32Then you will know the truth, and the truth will set you free." 32 你 們 必 曉 得 真 理 , 真 理 必 叫 你 們 得 以 自 由 。

ถอยหลังลงคลอง

(หมายเหต-คำแบ่งปันชิ้นนี้ อาจจะดูแปลกๆ อาจจะเหมือนไดอารี่ หรืออะไรอย่างนั้นมากกว่า)

บันทึกนี้สืบเนื่องจาก คำเทศนาของผู้เทนาในวันนี้
โดยเนื้อหาของบทเทศนั้น ...ก้เป็นพระพรอยู่

แต่สิ่งหนึ่งที่กระตุ้นข้าพเจ้ามากๆ กลับเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ของท่านในช่วง1-2เดือนที่ผ่านมา ในบทบาทของผู้บุกเบิก...

สิ่งนี้ที่กระตุ้นข้าพเจ้าอย่างมาก หลายท่านอาจอ่านแล้วไม่รู้สึกอะไร
แต่อย่างไรก็อยากจะบันทึกไว้ เผื่อว่าอาจจะมีใครบางคนกำลังอยู่ในสภาวะเดียวกับข้าพเจ้า ....ก้เชื่อแน่ว่าเขาจะต้องได้อะไรบ้าง

...


"คริสตจักรที่มีชีวิต"


คริสตจักรที่คุณอยู่ทุกวันนี้ ....ตายรึยัง?

ถ้าเป็นต้นไม้ เป็นต้นไม้แบบไหน.....

รากเป็นอย่างไร ใบอ่อนเป็นอย่างไร
ผลิดอกผลิผลมั้ย

มันยังชอนไช หันหน้าสู้ "แสง" มั้ย?
........

ช่วงเวลาที่ผ่านมาที่อาจารย์ได้ไปทำพันธกิจในการประกาศและบุกเบิกคริสตจักร ในที่กันดาร
ท่านได้เล่าคำพยานมากมายที่เกิดขึ้น ทั้งการปลดปล่อยหญิงสาวจากการโดนทำไสยศาสตร์ ...โดยพยานบุคคลที่อยู่ในเหตการณ์ ได้เป็นพยานร่วมกันถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์ ได้สัมผัสได้รับการเปิดเผย ถึงโลกในมิติวิญญาณ..

มีคนเป็นเอดส์ระยะสุดท้าย ตัวดำ เตรียมเป็นศพ ..หายจากโรค ..ทุกวันนี้ รับจ้างเกี่ยวข้าวได้...

มีคนเป็นเอดส์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่คิดฆ่าตัวตาย ..ได้ท้าทายพระเจ้า
ว่าหากพระองค์มีจริง ขอช่วยรักษาเค้า แล้วเค้าจะยอมกลับใจใหม่..

...แล้วคนคนนั้นก็หายจากโรคเอดส์...


ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าคนที่ไม่ใช่คริสเตียนหากอ่านสิ่งนี้จะคิดยังไง
ก็ขอให้คิดไป
แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าบันทึกนี้ ข้าพเจ้าบันทึกเพื่อหวังว่าจะมีคริสเตียนบางท่านที่อยู่ในสภาพเดียวกับข้าพเจ้าได้อ่าน...



เราไม่เจอการอัศจรรย์นานแค่ไหนแล้ว?

.....
อัศจรรย์แค่ไหนล่ะ
ก็ประมานคนเป็นเอดส์หายโดยการ"กลับใจ"
หรือโดยการได้รับการเปิดเผยถึงมิติวิญญาณ....


การอัศจรรย์ผ่านการเลี้ยงดูของพระเจ้า ...
...บางทีสิ่งนี้ก็อาจถุกมนุษย์ขโมยเกียรติได้ ..แม้ว่าปากเค้าจะขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าก็ตาม...

.....

นึกย้อนหลังกลับไปตอนที่ข้าพเจ้ากลับใจใหม่ๆ และได้รับการปลดปล่อยในโลกของวิญญาณ
ชีวิตหลังจากที่เกิดเหตการณ์เหล่าน้นใหม่ๆ ..ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนที่มี"ชีวิต"มากๆ

และถ้าข้าพเจ้าไม่ได้นั่งฟังคำพยานของท่านอาจารย์ที่มาเทศวันนี้ ข้าพเจ้าคงไม่นึกย้อนไปถึง ตอนนั้น....


ครั้งนั้นเมื่อเกือบสองปีมาแล้ว เมื่อข้าพเจ้าได้รับการปลดปล่อยในโลกของวิญญาณ ...การเติบโตในความเป็นคริสเตียนก็เป็นไปอย่างก้าวกระโดด

ตอนนั้นข้าพเจ้ามีทัศนคติต่อการไปโบสถ์ที่เร่าร้อนมาก
ข้าพจเตื่อนแต่เช้ามืด เตรียมเพียงอย้างเดียวคือ ไปโบสถ์

ข้าพเจ้าไปแต่เช้าโดยไม่สนใจว่าไปแล้วจะเจอใครรึไม่
และก็เป็นอย่างที่คาด คือไม่เจอใคร เพราะไปเช้ามากๆ
สิ่งที่ข้าพเจ้ามักจะทำก็คือ "กวาดโบสถ์"

น่าแปลก ที่แค่นั้นข้าพเจ้าก็มีความสุขแล้ว..
..เป็นความสุขมากๆ กวาด ทำความสะอาดพระนิเวศของพระเจ้าที่มีพระคุณมากๆกับข้าพเจ้า


..แล้ววันนี้ล่ะ
ท่าทีของข้าพเจ้ากับการไปโบสเป็นอย่างไรบ้าง?


ข้าพเจ้าไปโบสช้าลง
ความกระตือรือร้น น้อยลง บางครั้งหาเรื่องอู้ไปให้มันช้าๆ จะได้ไม่ต้องนั่งเรียนรวี.....

..ชีวิตความเป้นคริสเตียนของข้าพเจ้าทุกวันนี้ ข้าพเจ้าจะรู้สึกโอเค ..ถ้าข้าพเจ้าไม่นึกย้อนไปถึงว่า สมัยรักกันกับพระเจ้าใหม่ๆ ข้าพเจ้าเป็นอย่างไร....


และคำพยานของผู้เทศนาในวันนี้ ก็กระตุ้นให้ข้าพเจ้านึกย้อนไป...
และข้าพเจ้าตระหนักแล้วว่า ..ข้าพเจ้ากำลัง "ถอยหลัง" โดยไม่รู้ตัว

จริงอยู่ หากเปรียบเทียบพฤติกรรมของข้าพเจ้าตอนนี้กับคริสเตียนบางส่วน ข้าพเจ้าก็ยังพอจะถูกมองว่าเป็นคริสเตียนที่ดีได้
....แต่
หากเทียบกับมาตรฐานที่ข้าพเจ้าเคยเป็น

ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเริ่มเป็นคริสเตียนที่ "เกเร" หรือ "แก่วัด"



"สาเหตุเพราะอะไร?"
...
คำตอบก็อยู่ในคำพยานของผู้เทศนาเช่นกัน...

คริสตจักรที่บ้านอก มีชีวิตมากๆ สมาชิกกระตือรือร้นในการรีบมาโบสแต่เช้ามืด พกพาเอกสารในการเรียนรวีกันอย่างกะเด็กๆวัยรุ่นเตรียมสอบ

เจอหนังสืออะไรดีๆ ก็รีบๆบอกต่อ แล้วก็ฝากซื้อกันยกใหญ่ ...ทำไม

เป็นไปได้ไง...

...พระเจ้า...

พวกเค้าได้เห็น "กับตา"
ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่แค่ไหน

ใช่ครั้งนึงข้าพเจ้าก็เคยสมัผัสความยิ่งใหญ่นั้น แม้ตอนนั้นโง่ไม่เข้าเรื่อง จะขี้ขลาดปิดหูปิดตาไม่ยอมมองอะไรที่พระเจ้าเปิดเผยให้ดูก็ตาม ..แต่พอรอดมาได้ ก็สัมผัสได้เลยว่า

พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ....


..ชีวิตคริสเตียนในเมือง (กรุงเทพ)
เป็นอันตราย ต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณของท่าน ..
เชื่อหรือไม่...
ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ อาจฟหังดุเหือนข้าพเจ้าปัดความรับผิดชอบว่าการที่ข้าพเจ้าเริ่มถอยหลัง เป็นเพราะ สังคม

ใช่ ข้าพเจ้ายอมรับ ว่ส่วนนึงก็มาจากตัวของข้าพเจ้าเอง ที่บ่อยครั้งก็เริ่มเป็น มนุษย์ธรรมดา มากกว่าเป็นคริสเตียนที่รู้ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน ความผิดข้อนี้ข้าพเจ้ายอมรับ

แต่

ย่างนึง ที่เรามิควรมองข้ามก็คือ

ที่ที่พวกเราอยู่ขณะนี้(เมือง) มันเป็นสมรภูมิรบฝ่ายวิญญาณ ระดับอันตรายมาก...

เอาแค่เราไม่ทะยานด้วยอัตราเร่ง ... เราก็ร่วงแล้ว...
ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตคริสเตียน ...ยิ่งในสังคมเมือง ยิ่งไม่มีความปลอดภัย


-----



และอย่างที่บอก
ข้าพเจ้าจะรู้สึกโอเค และสบายดี
หากข้าพเจ้าลืมไปแล้วว่า ข้าพเจ้าเคยมาโบสเช้าแค่ไหน และเคยมีท่าทีอย่างไรในการมานั้น


แต่เมื่อข้าพเจ้าระลึกได้

ข้าพเจ้าก็ตระหนักทันทีว่าข้าพเจ้ามีปัญหา....



"เกรด"

เราเป็นคริสเตียนเกรดไหน....
เราอยู่ในคริสตจักร เกรดไหน

ข้าพเจ้าอาจจะคิดว่าข้าพเจ้าเกรด A
ถ้าข้าพเจ้าไม่ดันนึกได้ว่า ข้าพเจ้าเคยสูงกว่าเกรดทุกวันนี้
และเมื่อความจริงเปิดเผย เกรดข้าพเจ้าในปัจจุบัน ก็ลดฮวบทันที ...อาจติด F ด้วย....



.....

มิติของชีวิตคริสเตียนในโลกนี้ ไม่ได้มีแต่เท่าที่เรารู้จัก หรือเคยเห็นมาตลอดชีวิต

ออกไปข้างนอก หาประสบการณณ์การรับใช้บ้าง

ผจญภัยบ้าง


อย่าจุมปุ้ก อยู่แต่ในโบส
ยิ่งถ้าเป็นโบสในเมือง ฟันธงได้เลยว่า ชีวิตเราจะเหี่ยวแห้ง และค่อยฟีบลงในไม่ช้า...โดยไม่รู้ตัว....

อย่าเป็นคริสเตียนที่เห็นโบสเป็นแค่สมาคม ที่มาพบปะผู้คน นมัสการฟังเทศเสร็จ เที่ยวต่อ.... อันนี้นี่มัน...




ถามตัวเราเองครับ
เราเห็นโบสเป็นอะไรกันแน่...

เป็นสิ่งก่อสรางของศาสนาศาสนานึงเหรอ
เป็นสมาคมเหรอ
เป็นที่ที่ไปวันอาทิตย์เพราะไม่มีไรทำเหรอ
เป็นที่ที่ไปเพราะอยากเจอใครบางคนเหรอ
เป็นที่ที่จะไม่ไปถ้าไม่ลงรอยกับใครบางคนรึเปล่า...



เรากำลังมองไปที่ไหน...

..พระเจ้ารึเปล่า...

เป็นเรืองง่ายมากและอัตโนมัต ที่เราจะมองไปที่พระเจ้า
"ถ้า" เราตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์จริงๆ


ไม่ใช่ตระหนักด้วย "จินตนาการหรือแค่ความเชื่อ"
แต่ต้องตระหนักด้วยประสบการณณืของเราเอง


อย่าบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ ด้วยจินตนาการหรือแค่ความเชื่อ

ให้เรารู้จริงๆซะทีว่า
"พระเจ้ายิ่งใหญ่"

ให้เป็นความรู้สึกเหมิอนการได้เห็นซุปเปอรืแมนตัวจริงบินลงมาจากฟ้า
ได้เหมือนได้เห็นดวงอาทิตย์มืดดับไปต่อหน้าต่อตา

ให้เหมือนบรรดาผู้คนที่วิ่งหนีตายจากคลื่นสึนามิ

ให้เหมือนวันโลกาวินาศ มาถึงแล้วจริงๆ


..ให้มีประสบการณ์อย่างนั้น

....
จากคำพยานของผู้เทศนา ..คริสตจักร มีชีวิตก็เพราะเกิดเหตการณ์อย่างซุปเปอร์แมนบินลงมาจากฟ้าจริงๆนั่นล่ะ

"ต่อหน้าต่อตา"

....


พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆเหรอ??

ลองตอบสิครับ




หลังจากตอบแล้ว

ลองทบทวนคำตอบนั้น


ดูว่า


มาจากแค่ความเชื่อ รึเปล่า


อาจมีคนแย้งข้าพเจ้าว่า
"อ่าว ก็โดยความเชื่อน่ะสิ อะไรของแกเนี่ย เจ้าเดียวดาย"


...

พระเจ้าตรัสว่า

"ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า"



ถ้า

เราจะบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ โดยอาสัยแค่ความเชื่อ


ก้แปลว่า "เราไม่ได้เชื่อเลย"


เพราะว่าเรายังไม่ได้เห็น....


ที่ไม่เห็นก็เพราะ
ไม่เชื่อตั้งแต่แรก....


เกือบปีก่อน ข้าพเจ้าได้รู้ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ และกลายเป็นคนที่กระตือรือร้นในการไปโบส

ขณะนี้ ข้าพเจ้าเริ่มกลายเป็นคริสเตียนทั่วๆไป ที่รับใช้ไปเพื่อรอการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ..อย่างเริ่มจะซังกะตาย
...เพราะเริ่มไม่เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า...


ทำไมล่ะ

ปัญหาอยู่ที่ไหน พระเจ้าหรือข้าพเจ้า
แน่นอน ... ปัญหาอยูที่ตัวของข้าพเจ้าเอง...


ข้าพเจ้าจะไม่โทษระบบ หรือสังคมเมืองอีก
แต่
เป็นความผิดของข้าพเจ้าเอง ที่ปล่อยให้ระบบและสังคมเมืองเป็นสนิมกัดกร่อน ชีวิตคริสเตียนของข้าพเจ้า

....



สารพิษ กับดัก และกับระเบิดฝ่ายวิญญาณ
ถูกวางอยู่ทั่วไป แม้แต่ตามคริสตจักร
....กว่าเราจะรู้ตัว เราก็โดนพิษของมันไปแล้ว....


ขอบคุณพระเจ้า
ที่พระองค์ไม่เคยหมดหวังกับข้าพระองค์
ขอบคุณพระเจ้า
ที่พระองค์พร้อมส่งอาวุธให้ข้าพระองค์เสมอ แม้ว่าความโง่ของข้าพระองค์จะทำมันพังบ่อยๆ
ขอบคุณพระเจ้า
ที่พระองค์ยอมที่จะซ่อมข้าพระองค์ ที่ทำตัวเกเร ทำตัวเองพัง แขนขาหักบ่อยๆ
ขอบพระคุณพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์
อาเมน




 

Create Date : 04 ธันวาคม 2549   
Last Update : 4 ธันวาคม 2549 7:31:15 น.   
Counter : 389 Pageviews.  

ปัญหาบาปทางเพศ ตอนที่1

ปัญหาบาปทางเพศ ตอนที่1

บาปทางเพศ ...นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมากมายในสังคม และในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องที่ถูกปกปิดและซ่อนเร้นมากที่สุดเช่นกัน
ก่อนอื่น เรามาดูก่อนว่า พระเจ้ามีท่าทีอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องเพศ

1 เธสะโลนิกา 4:3-8
เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า คือให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์ เว้นเสียจากการล่วงประเวณี
เพื่อให้ทุกคนในพวกท่านรู้จักที่จะรักษาภาชนะของตนในทางบริสุทธิ์ และในทางที่มีเกียรติ มิใช่ด้วยราคะตัณหาเหมือนอย่างคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า

เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำล่วงเกินและลักลอบต่อพี่น้องในเรื่องใดๆเลย เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ทรงสนองโทษต่อบรรดาคนที่กระทำอย่างนั้น เหมือนอย่างที่เราได้บอกไว้ก่อนแล้วและได้เป็นพยานแล้วด้วย
เพราะพระเจ้ามิได้ทรงเรียกเราให้เป็นคนลามก แต่ทรงเรียกเราให้เป็นคนบริสุทธิ์
เหตุฉะนั้นคนที่ปัดทิ้ง มิได้ปัดทิ้งมนุษย์ แต่ได้ปัดทิ้งพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ให้แก่เราทั้งหลายด้วย
...........
จากเธสะโลนิกาที่ยกมา แน่ชัดว่า พระเจ้าไม่ต้องการให้เราลามก ให้เว้นเสียจากการล่วงประเวณี ..และในตอนท้าย ยังได้ระบุไว้อีกว่า คนที่ปัดกฎนี้ทิ้ง มิใช่เขาปัดกฎมนุษย์ แต่ได้ปัดกฎพระเจ้า ฉะนั้น ข้ออ้างชนิดที่ว่า “อย่าคิดมากพระเจ้าไม่ซีเรียสกับเรื่องบาปทางเพศ”นั้น ..จะไม่มีทางเป็นความจริงเลย.....


มีคำถามมากมาย ที่ยังเป็นที่สงสัย เช่น ตกลงว่า “แค่ไหน” ถึงเรียกว่าเป็นบาปทางเพศ
การที่เราจะทราบมาตรฐานว่าแค่ไหนถึงจะเรียกว่าบาปนั้น คงมีแค่มาตรฐานเดียวที่เราจะใช้ นั่นคือ “มาตรฐานของพระเจ้า”

มัทธิว 5:27-28 ท่านทั้งหลายได้ยินว่ามีคำกล่าวในครั้งโบราณว่า `อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา'
ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว

มาตรฐานที่พระเยซูคริสต์ได้วางไว้ก็คือ แค่เราคิดหรือจินตนาการในทางที่ไม่ดีในทางลามกหรือชู้สาวกับผู้อื่น เราก็ได้ทำบาปทางเพศไปแล้วเรียบร้อย...
ถึงตรงนี้ อาจจะเริ่มมีคำถาม เช่น...
1-บาปตรงไหน ไม่สมเหตสมผลเลย
2-แค่นี้ก็บาปแล้วเหรอ โหดจัง ไมได้ไปทำร้ายใครให้เดือดร้อนซักหน่อย


เราคงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อน ว่าในความเป็นคริสเตียนนั้น บาป หมายถึงอะไร
ในความเป็นคริสเตียนนั้น คำว่า บาป กินความหมายลึกซึ้งและกว้างกว่าที่ชาวโลกเข้าใจเยอะมาก ซึ่งถ้าจะเอาแค่ฉพาะในเรื่องเพศนี้ ..ก็จะสามารถหมายถึงคำว่า ไม่บริสุทธิ์ หรือเหตแห่งความเสียหาย ทั้งในแง่กายภาพและจิตใจ
ทำไมพระเยซูจึงวางมาตรฐานว่า แค่คิดล่วงประเวณี ก็ ถือว่าได้ล่วงประเวณีแล้ว ก็เพราะว่า ในทางคริสเตียนนั้น ..แค่จิตวิญญาณของคนคนนั้นคิดบาป ก็คือบาปแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึงเนื้อหนังลงมือทำ ....

เราต้องเข้าใจก่อนว่า
พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสันติภาพ ไม่ใช่เพื่อความทุกข์ยาก เพื่อจะให้อนาคตตามที่คาดหมายไว้แก่เจ้า (เยเรมีย์ 29:11)


ฉะนั้น การที่พระเจ้าห้ามการล่วงประเวณี หรือการที่พระองค์รงสอนเราให้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเราเอง

.............



อย่างที่เราทราบกันว่า จริงๆแล้ว เรื่องเพศ เป็นพระเจ้าเองที่ออกแบบและตั้งไว้สำหรับมนุษย์ ตั้งแต่สมัยที่พระองค์ทรงสร้างอาดัมและเอวา ตั้งแต่พระเจ้าสร้างอาดัมเอวา พระองค์ก็ดำริแต่แรกแล้ว ว่าให้ทั้งสองคนนั้น “มีเพศสัมพันธ์” กัน
ฉะนั้น ถ้าจะมองกันดีๆ ก็จะเห็นว่า จริงๆแล้ว Sex เป็นเรื่องที่สะอาด และบริสุทธิ์ และมิได้ขัดเจตนาของพระเจ้าแต่อย่างใด..ในเมื่อเรื่องเพศเป็นเรื่องบริสุทธิ์ แล้วถ้าอย่างนั้น ทำไมทุกวันนี้ ..จึงมีบาปทางเพศเกิดขึ้นได้???
สิ่งนึงที่บริสุทธิ์ กลายเป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ได้ นั่นก็หมายถึงว่า มีการ “เจือปน” หรือถูกแทรกแซง หรือปนเปื้อน ด้วยสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์..... น้ำดื่มบริสุทธิ์ จะกลายเป็นน้ำที่ดื่มไม่ได้ทันที เมื่อเติมยาพิษ หรือน้ำเน่าลงไป ..เรื่องเพศและบาปทางเพศก็เป็นเช่นนั้น....


ในปฐมกาล อาดัมกับเอวา แก้ผ้า และไม่อายกัน กระทั่งวันที่ทั้งสองทำบาปด้วยการเชื่อการล่อลวงของมาร ละเมิดคำสั่งของพระเจ้าเรื่องผลไม้ต้องห้าม ..ทันใดนั้นทั้งสองคนก็กลับ คิดไปว่า พวกเค้าเปลือยกายอยู่ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น เสื้อผ้าไม่น่าจะอยู่ในสารบบของความคิดใครทั้งนั้น ..วันนั้นพระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมเขาทั้งสอง แต่ทั้งสองกกลับรีบวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ พริ้อมเอาใบไม้เท่าที่หาได้มาปกปิดร่างกาย เพมื่อพระเจ้าตรัสถามว่า พวกเขาอยู่ไหน พวกเขาก็ตอบไปได้ยินเสียงพระเจ้าก็เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตผล และรู้สึกอายอย่างไม่มีเหตผล ด้วยเหตผลจอมปลอมว่า พวกเขาเปลือยกายอยู่.....

แล้วพระเจ้าก็ตรัสว่า
“ใครเล่าบอกว่าเจ้าเปลือยกาย เจ้ากินผลไม้ที่เราห้ามมิให้กินนั้นแล้วหรือ”

หากคิดจากเหตุการณ์ตอนนั้นที่มารล่อลวงมนุษย์สำเร็จ จนถึงยุคปัจจุบันนี้ปีคศ.2006 ใกล้จะขึ้นปี2007 จะพบว่า ปัญหาต่างๆมากมายที่เกิดขึ้น และวิวัฒนาการตัวมันเองให้ซับซ้อนมากขึ้น ล้วนแต่เกิดจาก “เหตุผลจอมปลอม” ทั้งสิ้น โดยเริ่มจากเหตุผลจอมที่ว่า มนุษย์ต้องใส่อะไรบางอย่างเพื่อปกปิดความอายที่ไม่มีเหตุผล แน่นอนว่า ภาพโป๊เปลือยต่างๆ จะไม่มีผลอะไรทั้งนั้น ถ้ามนุษยชาติ ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า และไม่อายกัน
งานของมารสำเร็จเป็นเปราะๆ และสร้างความสับสนวุ่นวายทางความคิด ใส่เหตผลจอมปลอมให้มนุษย์มาตลอด จนในที่สุด
เรื่องเพศ ได้กลายเป็นจำเลย หรือกลายเป็นสารตั้งต้น ที่ใช้ใส่เหตผลจอมปลอมต่างๆนาๆลงไป แล้วเรื่องเพศ ก็กลายเป็นความบาปสารพัดรูปแบบ ข่มขืน ล่วงประเวณี มั่วเซ็ก สำส่อน รักร่วมเพศ สื่อลามก การจมอยู่ในโลกแห่งจินตนาการที่สกปรก


ด้านนึง มารได้ใส่ความคิดสนับสนุนว่า เพศอย่างการล่วงประเวณีนั้น ไม่บาป ใครๆก็ทำกัน อย่าคิดมาก
ในขณะเดียวกัน อีกด้านนึง มารก็ได้ใส่ความคิดว่า แม้แต่เพศที่บริสุทธิ์อย่างสมัยที่พระเจ้าตั้งขึ้นมานั้น ก็สกปรก และน่ารังเกียจ ดังจะเห็นได้ว่า มีแนวคิดที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามากมาย ที่พยามจะบอกว่า ...เพศ เป็นเรื่องสกปรกทั้งหมด ต่อให้ไม่ล่วงประเวณีก็สกปรก

สองความคิดนี้ที่มารได้สร้างขึ้น ซึ่งเป็นคำโกหกทั้งสองด้าน ได้โจมตี และจองจำมนุษยชาติไว้ ให้จมอยู่กับวังวนของบาปทางเพศ ด้านนึงมันก็กระตุ้นเรื่องเพศอย่างมากจนผิดปกติ ในขณะที่ด้านนึงมันก็พยามกล่าวโทษ และทำให้คนเข้าใจเรื่องเพศผิดๆ ...

เหตผลจอมปลอม ได้ครอบงำความคิดเราอยู่ และจองจำเราไว้ในวังวนของบาปมากมาย ที่นับวันเราก็ยิ่งสับสน ว่าตกลงอะไรเป็นอะไรกันแน่ และเมื่อสับสนมากๆเข้า เราก็มักจะเลือกเอาทางนึงที่เหมือนๆกัน ก็คือ .... เลิกสนใจมันซะเลย ..อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องไปคิดว่าผิดว่าถูกอีกแล้ว .... ไม่ต้องสนใจอีกแล้วว่าตกลงพระเจ้าบอกไว้ว่าอย่างไรกันแน่


สัจจะ...
พระเจ้าบอกว่า สัจจะ จะทำให้เราทั้งหลายเป็นอิสระ
ยอห์นฺ 8:32
และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ
และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท..


เวลานี้อาจจะมีบางคนที่จมอยู่กับเหตผลจอมปลอมในเรื่องเพศ และได้ต่อสู้กับบาปทางเพศอยู่
ในคราวหน้า ....เรามาดูว่าพระเจ้าได้เตรียมอาวุธและทางออกอะไรไว้ให้เราบ้างในสงครามการต่อสู้กับบาปทางเพศ





วันนี้เราเฝ้าเดี่ยวหรือยัง?
เราสารภาพบาปครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
พระเจ้าตรัสอะไรกับเราวันนี้?



ขอพระเจ้าคุ้มครอง




 

Create Date : 23 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2549 7:02:36 น.   
Counter : 948 Pageviews.  

"Are you Christian?"

มัทธิว 6:20-21
แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด
และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้..

เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหนใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย..

---


"Are you Christian?"


ไม่กี่วันก่อน ด้วยเพราะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงาน ข้าเจ้าจึงไปอ่านคำพยานของอาจารย์อุบลวรรณ มีข้อความสนส่วนนึงน่าสนใจ

ตอนที่ท่านอาจารย์อุบลวรรณยังไม่เปนคริสเตียน และกำลังคุยกับคริสเตียนชาวเกาหลีคนหนึ่ง คริสเตียนคนนั้นเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า
ตัวเขาเองจบปริญญาโททางวรรณคดีอังกฤษแต่ไม่เคยพบความหมายแห่งชีวิต จนกระทั่งได้พบพระเยซู ..พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาจากความเหลวแหลกมาสู่ตความดี และความบริสุทธิ์...
อาจารย์อุบลวรรณ์โต้เถียงกลับไปอย่างรุนแรงด้วยถ้อยคำที่เยาะเย้ยถากถาง แต่ตลอดเวลาเขากลับยิ้ม ..ขณะนั้นก็มีหญิงชราคนหนึ่งลุกขึ้นมา และพูดว่า


*จงเชื่อคำพูดของชายผู้นี้ ตัวเธอเองไปโบสถ์มาเกือบ60ปี เพิ่งจะรู้จักพระเยซูเป็นส่วนตัวเมื่อ2ปีมานี้*



ไปโบสถ์มา60ปี แต่พึ่งรู้จักพระเยซูแค่2ปี ...น่าคิดนะครับ

.....

ถ้ามีคนมาถามว่าเราเป็นคริสเตียนรึเปล่า เราจะตอบเค้าว่าอย่างไร
และเหตผลในคำตอบนั้นคืออะไร?
และเราใช้เวลากี่เสี้ยววินาที ..ในการหาคำตอบสำหรับคำถามนั้น

เป็นไปได้มั้ยว่า จะเกิดเอคโค่ของคำถามนั้นขึ้นในใจเราว่า
"เออว่ะ เราเป็นคริสเตียนป่าวหว่า?"
...รึเปล่า....


....
หลายอาทิตย์ก่อน ผู้เทศนาได้พูดประโยคนึงไว้น่าสนใจคือ
"เป็นคริสเตียนแม้แต่ในความฝัน"

เราลองพิจารณาดูว่า ความฝันทั้งหมดที่ผ่านมาของเราเท่าที่เราจำได้ ..ในฝันนั้น เราเป็นคริสเตียนึเปล่า
ในฝันเราโกหกมั้ย เราหยิ่งผยองมั้ย เราล่วงประเวณีมั้ย
...เรามีสันติสุขมั้ย?

ถ้าไม่... ก็น่าคิด ว่าเราเป็นคริสเตียนรึเปล่า

ข้าพเจ้าเองมีประสบการณ์ทั้งความฝันที่ข้าพเจ้าเคยล่วงประเวณี ..และความฝันที่ข้าพเจ้าไม่ล่วงประเวณีเหตเพราะว่าข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน

.....
2 โครินธ์ 5:17
เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว
สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไปนี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น..

**

อาจารย์ท่านนึงที่เคยสอนข้าพเจ้า กล่าวไว้น่าสนใจ ..ว่า
"เมื่อไหร่ที่....สิ่งแรกที่คุณคิดถึงตอนคุณตื่นขึ้นมาคือการ แต่งเพลง และสิ่งสุดท้ายที่คุณคิดก่อนจะหลับไปคือการแต่งเพลง .งเมื่อนั้นล่ะ ..คุณได้กลายเป็นนักแต่งเพลงแล้ว"



เหมือนกันกับทุกๆเรื่อง.....


ถ้าสิ่งแรกที่เราคิดถึง คือหญิงที่เรารัก และสิ่งสุดท้ายที่เราคิดถึงก่อนเราจะหลับไปก็คือเธอคนนั้น...
แน่นอน..
....เราก็เป็นชายที่รักหญิงคนนั้น


ถ้าสิ่งแรกที่เราคิดถึง คือเงิน และสิ่งสุดท้ายที่เราคิดถึง ก็คือเงิน
....เราก็เป็น นักหาเงิน

ฉันใดฉันนั้น...


ถ้าสิ่งแรกที่เราคิดถึงเมื่อเราตื่นเช้าขึ้นมาคือพระเจ้า.. ไม่ว่าเราจะคิดถึงวิงวอนด้วยคราบน้ำตาแห่งความช้ำใจหรือขอบพระคุณด้วยความปีติ...
และสิ่งสุดท้ายที่เราคิดถึงก็คือพระเจ้า ไม่ว่าจะวิงวอนด้วยความปวดร้าวใจ ..หรือด้วยความปีติ
.....เราก็เป็นคริสเตียน


...เราอาจจะเป็น นักแต่งเพลง เป็นคนที่รักใครคนหนึ่ง หรือเป็นนักทำมาหากิน ..
"ซึ่งเป็น"
คริสเตียน ก็ได้...

"แต่"

"ดีกว่า"

ถ้า...

เราจะเป็นคริสเตียน
"ที่เป็น"
นักแต่งเพลง หรือรักใครสักคน หรือทำมาหากินอย่างขันแข็ง....

เพราะว่า
ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหนใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย..

ฉันใดฉันนั้น

ใจเราอยู่ไหน สมบัติเราก็อยู่ที่นั่น..
ใจเราอยู่ไหน สมบัติที่เราจะพึงได้ ก็จะมาจากที่นั่น

ใจเราฝักใฝ่กาม เราก็ได้กาม
ใจเราฝักใฝ่เงิน เราก็ได้เงิน

ใจเราฝักใฝ่พระเจ้า ..เราก็ได้พระเจ้า
และเราได้พระเจ้า เราก็ได้ทุกอย่าง ซึ่งดีที่สุดสำหรับเรา..

"แต่"

มัทธิว 6:33
แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้..



ขอให้ทุกๆคืนจากนี้ ถ้าเราจะฝัน ขอให้เราฝันดี
ฝันว่าเราเป็น "คริสเตียน"
เราจะเป็นคริสเตียนแม้แต่เหตการณ์ที่เราเผชิญในความฝัน

ถ้าใครถามเราว่าเราเป็นคริสเตียนรึเปล่า เราจะไม่มีเสียเวลาคิดหาคำตอบ ..เพราะคำตอบจะชัดเจนในตัวเรา


......
ขอพระเกียรติพระสิริเป็นของพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์แต่ผู้เดียวสืบๆไปเป็นนิตย์
ขอพระเจ้าอวยพรเรา
อาเมน




 

Create Date : 23 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2549 6:58:43 น.   
Counter : 340 Pageviews.  

อะไรมันค้ำคอ

มัทธิว 26:67-68
แล้วเขาถ่มน้ำลายรดพระพักตร์และตีพระองค์และบางคนเอามือตบพระองค์
"แล้วว่าเจ้าพระคริสต์จงเผยให้เรารู้ว่าใครตบเจ้า"..

***

มัทธิว 27:29-31
"เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรพระองค์แล้วเอาไม้อ้อให้ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์
และได้คุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระองค์เยาะเย้ยว่ากษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้าขอทรงพระเจริญ"..

แล้วก็ถ่มน้ำลายรดและเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์..

เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว
เขาถอดเสื้อนั้นออกแล้วเอาฉลองพระองค์สวมให้และนำพระองค์ออกไปเพื่อจะตรึงเสียที่กางเขน..

***




"คุณเคยโดนถ่มน้ำลายใส่ ต่อหน้าสาธารณชนมั้ย?"

ผมเคยครับ ผมรู้ดีว่ามันรู้สึกยังไง
ถ้าคุณไม่เคย กรุณาจินตนาการดูนะครับ ว่าคุณจะรู้สึกยังไง....


.....
"ค้ำคอ"

เคยได้ยินสำนวน ศักดิ์ศรีค้ำคอ มั้ยครับ
อาการอย่างนี้มันทำให้เราไม่สามารถ ยอมจำนน หรือปิดคดีได้ มันเป็นอาการที่ทำให้เรื่องไม่เป็นเรื่องกลายเป็นเรื่องขึ้นมาได้

มันเป็นอาการ โง่ๆ ที่ทำร้ายตัวคนที่เป็นเอง โดยเค้าไม่รู้ตัว

ในแวดวงคริสเตียน
มีหลายท่าน "ล้มลง" ในความผิดพลาด
"แต่"

อะไรก็ไม่รู้ ค้ำคอไว้
เลยก้มหัวขอโทษใครไม่เป็น หนักเข้าก็ไม่ไปโบส
ตัดขาดการสามัคคีธรรมกับพี่น้อง

ผิด ไม่ยอมรับว่าผิด
ผิด แล้วยังจะดื้อด้านว่าข้าต้องดูดี เสมอ...

ศักดิ์ศรีในอดีตมันเยอะ
ถ้าจะต้องก้มหัวขอโทษใคร
ขอไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า....

บาปต่อบาป
เพราะบาปเก่าไม่ยอมรับ
เลยสานต่อขยายพันธุ์ เป็น "บาปใหม่"

แล้วยังจะมา ชูคอ ว่า "ไม่บาป"

ชูคอมันง่าย
ก้มหัวมันยาก
เพราะ ศักดิ์ศรี "มันค้ำคออยู่"

-------------



วันที่พระเยซุคริสต์ ถูกจับขึ้นรับข้อกล่าวหา ถูกลงโทษ ถูกเฆี่ยน ถูกหยาม ถูกถ่มน้ำลายใส่
พระเยซูคริสต์ "ไม่ตอบโต้เลย"

พระองค์
"รับอย่างเดียว"

รับทั้งๆที่ พระองค์ไม่สมควรต้องรับ
รับทั้งๆที่พระองค์เป็นผู้ทรงสมควรจะรับคำสรรเสริญสูงสุด แต่ต้องกลับมารับ การประนาม และทรมานที่โหดร้ายที่สุด

"พระองค์ทำเพื่อใคร?"

------

หลายครั้ง เราอาจจะต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องยอม "รับโทษ" ต้องรับการประจาน ต้องรับความ "อับอาย" บ้าง

ไม่ว่าเราจะนั่งชูคอ ทั้งชีวิต


หลายครั้งเราอาจจะกลายเป็นคน ศักดิ์ศรีค้ำคอ
เครดิตค้ำคอ

"กลับใจไม่ได้" เพราะของพวกนี้มันค้ำคออยู่

...


นึกถึงพระเยซูคริสต์สิครับ
ท่านโดนมาหนักแค่ไหน
ท่านโดนเปลื้องผ้า โดนประจานต่อหน้าคนมากมาย โดนสารพัดจะโดน...

หากเราคิดว่า สิ่งที่เราจะต้องยอมก้มหัวลงนั้น มันน่าอาย
หรือเราอาย เราไม่กล้าทำ

ขอให้ระลึกถึงพระเยซูคริสต์มากๆ

พระองคืเป็นถึงพระเจ้า พระองค์ยังยอมได้ขนาดนี้
แล้วเราเป็นใคร ถึงจะมานั่งชูคอได้....


.......



ยอห์นฺ 13:4-15

พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหารทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์..

แล้วก็ทรงเทน้ำลงในอ่าง
และทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวกและเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น..

"พระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตรและเปโตรทูลพระองค์ว่าพระองค์เจ้าข้าพระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ"..

พระเยซูตรัสตอบเขาว่า
"สิ่งที่เรากระทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่องแต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ"..

เปโตรทูลพระองค์ว่า
"พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้"

พระเยซูตรัสตอบเขาว่า
"ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้วท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้"..

ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่าพระองค์เจ้าข้ามิใช่แต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้นแต่ขอทรงโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย"..

"พระเยซูตรัสกับเขาว่าผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีกล้างแต่เท้าเท่านั้นเพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้วพวกท่านก็สะอาดแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน"..

"เพราะพระองค์ทรงทราบว่าใครจะอายัดพระองค์ไว้เหตุฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่าท่านทั้งหลายไม่สะอาดทุกคน"..

"เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าเขาทั้งหลายแล้วพระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์และประทับลงตรัสกับเขาว่าท่านทั้งหลายเข้าใจในสิ่งที่เราได้กระทำแก่ท่านหรือ..

ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าพระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้าท่านเรียกถูกแล้วเพราะเราเป็นเช่นนั้น..

ฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ของท่านได้ล้างเท้าของพวกท่านพวกท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย..

เพราะว่าเราได้วางแบบแก่ท่านแล้วเพื่อให้ท่านทำเหมือนดังที่เราได้กระทำแก่ท่านด้วย..


***

เราคงต้องถ่อมใจอย่างมาก
มากจนอย่างน้อยๆเราต้องสามารถล้างเท้าให้คนที่ ด้อยกว่าเราได้
เพื่อเมื่อนั้นเราจะได้เลิกนิสัยที่ชอบแบ่งชั้นแบ่งเกรด

เพื่อเมื่อนั้นเราจะได้เลิกนิสัย ก้มไม่ลง

เลิกนิสัยคอแข็ง

...แค่นั้นยังไม่พอ


เรายังต้องกล้าที่จะ "รับลูกเดียว"
โดยไม่ตอบโต้ด้วย

อย่างที่พระเยซูครสิต์ทรงทำ เมื่อพระองค์รับการประนามหยามเหยียดทุกอย่าง "เพื่อเห็นแก่สิ่งที่สำคัญที่สุด"


เราต้องกล้า ที่จะเดินเข้า "ลานประจาน"
ที่มีไว้สำหรับประจานเรา

อย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำ
"เพื่อสิ่งสำคัญ"

-----

สองพันปีก่อน
สิ่งสำคัญที่ถึงขนาดให้พระองค์ยอมมากขนาดนั้นก็คือ
"พวกเราทั้งหลาย"


ณ เวลานี้
ขอให้เราทั้งหลาย ยอมได้มากขนาดนั้นบ้าง
หากเรายังพอจะรู้ว่า....

..... "พระองค์สำคัญมากแค่ไหน"



ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์เมตตาเราครับ
อาเมน




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2549 6:39:07 น.   
Counter : 470 Pageviews.  

สัจจะ

“สัจจะ”
ยอห์นฺ 8:31-33

พระเยซูจึงตรัสกับพวกยิวที่ศรัทธาในพระองค์แล้วว่า..

"ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในคำของเรา
ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง..

และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ
และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท.. "

เขาทั้งหลายทูลตอบพระองค์ว่า
เราสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมและไม่เคยเป็นทาสใครเลยเหตุไฉนท่านจึงกล่าวว่า'ท่านทั้งหลายจะเป็นไท'..

.....

*****



ความเป็นไทเป็นทาสนั้น ค่อนข้างชัดเจนในความหมาย
”แต่”ในทางปฏิบัติ หรือในโลกแห่งสสารนี้ เป็นการค่อนข้างยากที่เราจะระบุว่าเราเป็นทาสหรือเป็นไท
เพราะว่า ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า "ทาส" ในที่นี้ มิได้มีความหมายว่า ทาสในเรือนเบี้ย หรือลูกทาส หรือค้าทาส หรือ ติดคุก หรืออะไรทำนองนี้อย่างเป็น "รูปธรรม"

หากแต่เป็น "ทาส" ของ"เหตุผลจอมปลอม"...หรือก็คือ มาร...


....
โดยประสบการณ์ของตัวข้าพเจ้าเองนั้น หลังจากที่ได้รู้จักพระเยซูคริสต์ว่าแท้จริงพระองค์เป็นผู้ใด และได้รับการปลดปล่อยโดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์นั้น


ข้าพเจ้าที่เคยคิดและเชื่อ และมั่นใจว่า ข้าพเจ้าเป็นไท กลับพึ่งสำนึก และเริ่มมองเห็นอย่างชัดเจนว่า
แท้จริงข้าพเจ้าเป็นทาสของสิ่งต่างๆมากมาย....

เป็นการยาก..
ที่ใครสักคนจะยอมรับ หรือกล้ายอมรับ ว่าเขาอยู่ใน"คุก" ถ้าเขายังไม่สามารถออกมาจากคุกได้


"คุก"ในที่นี้ หมายถึง ความคิด และโลกแห่งความเชื่อของคนคนนั้น
....ใครก็ตามที่มีบาป หรือเคยทำบาป ก็ล้วนแต่ตกอยู่ใต้อำนาจของเหตุผลจอมปลอม...



......

พระเยซูตรัสว่า
สัจจะ จะทำให้เราทั้งหลายเป็นไท

นึกถึงหนังหลายๆเรื่อง หรืออันที่จริงมันก็ถูกสร้างมาจากเรื่องจริงนั่นล่ะ จะมีกรณีอย่าง ..."ใส่ร้าย" การ "ถูกปรักปรำ" การถูกกลั่นแกล้ง การถูกโกง การถูกเอารัดเอาเปรียบ...จะเห็นว่า ทุกอย่างจะคลี่คลายและแฮ้ปปี้เอนดิ้ง เมื่อ "ความจริงเปิดเผย"





......
อาจมีหลายๆคนเวลานี้ ที่มี ความทุกข์ทรมาน ทางจิตใจ
เหตุเพราะ "ความคิด" หรือ การถูกเหตุผลจอมปลอม "กล่าวโทษ"ต่างๆนาๆ ทั้งไปกล่าวโทษคนอื่น และกล่าวโทษตัวเอง

เสร็จแล้วเมื่อมีการกล่าวโทษ ก็เกิดภาวการณ์ "ติดคุก" ทางจิต

เมื่อติดคุกทางจิต จิตก็เริ่มไม่เป็นอิสระ
เริ่มถูกเหตผลจอมปลอม ครอบครองความคิด สร้างตรรกะแปลกๆ มั่วๆ ขึ้นมา ..เริ่ม "ขังตัวเอง"


เริ่มหวาดระแวง
เริ่มไม่ไว้ใจคน

...แล้วก็เครียดโดยไม่สมควรจะเครียด

และทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจของ มาร
มันแค่ใส่ความคิดชั่วๆ มั่วๆ แปลกๆ..เข้าไปในคน คนก็พินาศแล้ว...


----

เราจะรู้สึกยังไง ถ้าจู่ๆก็มีคนมาบอกว่า ...เราน่ะติดคุกอยู่
เราน่ะ เป็นทาสนะ


อย่างแรก

การที่เราจะได้รับการปลดปล่อยจากเหตุผลจอมปลอมนั้น
เราจำเป็นอย่างมากที่จะต้องยอมรับก่อนว่า เราติดคุกอยู่

เพราะว่า
ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราติดคุก
คงเป็นเรื่องตลก ถ้าเราจะรับ"อาวุธ" ในการทำลายคุกที่คุมขังเราอยู่ ซึ่งก็คือ "สัจจะ"

....ขั้นตอนแรกของการได้รับการปลดปล่อย ก็คือ เราต้องยอมรับก่อนว่า เรา "ต้องการ" การปลดปล่อยนั้น ซึ่งก็คือเราต้องยอมรับว่าเราเป็นคนบาป และได้ทำบาป และได้ติดคุก ..และต้องการ "สัจจะ" ซึ่งจะทำลายโซ่ตรวนทั้งสิ้นลง

เวลานี้เราอาจจะยังไม่ทราบว่าอะไรบ้าง ที่อยู่ใน จิต ในสมองของเรา ที่มาจากมาร ..แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้ เพราะว่า ..ในความเป็นจริง เมื่อเรายอมรับว่าเราติดคุก และรับอาวุธ จาก สัจจะ โดยพระนามพระเยซูคริสต์นั้น
...ถึงเวลานั้น พระองค์จะสอนเราเอง...

"ไม่ใช่หน้าที่"ของเรา ในการทำลายคุก
การทำลายคุกเป็นหน้าที่ของ พระเยซูคริสต์

หน้าที่ของเราคือ "รับเอา" ..รับเอา สัจจะ ของพระองค์ รับพระองค์เองซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดมาช่วยเหลือเรา
และก็อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า ..การจะรับเอา

ก็ต้องเริ่มจากการยอมรับก่อนว่า เราติดคุกอยู่ และต้องการพระเยซูคริสต์มาปลดปล่อยเรา....

----


อาจจะเกิดข้อสงสัยในบางท่าน ว่าทำไม พระเยซูคริสต์
"ไม่บุก" เข้ามาช่วยเราทุกๆคนซะเลย ง่ายดี
คำตอบคือ ...พระองค์ทำไม่ได้ครับ...

วิวรณ์ 3:20
นี่แน่ะเรายืนเคาะอยู่ที่ประตู
ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู
เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขาและเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา..


สิ่งที่พระองค์ทำได้ขณะนี้ก็คือ แค่เคาะ ประตูเท่านั้น
และอันที่จริงแล้ว พระองค์ทำมามากเกินพอแล้ว ที่ ไม้กางเขน....

พระองค์ได้ทำส่วนของพระองค์มามากกว่าที่พระองค์ต้องทำแล้ว พระองค์ได้เสียสละมากแล้ว และ ก้ สำเร็จแล้ว" ที่ไม้กางเขน ...ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของเราครับ

ว่าเราจะรับ หรือไม่รับ สัจจะ ของพระองค์

ถ้าเวลานี้เรายังคิดเราสบายดี ไม่เห็นต้องพึ่งพาพระเยซูคริสต์ นั่นก็คงแล้วแต่เรา ....
"แต่"

ลองไตร่ตรองและวิเคราะห์ความคิดนั้นสิครับ ความคิดที่บอกว่า
"เราสบายดี ไม่ต้องพึ่งพาพระองค์"
ว่ามันมาจากไหน ลักษณะความคิดมีบุคลิกอย่างไร หยิ่งผยองหรือไม่ ปกปิดอะไรบางอย่างอยู่หรือไม่..ไม่กล้าเปิดเผยอะไรอยู่หรือไม่ ..อายอะไรอยู่หรือไม่ ทะนงตนหรือไม่

ถ้ามีบุคลิกเหล่านี้ในความคิดนั้น
ท่านก็คือ "คนคุก"
ที่เชื่อเอาจริงๆว่า ท่านมี "อิสระ" ..เท่านั้นเอง...



พึงระลึกให้ดี

บางที่คำว่า "อิสระ" นั่นเอง ที่เป็นคุกของท่าน....

ตราบเท่าที่อิสระนั้นไม่ขัดแย้งกับ "สัจจะ" เมื่อนั้นอิสระ จึงจะเป็นอิสระแท้

และก็มีแต่สัจจะ เท่านั้น ที่จะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท
การแสวงหาความเป็นไท โดยไม่แยแสสัจจะ

เป็นเพียงแค่การ"ย้ายแดน" ในคุก เท่านั้นเอง....
แล้วก็เชื่อไปเองว่า ...เป็นอิสระ.....


.....
ถึงเราเองผู้เรียกตัวเองว่าคริสตชน
เราคงต้องถามเราเองว่า ณ เวลานี้ เราถือ “สัจจะ” ไว้กี่ สัจจะ
สัจจะของเพื่อนบ้าน สัจจะของสมาคม สัจจะของนิยาย สัจจะของนักเขียน สัจจะของกวี สัจจะของเราเอง
...หรือสัจจะของพระเจ้า...


พระเจ้าตรัสว่า พระองค์เป็นทางนั้นและเป็นความจริง
และพระองค์ตรัสว่า สัจจะจะทำให้เราเป็นไท


ถ้าเรายังรู้สึกว่าเราไม่เป็นไท เราคงต้องลองสำรวจดูว่า
เราถือ “สัจจะของพระเจ้า” แล้วหรือยัง

หรือสัจจะที่เราถืออยู่นั้น เป็นเพียง “เหตุผลจอมปลอม” หรือเปล่า



ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์คุ้มครองครับ
อาเมน




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2549 6:37:14 น.   
Counter : 433 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

เดียวดาย9อักษร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เดียวดาย9อักษร's blog to your web]