32Then you will know the truth, and the truth will set you free." 32 你 們 必 曉 得 真 理 , 真 理 必 叫 你 們 得 以 自 由 。

ถอยหลังลงคลอง

(หมายเหต-คำแบ่งปันชิ้นนี้ อาจจะดูแปลกๆ อาจจะเหมือนไดอารี่ หรืออะไรอย่างนั้นมากกว่า)

บันทึกนี้สืบเนื่องจาก คำเทศนาของผู้เทนาในวันนี้
โดยเนื้อหาของบทเทศนั้น ...ก้เป็นพระพรอยู่

แต่สิ่งหนึ่งที่กระตุ้นข้าพเจ้ามากๆ กลับเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ของท่านในช่วง1-2เดือนที่ผ่านมา ในบทบาทของผู้บุกเบิก...

สิ่งนี้ที่กระตุ้นข้าพเจ้าอย่างมาก หลายท่านอาจอ่านแล้วไม่รู้สึกอะไร
แต่อย่างไรก็อยากจะบันทึกไว้ เผื่อว่าอาจจะมีใครบางคนกำลังอยู่ในสภาวะเดียวกับข้าพเจ้า ....ก้เชื่อแน่ว่าเขาจะต้องได้อะไรบ้าง

...


"คริสตจักรที่มีชีวิต"


คริสตจักรที่คุณอยู่ทุกวันนี้ ....ตายรึยัง?

ถ้าเป็นต้นไม้ เป็นต้นไม้แบบไหน.....

รากเป็นอย่างไร ใบอ่อนเป็นอย่างไร
ผลิดอกผลิผลมั้ย

มันยังชอนไช หันหน้าสู้ "แสง" มั้ย?
........

ช่วงเวลาที่ผ่านมาที่อาจารย์ได้ไปทำพันธกิจในการประกาศและบุกเบิกคริสตจักร ในที่กันดาร
ท่านได้เล่าคำพยานมากมายที่เกิดขึ้น ทั้งการปลดปล่อยหญิงสาวจากการโดนทำไสยศาสตร์ ...โดยพยานบุคคลที่อยู่ในเหตการณ์ ได้เป็นพยานร่วมกันถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์ ได้สัมผัสได้รับการเปิดเผย ถึงโลกในมิติวิญญาณ..

มีคนเป็นเอดส์ระยะสุดท้าย ตัวดำ เตรียมเป็นศพ ..หายจากโรค ..ทุกวันนี้ รับจ้างเกี่ยวข้าวได้...

มีคนเป็นเอดส์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่คิดฆ่าตัวตาย ..ได้ท้าทายพระเจ้า
ว่าหากพระองค์มีจริง ขอช่วยรักษาเค้า แล้วเค้าจะยอมกลับใจใหม่..

...แล้วคนคนนั้นก็หายจากโรคเอดส์...


ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าคนที่ไม่ใช่คริสเตียนหากอ่านสิ่งนี้จะคิดยังไง
ก็ขอให้คิดไป
แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าบันทึกนี้ ข้าพเจ้าบันทึกเพื่อหวังว่าจะมีคริสเตียนบางท่านที่อยู่ในสภาพเดียวกับข้าพเจ้าได้อ่าน...



เราไม่เจอการอัศจรรย์นานแค่ไหนแล้ว?

.....
อัศจรรย์แค่ไหนล่ะ
ก็ประมานคนเป็นเอดส์หายโดยการ"กลับใจ"
หรือโดยการได้รับการเปิดเผยถึงมิติวิญญาณ....


การอัศจรรย์ผ่านการเลี้ยงดูของพระเจ้า ...
...บางทีสิ่งนี้ก็อาจถุกมนุษย์ขโมยเกียรติได้ ..แม้ว่าปากเค้าจะขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าก็ตาม...

.....

นึกย้อนหลังกลับไปตอนที่ข้าพเจ้ากลับใจใหม่ๆ และได้รับการปลดปล่อยในโลกของวิญญาณ
ชีวิตหลังจากที่เกิดเหตการณ์เหล่าน้นใหม่ๆ ..ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนที่มี"ชีวิต"มากๆ

และถ้าข้าพเจ้าไม่ได้นั่งฟังคำพยานของท่านอาจารย์ที่มาเทศวันนี้ ข้าพเจ้าคงไม่นึกย้อนไปถึง ตอนนั้น....


ครั้งนั้นเมื่อเกือบสองปีมาแล้ว เมื่อข้าพเจ้าได้รับการปลดปล่อยในโลกของวิญญาณ ...การเติบโตในความเป็นคริสเตียนก็เป็นไปอย่างก้าวกระโดด

ตอนนั้นข้าพเจ้ามีทัศนคติต่อการไปโบสถ์ที่เร่าร้อนมาก
ข้าพจเตื่อนแต่เช้ามืด เตรียมเพียงอย้างเดียวคือ ไปโบสถ์

ข้าพเจ้าไปแต่เช้าโดยไม่สนใจว่าไปแล้วจะเจอใครรึไม่
และก็เป็นอย่างที่คาด คือไม่เจอใคร เพราะไปเช้ามากๆ
สิ่งที่ข้าพเจ้ามักจะทำก็คือ "กวาดโบสถ์"

น่าแปลก ที่แค่นั้นข้าพเจ้าก็มีความสุขแล้ว..
..เป็นความสุขมากๆ กวาด ทำความสะอาดพระนิเวศของพระเจ้าที่มีพระคุณมากๆกับข้าพเจ้า


..แล้ววันนี้ล่ะ
ท่าทีของข้าพเจ้ากับการไปโบสเป็นอย่างไรบ้าง?


ข้าพเจ้าไปโบสช้าลง
ความกระตือรือร้น น้อยลง บางครั้งหาเรื่องอู้ไปให้มันช้าๆ จะได้ไม่ต้องนั่งเรียนรวี.....

..ชีวิตความเป้นคริสเตียนของข้าพเจ้าทุกวันนี้ ข้าพเจ้าจะรู้สึกโอเค ..ถ้าข้าพเจ้าไม่นึกย้อนไปถึงว่า สมัยรักกันกับพระเจ้าใหม่ๆ ข้าพเจ้าเป็นอย่างไร....


และคำพยานของผู้เทศนาในวันนี้ ก็กระตุ้นให้ข้าพเจ้านึกย้อนไป...
และข้าพเจ้าตระหนักแล้วว่า ..ข้าพเจ้ากำลัง "ถอยหลัง" โดยไม่รู้ตัว

จริงอยู่ หากเปรียบเทียบพฤติกรรมของข้าพเจ้าตอนนี้กับคริสเตียนบางส่วน ข้าพเจ้าก็ยังพอจะถูกมองว่าเป็นคริสเตียนที่ดีได้
....แต่
หากเทียบกับมาตรฐานที่ข้าพเจ้าเคยเป็น

ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเริ่มเป็นคริสเตียนที่ "เกเร" หรือ "แก่วัด"



"สาเหตุเพราะอะไร?"
...
คำตอบก็อยู่ในคำพยานของผู้เทศนาเช่นกัน...

คริสตจักรที่บ้านอก มีชีวิตมากๆ สมาชิกกระตือรือร้นในการรีบมาโบสแต่เช้ามืด พกพาเอกสารในการเรียนรวีกันอย่างกะเด็กๆวัยรุ่นเตรียมสอบ

เจอหนังสืออะไรดีๆ ก็รีบๆบอกต่อ แล้วก็ฝากซื้อกันยกใหญ่ ...ทำไม

เป็นไปได้ไง...

...พระเจ้า...

พวกเค้าได้เห็น "กับตา"
ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่แค่ไหน

ใช่ครั้งนึงข้าพเจ้าก็เคยสมัผัสความยิ่งใหญ่นั้น แม้ตอนนั้นโง่ไม่เข้าเรื่อง จะขี้ขลาดปิดหูปิดตาไม่ยอมมองอะไรที่พระเจ้าเปิดเผยให้ดูก็ตาม ..แต่พอรอดมาได้ ก็สัมผัสได้เลยว่า

พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ....


..ชีวิตคริสเตียนในเมือง (กรุงเทพ)
เป็นอันตราย ต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณของท่าน ..
เชื่อหรือไม่...
ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ อาจฟหังดุเหือนข้าพเจ้าปัดความรับผิดชอบว่าการที่ข้าพเจ้าเริ่มถอยหลัง เป็นเพราะ สังคม

ใช่ ข้าพเจ้ายอมรับ ว่ส่วนนึงก็มาจากตัวของข้าพเจ้าเอง ที่บ่อยครั้งก็เริ่มเป็น มนุษย์ธรรมดา มากกว่าเป็นคริสเตียนที่รู้ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน ความผิดข้อนี้ข้าพเจ้ายอมรับ

แต่

ย่างนึง ที่เรามิควรมองข้ามก็คือ

ที่ที่พวกเราอยู่ขณะนี้(เมือง) มันเป็นสมรภูมิรบฝ่ายวิญญาณ ระดับอันตรายมาก...

เอาแค่เราไม่ทะยานด้วยอัตราเร่ง ... เราก็ร่วงแล้ว...
ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตคริสเตียน ...ยิ่งในสังคมเมือง ยิ่งไม่มีความปลอดภัย


-----



และอย่างที่บอก
ข้าพเจ้าจะรู้สึกโอเค และสบายดี
หากข้าพเจ้าลืมไปแล้วว่า ข้าพเจ้าเคยมาโบสเช้าแค่ไหน และเคยมีท่าทีอย่างไรในการมานั้น


แต่เมื่อข้าพเจ้าระลึกได้

ข้าพเจ้าก็ตระหนักทันทีว่าข้าพเจ้ามีปัญหา....



"เกรด"

เราเป็นคริสเตียนเกรดไหน....
เราอยู่ในคริสตจักร เกรดไหน

ข้าพเจ้าอาจจะคิดว่าข้าพเจ้าเกรด A
ถ้าข้าพเจ้าไม่ดันนึกได้ว่า ข้าพเจ้าเคยสูงกว่าเกรดทุกวันนี้
และเมื่อความจริงเปิดเผย เกรดข้าพเจ้าในปัจจุบัน ก็ลดฮวบทันที ...อาจติด F ด้วย....



.....

มิติของชีวิตคริสเตียนในโลกนี้ ไม่ได้มีแต่เท่าที่เรารู้จัก หรือเคยเห็นมาตลอดชีวิต

ออกไปข้างนอก หาประสบการณณ์การรับใช้บ้าง

ผจญภัยบ้าง


อย่าจุมปุ้ก อยู่แต่ในโบส
ยิ่งถ้าเป็นโบสในเมือง ฟันธงได้เลยว่า ชีวิตเราจะเหี่ยวแห้ง และค่อยฟีบลงในไม่ช้า...โดยไม่รู้ตัว....

อย่าเป็นคริสเตียนที่เห็นโบสเป็นแค่สมาคม ที่มาพบปะผู้คน นมัสการฟังเทศเสร็จ เที่ยวต่อ.... อันนี้นี่มัน...




ถามตัวเราเองครับ
เราเห็นโบสเป็นอะไรกันแน่...

เป็นสิ่งก่อสรางของศาสนาศาสนานึงเหรอ
เป็นสมาคมเหรอ
เป็นที่ที่ไปวันอาทิตย์เพราะไม่มีไรทำเหรอ
เป็นที่ที่ไปเพราะอยากเจอใครบางคนเหรอ
เป็นที่ที่จะไม่ไปถ้าไม่ลงรอยกับใครบางคนรึเปล่า...



เรากำลังมองไปที่ไหน...

..พระเจ้ารึเปล่า...

เป็นเรืองง่ายมากและอัตโนมัต ที่เราจะมองไปที่พระเจ้า
"ถ้า" เราตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์จริงๆ


ไม่ใช่ตระหนักด้วย "จินตนาการหรือแค่ความเชื่อ"
แต่ต้องตระหนักด้วยประสบการณณืของเราเอง


อย่าบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ ด้วยจินตนาการหรือแค่ความเชื่อ

ให้เรารู้จริงๆซะทีว่า
"พระเจ้ายิ่งใหญ่"

ให้เป็นความรู้สึกเหมิอนการได้เห็นซุปเปอรืแมนตัวจริงบินลงมาจากฟ้า
ได้เหมือนได้เห็นดวงอาทิตย์มืดดับไปต่อหน้าต่อตา

ให้เหมือนบรรดาผู้คนที่วิ่งหนีตายจากคลื่นสึนามิ

ให้เหมือนวันโลกาวินาศ มาถึงแล้วจริงๆ


..ให้มีประสบการณ์อย่างนั้น

....
จากคำพยานของผู้เทศนา ..คริสตจักร มีชีวิตก็เพราะเกิดเหตการณ์อย่างซุปเปอร์แมนบินลงมาจากฟ้าจริงๆนั่นล่ะ

"ต่อหน้าต่อตา"

....


พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆเหรอ??

ลองตอบสิครับ




หลังจากตอบแล้ว

ลองทบทวนคำตอบนั้น


ดูว่า


มาจากแค่ความเชื่อ รึเปล่า


อาจมีคนแย้งข้าพเจ้าว่า
"อ่าว ก็โดยความเชื่อน่ะสิ อะไรของแกเนี่ย เจ้าเดียวดาย"


...

พระเจ้าตรัสว่า

"ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า"



ถ้า

เราจะบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ โดยอาสัยแค่ความเชื่อ


ก้แปลว่า "เราไม่ได้เชื่อเลย"


เพราะว่าเรายังไม่ได้เห็น....


ที่ไม่เห็นก็เพราะ
ไม่เชื่อตั้งแต่แรก....


เกือบปีก่อน ข้าพเจ้าได้รู้ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ และกลายเป็นคนที่กระตือรือร้นในการไปโบส

ขณะนี้ ข้าพเจ้าเริ่มกลายเป็นคริสเตียนทั่วๆไป ที่รับใช้ไปเพื่อรอการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ..อย่างเริ่มจะซังกะตาย
...เพราะเริ่มไม่เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า...


ทำไมล่ะ

ปัญหาอยู่ที่ไหน พระเจ้าหรือข้าพเจ้า
แน่นอน ... ปัญหาอยูที่ตัวของข้าพเจ้าเอง...


ข้าพเจ้าจะไม่โทษระบบ หรือสังคมเมืองอีก
แต่
เป็นความผิดของข้าพเจ้าเอง ที่ปล่อยให้ระบบและสังคมเมืองเป็นสนิมกัดกร่อน ชีวิตคริสเตียนของข้าพเจ้า

....



สารพิษ กับดัก และกับระเบิดฝ่ายวิญญาณ
ถูกวางอยู่ทั่วไป แม้แต่ตามคริสตจักร
....กว่าเราจะรู้ตัว เราก็โดนพิษของมันไปแล้ว....


ขอบคุณพระเจ้า
ที่พระองค์ไม่เคยหมดหวังกับข้าพระองค์
ขอบคุณพระเจ้า
ที่พระองค์พร้อมส่งอาวุธให้ข้าพระองค์เสมอ แม้ว่าความโง่ของข้าพระองค์จะทำมันพังบ่อยๆ
ขอบคุณพระเจ้า
ที่พระองค์ยอมที่จะซ่อมข้าพระองค์ ที่ทำตัวเกเร ทำตัวเองพัง แขนขาหักบ่อยๆ
ขอบพระคุณพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์
อาเมน



Create Date : 04 ธันวาคม 2549
Last Update : 4 ธันวาคม 2549 7:31:15 น. 1 comments
Counter : 387 Pageviews.  

 


อ่านแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเขียนเลย



โดย: ผู้หญิงธนู วันที่: 22 ธันวาคม 2549 เวลา:11:16:48 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เดียวดาย9อักษร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เดียวดาย9อักษร's blog to your web]