32Then you will know the truth, and the truth will set you free." 32 你 們 必 曉 得 真 理 , 真 理 必 叫 你 們 得 以 自 由 。

ที่เราเชื่อนั้น

ยอห์นฺ 4:42
"เขาเหล่านั้นพูดกับหญิงนั้นว่าตั้งแต่นี้ไปที่เราเชื่อนั้น
มิใช่เพราะคำของเจ้าแต่เพราะเราได้ยินเอง

และเรารู้ว่าท่านองค์นี้แหละเป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง"..

....


มีคนมากมายรู้จักชายที่ชื่อ เยซู บุตรนางมารีย์ ชายผุ้ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน และว่ากันว่า ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในวันที่สาม และว่ากันว่า ชายผู้นี้คือองค์พระผู้เป็นเจ้า

และเป้นเรื่องยังคงถกเถียงกันไม่จบ ว่าจริงหรือ ที่ชายคนนี้ คืนชีพขึ้นมา และเป็นพระเจ้าพระผู้สราง

ข้อมูลข้างต้นนั้น เชื่อว่าเราทั้งหลายต้องเคยได้ยินมาแล้วไม่รู้ว่ากี่รอบ และส่วนใหญ่เห้นว่า เป็นเรื่องไกลตัว ไม่ก็ไร้สาระ

...

และก็เป็นที่น่าสงสัยปนสังเวชของคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ ต่อบรรดาคนที่เรียกว่าคริสเตียน ซึ่งหมายถึงคนที่เลือกจะติดตามชายที่ชื่อเยซู ซึ่งพวกคริสเตียนเชื่อเอาว่า ชายคนนี้คือองค์พระผู้เป็นเจ้า และยังทรงพระชนม์อยู่ ณ เวลานี้


...

ข้อพระคัมภีร์ ที่ได้ยกมาไว้ข้างต้นนั้น เป้นเหตการณ์ตอนที่ พระเยซูคริสต์ เสด้จไปสะมาเรีย ซึ่งเป็นแคว้นที่ไม่ถูกกับ ชาวยิว ซึ่งเป้น สัญชาติของพระเยซู

พระเยซูได้เข้าไปคุยกับหญิงโสเภณี ที่คนทั่วไปรังเกียจคนหนึ่ง ขณะที่เธอมาตักน้ำกลางวันแสกๆ ซึ่งเธอเลือกมาเวลานี้เพราะว่าคนทั่วไปรังเกียจเธอ


พระเยซูคริสต์ได้ตรัสกับเธอหลายอย่าง ซึ่งแสดงถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์เอง

หญิงนั้น ตื่นเต้น และได้วิ่งเข้าเมือง เที่ยวไปประกาศกับใครต่อใครว่าเธอได้พบคนผู้หนึ่ง ซึ่งน่าจะเป้นพระคริสต์ ที่ผู้คนรอคอยมานาน

ชาวสะมาเรียตื่นเต้น และได้มาพบพระองค์เพื่อดูให้เห็นกับตา และทั้งได้ทูลเชิญให้พระองค์ประทับกับพวกเขาสองวัน


ในยอห์น ไม่ได้บอกไว้ว่า เกิดอะไรขึ้นในสองวันนั้น

แต่บันทึกผลของสองวันนั้นว่า

และคนอื่นเป้นจำนวนมากได้วางใจ เพราะพระดำรัสของพระองค์-ยอห์น4/41-


และ บันทึกต่อว่า

ยอห์นฺ 4:42
"เขาเหล่านั้นพูดกับหญิงนั้นว่าตั้งแต่นี้ไป

*ที่เราเชื่อนั้น*

มิใช่เพราะคำของเจ้าแต่เพราะเราได้ยินเอง

----




สิ่งนี้ คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผุ้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์

เราคริสเตียน ก้คงบอกใครต่อใครที่สงสัยในการเลือกจะเป้นคริสเตียนของเราได้แค่ว่า


"ที่ข้าพเจ้าเชื่อนั้น มิใช่เพราะคำของใคร หรือเรื่องราวใดที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาเกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสต์

แต่ที่ข้าพเจ้าเชื่อ

เพราะข้าพเจ้า มีคำพยานของข้าพเจ้าเอง ที่ข้าพเจ้าได้มีประสบการณ์กับองค์พระเยซูคริสต์เป็นการส่วนตัว"


....

ในฐานะที่เป้นคริสเตียน
อย่าให้ความเชื่อของเราเป้นแค่เชื่อตามๆใคร หรือเชื่อเพราะคำพยานของใคร

เพราะเรามีประสบการณ์กับพระองค์ได้ "ทุกคน"

เราไม่จำเป้นต้องเชื่อว่าพระองค์เป้นพระเจ้า เพียงเพราะว่าเราเชื่อ คำพูด ของใคร

เราเชื่อ ด้วยคำพยานของเราเอง เป้นการส่วนตัว

เมื่อเราประกาศ ไม่เพียงเราจะมีคำพยานของผุ้เชื่อคนอื่น
แต่เรามีคำพยานของเราเองด้วย

ว่าความเป้นพระผู้ไถ่และเป้นพระเจ้าพระผู้สร้างขององค์พระเยซูคริสต์นั้น

ได้กระทำอะไรกับชีวิตของเราบ้าง

...

ขอบพระคุณพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า
อาเมน




 

Create Date : 28 มีนาคม 2550   
Last Update : 28 มีนาคม 2550 8:01:02 น.   
Counter : 345 Pageviews.  

สุภาษิต 26



เกียรติยศไม่เหมาะสมกับคนโง่เช่นเดียวกับหิมะในฤดูร้อนและฝนในฤดูเกี่ยว..
คำแช่งสาปที่ไร้เหตุผลย่อมไม่มาเกาะเช่นเดียวกับนกกระจอกที่กำลังโผไปมาและนกนางแอ่นที่กำลังบิน..

แส้สำหรับม้า
บังเหียนสำหรับลา
และไม้เรียวสำหรับหลังคนโง่..

อย่าตอบคนโง่ตามความโง่ของเขาเกรงว่าเจ้าเองจะเป็นเหมือนเขาเข้า..
จงตอบคนโง่ตามความโง่ของเขาเกรงว่าเขาจะฉลาดในสายตาของเขาเอง..

บุคคลที่ส่งข่าวไปด้วยมือของคนโง่
ก็ตัดเท้าของเขาเองออกและดื่มความเสียหาย..

สุภาษิตที่อยู่ในปากของคนโง่
ก็เหมือนขาของคนพิการที่ห้อยลงมาอย่างไร้ประโยชน์..

บุคคลผู้ให้เกียรติแก่คนโง่ก็เหมือนผู้ที่มัดก้อนหินไว้กับสลิ่ง..

สุภาษิตที่อยู่ในปากของคนโง่
ก็เหมือนต้นกระชับอยู่ในมือคนขี้เมา..

บุคคลที่จ้างคนโง่หรือคนขี้เมาที่ผ่านไป
ก็เหมือนนักธนูที่ยิงคนทุกคนไม่เลือกหน้า..




คนโง่ที่ทำความโง่ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ก็เหมือนสุนัขที่กลับไปหาสิ่งที่มันสำรอกออกมา..



ท่านเห็นคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดหรือ
...ยังมีหวังในคนโง่ได้มากกว่าในคนเช่นนั้น..

คนเกียจคร้านพูดว่า
"มีราชสีห์อยู่ที่ถนนมีสิงห์อยู่ที่ลานเมือง"..

ประตูหันไปมาด้วยบานพับของมันฉันใด
คนเกียจคร้านก็ทำอย่างนั้นบนที่นอนของเขา..




คนเกียจคร้านฝังมือของเขาไว้ในชาม
เขาเหน็ดเหนื่อยที่จะนำมือกลับมาที่ปากของตน..

คนเกียจคร้านเห็นว่าตัวเองฉลาดกว่าคนเจ็ดคนที่ตอบได้อย่างหลักแหลม..

บุคคลที่เข้ายุ่งในการทะเลาะวิวาทซึ่งไม่ใช่เรื่องของเขาเอง
ก็เหมือนคนจับหูสุนัขตัวที่กำลังผ่านไป..

คนที่ล่อลวงเพื่อนบ้านของเขาและกล่าวว่า"ข้าล้อเล่นเท่านั้นเอง"ก็เหมือนกับคนบ้าที่โยนดุ้นไฟลูกธนูและความตายออกไป..

คนที่ล่อลวงเพื่อนบ้านของเขา
และกล่าวว่า"ข้าล้อเล่นเท่านั้นเอง"
ก็เหมือนกับคนบ้าที่โยนดุ้นไฟลูกธนูและความตายออกไป..


.....

เพราะขาดฟืนไฟก็ดับและที่ไหนที่ไม่มีคนซุบซิบการทะเลาะวิวาทก็หยุดไป..

ถ่านเป็นเชื้อเพลิงและฟืนเป็นเชื้อไฟฉันใด
คนที่มักทะเลาะวิวาทก็เป็นเชื้อการวิวาทฉันนั้น..

ถ้อยคำของคนปากบอนเป็นอาหารอร่อยมันลงไปยังส่วนข้างในของร่างกาย..

ริมฝีปากที่ราบรื่นกับใจที่ชั่วร้ายก็เหมือนน้ำยาเคลือบที่อาบอยู่บนภาชนะดิน..

บุคคลที่เกลียดผู้อื่นก็สอพลอด้วยลิ้นของตนและต อ แห ลอยู่ในใจ..

เมื่อเขาพูดอย่างใจกรุณา
อย่าเชื่อ
เขาเพราะมีสิ่งน่าเกลียดน่าชังร้อยแปดอยู่ในใจของเขา..

ถึงแม้เขาจะปิดความเกลียดชังของเขาไว้ด้วยเล่ห์
ความชั่วร้ายของเขาเผยออกในที่ประชุม..





บุคคลที่ขุดหลุมพราง

เขาจะตกลงไปเอง

ผู้ใดให้ก้อนหินกลิ้งมามันจะกลับทับเขาเอง..





ลิ้นที่มุสาเกลียดชังผู้ที่มันทำลายและปากที่ป้อยอก็ทำความพินาศ..








 

Create Date : 28 มีนาคม 2550   
Last Update : 28 มีนาคม 2550 7:59:48 น.   
Counter : 527 Pageviews.  

"ความเกี่ยวข้องระหว่าง ความเชื่อ กับ การเชื่อฟัง"




...

เริ่มโดยความเชื่อสุดท้ายก็โดยความเชื่อ


การอธิษฐานที่ปราศจากความเชื่อ ก็ไม่มีผล
ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำรองรับ ก็ไม่ใช่ความเชื่อ


ความเชื่อที่จะปราศจากการเชื่อฟัง ...ก็ไม่สามารถเริ่มต้นจะเป็นความเชื่อได้เลย..



....



ลองนึกถึงตอนเราเป้นเด็กๆ

สมมุตแม่เราสัญญาว่า แม่จะซื้อของขวัญให้เราชิ้นนึง
เราเชื่อแม่มั้ย

ในขณะเดียวกัน

ถ้าแม่สั่งให้เราไปทำงานบ้าน เราเชื่อฟังท่านรึเปล่า

....


ทั้งความเชื่อ และการเชื่อฟัง แท้จริงแล้ว สัมพันธ์กันอย่างยิ่งยวด

เหมือนมีวัตถุ มีแสง ก้ต้องมีเงา

...

ในความเป้นคริสเตียน
เราอาจจะสงสัย ว่าทำไมบ่อยครั้ง คำอธิษฐานของเราไม่เกิดผล ทำไมเราอธิษฐานรักษาโรคแล้วไม่หาย

ปัจจัยนั้นมีหลายๆอย่าง ซึ่งในหลายๆอย่างนั้นเรามักไม่ยอมรับมันว่าสาเหตมาจากตัวเราเอง


เราอาจจะโยนกลองให้ความบกพร่องพ้นไปจากตัวเรา โดยการคิดเสียว่า แล้วแต่น้ำพระทัย หรือพระเจ้าทรงมีเวลาของพระเจ้า ที่จะตอบคำอธิษฐานนั้น
จริงอยู่ว่า สิ่งนี้เป้นเรื่องจริง ที่ว่าพระเจ้าก้มีเวลาของพระเจ้า หรือแล้วแต่น้ำพระทัย


"แต่"

เราก็ไม่ควรมองข้ามปัจจัยอื่นๆ ที่คำอธิษฐานของเราไม่เกิดผลในทันที


"เราเชื่อจริงๆรึเปล่า"

หนึ่งในความบกพร่องที่ความเชื่อมีคลื่นรบกวน นั่นก็คือ

การไม่เชื่อฟัง

...

ดังเช่นในตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น

ถ้าเราเชื่อว่าแม่จะซื้อของขวัญให้เรา เราอลงสังเกตวิญญาณของเราในขณะนั้นว่าเป้นอย่างไร
เช่นกัน

วิญญาณในขณะนั้น ควรเป้นวิญญาณแบบเดียวกันกับตอนที่แม่สั่งให้เราไปกวาดถูบ้านให้ "สะอาด"

ต้องเป้นวิญญาณเดียวกันกับตอนที่แม่สั่งว่า "อย่าทำบ้านเลอะ"

...


ทั้งสองวิญญาณนั้น จะเป็น คนละวิญญาณ คนละท่าทีไม่ได้เลย



ขอให้เราคริสตชนลองสังเกตท่าทีในทุกๆขณะดูว่า

เรามีท่าทีของการเชื่อฟังอยู่ตลอดรึเปล่า


หากเราพบท่าทีของการไม่เชื่อฟัง
ก้ไม่น่าแปลกใจเลย ที่คำอธิษฐานโดยความเชื่อของเรานั้น มันจะไม่เกิดผล


เพราะแค่คิดและพยามจะนึกว่าเราเชื่อ แต่จริงๆแล้วเราไมได้เชื่อเลย



เพราะไม่มีความเชื่อบริสุทธิ์ที่ไหน จะปราศจากการเชื่อฟัง
ทั้งสองสิ่งนี้จะแยกจากกันไม่ได้เลย


...

อะไรก็ตาม ที่คอยยุให้เราที่จะไม่เชื่อฟัง สิ่งนั้นก็ไกด้พยามจะลดทอนความเชื่อของเราดดยทางอ้อมและส่งผลอย่าสงมากที่จะนำเราออกจากความเชื่อ



ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ




 

Create Date : 28 มีนาคม 2550   
Last Update : 28 มีนาคม 2550 7:57:07 น.   
Counter : 354 Pageviews.  

-ท่าทีที่ครบถ้วนของคริสเตียน-



มัทธิว 28:18-20
พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่าฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดีในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว..

เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเราให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์..

สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค..

.....
.....พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์



บ่อยครั้ง มีคริสเตียนหลายท่านซึ่งข้าพเจ้าเองก้เคยไขว้เขว
ว่าพระมหาบัญชา ซึ่งมักถูกย่อสั้นๆว่า ออกไปประกาศสั่งสอน และสร้างสาวก นั้น คือทั้งหมด สำหรับสิ่งที่เราต้องทำในฐานะคริสเตียน ในกายเนื้อหนังนี้

แต่ถ้าพิจารณากันจริงๆแล้ว

จริงหรือ? ที่พระเยซูคริสต์ สั่งไว้แค่นั้น
และถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้สั่งไว้แค่นั้น แต่เราทำเพียงแค่นั้นและคิดว่าเราทำหน้าที่ของเราดีแล้ว ..เราก็กำลังหลงทาง....

...

การประกาศ การสั่งสอน และการสร้างสาวก ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันความอรดของ "คนที่ทำ"

มัทธิว 7:22-23
เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า'พระองค์เจ้าข้าพระองค์เจ้าข้าข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ'..

เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า'เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลยเจ้าผู้กระทำความชั่วจงไปเสียให้พ้นหน้าเรา'..


...

มีความเป้นไปได้ ที่พระเจ้าจะทรงเรียกคนที่ประกาศ สั่งสอน และสร้างสาวก ว่า "คนชั่ว"
และที่สำหรับคนชั่ว ก้ไม่น่าจะเป้นที่ที่พระองค์ทรงอยู่เมื่อวันนั้นมาถึง


...

หลายอาทิตย์ก่อน ผุ้เทศนาได้กล่าวถึงเรื่องนี้

นั่นคือ

"ท่าทีที่ครบถ้วนของคริสตชน"

ผู้เทศนาได้ชี้ให้เห็นว่า ความเป้นคริสเตียน มักทำให้คนคนนั้นเข้าใจอะไรหลายๆอย่างผิดเพี้ยนไปจากพระประสงค์ดั้งเดิมของพระเจ้า

การรับใช้ งานประกาศที่เกิดผลมากมาย กำลังสรางความเข้าใจผิดให้กับคริสเตียน

พวกเค้าประกาศและรับใช้งานข่าวประเสริฐมากซะจน พวกเค้าลืม "ความรักต่อเพื่อนบ้าน"
ความรักต่อเพื่อน ที่คนมากมายที่ไม่ใช่คริสเตียน ยังมีมากกว่าคนที่เป้นคริสเตียนบางคน

ความรักต่อเพื่อน ที่คริสเตียนบางคนเคยมี แต่ได้หายไป เพราะความผยองในความเป็นคริสเตียนซึ่งอยู่ในฤทธิ์เดชของพระเจ้าสูงสุด

การมีอำนาจ มักส่งผลให้มนุษย์ลืมตัวและหลงผยองตัวขึ้นเสมอ
.....



มาระโก 12:30-31
และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่านด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน..
และธรรมบัญญัติที่สองนั้นคือจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองธรรมบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี..

....


กาลาเทีย 5:14
เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียวคือว่า
จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง..


....


งานประกาศ การรับใช้ในงานประกาศ ก็ดีอยู่
แต่สิ่งที่เราจะหลงลืมและละเลยไมได้คือ


การรักเพื่อนบ้าน


เคยมีคนถามพระเยซูว่า
ใครเล่าเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า

พระเยซูจึงเล่านิทานเรื่อง ชาวสะมาเรียใจดีให้เขาฟัง...



"ชาวสะมาเรียใจดี"

ลูกา 10:26-37
"พระองค์ตรัสตอบว่าในธรรมบัญญัติมีคำเขียนว่าอย่างไรท่านได้อ่านเข้าใจอย่างไร"..

เขาทูลตอบว่า
จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้าด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้าและจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง..

พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า
"ท่านตอบถูกแล้วจงกระทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต"..

แต่คนนั้นปรารถนาจะแก้ตัวจึงทูลพระเยซูว่า
"ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า"..

พระเยซูตรัสตอบว่า

...มีชายคนหนึ่งลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโคและเขาถูกพวกโจรปล้นโจรนั้นได้แย่งชิงเสื้อผ้าของเขาและทุบตีแล้วก็ละทิ้งเขาไว้เกือบจะตายแล้ว..

เผอิญปุโรหิตคนหนึ่งเดินลงไปทางนั้นเมื่อเห็นคนนั้นก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง..

คนหนึ่งในพวกเลวีก็ทำเหมือนกันเมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง..

แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่งเมื่อเดินทางมาถึงคนนั้นครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา..

เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้นแล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเองพามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและรักษาพยาบาลเขาไว้..

วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไปเขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรมบอกว่า'จงรักษาเขาไว้เถิดและเงินที่จะเสียเกินนี้เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้'..

ในสามคนนั้นท่านคิดเห็นว่าคนไหนปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น..

"เขาทูลตอบว่าคือคนนั้นแหละที่ได้สำแดงความเมตตาแก่เขา"พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า"ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด"..

....
ชายคนที่มาจากเยรุซาเล็ม น่าจะเป็นยิว ปุโรหิต ก้ยิว เลวี ก้ยิว

แต่คนที่ช่วยกลับเป็นสะมาเรีย


ซึ่ง สะมาเรียกับยิว ไม่ถูกกัน


---





วิวรณ์ 2:3-5

เรารู้

ว่าพวกเจ้ามีความอดทนและเหนื่อยยาก
เพราะเห็นแก่นามของเราและมิได้อ่อนระอาไป..

แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้างคือว่า

เจ้าละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า..

เหตุฉะนั้น
จงระลึกถึงสภาพเดิมที่เจ้าได้หล่นจากมาแล้วนั้น

จงกลับใจเสียใหม่

และประพฤติตามอย่างเดิม

มิฉะนั้น

เราจะมาหาเจ้าและจะยกคันประทีปของเจ้าออกจากที่

เว้นไว้แต่เจ้าจะกลับใจใหม่..




 

Create Date : 28 มีนาคม 2550   
Last Update : 28 มีนาคม 2550 7:54:40 น.   
Counter : 406 Pageviews.  

"ชักไม้ทั้งท่อน ออกจากตาเราก่อน"

อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข
อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร

เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย
และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย
.. มัทธิว 7:6


....

หากพระธรรมข้อข้างต้น อยู่ในที่อื่นๆของพระคัมภีร์
มัทธิว7/6 ก็คงมีความหมายครบสมบุรณ์ในตัวเอง

นั่นคือ

อาจหมายถึง

ถ้าเห้นอะไรที่เป้นหมู เป็นหมา ก็ไม่ต้องไปใยดี ให้ของดีๆกับมัน เพราะมันจะไม่เห็นค่า


"แต่"


พระธรรมข้อดังกล่าว
กลับอยู่ท้าย พระธรรมข้อที่ว่า

มัทธิว 7:1-5

อย่ากล่าวโทษเขา

เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน..

เพราะว่า
ท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไรพระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น
และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใดพระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น..

เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่านแต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน
ท่านก็ไม่รู้สึก..

เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า
'ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ'
แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง..

ท่านคนหน้าซื่อใจคด

จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน

แล้วท่านจะเห็นได้ถนัดจึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้..

....



เมื่อพิจารณาดูดีๆ

อาจจะเห้นว่า
พระคัมภีร์ที่ว่า

อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข
อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร

เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย
และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย
.. มัทธิว 7:6


...ไมได้กำลังตำหนิ สุกร หรือ สุนัข
"แต่"

กำลังตำหนิ คนที่ถือของประเสริฐ และไข่มุก
ว่า
..เป็นคนหน้าซื่อใจคด...


....


การจะบอกอะไรสุกร ก้คงต้องใช้วิธีอย่างที่สำหรับสุกร

การจะนำให้สุกร ออกจากการวิ่งตกเหว คงไม่ใช่การเอาไข่มุกมาอวด

หรือการที่จะหยุดสุนัขไม่ให้อาละวาด ก็คงไม่ใช่
การเอาของประเสริฐมาให้มัน

...เพราะผลของการทำอย่างนั้น ไม่เพียงแค่ช่วยอะไรใครไม่ได้ แต่ทั้งสุกร และสุนัข จะแว้งกัดตัวคนหน้าซื่อใจคด.. อีกตะหาก...

อยู่เฉยๆเสีย ยังคุ้มค่ากว่า อย่างน้อย ถึงสุกรกับสุนัข จะตายหรือพินาศ คนหน้าซื่อใจคด ก็ไม่เจ็บตัวฟรี...

"แต่"


ทั้งนี้ทั้งนั้น
พระคัมภีร์ก็ไม่ได้บอกให้ใจดำ ปล่อยให้สุกรหรือสุนัข พินาศ วิ่งตกเหว

แต่พระคัมภีร์บอกว่า



"จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน
แล้วท่านจะเห็นได้ถนัดจึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้.."


ถ้าตาเราบอด การที่เราบังอาจจะไปจุงคนตาบอด ก็เป้นการโง่เขลา และไม่เจียมตัว


ถ้าเราไปพูดกับสุกรหรือสุนัข ด้วยการกางตำรากฏจราจร หรือมารยาทผุ้ดีให้มันอ่าน
...คนคนนั้นก้บ้าชัดๆ และคงได้เจ็บตัวฟรี อย่างไม่มีใครสรรเสริญหรือยกย่องในความปรารถนาดีของเขา


แค่เราตาสว่าง เอาไม้ทั้งท่อน ออกจากตาเรา "ก่อน"


การจะชักนำให้สุนัข หรือสุกร ออกจากการวิ่งตกเหว
ก้คงมีวิธี ที่เวิร์ค กว่าการที่จะเอาของประเสริฐหรือไข่มุก
..ไปให้มันดู...


และถ้าใครยังมีนิสัยเอาไข่มุกและของประเสริฐไปให้สุกรและสุนัข อย่างไม่รุ้จักจำ
..ก็แปลว่า

คนคนนั้น เป้นคนหน้าซื่อใจคด

ควรพิจารณาตัวเอง และแก้ไข กลับใจเสีย



ก็แค่

"ชักไม้ทั้งท่อน ออกจากตาเราก่อน"

..ก็แค่นั้นเอง...




ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ




 

Create Date : 28 มีนาคม 2550   
Last Update : 28 มีนาคม 2550 7:53:34 น.   
Counter : 997 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

เดียวดาย9อักษร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เดียวดาย9อักษร's blog to your web]