32Then you will know the truth, and the truth will set you free." 32 你 們 必 曉 得 真 理 , 真 理 必 叫 你 們 得 以 自 由 。

วัดใจ

เป็นพระสัญญาของพระเจ้าเปิดเผยไว้เสมอมา ว่าพระองค์จะอวยพรคนของพระองค์ ขอให้วางใจ



วางใจ? เรากล้าวางใจในพระเจ้าทรงฤทธิ์ผู้สรางสรรพสิ่งแค่ไหน?

ถ้าพระเจ้าเอาสิ่งสารพัด ทั้งพระพรฝ่ายวัตถุ ความรักและวิญญาณมาวางกองให้เราเห็นตรงหน้า แล้วบอกว่า จงวางใจในเรา...



ถ้าใครก็ตาม เดินตามน้ำพระทัยโดยเห็นเสียก่อนแล้ว ซึ่งพระพรสารพัดสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้ดีที่สุดเกินกว่าน้ำหน้าอย่างมนุษย์จะไขว่คว้าถึง ...นั่นจะเรียกว่าวางใจหรือ?



วัดใจ....

จำนวนคนที่ทำ เมื่อเห็นอยู่แล้วว่าจะได้อะไร

กับจำนวนคนที่กล้าจะทำ โดยไม่เห็นแม้แต่เงาของสิ่งที่จะได้รับ ไม่เห็นแม้แต่แสงลางๆที่จะให้เกิดเงานั้น.....



อย่างไหนจะเป็นเครื่องพิสูจน์หัวใจที่สัตย์ซื่อมากกว่ากัน



คริสตชนส่วนนึงเลือกจะเป็นเพียงผู้อยู่ไปวันๆทางฝ่ายวิญญาณ และการไม่ยอมรับใช้ เพราะเขาเห็นอยู่แล้วว่าสารพัดสิ่งที่เขาคิดไปเองว่ามาจากมือเขานั้น มั่นคงกว่าสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้

คริสตชนส่วนนึง เลือกจะออกมารับใช้ เลือกที่จะทิ้งสารพัดสิ่ง ออกมาเดินตารมการทรงนำอย่างจริงจัง .....แต่เขาไม่วางใจในพระเจ้า ไม่วางใจในพระสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ ....หัวใจของเขาเลือกจะออกมรับใช้ด้วยหัวใจของเขาที่เรียนรู้รูปแบบความรักของพระเจ้า และด้วยรูปแบบความรักนั้น เขาจึงกล้าจะออกมาแม้ไม่เห็นอะไรเลย และไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าพระเจ้าจะจัดเตรียม จริงอยู่ว่าคนเช่นนี้น่ากล่าวชมเชย

แต่เขาก็น่าตำหนิอยู่บ้างที่ไม่วางใจในพระเจ้าผู้จัดเตรียม แต่ได้รับใช้ด้วยความต้องการของตัวเอง ที่จะสนองต่อเสียงเรียกในใจซึ่งเป็นรูปแบบความรักที่เรียนรู้มาจากความรักของพระเจ้า ที่ได้ไถ่ชีวิตเขาไว้

สิ่งที่เขาทำก็ดีอยู่แล้ว และน่าชมเชย แต่จะดียิ่งกว่าถ้าเขาจะวางใจในพระเจ้าผู้จัดเตรียม และเดินไปโดยไม่มีความกังวล



....



การเลือกก้าวออกมา โดยหัวใจที่มีแต่ความรักของพระเจ้า แต่ไม่มีความวางใจ ...อันตราย....

ความรักนั้นก็ยังคงอยู่ แต่ความไม่วางใจอาจจะเผลงฤทธิ์ของมันได้ หากคนคนนั้นไม่อดทนพอจนถึงวินาทีของเวลาที่สุกงอมที่พระพรจะมาถึง

เขาจะเริ่มดิ้นรนฝ่ายเนื้อหนังด้วยอีกทางนึง และก็จะเริ่มตกลงการค้ากับซาตาน และโดยไม่รู้ตัวเขาก็เริ่มที่จะ\"เลือก\" ออกจากการับใช้

....หากว่าวินาทีนั้น ความจำเป็นฝ่ายเนื้อหนังสำหรับเขา สำคัญและเร่งด่วนกว่าการรับใช้....



พระเจ้าไม่เคยผิดสัญญา

แต่พระเจ้าก็มีเวลาของพระเจ้า พระองค์จึงไม่เพียงแค่สัญญาว่าจะอวยพรแต่ได้เพิ่มอีกข้อนึงด้วยวว่า \"จงวางใจ\"



การับใช้ด้วยหัวใจที่เต็มด้วยความรัก ด้วยความร้อนรนก็เป็นเรื่องดี แต่รากฐานที่ก่อขึ้นนั้นจะแข็งแรงต่อลมพายุสักแค่ไหน หากไม่วางใจ



.....

อาจารย์ท่านนึงเคยบอกว่า

\"หากพระเจ้าไม่ได้เรียก ก็อย่าเพิ่งก้าวออกมา\"

นั่นอาจเพราะ หากเราเริ่มก่อรากฐานที่ไม่แข็งแรงเสียแล้ว อันตรายมากๆ ที่พายุแค่ไม่กี่ครั้งก็สามารถโค่นตึกที่เราพยามสร้างนั้นลงได้



......

แต่เมื่อพระเจ้าเรียก

และทางตรงหน้าที่สายตามนุษย์อย่างเราเห็น มีแต่ความกันดาร และมืดมิด

พระเจ้าอาจกำลังวัดใจเรา

ว่าเรา \"วางใจ\" ท่านแค่ไหน



นั่นเพราะ ต่อให้เป็นคนหน้าซื่อใจคด เขาก็พร้อมที่จะก้าวออกมารับใช้พระองค์เสมอ หากว่าตรงหน้าพระเจ้าได้แสดงพระพรยิ่งใหญ่ที่พระองค์ได้จัดเตรียมไว้ให้เขาเห็น

แต่พระองค์เพียงแค่สัญญา และบอกว่าให้วางใจ พระองค์ไม่แสดงอะไรให้ดูทั้งนั้น

นั่นก็เพื่อ\"วัดใจ\" ว่าเรา\"วางใจ\" ท่านแค่ไหน



ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ









 

Create Date : 26 สิงหาคม 2549   
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 10:02:04 น.   
Counter : 311 Pageviews.  

สุดรั้วจักรวาล

สมัยม.ต้น หรือม.ปลายตอนต้นๆก็ไม่รู้นะ เพราะนานมากแล้วจำไม่ค่อยได้

มีช่วงนึงที่ผมเคยคิดวนเวียนอยู่กับคำถามที่ว่า



\"สุดขอบจักรวาลอยู่ตรงไหน\"



จักรกลในสมองเริ่มสร้างภาพโฮโลแกรมไฮเทคโนโลยีขึ้นมา

อันนี้โลก อันนี้สุริยะจักรวาล

เสร็จแล้วก็ถอยห่างออกมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ...

เอ...สุดขอบจักรวาลมันอยู่ตรงไหน?



.......

โดยสามัญสำนึกปกติของนุษย์ ทุกอย่างที่มีพื้นที่ ก็ควรจะสามรถระบุได้ว่ามีพื้นที่เท่าไหร่ แม้จะไม่สามารถหาคำตอบได้เป็นที่แน่ชัดหรือไม่สามารถหาได้ก็ตามที ...แต่ในสามัญสำนึกก็จะยอมรับเสมอว่าหาได้แน่ๆ



โลกมีพื้นที่

สุริยะจักรวาลก็น่าจะมีพื้นที่



จักรวาลก็ต้องมีพื้นที่....



........

การจะคำนวนพื้นที่ เราก็ต้องรู้มิติของมัน อย่างน้อยๆก็สองมิติ

และที่สำคัญ

ต้องรู้ว่า เส้นขอบหรือเส้นจบมันอยู่ตรงไหน



มีหลายทฤษฏีของนักวิทยาศาสตร์ที่สรุปกันออกมาแล้วว่าสุดรอบขอบจักรวาลมีลักษณะอย่างไร

แต่มันก็อยู่แค่ในทฤษฏี..และก็ไม่พ้นที่จะบอกว่ามันเป็นแค่จินตนาการ

และก็คงไม่ผิดอะไร ถ้าจะบอกว่า

แม้แต่พวกเค้าเอง....ก็ยังมืดแปดด้าน....

........

สมัยนั้นอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ผมหาคำตอบไม่เจอด้วยการคิดแบบสามัญสำนึกที่เคยชิน

การใช้สามัญสำนึกที่ไม่เคยชินแต่รู้สึกได้จึงเริ่มขึ้น



ผมชูป้ายบอกจักกลในสมองให้ช่วยสร้างโฮโลแกรมของจักวาลให้ผมอีกครั้งนึง

ผมรื้อดวงดาว ระบบกาแลคซี่ต่างๆออกจนหมด



ผมได้\"ความว่าง\"

ใช้เวลาทำความเข้าใจสภาพ\"ความว่าง\"นั้นจนคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด



ผมตั้ง\"ความว่าง\" ขึ้นมา

แล้วผมก็เทค\"ความว่าง\"นั้น ด้วย\"ความว่าง\" อีกที



ผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจครับ และเป็นคำตอบที่ผมหายข้องใจเรื่องสุดขอบจักวาลไปได้เลย

\"ความว่าง\" ที่เทค\"ความว่าง\" เข้าไปอีกทีนึง



ผลลัพธ์ที่ได้นั้น คือสภาพที่เรา\"ไม่รู้จัก\" และ\"ไม่มีวันเข้าใจ\"

แต่

\"รู้สึกได้ชัดเจนมาก\"

-----



มีคนชอบตั้งคำถาม ทั้งที่เป็นคริสเตียน และไม่เป็น

ว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้าง

ถ้าเช่นนั้นแล้วใครสร้างพระเจ้า



พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์จักวาล

สุดขอบจักรวาลอยู่ตรงไหน ใครตอบได้

ไม่มี.....



ใครจินตนาการออก

เยอะแยะ



ใครจินตนาการถูก

ไม่รู้



ความจริงเป็นยังไงกันแน่

นั่นน่ะสิ



...

ความจริงง่ายๆที่วิทยาศาสตร์ตามไปถึงท้ายขบวนได้ อย่างเรื่องจักวาล ทำให้เรายอมรับและสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของจักรวาล

และทำให้เรายอมรับได้ถึงคำถามที่ว่า สุดขอบจักรวาลอยู่ตรงไหน



และคำตอบที่ได้จากคำถามที่ยอมรับกันนี้

ก็คือ

\"มหัศจรรย์\" และอยู่เหนือข้อจำกัดของเรา

โดยสามัญสำนึกที่ปราศจากเหตผลจอมปลอม ไม่มีใครปฏิเสธความจริงข้อนี้



และจากการค้นหาคำตอบเรื่องนี้ ทำให้เราเข้าใจและยอมรับได้ไม่ยาก เกี่ยวกับสภาพที่เหนือความเข้าใจและความรู้ทั้งหมดที่มนุษยชาติเคยมี

แม้มนุษย์จะไม่รู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไร แต่ก็รู้ว่าคำตอบมีอยู่แน่นอน และก็รู้เพิ่มอีกว่า คำตอบนั้นอยู่ในสภาพที่เหนือกฏธรรมชาต

และวิทยาศาสตร์ไม่มีวันทะลุทะลวงเข้าไปค้นพบได้

วิทยาศาสตร์เข้าไปได้ใกล้ที่สุดแค่

การยอมรับถึงการมีอยู่ของ\"คำตอบ\" ที่ \"เหนือธรรมชาติ\" และพวกเค้าไม่มีวันหามันพบ

.....



วันนี้ ผมมองแค่โลกใบนี้ ไม่ได้สนใจจะมองออกไปไกลถึงนอกจักรวาลมากนัก เพราะเริ่มตระหนักในข้อจำกัดของตัวเอง และเริ่มเรียนรู้ที่จะลำดับความสำคัญก่อนหลัง ของการพุ่งการสนใจเพื่อหาคำตอบของสิ่งต่างๆ

ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทุกอย่างง่ายกว่าที่คิด และไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะง่ายขนาดนี้

----------

สมมุติว่าเรากำลังขับรถไปยังต่างจังหวัดเพื่อไปหาบ้านของคนคนนึงซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเพราะไม่เคยไป จะมีก็แค่เบาะแสในเศษกระดาษที่บอกอย่างจำกัดจำเขี่ยเหลือเกิน จะด้วยว่าข้อมูลนั้นได้มาด้วยการส่งโทรเลขหรือไงก้ไม่ทราบ แต่ด้วยข้อมูลแค่นั้น ด้วยความที่อยากไปหาเพื่อนคนนั้น ...เราก็จะไป



เริ่มออกเดินทางได้ไม่นาน

รถเสียลงก่อนถึงกลางทางด้วยซ้ำ



ปัญหาก็คือว่า



เราจะซ่อมรถก่อน

หรือเราจะหาบ้านเพื่อนคนนั้นก่อน



.....

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2549   
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 10:00:17 น.   
Counter : 455 Pageviews.  

ไฟไหม้

มีเรื่องมาเล่า

ณ ตึกแห่งหนึ่ง ที่ชั้นที่XX
วันนั้นเกิดเพลิงไหม้ และที่ชั้นนั้นมีทางหนีไฟอยู่

ที่ชั้นนั้นวันนั้น มีคนอยู่100คน
ขณเกิดเพลิงไหม้ เกิดเหตชุลมุนวุ่นวายมากมาย มีเสียงร้องตะโกนว่าทางนี้ๆๆ ซึ่งเสียงที่ว่าให้มาทางนี้เนี่ย "ไม่ได้มาจากทางเดียว" ..เอาล่ะสิ แล้วจะให้ไปทางไหนล่ะขอรับ

แน่นอนว่าหนึ่งในเสียงนั้น ย่อมเป็นทางรอดของแท้
แต่เอ... จะต้องใช้วิลากี่วินาทีนะ ในการที่จะพิสูจน์ได้ว่าควรเชื่อเสียงไหน หรือสามารถหาหลักตรรกกะได้มากแค่ไหนในการที่จะยืนยันได้ว่าเสียงไหนรู้จริง หรือเสียงไหนแค่ตกใจ และใบรรดาเสียงที่รู้จริงนั้น เขารู้จริงๆหรือเขาคิดเอาว่าเขารู้จริงๆ

...แล้วเพลิงกกวาดตึกนั้นจนเรียบในไม่ช้า
แต่ก็มีคนรอดตายเพราะไป"ถูกทาง"
--
ผ่านไปหลายชม.
เมื่อมีการพูดคุยรวบรวมข้อมูลจากหลยๆปากคำ
ก็สรุปได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

คนรอดตายมีทั้งหมด15คน
ซึ่งรอดมาโดย "ทางหนีไฟ" ทั้งหมด
ทำไมคนรอดตายน้อยขนาดนี้ ทางหนีไฟมันเล็กรึไง?
เปล่าเลย เพราะหลัจากไปเชคดู ปรากฏว่ามันก้างมากพอที่จะให้คน200คนไถลลงมาพร้อมๆกันได้ด้วยซ้ำ

นั่นแปลว่าความผิดไม่ได้อยู่ที่ทางหนีไฟ
แต่ความผิดอยู่ที่คนที่ตาย ที่ไม่ได้หนีไปให้ถูกทาง

....
ก็อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นล่ะ
ว่าตอนชุลมุนเนี่ย มีเสียงบอกว่า "ทางนี้ๆๆๆ" เต็มไปหมด

100คน รอดตาย15คน
แล้วรู้อะไรมั้ย
15คนที่ว่าเนี่ย คือพวกแม่บ้าน และรปภ. และพนักงานชั้นการศึกษาต่ำ จำนวน13คน เป็นเจ้าหน้าที่เงินเดือนสูงแค่สองคน

และอีก85คนที่ตายเรียบเป็นพวกด๊อกเตอร์ นักบัญชี นักกฏหมายและนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานในห้องแล็ป ทั้งนั้นเลย ....เออนะ...

ความรอดจริงๆมันไม่เกี่ยวกับว่าฉลาดแค่ไหนอะ
....
บรรดาคนที่รอดชีวิตคุยกันเองในภายหลัง ข้อความประมาฯว่า
ก็พวกเค้ารู้จักทางหนีไฟดี เพราะต้องไปนั่งกินข้าง ต้องไปทำความสะอาดขัดถูตรงนั้น ต้องคอยไปเชคควมเรียบร้อยตรงนั้น .."หลับตายังเดินไปถูกเลยเพ่" เสียงเดกน้อยคนนึงที่รอดตายมาอวดให้ฟัง
.............
คนที่ทำงานในห้องแล็ป หลายคนในนั้นทำงานมาสาสี่ปีบางรายเป็นสิบปี แต่ไปทางหนีไฟไม่ถูก ทั้งที่บางคนก็เคยมีแผนที่ทางหนีไฟอยู่ในมือ....

----------
ขอพระเจ้าคุ้มครองครับ




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2549   
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 9:58:38 น.   
Counter : 308 Pageviews.  

ความสำคัญมากๆของ...ความยำเกรง

รบกวนอ่านโยชูวาบทที่22

......
บันทึกตามข้อที่บอกไว้ เกี่ยวกับการที่อิสราเอลได้แบ่งดินแดนให้กับเผ่ารูเบน กาด และครึ่งเผ่ามนัสเสห์ ที่อีกฟากนึงของแม่น้ำจอแดนคนละฟากกับคานาอัน เพราะคานาอันนั้นเป็นของพวกอิสราเอลที่ได้ติดตามพระเจ้าจนถึงที่สุด

จากนั้น รูเบน กาด และมนัสเสห์ครึ่งเผ่าได้สร้างแท่นริมแม่น้ำจอแดนขึ้น และอิสราเอลที่อยู่อีกฟากนึงได้เห็นเข้า และคิดไปว่า 2เผ่ากับครึ่งเผ่านั้น กำลังจะก่อเรื่องหายนะ
ด้วยว่าพวกเค้าเข้าใจว่าแท่นนั้นมีเพื่อเผาบูชาพระอื่น

อิสราเอลส่งคนไปยังที่นั่นหมายทำสงคราม แต่เมื่อได้ฟังคำชี้แจงของรูเบน กาด และมนัสเสห์ครึ่งเผ่าแล้ว ก็กลับพอใจ และอวยพรพวกเค้า และได้เกลับมาเล่าให้อิสราเอลฟัง อิสราเอลก็ชื่นชมยินดีที่แท่นนั้นมิได้มีไว้บูชาพระอื่น

ข้อเท็จจริงที่ว่าแท่นนั้นมีเพื่อพระเยโฮวานั้น ก็น่าชื่นชมยินดีอยู่
แต่ที่น่าชื่นชมยินดียิ่งกว่า คือคำชี้แจงของพวกที่สร้างแท่นนั้นขึ้น

ตอนท้ายข้อที่25
ลูกหลานของท่านอาจทำให้ลูกหลานของเราหยุดเกรงกลัวพระเจ้า

งงแน่นอน แต่หวังถ้าได้อ่านบท22ทั้งหมดจะเข้าใจว่าผมพยามจะบอกอะไร

...............
ครั้งนึงพระเจ้าเคยตรัสว่า

เราอยากให้พวกเขาเป็นอย่างนี้ตลอดไป
คือมีใจที่จะยำเกรงเรา

.....................................
"ความยำเกรงพระเจ้า"
หากคริสเตียนลองสำรวจตัวเองดู อาจจะเจอเรื่องราวบางเรื่องหรือหลายเรื่อง ในอดีต หรือจะกำลังทำอยู่ก็ตาม
ที่เป็นการ"ไม่ยำเกรงพระเจ้า"

เวลาเรากำลังจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างนึง และเกิดความลังเล และเราได้มองดูพระเจ้า
....เรานึกถึงใคร
พระเยโฮวา พระเยซู หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์

ถ้าเรียงลำดับความน่ากลัวและน่ายำเกรง พระเยโฮวาก็น่ากลัวให้ต้อยำเกรงมากที่สุด รองลงมาก็พระเยซู รองลงมาก็พระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่จริงๆแล้วทั้งหมดนั้นคือพระเจ้า

พระเยโฮวาที่ทั้งน่ากลัวให้ต้องยำเกรง
พระเยซูที่เปี่ยมด้วยความถ่อมใจ และการเชื่อฟังอย่างไม่มีผู้ไดจะเสมอเหมือนได้
พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เหมือน"พี่เลี้ยง" คอยดูแลเราอย่างใกล้ชิด

และทั้งหมดนั้นคือพระเจ้า และพระเจ้าคือ"ความรัก"

ผู้หนึ่งที่เมื่อเรามองดูหรือ"ฟัง"เรามักจะดื้อได้ง่ายที่สุด
คือ ....พระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะ"ดูเหมือน"พระวิญญาณบริสุทธิ์จะแล้วแต่เรา"มากที่สุด"

ผู้หนึ่งที่เรามองดูหรือฟังเราจะไม่กล้าดื้อมากที่สุด
คือ ....พระเยโฮวา เพราะ พระบัญญัติ และพระบัญชาของพระองค์ชัดเจน มีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เราจึงมัก"เถียงไม่ออก" และเพราะเหตเราเห็นแล้วว่าฤทธิ์อำนาจของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่และน่ากลัวและเด็ดขาเพียงได จึงเพิ่ม"ไม่กล้า"ดื้อเข้าไปอีกกระทงนึง

และอีกผู้นึงที่เมื่อเรามองดูหรือฟัง เรามักจะต้องคอตกและน้ำตาไหลเพราะความเสียใจถ้าคิดจะดื้อ หรือดื้อไปแล้ว
คือ .....พระเยซูคริสต์
..................

"ความยำเกรงพระเจ้า"
เป็นเรื่องง่ายมากๆ ที่เราจะยำเกรงใครซักคนที่น่ายำเกรงอย่างแท้จริง และเป็นเจ้าชีวิตเราอยู่แล้วตั้งแต่แรกที่เรามีชีวิต
แต่ก็เป็นเรื่องง่ายมากๆ
ที่เราจะหยุดยำเกรงบุคคลที่น่ายำเกรงและแท้จริงเป็นเจ้าของชีวิตเราอย่างที่ว่าไว้ข้างบน

เมื่อเราเริ่มที่จะ"ยำเกรงตัวเอง"

เข้าใจว่าคริสเตียนคงเคยเห็นภาพอุปมาภาพนึงใช่มั้ยครับ
ที่มีรูปหัวใจ ในหัวใจมีเก้าอี้ เรา และพระเจ้า
เข้าใจเอาว่าคริสเตียนรู้ดี ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสี่อย่างที่ว่านั้น แท้จริงควรเป็นอย่างไร และบ่อยครั้งเรามักเผลอทำให้มันเป็นยังไง

ย้อนกลับไปที่โยชูวาบทที่22
น่าประทับใจตรงที่
มีคนกลุ่มนึงซึ่งถูกแยกออกจากมรดกเฟิสคลาสของอิสราเอลมีใจที่จะรู้จักกลัวเรื่องนึง
คือ

"กลัวที่จะหยุดยำเกรงพระเจ้า"

ความกลัวอย่างนี้น่าสนใจ
เพราะเรามักจะระวัง ถ้าเรากลัวอะไร

เป็นความปรารถนาของพระเจ้าแน่นอนที่อยากให้เรายำเกรงพระองค์
เป็นความปรารถนาของพระเจ้าแน่นอนที่จะเรียกเราว่าบุตร และให้เราเรียกท่านว่า "ป่ะป๊า"
เป็นความปรารถนาของพระเจ้าแน่นอน ที่จะยกเราขึ้นเป็นระดับสหายของพระองค์
เพราะทั้งหมดนั้นพระองค์เป็นคนบอกเอง

มีพระคัมภีร์ข้อนึงที่ว่า

ผู้ไดยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะต้องถูกกดลง
ผู้ไดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะถูกยกขึ้น

ถ้ามีคริสเตียนคนนึงเรียกพระเจ้าว่า "แด่ดดี๊"
และเขารับสภาพสหายที่พระองค์ทรงปรารถนายกให้เขา
แต่

..ถ้าเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า....

คำสัญญาที่พระเจ้าจะต้องกดเค้าลงก็จะมาถึงชีวิตเขาแน่นอน

เพราะงั้นเราจึงต้องระวังไว้เสมอว่า

"อย่าหยุดที่จะยำเกรงพระเจ้า"
แม้ว่าวันนั้นท่านจะ"กล้า"เรียกพระองค์ว่าพระบิดา
และแม้แต่ว่าท่านจะรู้สึกสนิทกับพระองค์มากๆอย่างสหายก็ตาม...

ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่านครับ




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2549   
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 9:57:37 น.   
Counter : 353 Pageviews.  

ว่าด้วย ...น้ำลาย

แบ่งปัน(คริสเตียน)



ความจริง กับ การนึกคิดหรือคำนวณเอา...

วันก่อนไปร่วมรับใช้กับเพื่อน เพื่อนเล่าเรื่องๆนึงให้ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในกลุ่มประชุมอธิษฐานเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา และอาทิตย์นั้นผมไม่ได้ไป

เรื่องที่เล่านั้น อาจจะฟังดูตลกหรือน่าขัน หรืออาจไร้สาระสำหรับใครหลายๆคน ..แต่มันมีประโยชน์และถือเป็นพระพรสำหรับคนที่รู้จักที่จะเก็บเกี่ยวจากมัน

..........
มีพี่ชายคนนึง สมัยก่อนเขาติดยาเสพติด และได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด หลังจากนั้นชีวิตเขาก็ดีขึ้น หลุดพ้นจากสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นมาได้
ภูมิหลังความเป็นมาพี่ชายท่านี้เป็นยังไงผมไม่ทราบรายละเอียดนัก แต่จากที่เจอแกทุกครั้งที่ผมไปกลุ่มก็คือ

สมองของพี่ชายท่านนี้มีความผิดปกติ... จากผลของยาเสพติด
แต่ขอบพระคุณพระเจ้า สมองของพี่ชายท่านนี้ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ ...ขอบคุณพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ ที่เป็น "ฤทธิ์เดช" ที่เหนือเหตผล และมิได้อยู่ใต้ธรรมชาติ

........
เพื่อนเล่าให้ฟังว่า...

การประชุมอธิษฐานในคืนนั้น
พี่ชายท่านนี้ได้แบ่งปันและขอบพระคุณพระเจ้า ผมจับประเด็นได้ไม่ชัดนัก ว่าเค้ามุ่งบอกอะไรกับพี่น้องท่านอื่น เพราะผมก็ฟังต่อมาจากเพื่อนผมอีกที เอาคร่าวๆ..

พี่ชายท่านนี้มิได้มีห้องนอนเดี่ยวอย่างที่ใครหลายๆคนมี เค้าต้องรวมกับคนอื่น มีเพื่อนเค้าคนนึง ซึ่งพี่ชายท่านนี้สงสัยมาตลอด ...ว่าเพื่อนคนนี้ "แกล้งเอาน้ำลายมาหยดลงหน้าเค้าเวลาเค้าหลับ"

พี่ชายท่านนี้ ด้วยความสงสัย จึงหาทางพิสูจน์ให้ได้ และกะว่าจะจับให้ได้คาหนังคาเขา เพื่อนจะได้เลิกแกล้งเค้าซะที
คืนนั้น....
พี่ชายท่านนี้ แกล้งหลับ เพื่อรอดูว่าเพื่อนจะมาแกล้งยังไง และจะได้คุยกันให้รู้เรื่องว่าอย่ามาแกล้งกันอีก รอ..รอ... แล้วก็รอ ... เพื่อนก็ยังไม่มาแกล้งซะ ..รอ... แกล้งหลับจนเริ่มง่วงจริงๆ ...

แล้วความจริงก็เฉลยออกมา
เมื่อน้ำลายของพี่ชายท่านนั้นไหลลงตามแรงโน้มถ่วงและหลุดลอดออกมาไหลอาบแก้ม

"เข้าใจผิด และกล่าวโทษ คนอื่นมาตลอด"
"เมื่อความจริงปรากฏ ความละอาย สำนึกผิด ก็เข้ามา"
--------

อาจจะมีใครบางคนที่เห็นพี่ชายคนนี้ว่าเป็นคน"เอ๋อ" หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก อย่างที่บอกว่าสมองเค้าเคยโดนยาเสพติดทำลาย
แต่สำหรับผม แม้ว่าเค้าจะไม่ได้มีสมองที่ฉับไวในการแบ่งปันหรือเป็นพยานอะไร แต่หัวใจของเค้า เจตนาของเค้า และความถ่อมตนของเค้า ก็สอนอะไรผมและคนในกลุ่มอธิษฐานไว้มากมาย

หลายครั้งเรามักมองมาตรฐานโง่ๆของคนเมือง คนสังคม คนมีการศึกษา ว่านั่นคือมาตรฐาน ..มาตรฐานของคนมีปัญญา...

ปัญญาใช้อะไรได้ในมิติของความจริง
มีแต่จะใช้ไปในการสรางมิติของตัวเองไว้เป็นกระดองแข็งครอบตาครอบใจตัวเองไว้

ผมชอบที่จะพิจารณาชีวิตของพี่ชายคนนี้ และทุกครั้งผมก็ได้แง่คิดมากมาย ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน
ถ้าจะเป็นอย่างพระคริสต์ อย่างน้อยๆเราก็ต้องมองให้ออก
ว่าอะไรกันแน่ คือปัญญา อะไรกันแน่คือความเขลา

มองให้ออกจริงๆว่า แท้จริงแล้ว ระหว่างความจริง กับปัญญา อะไรสำคัญกว่า

แท้จริงแล้ว ปัญญา คือะไร
คือบ่วงแร้วไว้ดักตัวเอง หรือเป็นไม้คลำทางหาทางออกจากเรื่องโกหก
----

ความนึกคิด ว่าเพื่อนอาจจะแกล้งเรา นึกคิดเอาว่า ที่เป้นอย่างนั้นอย่างีน้ เพราะคนนู้น คนนี้ โทษฟ้าโทษดิน โทษพระเจ้า โทษชะตากรรม
"จำเลย" ถูกมั่วๆขึ้นมาเพื่อความสะใจ การแก้ปัญหาอย่าหวังเลยว่าจะสำเร็จ

ตราบเท่าที่เรายอมหรือรับรู้ความจริงนั่นล่ะ ว่า "เราเอง" ที่เป็นตัวปัญหา
การแก้ปัญหา "ของแท้" มันถึงจะเริ่มนับหนึ่ง
-----

ยอมยกเรื่องพี่ชายคนนี้ขึ้นมา ด้วยเรื่องน้ำลาย
มันสามารถอุปมาโยงไปถึงเรื่องมากมาย ที่มนุษย์เรมักไม่ยอมรับความจริง หรือไม่รู้
ถ้ามีใครซักคนสรุปตรงนี้ว่า เพราะพี่ชายท่านนั้นโง่ ไอ้คนที่สรุปอย่างนั้น มองได้สองอย่างครับ ไม่ฉลาดแบบพื้นๆ ก็โคตรโง่ดักดาน

อย่างที่บอกแต่แรก ว่าสมองเค้าโดนยาเสพติดทำลายก่อนหน้านั้น เพราะฉนั้นไม่แปลก ถ้าเค้าจะไม่ทราบ "ความจริงง่ายๆบางอย่าง" ..ที่คนทั่วๆไปรู้

แล้วเราล่ะ ลองสำรวจ หรือลองเดาดูสิครับ ว่ามี "ความจริงง่ายๆบางอย่าง" ที่เรายังไม่รู้หรือเปล่า
เรากำลังโดนความฉลาด หลอก รึเปล่า
--------

น้ำลาย มันอยู่บนแก้มเรา แหล่งน้ำลายที่ๆใกล้ที่สุดจากที่เกิดเหตคือแก้ม ...ก็คือ "ปากของเราเอง"
แต่ทำไม บางครั้ง เราจึง เริ่มจะ "คิด" ว่าน่าจะมาจาก "ปากคนอื่น"

เราคิดว่าเราคงไม่บ้าเอาน้ำลายเหม็นๆมาป้ายหน้าตัวเองหรอก รึเปล่า ..เหรอ
เรากำลังคิดว่า อะไรที่ไม่ดี แสดงว่ามีคนอื่น ทำ หรือแกล้งเราใช่มั้ย

...ดีเรารับ ไม่ดี เรามักหาคนรับ รึเปล่า?
.....ความฉลาด...ช่วยเราได้มากในข้อนี้ใช่มั้ย....

ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์คุ้มครองเรา และอวยพรมากมายพี่ชายคนที่ผมอ้างถึง ขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยรักษาเค้ามาตลอด
อาเมน





 

Create Date : 26 สิงหาคม 2549   
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 9:55:47 น.   
Counter : 333 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

เดียวดาย9อักษร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เดียวดาย9อักษร's blog to your web]