกับหู ว่ามีพันธกิจเอ กล่าวในทางที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพันธกิจบี ซึ่งพันธกิจเอ มองว่า พันธกิจบี น่าจะทำอย่างอื่นดีกว่า เพราะอย่างนั้นที่ทำอยู่มันไม่ค่อยเกิดผล ...ไม่ค่อยเกิดผล??

.....พันธกิจเอ คงไม่ทราบว่า ผมซึ่งยืนฟังอยู่ตรงนั้นด้วย รับเชื่อเพราะว่าพันธกิจบี นี่ล่ะ.....

----


อันที่จริง

ถ้าคิดแบบโลก

เรื่อง"น้ำหนึ่งใจเดียว"

ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เป็นเรื่องปกติ ทีทุกๆองกรณ์ปรารถตนาจะให้เกิดขึ้นในโครงสรางและองค์ประกอบขององค์กร

และ

ก้เป็นเรื่อง "ปกติ" เหมือนกัน

ที่มันจะเกิดความ "ไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว" ในองค์กรที่แม้จะเน้นเรื่องน้ำหนึ่งใจเดียว


"แต่"


ถ้าเกิด ความ "ไม่น้ำหนึ่งใจเดียวในหมู่คริสตชน"
มันเป็นเรื่อง "ปกติ" รึเปล่า.....


ถ้ามีใครคนหนึ่งพูดทำนองว่า
องค์กรไหนๆมันก็ต้องมีการขัดแย้งกันมั่งแหล่ะ อย่าคิดมากสิครับ

อืม.... ถามคุณคนนี้ที่บอกอย่าคิดมากเนี่ย เค้ารู้จักพระวิญญาณบริสุทธิ์ ..มั้ยครับ???


เป็นเบสิคที่คริสตชนควรรู้ด้วยซ้ำว่า
พวกเค้า มีพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยทางพระเยซูคริสต์
และ
พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ..."เป็นองค์เดียว"


...
ถ้าจะบอกว่าการขัดแย้งที่เกดขึ้นในคริสตชนเป็นเรื่องปกติ
ก็แปลว่า
ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะขัดแย้งตัวเอง ..เป็นเรื่องปกติ.... งั้นหรือ?

ไม่ใช่แน่

เพราะมีบันทึกว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่พระวิญญาณแห่งความวุ่นวาย

ฉะนั้น

ก็พอจะเห็นว่า
ถ้ามีการขัดแย้งเกิดขึ้นในหมู่คริสตชน
ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง ที่มีปัญหาเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์
หรือไม่ก็ทั้งสองฝ่าย.....

----

ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์คืออะไร
กาลาเทีย 5:22-26

ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือความรักความปลาบปลื้มใจสันติสุขความอดกลั้นใจความปรานีความดีความสัตย์ซื่อ..

ความสุภาพอ่อนน้อมการรู้จักบังคับตนเรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย..

ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยากและตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว..

ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย..

เราอย่าถือตัวอย่ายั่วโทสะกันและอย่าอิจฉาริษยากันเลย..
---

จากพระธรรมโรมที่ยกมาในกระทู้
จะเห็นว่า มีการกระทำหลายระดับ ตามขนาดความเชื่อ
ซึ่ง สิ่งที่พยามจะสื่อก็คือ

อย่าวิพากวิจารณ์กันเลย
การที่จะทำพันธกิจแบบเอ ซึ่งเกิดผลมากกว่าบี ก็ไม่ได้แปลว่า แบบบี ดีน้อยกว่าแบบเอ
ในทางตรงข้าม

แทนที่จะวิพากวิจารณ์กัน... ทำไมไม่ร่วมมือกัน?

ว่ากันว่า
ถ้า1แรงคนเท่ากับ12หน่วย
1แรงคน+1แรงคน
ก็มีค่ามากว่า24หน่วย ..คือมันมีแรงโบนัส...บวกเพิ่มให้

.............


ผมเคยถามพี่เลี้ยงผมว่า ทำไมคริสเตียนในกรุงเทพถึงได้รวมตัวกันยากนัก
..ต่างคนเขาก็คิดว่าเขาแน่น่ะ...
นี่คือคำตอบสั้นๆแต่ได้ความ



...........

วกกลับไปถึงคำเทศนาของมิชชันารีชาวไต้หวันท่านนั้น
ท่านได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า มันมีผลกับของประทานฝ่ายวิญญาณในการแสดงหมายสำคัญด้วย

เพราะว่าอะไร

เพราะว่า
ของประทานฝ่ายวิญญาณ ถ้าอุปมาในทางสงคราม สิ่งนี้ก็เป็นอาวุธร้ายแรง และแสนยานุภาพสูงมาก

ฉะนั้นการที่ใครจะได้รับอนุญาติให้พกพาของประทานเหล่านี้
เขาก็ต้องมีทักษะทางอารมณ์และวิญญาณ ที่เหมาะสม
คือ
ต้องถ่อมใจอย่างองค์พระเยซูคริสต์.....

และส่วนนึงที่เราไม่ค่อยได้เห็นของประทานฝ่ายวิญยษณแบบหมายสำคัญก็เพราะเหตนี้ด้วยเหตนึง

คือ

"เราไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน"



-----

ในทางโลก..
การจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ต้องอาสัยการวางแผนร่วมกัน การฝึกอบรมให้ทุกคนมีวินัย
ต้องมีการสร้างความสัมพันธ์และมิตรภาพอันดีให้เกิดขึ้นในหมู่ขณะ
ต้องมีการพัฒนาศักยภาพของแต่หน่วยในองค์กรตั้งแต่ใหญ่ไปจนถึงระดับบุคคล

และสุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่แน่ว่า จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือเปล่า....

บ่อยครั้งก็เพิ่มบทลงโทษเข้าไปด้วย

เช่นจะเห็นได้ในวงการทหาร...
คือผิดวินัยก็จับขังคุกให้เข็ดหราบตั้งแต่สมัยยังฝึกกันเลยทีเดียว ให้ติดเป็นนิสัยทีจะ "เชื่อฟัง" ผู้นำ....

.........

^
^
^
อ่านดูแล้ว ก็วุ่นวายและหลายกระบวนการอยู่เหมือนกัน
กว่าที่จะทำให้เกิดน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้


แต่เราก็จะเห็นได้ว่า

"น้ำหนึ่งใจเดียว" จะเกิดขึ้นได้
ก็ต้องอาศัยบางอย่างร่วมกัน
คือ

1-เป้าหมาย
และ
2- ผู้นำหรือผู้บังคับบัญชา คนเดียวกัน

----
ในทางโลก....
การที่จะมีเป้าหมายเดียวกัน ..อันนี้อาจเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
แต่ปัญหาจะเริ่มเกิดเมื่อมองไปถึงข้อสอง

คือ


...ผู้นำ หรือผู้บังคับบัญชา "คนเดียวกัน"



------

เป้าหมายเดียวกันของเรา.....

.............
มัทธิว 28:18-20

พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า
ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดีในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว..
เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเราให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์..

สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้
นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค..

.............


และแน่นอน
พวกเราก็ล้วนแต่มีผู้นำคนเดียวกันด้วย
คือพระเยซูคริสต์พระผู้เป็นเจ้า

.....

เอเฟซัส 4:3
จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ..
เอเฟซัส 4:16
คือเนื่องจากพระองค์นั้นร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อที่ทรงประทานได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรักเมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว...

โคโลสี 2:19
....ยึดมั่นในพระองค์(พระเยซูคริสต์)ผู้ทรงเป็นศีรษะ
ศีรษะนั้นเป็นเหตุให้กายทั้งหมดได้รับการบำรุงเลี้ยงและติดต่อกันด้วยข้อและเอ็นต่างๆจึงได้เจริญขึ้นตามที่พระเจ้าทรงโปรดให้เจริญขึ้นนั้น..

........

เราทั้งหมดล้วนมีเป้าเดียวกัน และมี ผู้บังคับบัญชาเดียวกัน
โดยอัตโนมัติตั้งแต่แรกเริ่มที่พวกเราได้รับความรอด โดยองค์พระเยซูคริสต์นั้น

แต่

...ปัญหาเรื่องความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็ยังเกิดขึ้น....


ถามว่า
ปัญหาอยู่ตรงไหน

เป้าหมายเหรอ ..ไม่ใช่
ผู้บังคับบัญชาเหรอ.... ก็ยิ่งไม่ใช่....


"ตัวเราเอง" นั่นล่ะ... ปัญหา

----

จะมีประโยชน์อะไร ถ้าเรามีเป้าหมายเดียวกัน และผู้บังคับบัญชาเดียวกัน
แต่เรา "ไม่เชื่อฟัง"
หรือหนักกว่า
"ไม่เคยฟังเลย"

หรือหนักยิ่งกว่านั้นอีก

"ไม่เคยได้ยินเลย....???!!!!!"

...........


ถ้ามองในทางโลก
ไม่แปลกที่จะเกิดความไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แม้ว่าจะ"พยาม"แล้วก็ตาม
เพราะว่า
แม้จะมีเป้าหมาย และผู้บังคับบัญชา เดีวกัน
แต่ปัญหามันก็เกิดขึ้นเพราะว่า

"ผู้บังคับบัญชา ไม่ได้อยู่ด้วยกับผู้ปฏิบัติ ตลอด24ชม."


แต่ แต่ แต่ แต่.....



พระเยซูคริสต์พระผู้เป็นเจ้าโดยพระวิญาณบริสุทธิ์
สถิตย์กับเรา
"ตลอดเวลา"


นั่นแปลว่า

เราจะไม่สามารถอ้างช่องว่างที่ทางโลกใช้อ้างได้เลยว่า
"ผู้บังคับบัญชา ไม่ได้อยู่ด้วยกับผู้ปฏิบัติ ตลอด24ชม."

..อ้าง "ไม่ได้เลย"

ฉะนั้น..

ปัญหามันจึงอยู่ที่ตัวของเราเอง เต็มๆ

คือเรา "เชื่อฟัง" หรือเปล่า

เวลาเรานึกจะทำอะไรลงไป .."เราถามผู้บังคับบัญชามั่งมั้ย"

เวลาเรากำลังจะทำอะไร แล้วผู้บังคับบัญชา "ห้าม" เราฟังมั้ย

เวลาผู้บังคับบัญชา บอกให้ทำ กระตุ้นให้ทำ หนุนใจให้ทำ ขอร้องให้ทำ
..เราทำมั้ย.. หรือเฉยๆ...

......

คงเป็นเรื่องตลกอย่างที่สุด ถ้ามีคนบอกว่า พวกเขาเชื่อแล้ว แค่ก็ยังไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
....มันเป็นไปไมได้

เพราะว่า "คำบัญชานั้น" มาจากที่เดียวกัน ตลอด24ชม.
เพราะว่า "คำแนะนำนั้น" มาจากที่เดียวกันผู้เดียวกัน24ชม.
เพราะว่า "คำเตือนนั้น" มาจากที่เดียวกัน ตลอดเวลา
เพราะว่า "แผนงานนั้น" ถูกวางโดยผู้เดียวกัน

ผู้เดียวกัน..คือองค์พระเยซูคริสต์พระผู้เป็นเจ้าโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์....

...
"อธิษฐาน"
"ถ่อมใจลง" และ "ฟัง" ให้มากๆ

อย่าทำเก๋า วางตัวเป็นผู้นำ
ไม่มีใครเป็นผู้นำได้ ในทางของพระเจ้า
"ทุกคน" เป็นเพียงผู้รับใช้ ที่ถูกวางอยู่ในบทบาทและตำแหน่งต่างกันเท่านั้น


อย่าเที่ยวเริ่มทำตัวเป็นผู้นำขึ้นมาอีกคนหนึ่ง อย่างที่ลูซเฟอร์เคยทำ
"ฟัง" ดีๆ
จะทำอะไรก็ "ถามก่อน"
ดูตาม้าตาเรือกันหน่อย
"ฟังแผนการวันต่อวัน" กันหน่อย

เห็นอะไรแปลกๆ อย่าเพิ่งฟันธงเปรี้ยง
ขอให้หยุด และ "ถามก่อน" ว่าผู้บังคับบัญชาว่าอย่างไร

....

มีคำพูดนึงน่าสนใจดี

อยู่เฉยๆงอมืองอเท้าไม่ทำไร ยังดีซะกว่า
ทำโดยไม่อธิษฐาน.....

...........



-------


"ลูกช่างติ"



1 โครินธ์ 12:20-22
ความจริงมีอวัยวะหลายอย่างแต่ก็ยังเป็นร่างกายเดียวกัน..
"และตาจะว่าแก่มือว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้าก็ไม่ได้หรือศีรษะจะว่าแก่เท้าว่า""ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า""ก็ไม่ได้.."

ที่จริงอวัยวะที่เราเห็นว่าอ่อนแอเราก็ขาดเสียไม่ได้..

***

โรม 14:1
ส่วนคนที่ยังมีความเชื่อน้อยอยู่นั้นจงรับเขาไว้
แต่มิใช่เพื่อให้โต้เถียงกันในเรื่องความเชื่อที่แตกต่างกันนั้น..

....

"ลูกช่างติ"

ชอบว่า ชอบติ ชอบวิจารณ์ คนนู้นคนนี้ พันธกินั้นไม่ดีบ้าล่ะ บ้องตื้นบ้างล่ะ ไม่รู้เรื่องบ้างล่ะ อ่านแล้วงงบ้างล่ะ อะไรไม่รู้เต็มไปหมด
..พ่อลูกช่างติ ...


***
มัทธิว 7:1-2
อย่ากล่าวโทษเขาเพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน.. เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไรพระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้นและท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใดพระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น..
โรม 14:3
อย่าให้คนที่กินนั้นดูหมิ่นคนที่ไม่ได้กินและอย่าให้คนที่มิได้กินกล่าวโทษคนที่ได้กินเพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดรับเขาไว้แล้ว..
***


นิสัยช่างติ...ถ้าถามว่ามาจากไหน
ระหว่างพระเจ้า กับมาร

เราจะตอบว่าอะไร.. แน่นอน "มาร"

สิ่งที่มารทำอยู่คืออะไร
คือขัดขวางงานของพระเจ้า

ฉะนั้น

นิสัยช่างติ บ่นเป็นลุงแก่ วิพากวิจารณ์ไปเรื่อย
ทำตัวเป็นผู้อาวุโสคงแก่เรียน รู้ไปหมด ชอบตั้งสภาอะไรซักอย่าง แล้วก็ ติ ติ ติ แล้วติ....

นิสัยนี้ก็มาจากมาร....
และเป็นนิสัยที่มีไว้เพื่อ
ขัดงานของพระเจ้า....

เป็นนิสัยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ
อวดดี อวดฉลาด อวดรู้
คงแก่เรียน รู้ไปหมด รู้กระทั่งไบเบิ้ล แทบจะเป็นไบเบิ้ลเคลื่อนที่
แต่
"ไม่อธิษฐาน"

"ไม่ฟัง"
"ไม่เชื่อ"

อาการหนักก็
"ไม่ได้ยิน.."



..........

ในทางโลก
ลูกช่างติ ก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง คือ "คอยเชคงาน"
แต่เป็นมาก และติเป็นสันดาน และไมรู้ตัว ก็จะเป็น ตัวขัดขางานให้ไม่เคลื่อน แลเเป็นที่เบื่อหน่ายของผู้ร่วมงาน
..อันนี้คือในทางโลก

ฟังดูแล้วก็คงได้แต่ ปลงซะเถอะ.... คนมันก็ยังงี้แหล่ะ


แต่

ในทางของพระเจ้า
ถามว่าจะไปคิดอย่างนั้นได้มั้ย
"ไม่ได้เด็ดขาด"
เพราะว่า

คนวางแผนงาน คือพระเจ้า
เราเป็นใครเหรอครับ ..จะไปตามเชคตามตรวจว่างานหรือแผนงานที่พระเจ้าให้ดำเนินอยู่นั้น ..เวิคหรือไม่เวิค...
...แค่เริ่มคิดก็เพี้ยนแล้ว....

แต่

เราก็มีสิทธิที่จะสงสัย
ว่า

ที่ดำเนินกันอยู่นั้น
เขาทำตามการทรงนำกันรึเปล่า... ไม่แปลกที่จะสงสัยอย่งานี้
มีให้เลือกสองทาง...

1-ถ้าไม่คิดจะ "ลงมือลงแรง กระทำอะไร"
ก็หุบปากเสีย เงียบๆ ..เฉยๆ อย่าพึ่งแสดงความเห็นขัดแย้ง
2-ถ้าคิดจะ "ลงมือ ลงแรง กระทำอะไรเพื่อเห็นแก่พระเจ้า"
ก็ต้อง อธิษฐาน..... ดีๆ ฟังดีๆ
แล้วก็เชื่อฟังด้วย ถ้าพระเจ้าบอกว่า ...เจ้าอยู่เฉยๆดีกว่า...
ให้ยอมรับซะโดยดีถ้าพระเจ้าบอกว่า ...เจ้ากำลังกล่าวโทษผู้อื่นอยู่นะ...

ให้ยอมรับซะ อย่างถ่อมใจ ถ้าพระเจ้าบอกว่า ....เจ้านั่นล่ะ ที่ผิด.... กลับใจซะใหม่ อย่ากลัวเสียฟอร์ม...

แต่ถ้าพระเจ้าตรัสว่า .."ใช่"
พวกเขากำลังหลงทาง..

อันนี้ค่อยลงมือทำ...
---

ถ้าคิดจะทำ ก็อธิษฐานก่อน
ถ้าคิดจะทำแต่ไม่คิดอธิษฐาน ก็ขอให้เลิกคิด เลิกทำ

เพราะเราจะกลายเป็นตัวที่น่าเบื่อในสายตาเพื่อนร่วมงาน และน่าเหนื่อยใจในสายพระเนตรพระเจ้าเสียเปล่าๆ



---------


พระราชกิจ-แผนงานในหลายรูปแบบ.....


มัทธิว 9:27-30
"ครั้นพระเยซูเสด็จไปจากที่นั่นก็มีคนตาบอดสองคนตามพระองค์มาร้องว่าบุตรดาวิด{หมายถึงพระเมสสิยาห์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้ตามคำของผู้เผยพระวจนะ}เจ้าข้าขอเมตตาข้าพระองค์เถิด"..

"และเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในเรือนคนตาบอดทั้งสองก็เข้ามาหาพระองค์พระเยซูตรัสถามเขาว่าเจ้าเชื่อหรือว่าเรามีอิทธิฤทธิ์จะกระทำการนี้ได้"เขาทูลพระองค์ว่า"ข้าพระองค์เชื่อพระเจ้าข้า"..

"แล้วพระองค์ทรงถูกต้องนัยน์ตาเขาตรัสว่าให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด"..

"แล้วนัยน์ตาของเขาก็กลับเห็นดีพระเยซูได้ทรงกำชับเขาแข็งแรงว่าจงระวังอย่าบอกผู้ใดให้รู้เลย"..
****

มัทธิว 12:22
ขณะนั้นเขาพาคนหนึ่งมีผีเข้าสิงอยู่ทั้งตาบอดและเป็นใบ้มาหาพระองค์พระองค์ทรงรักษาให้หายคนใบ้นั้นจึงพูดจึงเห็น..
***

มาระโก 10:52
"พระเยซูตรัสแก่เขาว่าจงไปเถิดความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้เจ้าหายปกติแล้ว"ในทันใดนั้นคนตาบอดนั้นก็เห็นได้และได้เดินทางตามพระองค์ไป..
**

ยอห์นฺ 9:10-11 "เขาทั้งหลายจึงถามเขาว่าตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร"..
"เขาตอบว่าชายคนหนึ่งชื่อเยซูได้ทำโคลนทาตาของข้าพเจ้าและบอกข้าพเจ้าว่า'จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างโคลนออกเสีย'ข้าพเจ้าก็ได้ไปล้างตาจึงมองเห็นได้"..
**

มาระโก 7:32-35
เขาพาชายหูหนวกพูดติดอ่างคนหนึ่งมาหาพระองค์แล้วทูลขอพระองค์ให้ทรงวางพระหัตถ์บนคนนั้น..

พระองค์จึงทรงนำคนนั้นออกจากประชาชนไปอยู่ต่างหากทรงเอานิ้วพระหัตถ์ยอนเข้าที่หูของชายผู้นั้นและทรงบ้วนน้ำลายเอานิ้วพระหัตถ์จิ้มแตะลิ้นคนนั้น..

"แล้วพระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ทรงถอนพระทัยตรัสแก่คนนั้นว่าเอฟฟาธา"แปลว่า"จงเปิดออก"..

แล้วหูคนนั้นก็ปกติสิ่งที่ขัดลิ้นนั้นก็หลุดและเขาพูดได้ชัด..
****

มาระโก 8:23-25
"พระองค์ได้ทรงจูงมือคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้านเมื่อได้ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาคนนั้นและวางพระหัตถ์บนเขาแล้วพระองค์จึงตรัสถามว่าเจ้าเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่"..


"คนนั้นเงยหน้าดูแล้วทูลว่าข้าพระองค์แลเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา"..

พระองค์จึงวางพระหัตถ์บนตาเขาอีกแล้วเขาก็เพ่งดูและตาก็หายเป็นปกติแลเห็นสิ่งทั้งหลายได้ชัด..


*****

ความจริงแล้วพระราชกิจของพระองค์ยังมีอีกมากมายที่บันทึกไว้
แต่เท่าที่ยกมานั้น

ก็พอจะเห็นได้ว่า

พระเยซูเอง ทรงมีวิธีการมากมายในการรักษา ตามแต่ที่พระองค์ทรงเห็นสมควร... บ้างครั้งพระองค์ก็แค่ทรงตรัส
บางครั้งก็วางมือ
บางครั้งก็อาศัยดินโคลน

ฉะนั้น ไม่แปลก
ที่พันธกิจตามพระมหาบัญชาของพระองค์นั้นคือที่ว่า.....






มัทธิว 28:18-20

พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า
ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดีในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว..
เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเราให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์..

สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้
นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค..

....

....จะเกิดขึ้นใน "หลายรูปแบบ"



ฉะนั้น การมานั่งวิพากวิจารณ์โดยไม่อธิษฐานนั้น
ก็เป็นการเบาปัญญา
และเป็นหลักฐานประจานคนคนนั้นว่า
คนคนนั้นเริ่มที่จะไม่ติดสนิทกับพระเจ้า

เพราะว่า

ยอห์นฺ 15:5 เราเป็นเถาองุ่นท่านทั้งหลายเป็นแขนงผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขาผู้นั้นก็จะเกิดผลมากเพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย..

...
"สิ่งใดไม่ได้เลย" ก็น่าจะหมายสิ่งใดตามทางของพระเจ้านั่นเอง...



เราน่าจะเริ่มเห็นแล้วว่า

พันธกิจ มีหลายรูปแบบ ไม่มีข้อจำกัด...
และ พันธกิจ ไม่ว่าจะเกิดผลมาก หรือผลน้อย ก็ไม่ได้แปลว่า จะดีกว่า หรือไม่ดีกว่า ..จะคิดอย่างนั้นไมใด้...
หยุดติ หยุดวิจารณ์ หยุดแบ่งพรรคแบ่งพวกซะที

และถ้าเป็นได้ ก็ควรก้าวสู่การร่วมแรงร่วมใจกันได้แล้ว...


ผมนึกถึงโฆษณาอันนึง นานมาแล้วกับประโยคๆนึง..

"ชีวิตก็อย่างนี้ล่ะลูก มันไม่สำเร็จรูปเหมือนบะหมี่หรอก"

ฉะนั้น ท่านใด ที่ยังมีแนวคิดในแบบสำเร็จรูป คือต้องอย่างนู้น ต้องอย่างนี้
ก็น่าคิดเหมือนกันว่า

สมองท่านเหมือนบะหมี่สำเร็จรูปเข้าไปทุกทีรึเปล่า

สมองท่านมีชีวิตหรือเปล่า

และชีวิตนั้นมาจากไหน

..........

พระเยซูตรัสว่า
"เราเป็นชีวิต"


พระเยซูไม่ได้ตายไปแล้ว
จริงอยู่ครั้งนึงพระองค์เคยถูกตรึงตายที่กางเขน
แต่พระองค์ก็คืนชีพมาแล้ว
และ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ เวลานี้

มีอะไรก็ปรึกษาพระองค์ได้ ไม่ต้องถึงกับต้องมานั่งเดาใจพระองค์
เพราะเดี๋ยวก็เดากันไปคนละทิศละทาง

มันง่ายกว่านั้นเยอะมาก

"แค่เชื่อฟัง" และกระทำ
พอแล้ว

ไม่ต้องไปก้าวก่ายช่วยพระองค์วางแผน
ไม่ต้องไปทำเป็นผู้หวังดี ตามตรวจตามเชคงานของพระองค์

"เชื่อฟัง" และ "ทำตาม"
พอแล้ว
แต่

เราคงไม่ได้ยินอะไรเลย ถ้าเราไม่อธิษฐาน.....

จากนี้ต่อไป ก่อนตัดสินใจลงดาบ หรือ ลงอะไรก็ตาม
อธิษฐาน ก่อนซักนิดนะครับ

เพราะเกรงว่า

กิจการ 5:39 แต่ถ้ามาจากพระเจ้าท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า..
---
และหากเราตรองดู จะเห็นว่าอันที่จริงแล้ว..

กิจการ 5:38 ในกรณีนี้ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่าจงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่องอย่าทำอะไรแก่เขาเลยเพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง..


ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์คุ้มครองเราครับ
อาเมน




 

Create Date : 02 ตุลาคม 2549   
Last Update : 2 ตุลาคม 2549 11:03:28 น.   
Counter : 1297 Pageviews.  

สารกระตุ้นที่เรียกว่า "ความเจ็บปวด"

สารกระตุ้นที่เรียกว่า "ความเจ็บปวด"

1 โครินธ์ 15:35-37
แต่บางคนจะถามว่าคนตายจะเป็นขึ้นมาอย่างไรได้เมื่อเขาเป็นขึ้นมาจะมีรูปกายเป็นอย่างไร..
โอคนเขลาเมล็ดที่ท่านหว่านลงนั้นถ้าไม่ตายเสียก่อนแล้วจะงอกขึ้นใหม่ไม่ได้.. เมล็ดข้าวที่ท่านหว่านนั้นจะเป็นข้าวสาลีหรือพืชอื่นๆก็ดีท่านมิได้หว่านสิ่งที่เป็นรูปร่างของต้นที่จะงอกขึ้นมาแต่ได้หว่านเมล็ดเท่านั้น..
****


------

จาก มาร์คไรเด้อ คาบูโตะ
ชีวิตของชายผู้แปลงร่างเป็นซาซอร์ด เป็นตัวอย่างที่ดี
ของการพิจารณาตัวเอง

ซาซอร์ด เป็นคุณหนูแห่งตระกูลสูงศักดิ์ สืบทอดมาหลายชั่วคน ด้วยเหตนี้นิสัยจึงหยิ่งผยอง อวดดี คิดเอาว่าตัวเองอยู่ตรงจุดสูงสุดของทุกๆเรื่อง สนใจแต่ตัวเอง ไม่ใส่ใจคนอื่น ...
..ซึ่งนิสัยที่ว่ามาทั้งหมด ...เค้าไม่เคยรู้ตัว....



..เรียกว่าเป็นชายที่ไม่รู้จักโตก็ได้...

..วันนึง เค้าได้รู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับบ้านที่เค้าอยู่และสภาพทางเศรษฐกิจของครอบครัวเค้า
..เค้าเข้าใจมาตลอดว่าเค้ารวยมากๆ ...โดยหารู้มั้ยว่า แท้จริง ทุกอย่างกำลังติดลบ....

.."ความเจ็ปปวดเข้ามา"
.."การเปลี่ยนแปลง เริ่มเกิดขึ้น"

ซาซอร์ด เริ่มเผชิญกับความเจ็บปวดหลายๆประการ
เริ่มจากเศรษฐกิจ ..ความสัมพันธ์ ..และความรัก
..นั่นทำให้เค้าเปลี่ยนไป ในทางที่ดีขึ้น...


--
-----
ดูหนังดูละคร แล้วหัดย้อนดูตัว
หลังจากดูชีวิตของซาซอร์ดแล้ว
ก้เริ่มหันมามองตัวเองเหมือนกัน

ว่าจริงๆแล้ว เราเองก็ไม่ต่างจากซาซอร์ด

"ความเจ็บปวด"
เป็นวิตามิน เป็นยาดี

ถ้าเราจะยอมทำตัวเป็นคนไข้ที่ดี
เริ่มจาก ยอมรับก่อนว่าเราป่วย แล้วรับยานี้กินเข้าไปซะ

ยาดีนี้ จะทำให้เราหายจากโรคนั้นๆที่เราเป็น ซึ่งเราต้องกล้าหาญก่อนที่จะยอมรับว่าเราเป็น

พระเจ้าทรงรักษาก็เฉพาะคนที่เค้ายอมรับว่าเค้าป่วย ส่วนคนที่ยังปากดี อ้าว่าข้าสบายดีเพอเฟค ..ก็มิอาจรักษาเค้าได้

"ยาดี" มีอยู่แล้ว ยื่นให้แล้ว
อยู่ที่ใครจะคว้าเอา และยอมกิน

ยากยิ่งกว่ายอมกินยา ก็คือ ยอมรับว่าป่วย....

--
เมล็ดที่ไม่ยอมตาย จะงอกงามขึ้นมาไม่ได้

ความจริงแล้ว โครินที่ยกมาข้างบนนั้น อธิบายถึงชีวิตหลังความตาย
แต่ที่จริงก็สามารถ อธิบยถึงชีวิตคริสเตียน ที่เกิดผล ได้เช่นกัน

มีคริสเตียนมากมาย ที่ "ไม่ยอมตาย"
นั่นทำให้"ชีวิตใหม่" ไม่เกิดบนชีวิตเค้า และนั่นทำให้เค้าไม่มีประสบการณ์กับพระเจ้า ซึ่งประสบการณ์ในที่นี้มิได้หมายถึงแค่การตอบคำอธิษฐาน ..ประสบการณ์ที่ว่านี้ น่าตื่นเต้นกว่านั้นมาก

และคริสเตียนมากมายที่ว่านั้น ก็ไมได้ไกลเลย ..พวกเราล้วนมีประสบการณ์การดื้อด้าน "ไม่ยอมตาย" ในหลายๆชีวิตเก่าของเราด้วยกันทั้งนั้น ชีวิตเก่าเยอะ ก็ต้องตายเยอะ มากน้อยกันตามแต่คน

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา มันอยู่ที่ว่าสุดท้าย เรายอมตายรึเปล่า
สิ่งสำคัญอยู่ที่บทสรุปและตอนจบ ....ว่าจบแบบไหน

--
ถามว่ามีมั้ยคนที่สุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่ยอมตายซักชีวิตเก่านึง
อาจจะมีมั้ง
ถ้าเอาแค่ที่เห็นๆกับตาตรงนี้ก็มีเยอะเลย แต่ก็ไม่กล้าฟันธง ว่าสุดท้ายแล้วเค้าจะ ยอมตายมั้ย

แต่นั่นก็เรื่องของคนอื่น
ไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา เรไม่ควรทำตัวเที่ยวสนใจคนอื่น หรือควมรอดของคนอื่น มากซะจนลืมใส่ใจความรอดของตัวเอง และชีวิตที่เรามีต่อพระเจ้า
เพราะนั่นจะทำให้เรากลายเป็นพวกฟาริสี

มองดูตัวเราเองให้มากๆ อย่างน้อยๆให้มากกว่าคนอื่น
ว่าเรามีชีวิตเก่าอะไรบ้าง ที่ต้อง "ยอมตาย"
เชื่อแน่ว่า แรกๆเราจะมองไม่เห็น และสรุปว่ามันไม่มี
แต่เมื่อเราถ่อมใจย้อนกลับมามองดูตัวเองบ่อยๆ

ในที่สุดเราจะพบว่า
"ยี้... เรานี่น่าขยะแขยงจริงๆเลย"

การยอมรับความจริงแบบนี้ นำมาซึ่งความเจ็บปวดแน่นอน
นั่นเลยทำให้ กระบวนการทางจิตของมนุษย์มักจะปฏิเสธ และสรางกำแพงปิดหูปิดตาเราไว้เสมอ ไม่ให้เยอมรับความจริงข้อนี้....
เพราะการยอมรับความจริงข้อนี้ที่เจ็บปวด จะทำให้เกิดผลเป็นจริงตามพระวจจนะ

..แล้วลองคิดดูเล่นๆสิคับ
..ว่ากระบวนการทางจิตนี้... มาจากไหน ..ใครส่งมา
..คิดไม่ออกไม่เป็นไร ..จำไว้ละกันว่า มันมาเพื่อขัดขวางพระวจจนะไม่ให้เกิดผล....

-------

อุปมา...เหมือนคุณ ซาซอร์ดในเรื่องคาบูโตะ นั่นล่ะ
เค้าคิดและเชื่อมาตลอดว่าเค้ารวยและเพอเฟค
แต่นั่นคือสิ่งที่ เชื่อ นั่นคือ"ความจริงของเค้า"
แต่ความจริง ก็คือความจริง

และความจริง กับ ความจริงของเค้า ก็สวนทางกัน

แต่ก็ยังดี ที่เค้ายอมรับความจริงในที่สุด แม้ว่ามันจะเจ็บปวดก็ตาม
แม้ว่าสารกระตุ้นที่เรียกว่าความเจ็บปวด มันจะทำให้เค้า "ถึงตาย" ก็ตาม

ก็ยังดี

เพราะเมล็ดที่ยอมรับว่าตัวเป็นแค่เมล็ด และยอมที่จะตาย
ในที่สุด มันก็จะงอกงามเป็นต้นไม้

ขอพระเจ้าอวยพรเราครับ




 

Create Date : 13 กันยายน 2549   
Last Update : 13 กันยายน 2549 23:48:48 น.   
Counter : 409 Pageviews.  

รูปเคารพ ..แค่ไหน อย่างไร?

รูปเคารพ ..แค่ไหน อย่างไร?


-----------
อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนักและได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลกทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร..
"แล้วได้ทูลพระองค์ว่าถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเราเราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน"..
พระเยซูจึงตรัสตอบว่าอ้ายซาตานจงไปเสียให้พ้นเพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่าจงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว..
......มัทธิว 4:8

-------------
มารกล่าวว่า......
ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเราเราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน


พระเยซูตรัสว่า
“อ้ายซาตานจงไปเสียให้พ้นเพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่าจงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว..”
....................
ลองมาเล่นเกมแทนค่ากัน....
มารกล่าวว่า ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเราเราจะ......................แก่ท่าน

ลองนึกดูสิครับ เอาประสบการณ์ของเราเองก็ได้ ว่ามนุษย์เราสามารถ ใส่อะไรลงไปในช่อว่างนั้นได้บ้าง โดยแลกกับแค่การกราบนมัสการ ..มาร....

ตัวอย่าง....

มารกล่าวว่า ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเราเราจะให้ความรอบรู้.แก่ท่าน
มารกล่าวว่า ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเราเราจะให้เงินทองแก่ท่าน
มารกล่าวว่า ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเราเราจะให้ความคุ้มครองแก่ท่าน
มารกล่าวว่า ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเราเราจะให้อาหารแก่ท่าน
มารกล่าวว่า ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเราเราจะให้ความเจริญในหน้าที่การงานแก่ท่าน
มารกล่าวว่า ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเราเราจะมอบคนที่ท่านหลงรักเขาข้างเดียว แก่ท่าน

มารกล่าวว่า ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเราเราจะไว้ชีวิตแก่ท่าน


และอื่นๆอีกมากมาย.....
เพื่อเห็นแก่สิ่งล่อตาล่อใจเหล่านั้น ท่านคิดว่าท่านยอมแลกด้วยการ “แค่” กราบนมัสการ “มัน” มั้ยครับ

หรือน่าสังเวชกว่านั้น
มารมันยังไม่ได้เชื้อเชิญอะไรเลย แต่กราบๆมันไปเพียงเพราะว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม”


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

พระเยซูตรัสว่า
พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่าจงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว..

แต่ผู้เดียวแปลว่าอะไร

ก็แปลว่าหนึ่งเดียว ไม่มีสอง ไม่มีเล็ก ไม่มีน้อย ไม่มีเป็นอื่นอีกได้เลย....


.....
นานมาแล้วสมัยผมยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า
ผมมักจะสงสัยเสมอว่า ทำไม คริสเตียน ห้ามกราบไหว้รูปเคารพ ..มันสมเหตสมผลตรงไหน มันอะไรกันเนี่ย ทำไมสอนอะไรกันหยุมหยิมไร้สาระอย่างนี้ ....

จนเมื่อเชื่อในพระเจ้าแล้ว ความสงสัยนั้นก็ยังอยู่เล็กน้อย อาจจะลดลงบ้าง แต่ก็ยังแอบสงสัยอยู่

จนเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นบ้าง
จึงตระหนักด้วยตัวเองว่า

การที่บอกว่าห้ามกราบไหว้รูปเคารพนั้น
ไม่ใช่คำสอน แต่เป็น “คำเตือน”

คุณแม่อาจจะสอนให้ลูกกินข้าวอย่าเลอะเทอะ อาจจะสอนให้ลูกรู้จักใช้ช้อนซ้อม
แต่สำหรับไฟ คุณแม่ จะ เตือนปนห้าม ปนขู่ ปนสารพัดจะปน เพื่อให้ลูก “ไม่เล่นไฟ”....

ครั้งนึงในอดีต ผมเคยคิดว่าคำเตือนเรื่องกราบไหว้รูปเคารพนั้น เพื่อพระเจ้า แต่ในภายหลังจึงทราบว่า เพื่อตัวเราเอง.... โดยที่ในพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกท่าทีนี้ของพระเจ้าไว้เลย.... (เท่าที่ผมทราบนะครับ)
ผลของมัน ขออนุญาตที่จะไม่พูดตรงนี้เพราะจะกลายเป็นแตกประเด็น และถึงต่อให้พูด ก็มีคนที่แม้แต่เป็นคริสเตียนบางคนก็ไม่เชื่อยู่ดี ถ้าเค้าไม่เคยเจอด้วยตัวเอง

ประเด็นที่จะพูดตรงนี้คือ
อย่างไรแค่ไหนล่ะ ถึงเรียกว่ากราบไหว้รูปเคารพ...


รูปเคารพ ..แค่ไหน อย่างไร?

ลองนึกแบบทวนเข็มก่อน
จากเกมแทนค่าที่ให้ยกมาเมื่อตอนต้น จะเห็นว่า เพื่ออะไรบางอย่าง เราอาจจะยอม กราบนมัสการ “มัน” ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หรือไม่ว่าเราจะรู้ว่าคือ “มัน” หรือไม่ก็ตาม

อย่างแรกก่อนเลย “มัน” ไม่ใช่มนุษย์
ฉะนั้น ถ้าท่านเคยกราบไหว้อะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่มนุษย์ นั่นคือ “มัน”ทั้งนั้น
อย่างที่สอง “มัน” ไม่มีชีวิตอย่างเราๆท่านๆ ฉะนั้น ถ้าเข้ากรณีนี้ก็คือ “มัน” ทั้งนั้น
นี่เป็นการแยกแบบคร่าวๆ ...มองแบบง่ายสุดก็คือรูปปั้นนั่นเอง....
อันนี้เป็นรูปธรรม

มีที่มันแฝงมาซับซ้อนกว่านั้นอีก
คือในแบบนามธรรม
คือไม่จำเป็นต้องเป็นรูปเป็นร่าง .แต่เป็นแค่ “นาม” ก็เป็นรูปเคารพได้

มีที่ซับซ้อนกว่านั้นอีก แต่คงไม่ต้องพูดตรงนี้ เพระคงยากเกินที่จะยอมรับ

----

บ่อยครั้งก็น่าตกใจ ที่มีคริสตชนบางคน หยวนๆ กับเรื่องพวกนี้
ทั้งที่จริงๆแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธืที่อยู่ในตัวเค้าโดยทางพระเยซูคริสต์นั้น จะบอกเค้าเอง จนเค้าสัมผัสได้ด้วยซ้ำ ว่าเบื้องหลังของรูปเคารพคืออะไร

น่าตกใจที่เห็นคริสตชนมากมายยังกราบไหว้รูปเคารพกันหน้าชื่นตาบานไม่สะทกสะท้าน พอมีคนติง ก็หาว่าเรื่องมาก คิดมาก ...
ใครคิดเหรอครับ ...ก็ในเมื่อพระคัมภีร์ก็เขียนไว้ชัดเจนอย่างนั้น ...หรือท่านจะทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง ..หรือท่านจะเถียงพระเจ้า? ...หรือท่านจะว่าพระเจ้ามุสา?

---


อย่ามีพระอื่นใด นอกจากพระเจ้าองค์เดียว
แปลว่าอะไร
คงเป็นเรื่องยาก ถ้าจะมาตีความคำว่า “พระอื่น” เพราะมีปัจจัยมากมายที่สุดท้ายแล้วเราสามารถโมเมได้ว่า สิ่งนั้น ไม่ใช่ “พระอื่น”

ง่ายกว่า ถ้าเราจะมุ่งไปที่คำว่า “พระเจ้าองค์เดียว”
คือนมัสการพระองคผู้เดียว ตรงต่อพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น
ให้เรามี “ท่าที” ของการกราบนมัสการ ไว้ปฏิบัติต่อพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น
“ท่าทีแห่งการนมัสการ” มีไว้สำหรับพระองคืผู้เดีวเท่านั้น ...ไม่ใช่ท่าทีนี้กับสิ่งอื่นสิ่งไดอีกเลยทั้งเอกภพ ทั้งจักวาล ทั้งทุกๆมิติ ทั้งเนื้อหนังและมิติวิญญาณ
....คิดเช่นนี้ก็จะเข้าใจง่ายกว่า
....ง่ายกว่าการมานั่งตีความว่า อะไรบ้างคือ “พระอื่น”

ก็เอาเป็นว่า ถ้าทานมีท่าทีแห่งการนมัสการ อื่นใดอีก นอกจากพระเจ้าพระผู้สร้างองค์เดียวแล้ว
ก็จงรู้ไว้ว่า ท่านกำลังทำผิดบัญญัติอย่างร้ายแรง
อย่าเถียงบัญญัติ อย่าพยามยกข้ออ้างมาเพื่อบอกว่าไม่ผิด

“จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ นอกนั้นก็มาจากมาร”
อย่าหัดแก้ตัว

.....
ถ้าท่านจะเถียงสิ่งที่ผมพยามบอกอยู่นี้ ซึ่งอ้างพระคัมภีร์
ก็ขอให้พิจารณาดูว่า ท่านเป็นคริสตชนจริงๆหรือ?
หรือเป็นแต่ในนาม
หรือเป็นเพียงเพราะคิดว่าเป็น

หรือถ้าเป็นริงๆ ทำไมท่านจึงยัง หยวน กับรูปเคารพได้
ทำไมท่านไม่รู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์บอกอะไรท่านอยู่
หรือท่านไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์?

๐๐๐๐๐
มารล่อลวงมนุษย์มาตลอด ให้มนุษย์มากมายเพื่อให้มนุษย์กราบนมัสการมัน
คนอื่นๆไม่เข้าใจเรื่องนี้ไม่เป็นไร ก็ปล่อยเค้า

แต่คริสตชนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้พึงสำรวจตัวเอง

---

วันใดที่เราเจอการล่อลวงมากมาย เพื่อให้เรานมัสการสิ่งอื่นใดเพื่อผลประโยชน์มากมาย เพื่ออะไรก็ตาม
ขอให้เราตอบมันไป อย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำ ว่า

"อ้ายซาตานจงไปเสียให้พ้นเพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่าจงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว.. "


ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า โปรดคุ้มครองเรา ให้เราที่จะมีท่าทีแห่งการนมัสการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างแต่ผู้เดียวเท่านั้น ขอสอนเราให้เรารู้ว่าแท้จริงรูปเคารพมีสิ่งใดอยู่เบื้องหลัง
อาเมน




 

Create Date : 13 กันยายน 2549   
Last Update : 13 กันยายน 2549 23:47:34 น.   
Counter : 553 Pageviews.  

ทูตแห่งความสว่าง???

ทูตแห่งความสว่าง???

แต่ข้าพเจ้าเกรงว่า
งูนั้นได้ล่อลวงนางเอวาด้วยอุบายฉันใด
จิตใจของท่านก็จะถูกล่อลวงให้หลงไปจากความสัตย์ซื่อ
และความบริสุทธิ์ต่อพระคริสต์ฉันนั้น.... 2โครินธ์ 11/3
ถึงซาตานเอง ก็ยังปลอมตัวเป็นทูตแห่งความสว่างได้
เหตุฉะนั้นจึงไม่เป็นการแปลกอะไรที่คนรับใช้ของซาตานจะปลอมตัวเป็นคนรับใช้ของความชอบธรรม
ท้ายที่สุดเขาจะเป็นไปตามการกระทำของเขา .....2โครินธ์ 11/14-15

ทูตแห่งความสว่าง
อันนี้ฟังดูดี
ซาตานก็ยังปลอมตัวเป็นทูตของความสว่างได้
เฮ้ย อันนี้เริ่มน่ากลัว

......
ในปฐมกาล
งูได้ล่อลวงเอวาให้ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โปรยคำพูดหวานหอม
“เจ้าจะไม่ตายจริงดอก เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่าเจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว” ....งูยุให้ใจหยิ่งผยองอยากทัดเทียมพระเจ้าในเอวากำเริบอย่างซาตาน
และยิ่งกว่านั้น มันยุแยงด้วยการขึ้นต้นการสนทนาด้วยยาพิษว่า “จริงหรือ??”


ความจริงแล้ว บทความนี้สืบเนื่องมาจากบทความเรื่องรูปเคารพ
ซึ่งมีเรื่องที่อยากเพิ่มเติมในอีกแง่มุมนึง ซึ่งก็คือบทความนี้

“ความสว่าง”
เรามักยอมรับทันทีว่า อะไรก็ตามที่มาในรูปแบบความสว่าง นั่นคือถูกต้องตามประสงค์ของพระเจ้า
“ความสว่าง”
อะไรก็ตามที่เข้าข่ายของความสว่าง เรามักอนุโลม หรือลืมบทบัญญัติที่เคร่งครัด ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตรัสไว้แล้ว
“ความสว่าง”
ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ทรงเตือนเราไว้แล้วว่า ...อย่าเพิ่งวางใจ ว่าถ้าเราเข้าใจว่าเป็น “ความสว่าง” แล้วมันจะเป็นความสว่างจริงๆ ....ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเตือนเราให้รู้ว่า มารมันปลอมตัวเป็นความสว่างด้วยเช่นกัน....

.....
มีเรื่องราวของผู้รับใช้พระเจ้าท่านนึงในพระคัมภีร์เดิม 1พงศ์กษัตริย์ บทที่13 อาจจะพอเป็นอุทาหรณ์ให้เราได้บ้าง
ผู้รับใช้ท่านนี้ เท่าที่ทราบคือไม่มีชื่อระบุไว้ บอกไว้เพียงว่า “คนของพระเจ้าซึ่งมาจากยูดาห์”
ผู้รับใช้ท่านนี้ถุกพระเจ้าใช้ให้ไปทำภารกิจชิ้นนึง เมื่อทำเสร็จ ก็มีคนเชื้อเชิญท่านให้พักอยู่ที่นั่นและว่าจะให้รางวัลท่านด้วย
แต่ท่านตอบกลับไปว่า
“ถ้าท่านจะให้สักครึ่งของราชสมบัติของท่าน ข้าพเจ้าจะไม่ไปกับท่าน
และข้าพเจ้าจะไม่รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำในที่นี้ เพราะว่าพระวจจนะของพระเจ้าบัญชาข้าพเจ้าไว้อย่างนี้
*เจ้าอย่ากินขนมปังหรือดื่มน้ำหรือกลับไปตามทางที่เจ้ามานั้น*”

ดังนั้นท่านจึงไปเสียอีกทางหนึ่ง

เรื่องราวของท่านไปถึงหูผู้เผยพระวจจนะแก่คนหนึ่งแถวๆนั้น
ผู้เผยพระวจจนะแก่คนนั้นจะด้วยเหตผลกลใดมิทราบ ถึงขนาดรีบเดินทางไปให้เจอผู้มาจากยูดาห์ เพียงเพื่อเชิญไปพักที่บ้าน
ผู้มาจากยูดาห์ยังคงยืนกรานคำสั่งจากพระเจ้า และบอกว่าไม่ไป
ผู้เผยพระวจจนะแก่จึงบอกผู้มาจากยูดาห์ว่า

“ข้าพเจ้าก็เป็นผู้เผยพระวจจนะอย่างที่ท่านเป็นนั้นด้วย
มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาบอกข้าพเจ้าโดยพระวจจนะของพระเจ้าว่า
*จงนำเขากลับมากับเจ้า ยัเรือนของเจ้าเพื่อเขาจะได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำ*”
แต่เขามุสาต่อท่าน
ดังนั้นท่านจึงไปกับเขา และได้รับประทานอาหารในเรือนของเขา และได้ดื่มน้ำ ....1 พงศ์กษัตริย์ 13/18-19


จากนั้นเป็นมาอย่างไรรบกวนไปอ่านกันเองนะครับ^^ ขี้เกียจพิม
แต่สรุปผลให้ฟังคือ

..ผู้มาจากยูดาห์ท่านนั้น ถูกสิงห์ฆ่าตายระหว่างกลับบ้าน.......


ถูกฆ่าตายเพราะว่าเชื่อผู้ที่อ้างพระนามพระเจ้า
ตายเพราะนึกเอาว่านั่นมาจากพระเจ้า
ตายเพราะคิดว่านั่นน่าจะ มาจากความสว่างม้างงงง
ตายเพราะลืม หรือไม่สนใจสิ่งที่พระเจ้าทรงเตือนด้วยพระองค์เอง.....
ตายเพราะนึกว่านั่นน่าจะมาจากความสว่าง

.......
บางที ..อาจจะมีคนบางคนต้องลงนรกเพียงเพราะว่าเข้าใจผิดในความสว่างก็ได้......
อาจจะมีคนบางคนที่มั่นใจว่าตัวจะเป็นไปอย่างนึง ซึ่งโดยแท้แล้ว จะต้องไปอีกทางนึง... ซึ่งเขาไม่เคยรู้.......
อาจจะมีบางคนกำลังทำบางอย่างโดยเข้าใจว่านั่น ไม่เป็นไร ในสายพระเนตรของพระเจ้า ..โดยคิดเอาว่า เป็นเรื่องสว่างๆ คงไม่ได้ละเมิดคำเตือนของพระองค์มั้ง?

อะไรสำคัญกว่า ระหว่าง
คิดเอาว่าน่าจะ......
กับ
คำเตือนชัดๆจากพระเจ้า
๐๐๐๐๐๐๐๐๐


.......มาถึงคำถามที่น่าสนใจ
หมายสำคัญและการอิทธิฤทธิ์ เป็นเครื่องการันตีได้มั้ยว่ามาจากความสว่าง???

ปัจจุบันนี้ มีการอิทธิฤทธิ์มากมายหลายสาย มีในทุกๆนิกายทุกๆลัทธิ ทุกๆศาสนา
ยกตัวอย่าง คนใกล้ตัว พี่สาวผมเอง เป็นศิษย์วัดดังวัดหนึ่งซึ่งปฏิเสธพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์
คนนี้นี่ แฟนคลับตัวยงของเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์เลยก็ว่าได้ ...หมอดงหมดูนี่ของชอบ ถือเคล็ดถือฤกษ์ชอบนัก
แล้วเค้าก็ไปเจอ อิทธิฤทธิ์ อ่านใจบ้าง ทำนายอนาคตตรงเพ้ะบ้าง ถอดจิตบ้าง เยอะแยะสารพัด
....ด้วยหลักฐานเจอกับตาเหล่านี้ ...พี่สาวจึงฟันธง ว่านี่ล่ะ ของจริง ว่านี่ล่ะ “ความสว่าง” ของชีวิต
....คติง่ายๆที่พี่ยึดถือคือ ...แค่อัศจรรย์พอแล้ว ..ของจริงชัวร์ป้าบ ... อะไรก็ได้ที่อัศจรรย์ “น่าจะของจริง”
....เค้าฟันธง โดยไม่พิจารณาเลยว่า ....อัศจรรย์เหล่านั้น นำ “จิตแบบใด”มาสู่ผู้คนหรือแม้แต่ตัวเค้าเอง

แต่นั่นเค้าไม่ใช่คริสเตียนก็ปล่อยเค้า
แต่เรา คริสตชน
ต้องแยกให้ออกจากกัน อัศจรรย์ก็อัศจรรย์ ความรอดก็อีกเรื่องนึง
.......................

คนนอกกฎหมายนั้นจะมาโดยการดลบันดาลของซาตานพร้อมกับอิทธิฤทธิ์ต่างๆ และหมายสำคัญ และการอัศจรรย์
.......2เธสะโลนิกา 2/9

ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น
ทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์
ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง ถ้าเป็นได้...... มัทธิว24/24
ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญและการมหัศจรรย์
เพื่อล่อลวงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วให้หลง ถ้าเป็นได้ .......มาระโก 13/21

หมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไม่ใช่เครื่องการันตีว่านั่นจะมาจาก ..ความสว่าง....


ทวนอีกครั้งให้ขึ้นใจพวกเรา
“มาร ....ล่อลวง แม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ ....ถ้าเป็นได้”

อย่างที่ว่ากันว่า มารเหมือนสิงห์ร้าย คอยจ้องหาเหยื่อที่มันจะกัดกินได้
เราเข้าลักษณะของเหยื่อเมื่อไหร่ ก็ระวังตัวกันให้ดี

ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์คุ้มครองเรา และขอให้เรามีจิตใจมีความถ่อมใจที่จะเข้าใจแยกแยะรู้ว่าสิ่งไหนมาจากพระองค์ สิ่งไหนมาจากคำลวง ขอเราเป็นดั่งลูกแกะที่ดี ที่จะรู้จักเสียงของพระผู้เลี้ยงของเราอย่างดี ขอพระเจ้าคุ้มครองเราครับ




 

Create Date : 13 กันยายน 2549   
Last Update : 13 กันยายน 2549 23:43:49 น.   
Counter : 464 Pageviews.  

The body ล่าสมบัติซากเทวดา(คริสเตียน)

The body ล่าสมบัติเทวดา(คริสเตียน)
The body ล่าสมบัติเทวดา

ไม่กี่วันก่อนได้ดูหนังแผ่นเรื่องนึงซึ่งวางไว้ในบ้านพี่สาว ตอนดูหน้าปกก็เข้าใจว่าไม่เกี่ยวอะไรกับผมซักเท่าไหร่ เข้าใจว่าคงเป็นหนังแอคชั่นตูมตามตามสไตล์ฮอลลีวู้ดที่ผ่านๆมา ยิ่งตรงปกซีดีเป็นหน้าแอนโตนิโอ แบนเดอรัส ก็ยิ่งเสริมความเข้าใจไปในทางนั้นเข้าไปอีก

วันก่อนไม่มีอะไรทำอย่างมากเรียกว่าว่างจนน่าหาเรื่องอะไรทำซักอย่าง ดูหนัง เป็นทางออกหนึ่ง จึงนึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมาซึ่งมันวางอยู่ไม่ไกลนักจากตอนตัดสินใจว่าจะเปิดหนังแผ่นดู เริ่มด้วยการหยิบมาอ่านคำบรรยายหนังตรงปกหลังซีดีก่อน ..ขอบคุณพระเจ้ามีมันเป็นภาษาไทย^^

โดยย่อ
หนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การค้นพบ โครงกระดูกของพระเยซูคริสต์

อ่า… อ่านแค่นี้ความสนใจที่ต้องดูพลุ่งพรวดละ จากที่แค่กะว่าจะดูฆ่าเวลา นี่ต้องตั้งใจดูเพื่อจับประเด็นเสียแล้ว….
ทำไมแค่คำว่าการค้นพบกระดูกพระเยซูคริสต์ ถึงดึงความสนใจผมในฐานะคริสเตียนได้
มันก้เหมือนๆการที่มีใครซักคนมาโพสข้อความในบอร์ดเพื่อโจมตีความเชื่อของคริสเตียนนั่นเอง ซึ่งผมมักจะเข้าไปดูคร่าวๆ และดูละเอียดถ้าหากว่าน่าสนใจที่จะชี้แจง….

และ The body ล่าสมบัติเทวดา ก็เข้าข่ายนั้น
แต่หลังจากดูจนจบ อย่างน้อยสองรอบ กลับรู้สึกว่า มันให้ข้อคิดที่น่าสนใจกับคริสตชนอยู่เหมือนกัน

------
หลายเดือนก่อน
ช่วงนั้นผมจะไปว่ายน้ำที่เดอะมอลบางแค ตรงชั้นดาดฟ้า มันจะเป็นสวนน้ำ หลังจากว่ายเสร็จ ผมก็จัดแจงอะไรเรียบร้อย เดินมาจนถึงป้ายรถเมล์เพื่อรอรถกลับบ้านซึ่งห่างออกไปไม่มากนัก
ตรงป้ายรถเมล์วันนั้น ผมได้ยินเสียงคนตะโกนโหวกเหวกอยู่ตรงป้ายรถเมล์
…ที่แท้เป็นกลุ่มคริสเตียนจากโบสแถวๆนั้น มาประกาศเรื่องพระเจ้า แบบถึงลูกถึงคน
ผมออกจะตกใจนิดๆ เพราะนั่นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เป็นคริเสตียนที่ผมเจอการประกาศแบบนั้น ผมเดินงงๆเข้าไปพร้อมความแอบชื่นชมพวกเค้า เพราะเป็นผม ผมไม่กล้าทำหรอก พี่ผู้หญิงคนนึงยื่นใบปลิวเรื่องพระเจ้าให้ผม ผมยิ้มๆหยิบไม้กางเขนที่คอให้เค้าดู แล้วบอกว่า ผมเป็นคริสเตียน …หลังจากนั้นผมก็เลยพับโครงการกลับบ้านไว้ก่อน ยืนช่วยเค้าแจกใบปลิวอยู่ตรงนั้น ซะงั้น…

มีคำนึงซึ่งพี่ชายท่านนึงในวันนั้นตะโกนออกมาด้วยเสียงดังและมาดมั่นใจ ซึ่งผมจำได้จนทุกวันนี้ และถูกกระตุ้นอย่างจังเมื่อผมดู The body จบ….
พี่เค้าชี้ไปที่มิชชันนารีต่างชาติคนนึงซึ่งยืนยิ้มแก้มตุ่ยอยู่ข้างๆ เค้าตะโกนว่า
“ถ้าใครหากระดูกของพระเยซูคริสต์มาได้ มาเอาเงินที่ฝรั่งคนนี้เลยสิบล้าน”
…ผมจำไม่ได้ว่าสิบล้านบาท หรือสิบล้านเหรียญ….

นั่นล่ะครับประเด็น
“ใครหากระดูกพระเยซูคริสต์มาได้ เชิญเอามาโชว์เลย เพราะนั่นจะทำให้ความเชื่อของคริสตชนทั้งโลกตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันกลายเป็นเรื่องตลกขลาดเขลา และน่าสังเวชอย่างที่สุดทันที”

ดังที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์1 โครินธ์ 15 กล่าวว่า
13 ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มีพระคริสต์ก็หาได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาไม่..
14 ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาการเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลักทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วย..
15 และก็จะปรากฏว่าเราอ้างพยานเท็จในเรื่องพระเจ้าเพราะเราอ้างพยานว่าพระองค์ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมาแต่ถ้าคนตายไม่ถูกทรงชุบให้เป็นขึ้นมาแล้วพระองค์ก็ไม่ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา..
16 เพราะว่าถ้าการชุบให้เป็นขึ้นมาไม่มีพระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา..
17 และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน..
18 และคนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย..
19 ถ้าในชีวิตนี้พวกเราซึ่งอยู่ในพระคริสต์มีแต่ความหวังเท่านั้นเราก็เป็นพวกที่น่าสังเวชที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง..


--(มีต่อ)--

****

The body ล่าสมบัติเทวดา
“ให้เสียงภาษาไทยโดย พันธมิตร…”
(กรุณานึกเสียงหล่อตามนะครับ^^)
เรื่องเริ่มขึ้นที่กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล
ชารอน โกลแบร์ นักโบราณคดีม่ายสาว กำลังทะลวงทางเข้าสุสานยิวโบราณแห่งหนึ่งซึ่งถูกค้นพบเพราะเจ้าของบ้านชาวยิวตั้งใจจะขุดทำห้องใต้ดิน แต่ดันไปเจอสุสานนี้เข้า
ชารอนขูดแคะ แกะ เคาะไปเรื่อย ที่สุดก็ไปจ๊ะเอ๋ โครงกระดูกเข้าโครงหนึ่ง แล้วสีหน้าเธอก็ครุ่นคริดแฝงเลศนัย ประมานว่าจะแอบๆบอกคนดูว่า เฮ้ยย เอาแล้ว ไอ้สิ่งที่เธอเจอนั่นน่ะมันคือ ..มันคือ…. .งแล้วก็ไม่เฉลยปล่อยให้บีบหัวใจต่อไป
ฉากตัดมาที่ชารอนในพิพิธพันแห่งหนึ่ง กำลังคุยอยู่กับนักโบราณคดีอีกท่านนึง ซึ่งเธอมาทราบภายหลังว่าเป็นหลวงพ่อในนิกายคาทอลิก
เธอมาที่พิพิธพันเพื่อสอบถามข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับ ศพที่ถูกตรึงกางเขนที่ค้นพบในสุสานคนรวย
หลวงพ่อในคราบนักโบราณคดีคนนั้นบอกว่า
มีแต่คนยากจนและนักโทษเท่านั้นที่ถูกตรึงกางเขน และคนแบบที่ว่าทีถูกฝังอยู่ในสุสานคนรวยนั้น ก็มีเพียงผู้เดียวที่ทราบจากบันทึก คือ รับไบเยซู หรือที่รู้จักกันในภาษาปะกิตว่า Jesus

เรื่องการค้นพบนี้ ไม่พ้นหูตาอันมากมายของศาสนจักร ก่อนที่งานค้นพบนี้จะถุกเผยแพร่เพื่อสร้างชื่อให้แก่ชารอนผู้ไม่ศรัทธาในพระเจ้า พระเอกของเรา แอนโตนิโอ อดีตทหาร+หน่วยข่าวกรอง ซึ่งปัจจุบันเป็นนักบวชในนิกายคาทอลิก ถูกประมุขศาสนจักรเรียกเข้าพบ
โดยมอบหมายภาระกิจลับ ก็คือ สืบสวนเรื่องการค้นพบที่เยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอลซะ .และยับยั้งการเผยแพร่งานค้นพบนั้นเสีย….

แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปในแบบแอคชั่นปนๆกับแนวสืบสวน +ด้วยคำซึ่งให้แง่คิดที่ดีกับคริสตชน หรืออย่างน้อยก็กับผมคนนึง…

คำเฉลยของโครงกระดูกนั้นในตอนจบ สรุปก็คือไม่ใช่พระคริสต์ ทั้งหมดเป็นแค่การ ด่วนสรุปเท่านั้น
แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นอะไรที่น่าสนใจถึงขนาดที่ผมรู้สึกว่ามันให้แง่คิดอะไรกับคริสตชน
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ


“การรักษาความเชื่อ”


(มีต่อ)
****

นักโบราณคดีคนแรกที่ชารอนไปพบเพื่อถามข้อสงสัย เค้าเป็นนักบวชในศาสนจักร

คนคนนี้คือที่อยากพูดถึง

หลังจากชารอนไปพบเค้า ภายหลังเค้าเองก็ถุกศาสนจักรส่งตัวให้มาสืบสวนกรณีนั้น ซึ่งนั่นทำให้ชารอนทราบว่าเค้าเองก็เป็นนักบวช

สีหน้าของเค้าก่อนเข้าไปในสุสาน ยังดูดีมีสง่า แต่หลังจากเข้าไปดูโครงกระดูกในนั้น ..หน้าเค้าก็ถอดสี ..ไม่เหลือสง่าราสีอะไรอีก
…ดูเหมือนว่าเค้าจะสิ้นศรัทธา…

น่าสนใจ ว่าทำไมคนระดับนั้น ยังมีความเชื่อในพระเจ้าโดยยังอาศัยแค่ศรัทธา ….เขาไม่เคยมีประสบการณ์กับพระเจ้าเลยหรือ….
เขายังแค่เชื่อ แต่เขายังไม่รู้หรือ ว่าอะไรเป็นอะไร
เขายังไม่เคยเจอกับตัวหรือ ว่าพระเยวูคริสต์แท้จริงคือผู้ใด

ทำไม เพียงแค่โครงกระดูกพร้อมพยานหลักฐานมากมายแค่ระบุว่านั่นคือพระคริสต์ …เขาก็สิ้นศรัทธาเสียแล้ว

จริงอยู่ ว้านั่นคือ ภาพยนตร์

แต่ในโลกแห่งความจริง ..มีคริสตชนมากมาย ที่สักแต่ว่าแค่เรียกตัวเองว่าคริสตชน
แต่ไม่เคยมีประสบการณ์กับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า “ด้วยตัวเอง”
ณ เวลานี้ ยังมีคริสตชนมากมาย ที่อาศัยเพียงแค่ คำพยานของผู้อื่น ในการที่เค้าจะเชื่อถึงการทรงพระชนอยู่ของพระเยซูคริสต์

หรือร้ายกว่านั้น คริสตชนมากมายสักแต่เรียกตัวเองว่าคริสตชน แต่ไม่เคยศรัทธาในความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระเยซูคริสต์เลย….

---
*****

คนที่จะมีประสบการณ์กับพระเยวูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ต้องวิเศษวิโสอะไรมากนักรึไง มันถึงได้ยังมีคริสตชนมากมายที่เรียกตัวเองว่าคริสตชนมาหลายๆปีแล้วกลับไม่เคยมีประสบการณ์กับพระองค์

เอาง่ายๆ เอาแค่คนที่ผมเคยเจอตัวเป็นๆก็ได้ มีมากมายที่มีประสบการณ์ตรงกับพระองค์
และคนเหล่านี้ไม่มีทางจะมีท่าทีเสียศรัทธาแน่ ถ้าเค้าเข้าไปอยู่ในสภาพเดียวกับนักบวชนักโบราณคดีคนนั้นที่แค่เห็นโครงกระดูกซึ่งอาจจะเป็นพระคริสต์ ..ก็เสียศูนย์แล้ว…
…เพราะเค้าก็รู้ๆอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร และพระคริสต์เป็นผู้ใด รู้ๆกันอยู่ว่าพระองค์ทรงพระชนอยู่…

ฉะนั้น ก็ระบุได้เลยว่า ใครก็ตาม ที่บ้าจี้ตามอะไรอย่างนี้ อย่างดาวินซี่โค้ดเองก็ตาม หรืออะไรอีกมากมายก็ตามที่จะมากันอีกมากมายเพื่อลบล้างความเชื่อคริสเตียน
…คนพวกนี้ก็คือ ..คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงกับพระเยซูคริสต์

…และนั่นจะโยงไปถึงความจริงพื้นฐานอีกอย่างนึงซึ่งเป็นการประจานคนที่หันหลังให้พระเจ้าได้เลยก็คือ
…ชีวิตของเขาคนนั้น ไม่เคย “กลับใจใหม่”

…ฟังดูง่ายนะครับ แต่ทำยากมาก “กลับใจใหม่”
…..มันจึงเหมือนทั้งเรื่องที่แปลก และไม่แปลกในขณะเดียวกัน
…….ที่มีคริสตชนมากมายไม่เคยมีประสบการณ์ตรงกับพระเยซูคริสต์

๐๐๐๐๐๐


นักโบราณคดีคนนั้น เขาสูญเสียศรัทธาไปพักนึง และฟื้นศรัทธาขึ้นมาใมห่อีกครั้งด้วยการค้นคว้าอย่างหนัก หาข้อพระคัมภีร์มาปลอบประโลมใจตัวเอง สุดท้ายอ้างพระคัมภีร์ข้อนึงขึ้นมาซึ่งช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น และมีศรัทธาในพระเจ้าขึ้นมาอีกครั้ง
มัทธิว 24:23 ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า'แน่ะพระคริสต์อยู่ที่นี่'หรือ'อยู่ที่โน่น'อย่าได้เชื่อเลย..
มาระโก 13:21 และในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า'แน่ะพระคริสต์อยู่ที่นี่'หรือ'แน่ะอยู่ที่โน่น'อย่าได้เชื่อเลย..

แต่ว่า… ณ ช่วงเวลานั้น
พระเอกของเราแอนโตนิโอกลับเป็นฝ่ายที่กำลังจะเสียศรัทธา ได้วิ่งไปหานักบวชนักโบราณคดีท่านนั้น พร้อมกับข้อมูลการขุดค้นใหม่ ที่ยิ่งยืนยันว่าว่า กระดูกนั้นเป็นพระคริสต์

แค่ข้อมูลนั้นนิดเดียว ทำให้ทั้งสองคนแทบสิ้นศรัทธาอย่างยากจะกู้คืน
พระเอกของเราเดินจากมา
ด้วยความบังเอิญอย่างบังเอิญมากๆตามสไตล์หลัง พระเอกเราเหลียวหลังมองไปที่หลังคาตึกที่บักบวชนักโบราณคดีคนนั้นอาศัยอยู่

และได้เห็นร่างของนักบวชนักโบราณคดีคนนั้น ค่อยๆทิ้งตัวลงจากดาดฟ้าร่วงลงสู่พื้น ปลิดชีพตัวเอง
เพียงเพราะว่าเขารู้สึกสูญเสียอย่างหนัก จากสิ่งที่เขา “เชื่อและศรัทธามาตลอด”
…



(มีต่อ)
**

มีคำซึ่งน่าสนใจหลายๆประโยคที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในหลายๆช่วงของเรื่อง

มีตอนนึงซึ่งพระเอกกับชารอนเดินคุยกัน
ชารอนบอกว่า
“ยังไม่พออีกเหรอ ที่พระคริสต์เป็นคนดีขนาดนั้น พระองค์ยังพิเศษไม่พอเหรอ ทำไมกะแค่ว่าพระองค์ไม่ได้ทรงคืนชีพถึงได้มีสาระสำคัญนักกับคริสตชน”

นี่เป็นการบ่งบอกถึงทัศนคติโดยรวมของคนมากมายที่มีต่อคริสเตียน เค้ามองว่าคริสต์คือศาสนา และมองแค่ว่า พระเยซูทรงเป็นแค่ศาสดา

ในความเป็นจริงก็คือ ถ้าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า ...คริสเตียนก็จบ....
ความเชื่อ ความศรัทธาทั้งสิ้นที่มีต่อพระองค์ ...เป็นความเข้าใจผิดทั้งหมด
ประเด็นของคริสต์คือ “ความรอด” รอดโดยพระคุณ โดยการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์

ถ้าพระเยซูยังตายแล้วไม่ฟื้น ..การไถ่บาปก็ไม่มีจริง การเอาชนะความตายที่ไม้กางเขนก็ไม่มีจริง
หมายรวมไปถึงว่า พระเจ้าก็ไม่มีจริงด้วย

คริสเตียนแค่เชื่อตามๆกันอย่างเบาปัญญากันมาพันกว่าปีเท่านั้น

ตัวอย่างอุปมาที่ดีของอาการอย่างนี้ก็คือ
นักบวชนักโบราณคดีคนนั้นล่ะ ที่โดดตึกตายเพราะสูญเสียศรัทธา ....

---

ซึ่งก็อย่างที่บอกว่า เป็นความน่าสงใสในชีวิตคริสเตียนของนักบวชคนนั้นมากๆ ..ว่าทำไมเขาเสียศรัทธาง่ายขนาดนั้น
ทำไมเขาถึงมีประสบการณ์กับพระเยซูคริสต์น้อยขนาดที่ว่า แค่ข้อมูลและหลักฐานทางโบราณคดี ก็ทำเขาเขวได้
...ชีวิตคริสตชนของนักบวชคนนี้ ชวนให้ต้องตั้งคำถามมากมายเสียยิ่งกว่านั่นเป็นกระดูกของพระเยซูจริงหรือไม่

เพราะชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า และเคยมีประสบการณ์กับพระเยซุคริสต์ ...ต่อให้หลักฐานนั้น99.99% และยังเป็นปริศนาอยู่ว่าใช่หรือไม่ใช่ ....ความเชื่อก็ไม่คลอนแคลน ศรัทธาก็ยังแข็งแรงดีอยู่ ...เพราะก็รู้แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร รู้แก่ใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ ทรงพระชนอยู่จริงๆ

ชารอนเองก็คงสงสัยมากเหมือนกัน แต่คงไม่ได้สงสัยอย่างที่คริสตชนที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าสงสัย
ชารอนคงสงสัยว่า
ทำไมกะแค่ว่านั่นคือกระดูกพระเยซูคริสต์ ...ทำให้คนฆ่าตัวตายได้เลยเหรอ?

ชารอนสงสัยอย่างนี้ไม่ผิด และดีแล้วที่รู้จักที่จะสงสัยอย่างสมเหตสมผล ในความไม่สมเหตสมผล

คำตอบสำหรับชารอน ก็คงจะประมาณว่า

เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียว เพื่อผู้ที่เชื่อและวางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ และมีชีวิตนิรันดิ์
เพราะว่าคริสต์ ไม่ใช่ศาสนา คริสต์คือชีวิต ชีวิตจริงๆที่สัมผัสจริงๆ ถึงการมีอยู่ของพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์

----------


หนังเรื่องนี้ ไม่ได้ให้ความหมายที่ถูกต้องหรือชัดเจนอะไรไว้เลยของชีวิตคริสเตียน
อาจจะเพราะไม่สะดวกที่จะบอกเล่าความจริงทั้งหมด หรือหลักข้อเชื่อทั้งหมดได้ เพราะมันจะกลายเป็นหนังแนวอิทธิปาฏิหาริย์ไป และประเด็นของเรื่องก็จะเสียหายจนคนเขียนบทจะต้องงอน

ถ้าผมไม่ใช่คริสเตียน พอดูหนังเรื่องนี้จบ
ผมก็จะยิ่งเข้าใจว่า ...คริสเตียนงมงาย.....

แต่ในความเป็นคริสเตียน หนังเรื่องนี้ก็ให้ข้อคิดดีๆกับชีวิตคริสเตียนได้มากเหมือนกัน

--


ในตอนจบของเรื่อง ความจริงจากหลักฐานเพิ่มเติมเฉลยออกมาว่า กระดูกนั้นไม่ใช่กระดูกของพระคริสต์ ซึ่งช้าไปวันนึง เพราะว่ามีคนฆ่าตัวตายไปแล้วเรียบร้อยคนนึง
พระเอกเดินกลับศาสนจัก และลาออกจากความเป็นนักบวช ..เพราะว่าคำว่านักบวชเกี่ยวโยงกับการเมืองมากเกินไป
พระเอกลาออกไม่ใช่เพราะสูญเสียศรัทธาในพระเจ้า ...แต่เพราะเขาเสียศรัทธาในศาสนจักร
และตระหนักว่า ..พระเจ้าก็พระเจ้า ...ศาสนจักร ก็ศาสนจัก....

เดิมเขาเชื่อว่า เขารับใช้ศาสนจักร คือรับใช้พระเจ้า
แต่เมื่อเขาผ่านบททดสอบความเชื่ออย่างสาหัสมาได้ ...เขาก็รู้ว่าไม่ใช่

ศาสนจักรก็ศาสนจักร ..พระเจ้า ..ก็พระเจ้า

พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าของศาสนจักร ..แต่เป็นพระเจ้าของโลก ทั้งของคนที่รอด และของคนที่ไม่รอด
ทั้งของคนที่เชื่อพระองค์ และทั้งของคนที่ไม่เชื่อพระองค์

ทั้งของคนที่สรรเสริญพระองค์ และของคนที่ดูหมิ่นพระองค์

.............
เวลานี้
อาจจะมีคริสตชนมากมาย ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์กับพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์
ไม่ว่าจะด้วยเหตผลอะไรก้ตาม

พระคัมภีร์ว่าไว้
“ผู้ที่ไม่ได้เห็นแต่เชื่อ ก็เป็นสุข”

คนเหล่านี้อาจต้องต่อสู้กับบททดสอบศรัทธามากกว่า และสาหัสกว่าคนที่เคยมีประสบการณ์กับพระองค์
แต่ถ้าใจเค้าผ่านบททดสอบได้ ....ความเชื่อของเค้าเหล่านี้ ...ก็น่าชื่นชมกว่าคนที่เคยเห็นแล้วเชื่อ
เพราะเค้าไม่ใช่แค่เชื่อ แต่เค้าศรัทธาด้วย ..

แต่

การเชื่อโดยไม่เคยเห็น ไม่ใช่ทั้งหมดของการดำเนินชีวิตคริสเตียนในโลกนี้
ไม่ใช่ว่าจะต้องเชื่อโดยไม่เห็นไปจนตาย

เพราะพระเจ้าสัญญาว่า ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจ ก็จะพบพระองค์
และเพราะพระเจ้าเป็นจริง และพระเจ้าไม่มุสา และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ

ฉะนั้น คริสตชนที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับพระองค์โดยตรง หรือกระทั่งใครก็ตาม ที่แม้จะไม่ใช่คริสตชน
หากเค้าแสวงหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจ ...ในที่สุด
“เค้าก็จะพบพระองค์”

อาจจะมีบางครนแย้งว่า การได้พบในลักษณะนี้ ...เกิดขึ้นตามกระบวนการของจิต ที่อินพุทเรื่องพระเจ้าเข้าไปมากๆ แล้วหก็เลยเห็นอะไรต่างๆนาๆ
..เป็นไปได้มั้ย ...เป็นไปได้ครับ ...ความเป็นไปได้ตรงนี้จะยังมีอยู่ ตราบยเท่าที่คนคนนั้นยังไม่เคยเจอกับตัว
เพราะว่าพระเจ้ารู้นิสัยนี้ของมนุษย์ดีกว่าใครทั้งนั้น ขี้สงสัย ชอบอ้าง
ฉะนั้น หากพระองค์จะเปิดเผยอะไรกับใคร ..พระองค์ก็มีพยานหลักฐานมากพอสำหรับกรณีนั้นๆ ไว้ให้คนคนนั้นได้รู้ว่า
“เขาไม่ได้บ้า ...”

พระคัมภีร์ว่าไว้
“ผู้ที่ไม่ได้เห็นแต่เชื่อ ก็เป็นสุข”

ใครจะว่าโง่ก็ช่างเค้า

สำหรับผู้ที่ได้เห็นแล้วเชื่อ ก้ไม่ต้องไปสนใจว่า

ใครเขาจะหาว่าบ้า

...เพราะพวกเราก็รู้แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร....
และคนเหล่านั้นที่หาว่าเราโง่ เราบ้า เขาก็ว่าถูกแล้ว และก็สมเหตสมผลดี ในมุมมองของเขา และเท่าที่เขารู้

ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์คุ้มครองครับ
อาเมน




 

Create Date : 08 กันยายน 2549   
Last Update : 8 กันยายน 2549 22:57:28 น.   
Counter : 3402 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

เดียวดาย9อักษร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เดียวดาย9อักษร's blog to your web]