32Then you will know the truth, and the truth will set you free." 32 你 們 必 曉 得 真 理 , 真 理 必 叫 你 們 得 以 自 由 。

ละทิ้ง

1 โครินธ์ 13:11-12

เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็กคิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก
แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย..

เพราะว่าบัดนี้
เราเห็นสลัวๆเหมือนดูในกระจกแต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน

เดี๋ยวนี้....
ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์
เวลานั้น...
ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า..

----
เอเฟซัส4/13-14

จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเช่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า
จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่

คือเต็มถึงขนาดความไพบูย์ของพระเยซูคริสต์
เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป
ถูกซัดไปซัดมา และหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสอนทุกอย่าง

และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง

***


ไม่กี่วันก่อน พึ่งได้ฟังเรื่องตลกมาอีกเรื่องนึง ของบรรดาผู้ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน

มีศิษยาภิบาลท่านหนึ่ง "ย้ำ" ศิษยาภิบาล....
"เลิกเชื่อ" เพียงเพราะหนังเรื่องดาวินซี่โค้ด.....


ข้าพเจ้าเคยเขียนบทความอันนึง เกี่ยวกับหนังเรื่องเดอะบอดี้ ซึ่งมีเนื้อหาที่เป็นไปในทางที่สามารถทำให้คนเลิกเชื่อเรื่องพระเจ้าได้เช่นกัน
และข้าพเจ้ากทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ใช่คริสเตียน ข้าพเจ้าก็จะยิ่งคิดว่าพวกคริสเตียนโคตรงมงาย +โง่บรม
แต่ในความเป็นคริสเตียน และจากประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าพระเยซูคริสต์ หนังเรื่องนั้นก็ให้ข้อคิดดีๆหลายอย่างกับชีวิตคริสเตียน



ศิษยาภิบาลที่เลิกเชื่อเพียงเพราะหนังเรื่องดาวินซี่โค้ด ก็คงไม่ต่างอะไรกับบาทหลวงที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงในหนังเรื่องเดอะบอดี้

จะต่างกันก็ตรงที่ คนนึงฆ่าตัวตาย..ส่วนอีกคนึง เลิกเชื่อ
แต่จุดร่วมที่น่าจะเป็นจุดเดียวกันก็คือ

"ทนอับอายในความเป็นคริสเตียนต่อไปไม่ไหว"

เพราะว่า
จากสื่อต่างๆมากมายซึ่งคลอดออกมาจากฝ่ายที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าและไม่เคยมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้า และไม่มีความเข้าใจอะไรเลยในเรื่องพระเจ้านั้น ..มีมากเหลือเกิน ....และ เมื่อสิ่งนี้ถูกนับว่าเป็นส่วนมาก

ชนกลุ่มน้อยอย่างคริสเตียน ..ก็จะต้องถูกมองว่าโง่ให้ได้ เพื่อยกคนกลุ่มมากขึ้นให้ดู"ฉลาด"


...คริสเตียนที่เลิกเชื่อ สาเหตนึงที่ชัดมากๆก็คือ
..."อาย" ที่จะถูกมองว่าโง่ อยากทำตัวเป็นคนส่วนมาก
อยากฉลาด .....และถ้าการจะปฏิเสธความจริงเรื่องพระเจ้าจะทำให้เค้าฉลาดขึ้น ...เค้าก็จะทำ....


......
เกี่ยวกับตัวของข้าพเจ้าเอง ในสมัยนึงที่ข้าพเจ้ายังถูกเรียกว่าพุทธ ในที่ทำงานเก่าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะถกมองในแง่ดี ว่าพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง พอให้ไว้วางใจได้บ้าง

แต่เมื่อข้าพเจ้ากลายเป็นคริสเตียน
"เครดิต" ก็ถูกกดลงอย่างทันที ...
ข้าพเจ้าเริ่มเหมือนจะกลายเป็นอะไรที่ไว้วางใจไม่ได้

เพราะว่าที่ทำงานเก่าน้น ..แอนตี้พระเจ้าและยกชูมาร บูชาพวกรูปเคารพอย่างออกหน้าออกตา.....

......หรืออย่างเช่นในเวบบอร์ดเองก็ตาม
ถ้าข้าพเจ้า เขียนบทความที่อิงทางพุทธโดยสมบูรณ์ ก็จะมีคนยอมรับข้าพเจ้ามากกว่าการอิงทางพระเจ้า...
ทันทีที่ข้าพเจ้าเขียนบทความอิงทางพระเจ้า ....ข้าพเจ้าก็จะถูกมองว่า "โง่" ทันที


มาตรฐานที่ชาวโลกวางไว้สำหรับคริสเตียนก็คือ "โง่"
เพราะมาตราน มักจะถูกตั้งขึ้นเพื่อชนกลุ่มมากอยู่แล้วตมปกติวิสัยของจิตมนุย์

***

ถามว่า ในความเป็นคริสเตียน ณ เวลานี้ของข้าพเจ้า
ยังสามารถมีสื่อ หรือมีข้อมูลอะไรมั้ย ที่ทำให้ข้าพเจ้า จะยอมเลิกเชื่อพระเจ้า

อาจจะมี ..วันนึงข้างหน้าข้าพเจ้าอาจจะเลิกเชือเรื่องพระเจ้าก็ได้ ถ้า สิ่งที่หักล้างเรื่องพะรเจ้านั้น แข็งแรงกว่าพวกดวินซี่โค้ด ซึ่งคิดเองเออเองซะเยอะ

อาจจะมี ..ถ้าวันนึงมีคนที่ประสบการณ์เหนือธรรมชาติสูงกว่าข้าพเจ้ามาบอกข้าพเจ้าว่า
"เฮ้ยไอ้นอง ..เชื่อพี่ นั่นไม่ใช่ของจริง นี่พี่จะแสดงให้เอ็งดูว่าของจริงคืออะไร พี่ก็เคยเชื่อย่างเอ็งมาก่อน เชื่อพี่ พี่อาบน้ำร้อนมาก่อน"
ซึ่งพี่คนนี้ที่จะมาทำให้ข้าพเจ้าเลิกเชื่อ ไม่เพียงเค้าจะแสดงอะไรที่เหนือธรรมชาติได้ แต่ชีวิตและจิตวิญญาณของเค้าต้องทำให้ข้าสัมผัสได้ด้วยว่า มันมาจากแสงสว่าง...ไม่ใช่ความมืด....

เพราะเรื่องจของเรือ่งคือ มาร มันก็สำแดงอัศจรรย์ได้
แต่คนที่ใช้ต้องยิ่งชั่วยิ่งเต็มใด้วยฤทธิ์เดช...

ถ้ามีอย่างนั้นจริงๆ ...ข้าพเจ้าอาจจะเริ่มเอะใจได้ว่า ...พระเจ้าอาจไม่มีจริง...

....ทุกวันนี้มองไปตามร้านหนังสือ ตามอินเตอเนท
มีสื่อจำนวนมหาศาล จากประชากรส่วนใหญ่ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าพระเยซูคิสต์
พร้อมจะ"ดับความเชื่อของเรา"

ถ้าเราไม่เคยมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้า....

......

ทำไมข้าพเจ้าจึงให้แนวคิดว่าการมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าพระเยซูคริสต์พระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นสำคัญ

ก็เพราะว่า
มันคล้ายๆกับใบประกาศนียบัตร ..ว่าคนคนนั้นกลับใจจริงๆ

ถ้าคริสเตชนคนไหนก็ตาม เชื่อมานานแล้ว แต่บอกว่าไม่เคยมีประสบการรืตรงกับพระเจ้า ..ข้าพเจ้าก็คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากคนคนั้น "ไม่กลับใจจริง"


เพราะในพระคัมภีร์ก็บอกไว้แล้วว่า มีผู้เชือที่ไหน หมายสำคัญก็เกิดขึ้นที่นั่น ..ก็อาจจพอคิดได้ว่า ถ้าเป็นคริสตชนมาตั้งนานแต่ไม่เคยเจอหมายสำคัญเลย ..ก็ต้องคิดครับว่า
...ท่านเชื่อจริงๆหรือ ...ท่านกลับใจจริงๆหรือ...


..........
1 ทิโมธี 4/1-3

พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า
ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อโดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง
และฟังคำสอนของพวกผีปิศาจ

ซึ่งมาจากการหน้าซื่อใจคดของคนที่โกหก คือคนที่จิตสำนึกเป็นทาสของมาร

เขาห้ามไม่ให้ทำการสมรส
ห้ามบริโภคอาหารบางชนิดซึ่งพระเจ้าทรงสรางไว้ให้ผู้ที่เชื่อและรู้จักความจริง บริโภคด้วยขอบพระคุณ
........

1 ยอห์น 2/18-19
ลูกทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว
และตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาว่า
ปฏิปักษืของพระคริสต์จะมีมา บัดนี้ปฏิปักษ์ของพระคริสต์ก็มีมามากแล้ว

ฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว

เขาเหล่านั้นได้ออกไปจากพวกเรา แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ช่พวกของเรา

เพระว่า
ถ้าเขาเป็นพวกของเรา เขาก็จะอยู่กับเราต่อไป
แต่เขาได้ออกไปแล้ว ซึ่งก็เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า

เขาเหล่านั้นหาใช่พวกของเราไม่

....
1 ยอห์น 4/1-3

ท่านที่รักทั้งหลาย

อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆวิญญาณ
แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก

โดยข้อนี้
ท่นทั้งหลายก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้า
คือวิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่าพระเยซุคริสต์ได้เสด็จมาเปนมนุษยื
..วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า

และ

วิญญาทั้งปวงที่ไม่ยอมรับเชื่อพระเยซู วิญญานั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า
วิญญาณนั้นแลห่ะเป็นปฏิปักษืของพระคริสต ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินว่าจะมา

และบัดนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว...

***


วิญญาณปฏิปักษืของพระคริสต์ ได้ทำงานมากมายผ่านมนุษยืที่ไม่เชื่อในพระเยซุริสต์ เพื่อจะทำให้ผ้คนเชื่อว่าพระเยซูคริสตืไม่ใช่พระเจ้า พระเจ้าไม่มีจริง

ลักษณะผลงานของมัน "น่าเชื่อถือ" อย่างมากมาย
เพราะแนวร่วมเยอะ และการคุยว่าพระเจ้าไม่มีจริง ก็ดูฉลาดกว่าการคุยว่าพระเจ้ามีจริงเสมอ....

ปากต่อปาก แนวคิดต่อแนวคิด
ในที่สุด แนวคิดและหลักฐานและแนวร่วมว่าพระเยซูคริตืไม่ใช่พระเจ้าก็สืบต่อเป็นพันกว่าปี จนน่าเชื่อถือ....

ของโกหกบางชิ้น กลับกลายสภาพเป็นวัตถุมีค่าทางประวัติศาสตร์ ..และน่าเชื่อไปโดยปริยาย เพราะมันเก่าแก่....

.....แน่นอน

ว่าหลักฐานและแนวคิดจอมปลอมากมายเหล่นี้ ถ้าคริตชนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงในระบบเหนือมิติกับพระเจ้าพระเยซุคริสต์ ..ก็จบเห่แน่นอนในด้านความเชื่อ....


****

ขอให้เราเป็นอย่างที่ผู้รับใช้มากมายพยามอวยพรเรา ว่า

ขอให้เราทั้งหลายเติบโตขึ้นในความรู้ถึงพระองค์พระเยซุคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้เราจะโตขึ้นทุกวัน อย่าให้เราเป็นแต่เด็กในความเชื่ออีกต่อไป

อย่าให้เรารับได้แต่อาหารอ่อนๆเหลวๆอีกต่อไป

ขอให้เรามีศักยภาพที่จะเข้าใจในระดับที่สูงๆขึ้นเหนือมิติเหนือกาลเวลาที่ปิดตาโลกนี้อยู่

ขอให้เรามีประสบการณืที่จะมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์ มากมายในทุกๆวันของการดำเนินชีวิตในโลกนี้

ขอประสบการณ์และหมายสำคัญมากมายจะเกิดแก่เรา

ขอไฟแห่งพระวิญญาณชำระเราให้สะอาดเพียงพอแก่การเหล่านั้น

ขอให้เรา กลับใจจริงๆ ยอมจำนน ต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์
หากพระวิญญาณบริสุทธิ์จะ เผา เรา ก็ขอให้เรากล้าจะยอมถูกเผา

เพื่อเมื่อเราถูกเผาแล้วด้วยไฟแห่งพระวิญาณบริสุทธ์
เราจะได้ถูกหลอมขึ้นใหม่ เป็นคนใหม่
เป็นเมล็ดพันธุ์ใหม่ ที่พร้อมจะงอกขึ้น และเติบโตขึ้นจริงๆซะที

ขอพระเจ้าอวยพรเรา ขอเราจะได้มีประสบการณ์มากมายกับพระเจ้าไม่แพ้อย่างที่โมเสสหรือเอลียามี
และมากกว่านั้น ...ขอให้เรามีมากยิ่งกว่า

ขอพระเจ้าอวยพรเรา

ขอบคุณพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า
อาเมน




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2549 5:22:07 น.   
Counter : 351 Pageviews.  

รอคอย

--
ลูกา 12:30-31
เพราะว่าพวกต่างชาติทั่วโลกเสาะหาสิ่งของทั้งปวงนี้
แต่ว่าพระบิดาของท่านทั้งหลายทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งเหล่านี้..

แต่..
ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าแล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้..

---

โรม 8:32
พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา
ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลายด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ..

....

"การรอคอย....."


เราๆท่านๆคงคุ้นเคยกันกันดีสำหรับสำนวนว่า อยากกินของอร่อยต้องใจเย็นๆ
..ซึ่งถ้าคิดแบบซนๆหน่อย ก็อาจจะตีความได้สองอย่าง

1-ของอร่อย ..มันทำยาก..
2-จริงๆทำไม่ยากหรอก ...แต่ทำให้มันช้าๆจะได้ดูมีค่า

เป็นความจริงอย่างนึงว่า

"ไข่เจียว" อาหารโคตะระ เบสิค จะอร่อยที่สุด ถ้ามันถูกกิน ในเวลาที่เหมาะสม
ความเหมาะสมในที่นี้คือ

...ความเหมาะสมของเรา +ความเหมาะสมของไข่เจียว

ข้าพเจ้าเองเคยมีประสบการณ์กับไข่เจียว ทั้งแบบเห็นคุณค่ามัน และไม่เห็นคุณค่ามัน

บางทีข้าพเจ้าก็เห้นว่า ไข่เจียวช่างเป็นอาหารที่วิเศาอะไรเช่นนี้
แต่บางครั้งก็กลับเห็นว่า
..งั้นๆแหล่ะ...


----

นึกถึงเพลงซีซั่นเช้นจ์ ของพี่บอย(แหมเรียกซะอย่างกะรู้จักกับแก..)

เราคงไม่เห็นคุณค่าของออกซิเจน ถ้าเราไม่ได้เคยจมน้ำ แล้วผลุดขึ้นมาส่ผิวน้ำได้
เราคงไม่ค่อยเห็นคุณค่าหรือความงดงามของแสงแดด ..ถ้าเราไม่เคยเจอพายุฝน

ผมคงไม่ค่อยรู้ความวิเศษของไข่เจียวทูน่า เหยาะน้ำมันงา+น้ำตาลปลายช้อนเล็กน้อย
..ถ้าผมไม่เคยกินมันตอนหิวจัดๆ


......
น้ำดื่ม คงไม่ค่อยมีใครเห็นคุณค่าของมัน ในตอนที่มันหาได้ง่ายๆ หรือหาได้ทั่วไป


.....หลายสิ่งหลายอย่างรอบๆตัวเราที่มีค่า ..กว่าเราจะรู้ค่าของมัน ก็เมื่อวันที่เราเสียมันไปแล้ว....

...การรอคอย ...การรู้คุณค่าของสิ่งรอบตัว....

.........

บ่อยครั้ง ที่เรามักจะอยากได้นู่นอยากได้นี่ ..แต่เราอาจไม่เคยสำรวจตัวเราว่า
..มันถึงเวลารึยัง...

เวลาในที่นี้ หมายถึงสองอย่าง อย่างแรก เวลาที่คือเวลา และอย่างที่สองคือ เวลาที่หมายถึง ความเหมาะสมของสภาพตัวเรา

ในลูกกาที่ยกมาตอนต้นนั้น
พระเจ้าตรัสว่า ให้แสวงหาความชอบธรรมของพระองค์ "ก่อน"
แล้วพระองค์จึงจะประทานสิ่งเราต้องการนั้นให้ และมากเสียยิ่งกว่าเราจะนึกได้ ..เพื่อเราจะได้เห็นว่าเป็นพระคุณจริงๆ ไม่ใช่เป็นค่าตอบแทนความดีอะไรของเรา...


อาจเกิดคำถามว่า .."ทำไม" ต้องแสวงหาความชอบธรรมของ
พระองค์ก่อน
ขอยกตัวอย่างในเรื่องคู่ครอง

แน่นอนว่า คริสเตียนชายหญิงสองคน จะมาตกลงปลงใจแต่งงานกัน ภายใต้การทรงนำของพระเจ้านั้น
..ความจริงพื้นฐานอย่างนึงก็คือ ...

ทั้งชายและหญิงนั้น เป็นบุตรของพระองค์ทั้งคู่
และพระองค์ก็ทรงรักทั้งคู่ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน

และพระองค์ก็ปรารถนาให้ทั้งคู่ได้คู่ครองที่ดีที่สุด..

ทีนี้...
สมมุตว่า ฝ่ายชายยังทำตัวไม่เข้าท่า ..ยังเจ้าชู้ ยังชอบกะล่อน..
ถามว่า ...พระเจ้า ซึ่งเป็นผู้ปกครองของฝ่ายหญิงด้วยนั้น
...จะยอมยกฝ่ายหญิงที่เพอเฟค ให้ฝ่ายชายมั้ย?

จริงอยู่ สองคนนั้นอาจจะเป็นคู่กันจริงๆ แต่ว่า
ฝ่ายชายอาจจะยังไม่คู่ควรอะไรเลยกับฝ่ายหญิง...
ในกรณีนี้ มองกันแบบมนุษย์ๆ ผู้ปกครองของฝ่ายหญิงซึ่งรักฝ่ายหญิงดังแก้วตาดวงใจ ... คงไม่ผลีผลามยกฝ่ายหิงให้ฝ่ายชายแน่

การ "ดัดนิสัย" จึงมีมาก่อน เพื่อเตรียมฝ่ายชายให้ดีพอ สำหรับบฝ่ายหญิง ...

.....เช่นกับทุกๆเรื่อง ที่เราปรารถนาจะได้รับ ...
เรามักจะคิดว่าเราสมควรได้และถึงเวลาแล้ว... แต่บ่อยครั้งเราไม่ค่อยพิจารณาตัวเองเลยว่า มันถึงเวลาแล้วจริงๆหรือไม่ ..หรือเราสมควรได้รับแล้วจริงๆหรือไม่....

....
...การรอคอย....

บางอย่างที่เราต้องการ เราอาจจะมีความต้องการมั อย่างมาก ..และต้องใช้ควมอดทนอย่างสูง เพื่อรอเสป็คที่จะมาจากพระเจ้า ...ถ้าเราวางใจพระองค์

แต่

มีบ่อยครังที่เรา "รอไม่ไหว"
ขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน ..แก้ขัดไปก่อน...
แน่นอนว่า ..สิ่งนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่นอน


มีการทดลองมากมาย พร้อมจะยั่วยวนเรา ให้รอคอยไม่ไหว ...ให้เราหลงไปกับการยั่วยวน ให้เรามองแค่ผลประโยชน์รายทาง โดยลืมมอง รางวัลใหญ่...
กลวิธีนี้ใช้ได้ดี ถ้าเรายังมีความ"โลภ"

และมีความ "ไม่วางใจ" ในพระเจ้า

เราอาจจะเริ่มคิดไปว่า รอมาตั้งนานแล้ว พระเจ้าจะมีรางวัลให้ฉันจริงเร้อ... มันนานแล้วนะ ...หาเอาแถวนี้ดีกว่าม้างง รอนานแล้วนะ...

...ถ้าเปรียบการรอคอยเหมือนการเดินทางสู่จุดหมายด้วยพาหนะชนิดหนึ่ง...
การเดินทาง ที่ "เร็วที่สุด" คือการไม่แวะ

และเร็วกว่าการไม่แวะ คือการจดจ่ออยู่กับเส้นทางตรงหน้าอย่างเดียว ..
เพราะว่า การที่จะเร่งพาหนะของเราให้ได้ความเร็วสูงๆนั้น ..การหันซ้ายหันขวาเป็นเรื่องต้องห้ามเด็ดขาด...
สมาธิหลุดหันซ้ายหันขวาเมื่อไหร่ รถคว่ำแน่....


..ถนนที่เราเดินทางสู่สิ่งที่เรารอคอยนั้น ไม่มีทางราบเรียบแน่นอน ..เพราะว่า โลกนี้ อยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย...

ตามถนน อาจจะมีการแอบวางตะปู

ระหว่างทางอาจจะมีการล่อหลอกด้วยจุดแวะพักที่น่าสนใจถ้าเราแวะจอดที่ไหน อาจมีการแอบมาเจาะยางปล่อยลม

ร้ายกว่านั้น อาจมีการแจกบ้านฟรีให้ซะเลยตามทาง จะได้เลิกเดินทาง ..ซะงั้น...

......

การแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า อุปมาก็คล้ายการขับพาหนะ ด้วยความเร็วสูงสุดนั่นเอง ..เพื่อให้ถึงจุดหมายเร็วที่สุด

เราจะไม่มีทางขับพาหนะให้เร็วได้เลย ถ้าเราว่อกแว่ก..
เราจะขับให้เร็วไม่ได้ ถ้าเราไม่จดจ่อ
เราจะขับให้เร็วไม่ได้ ถ้าเราดูแลรักษาพาหนะเราไม่ดีพอ...
เราจะขับให้เร็วไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้จักถนนดีพอ...

.....

มีพระพรมากมายจากพระเจ้าในหลายๆด้าน ที่ไม่สามารถมาถึงคนคนนั้นได้ และเป็นพระเจ้าเองที่ระงับพรนั้นไว้
เพราะว่า

เค้ายังไม่คู่ควรจะรับพรนั้นไว้ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าหวงสิ่งดีอะไร เพราะขนาดพระบุตรยังทรงประทานลงมาให้ได้เพื่อไถ่บาป
แต่เพราะว่า

สิ่งดีๆหลายอย่างที่พระเจ้าเตรียมให้เรานั้น ถ้าเราได้มาในสภาพที่เรายังไม่เหมาะสม กลับจะเป็นผลร้ายสำหรับเรามากกว่าผลดี

เช่น

เกียรติ...
เราจะไม่มีทางได้รับเกียรติอย่างมากมายอย่างที่เราจะได้รับโดยพระพร หากเรายังมีนิสัย "รักเกียรติ..."

ความร่ำรวย
เราจะไม่มีทางได้รับมัน ถ้าเรายังตระหนี่ ใจแคบ และขี้อวด

ความรัก
เราจะไม่ได้รับมัน ถ้าเรายังไม่รู้จักดูแลความรักดีพอ....

....
ในระหว่างเส้นทางแห่งการรอคอย..
เราอาจจะพบทั้งเกียรติ ทั้งความร่ำรวย ทั้งความรัก ที่มารเสนอให้... เพื่อให้เราหยุดเดินทาง
หยุดแสวงหา "ความชอบธรรมของพระเจ้า"

นั่นก็อยู่ที่เรา...
ว่าเราจะเอาของตามรายทาง ...
หรือเราจะเอารางวัลใหญ่

ลองพิจารณาถึงผู้ให้รางวัล
ผู้หนึ่งเป็นมาร ชอบโกหก ชอบโกง
อีกผู้หนึ่งเป็นพระผู้สร้าง ใหญ่กว่ามาร และไม่โกหกเลย....


***




อย่ายุ่งเกี่ยวกับดอกไม้ตามการเดินทาง
อย่าหันไปตามกลิ่นหอมที่สายลมแห่งการทดลองนำมา
จงเข้มแข็งและมั่นคงในการเดินทาง
จนกว่าการเดินทางจะสิ้นสุดลง

...ที่สวนแห่งการจัดเตรียมของพระเป็นเจ้า.....



.....
ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้าอวยพระพรเราครับ
อาเมน




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2549 5:20:13 น.   
Counter : 413 Pageviews.  

ตะเกียงกับการประกาศ

2 ทิโมธี 4:1-5

ข้าพเจ้ากำชับท่านต่อพระพักตร์พระเจ้าและพระเยซูคริสต์ผู้จะทรงพิพากษาคนเป็นและคนตาย
โดยอ้างถึงการที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏและแผ่นดินของพระเจ้าว่า..

ให้ประกาศพระวจนะ
ให้ขะมักเขม้นที่จะทำการทั้งในขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส
ให้ชักชวนด้วยเหตุผลเตือนสติและตักเตือนให้อดทนอยู่เสมอในการสั่งสอน..



เพราะ...
จะถึงเวลา
ที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้
แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟังเพื่อบรรเทาความอยาก..

เขาจะเลิกฟังความจริงและจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ..

แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคงจงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก
จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐและจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ..

......

มัทธิว 5:16

ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง

จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวงเพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ
เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์..


***




มัทธิว 10:16-20

ดูเถิดเราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางหมาป่าเหตุฉะนั้นจงฉลาดเหมือนงูและไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ..

แต่จงระวังตัวให้ดีเพราะคนเขาจะอายัดท่านทั้งหลายไว้กับศาลและจะเฆี่ยนท่านในธรรมศาลาของเขา..

และจะนำท่านส่งไปให้เจ้าเมืองและกษัตริย์เพราะเราเพื่อท่านจะได้เป็นพยานแก่เขาและแก่คนต่างชาติ..

แต่เมื่อเขาอายัดท่านไว้นั้นอย่าเป็นกังวลว่าจะพูดอย่างไรเพราะเมื่อถึงเวลาคำที่ท่านจะพูดนั้นพระเจ้าจะทรงประทานแก่ท่านในเวลานั้น..

เพราะว่าผู้ที่พูดมิใช่ตัวท่านเองแต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของท่านผู้ตรัสทางท่าน..


----

ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้าเสริมกำลังท่านครับ
อาเมน




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2549 5:16:22 น.   
Counter : 326 Pageviews.  

"เราอยากหายจริงหรือ?"

ลูกา 19:1-5
ฝ่ายพระเยซูจึงเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะทรงผ่านไป.. ดูเถิดมีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียสเป็นนายด่านภาษีและเป็นคนมั่งมี..


ศักเคียสพยายามจะดูให้เห็นพระเยซู ว่าพระองค์เป็นผู้ใดแต่ดูไม่เห็นเพราะคนแน่นด้วยเขาเป็นคนเตี้ย.. เขาจึงวิ่งไปข้างหน้าขึ้นต้นมะเดื่อเพื่อจะได้เห็นพระองค์ เพราะว่าพระองค์จะเสด็จไปทางนั้น..



"เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่นพระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสแก่เขาว่าศักเคียสเอ๋ยจงรีบลงมาเพราะว่าเราจะต้องพักอยู่ในตึกของท่านวันนี้"..

***
มัทธิว 9:20-22
ดูเถิดมีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตได้สิบสองปีมาแล้วแอบมาข้างหลังถูกต้องชายฉลองพระองค์..

"เพราะนางคิดในใจว่าถ้าเราได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้นเราก็จะหายโรค"..

"ฝ่ายพระเยซูทรงเหลียวหลังทอดพระเนตรเห็นเข้าจึงตรัสว่าลูกหญิงเอ๋ยจงชื่นใจเถิดที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ"นับตั้งแต่เวลานั้นผู้หญิงนั้นก็หายป่วยเป็นปกติ..

**



ทั้งศักเคียส กับหญิงซึ่งเป็นโรคตกโลหิต
อยู่ในอาการการเดียวกันของสถานะการณ์เดียวกัน คือ ทั้งคู่ล้วนแต่ต้องการ "การรักษา" จากพระเยซู
สถานะการณ์เดียวกัน
คือผู้คนเบียดเสียด เป็นการยากยิ่งที่จะเข้าพบหรือแม้แต่เห็นพระองค์

แต่ทั้งคู่ ก็ตะเกียกตะกาย เข้าไปถึงพระองค์จนได้....



....




"เราอยากหายจริงหรือ?"

ความอยาก... มักดจะส่ออกมาทางพฤติกรรมและความพยามของเราจนออกนอกหน้า ..เมื่อเรา อยากอะไรซักอย่าง
ผมจำได้ ว่าซักสิบกว่าปีก่อน ...สมัยบ้าคลั่งดนตรีร็อคใหม่ๆ ..ช่วงนั้นนิตยสารเกี่ยวกับด้านนี้ก็มี "ไควเอ็ตสตอร์ม" แล้วทีนี้ ..ใน้นก็จะมีข้อมูล เกี่ยวกับอุปกรณ์ดนตรี หรืออัลบั้มร็อคเจ๋งๆมากมาย เป็นการเปิดโลกทัศน์ทางดนตรีของผมอย่างมาก ...และในน้นก็มีร้านค้าตามที่ต่างๆซึ่งมีสิค้าที่ว่านั้น วางขาย ..ซึ่งสมัยนั้นพึ่งเข้ากรุงเทพหมาด ที่ทางอะไรก็ไมรู้

แต่ก็ดันทุรังไฟแรงด้วยความอยาก ..นั่งรถเมล์มั่วจนหาร้านเหล่านั้นเจอ ..และได้ของที่อยากได้ มาสมใจอยาก...

.....

สมัยก่อน เคยได้ยินข่าวว่า ตั๋วคอนเสริท ของวงดนตรีร็อคยี่ปุ่น อย่างพวกเจร็อค สามารถขายตั๋วได้หมดภายในแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโงแรกที่เปิดจอง ...แค่เปิดจองนะ

เคยอ่านนิตยสารเกม ..เคยเห็นพวกคลั่งวีดีโอเกม ถึงขนาดไปปูเสื่อ"เข้าคิวนอน"คอยหน้าร้านขายแผ่นเกม เพื่อที่จะสามารถซื้อเกมที่อยากเล่นนั้นได้ เพียงวันแรก ที่วางจำหน่าย

...อะไรจายอมลงทุนขนาดน้านนนน...

ถึงว่านะ ก็มัน "อยาก" จริงๆนี่



........

ในชีวิตคริสเตียน
ท่นเคยปรารถนาที่จะรับการักษาจากอะไรบางอย่างบ้างมั้ย?

ความปรารถนานั้นมากแค่ไหน?

ท่านอธิษฐานเพื่อการนั้น หรือคนอื่นอธิษฐานเพื่อการนั้นเพื่อท่าน มากแค่ไหน?


มีความปรารถนามากแค่ไหน
มีความ "จริงใจ" มากแค่ไหน

สมมุตเราจีบคนสองคน ..ต้องมีคนนึที่เรายอมทุ่มทุนสราง มากกว่าคนนึง ..เพราะเราจริงใจมากกว่า....

......


นึกถึงหนังเรื่องบรู๊ซออลไมตี้ 7วันนี้พี่ขอเป็นพระเจ้า
แสดงนำโดยพี่จิมแครี่ กะพี่มอแกนฟรีแมนซึ่งรับบทพระเจ้า

ในตอนท้ายๆใกล้จบเรื่อง พระเอกของเรา ตาย...
และไปยืนคุยอยู่กับพระเจ้า(มอแกนฟรีแมน)

พระเจ้าได้บอกว่า ปรารถนาให้พระเอก อธิษฐาน...
พระเอกก็ เอาก็เอา ...ตายแล้วนี่ ไม่มีไรทำอยู่แล้ว ก็เริ่มเลย อธิษฐาน ประมานนี้ว่า....

"ขอให้โลกสงบสุข ขอให้โลกไม่มีสงคราม ขอให้ไมมีความอดอยาก..."

จบ... แล้วพระเอกก็ยิ้มอย่างภูมิใจ ถามพระเจ้าว่า เป็นไง ผมอธิษฐานเจ๋งมั้ย

พระเจ้าก็สีหน้าเซ็งมากเลย บอกไปว่า
"ก็ดีนะ ถ้าเธออยากจะเป็นนางงามจักรวาล"

พระเอกหน้าเสีย+จ๋อย
พระเจ้าบอกว่า
"จริงๆแล้ว เจ้าปรารถนาอะไรกันแน่ บอกมาเถอะ"

พระสีหน้ามาดเข้ม จริงใจมากขึ้น สารภาพออกมาว่า
"ผมอยากให้คนรักผมเธอได้เจอผู้ชายที่ดี ที่รักเธอ อย่าทำให้เธอเสียใจเหมือนอย่างที่ผมทำ ..ขอให้ผู้ชายคนนั้นเห็นคุณค่าของเธอ อย่างที่ผมเห็นอยู่ขณะนี้.."


"บิงโก..."

นั่นล่ะ คำอธิษฐานของแท้ล่ะ....

*****


พระเจ้าตรัสว่า พระองค์ปรารถนาผู้จะนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง




ย้อนกลับมาที่ต้นความของเรา

"เราอยากหายจริงๆเหรอ"

เราอาจจะเคยอธิษฐานขอการปลดปล่อย ขอการรักษษโรคบางอย่าง
เราอาจจะสงสัยว่า "ทำไม" คำอธิษฐาน ถึงไม่ได้รับการตอบ ..ซะที...

..พระเจ้าอาจจะถามกลับมาว่า...

"เจ้าอยากหายจริงๆเหรอ?"
"เจ้าอยากหาย แต่เจ้ากลับยังทำสิ่งที่จะทำให้เจ้าไม่หาย อย่างหน้าตาเฉย"
"เจ้าอยากหายจริงๆเหรอ"
"เจ้าอยากหาย แต่พฤติกรรมเจ้ากลับส่อว่า หายก็หายไม่หายก็ช่าง"
"เจ้าอยากหายจริงๆเหรอ"
"ท่าทีอะไรของเจ้าที่สำแดงถึงความจริงใจที่เจ้ามีต่อคำอธิษฐานนั้นหรือ"

"เจ้าอยากหายจริงๆหรือ"

"เจ้ากำลังพูดความจริงกับเรา จริงๆหรือ?"

"เจ้าจริงใจกับเรา จริงๆหรือ"

"เจ้าเห็นเราเป็นพระเจ้าสูงสุดของเจ้าจริงๆหรือ ..หรือเราเป็นแค่ ทางเลือกนึงของเจ้า"

"เจ้าเชื่อจริงๆหรือว่าเรารักษาเจ้าได้"

"ถ้าเจ้าเชื่อ เหตใดจนป่านนี้เจ้ายังไม่พูดความจริงกับเรา"

"เจ้าอยากหายจริงๆหรือ"

"สิ่งที่เจ้าทำอยู่นั้น ...บ่งบอกจริงๆหรือว่าเจ้ากำลังพูดความจริงกับเรา"

...เจ้าอยากหายจริงๆหรือ....


ศักเคียสและหิงตกโลหิตคนนั้นทั้งเช่อ และจริงใจ และตะเกียกตะกาย ..เพื่อเข้าใกล้ชิดถึงตัวพระเยซูคริสต์
....ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสองคนนั้น จริงใจแค่ไหน


.."เราอยากหายจริงๆหรือ?"

เราจริงใจอยู่รึเปล่า ..... หรือหายก็ช่างไม่หายก็ช่าง
เรากำลังทำอะไรอยู่ ในขณะที่เราบอกว่าเรา ..."อยากหาย"
..เรากำลังโกหก อยู่รึเปล่านะ...



ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์อวยพรและโปรดอภัยในคำโกหกและคำไม่จริงใจของเรา ที่เราได้ทูลต่อพระองค์
อาเมน




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2549 5:14:16 น.   
Counter : 324 Pageviews.  

หลงไป

ในสมัยที่โมเสสนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ บันทึกในกันดารวิถีได้บันทึกเรื่องหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับ "งูทองสัมฤทธิ์"....

.....

กันดารวิถี 21:4-9
เขาทั้งหลายออกเดินจากภูเขาโฮร์ตามทางที่ไปทะเลแดงเพื่อจะอ้อมแผ่นดินเอโดมประชาชนท้อถอยเพราะเหตุหนทาง.. และประชาชนก็บ่นว่าพระเจ้าและว่าโมเสสว่า

"ทำไมพาเราออกจากอียิปต์มาตายในถิ่นทุรกันดารเพราะไม่มีอาหารและไม่มีน้ำเราเบื่ออาหารอันไร้ค่านี้"..

และพระเจ้าก็ทรงให้งูแมวเซามาในหมู่ประชาชนงูก็กัดประชาชนและคนอิสราเอลตายมาก..

และประชาชนมาหาโมเสสกล่าวว่า
"เราทั้งหลายได้กระทำบาปเพราะเราทั้งหลายได้บ่นว่าพระเจ้าและบ่นว่าท่านขอทูลแด่พระเจ้าขอพระองค์ทรงนำงูไปจากเราเสีย"ดังนั้นโมเสสจึงอธิษฐานเพื่อประชาชน..

และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
"จงทำงูแมวเซาตัวหนึ่งติดไว้ที่เสาทุกคนที่ถูกงูกัดเมื่อเขามองดูเขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้"..

ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่งและติดไว้ที่เสาแล้วถ้างูกัดคนใดถ้าเขามองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นเขาก็มีชีวิตอยู่ได้..

....

งูทองถูกสรางขึ้นตามคำสั่งของพระเจ้า เพื่อ เป็นสัญลักษณ์ที่จับต้องได้ของบรรดาอิสราเอลที่ขี้บ่น และไม่ค่อยยำเกรงพระเจ้า ..หลังจากทีงูแมวเซาถูกส่งมาก่อนหน้านั้นเพื่อดัดนิสัยเดียวกันที่ว่านี้....


เวลาผ่านไป พ้นยุคโมเสส พ้นยุคดาวิด พ้นยุคเอลียาห์

ถึงยุคกษัตริย์เฮเซคียา....
เป็นระยะเวลายาวนานจากสมัยกันดารวิถี ..แต่

"งูทองสัมฤทธิ์ตัวนั้นยังอยู่"

หากแต่มันไม่ได้อยู่ในฐานะอย่างที่มันเป็นอีกต่อไป
เพราะมัน ได้กลายสภาพเป็น "รูปเคารพ"

2 พงศ์กษัตริย์ 18:4
พระองค์ทรงรื้อปูชนียสถานสูงทิ้งไปและทรงพังเสาศักดิ์สิทธิ์เสียและตัดอาเชราห์ลงเสีย

และพระองค์ทรงหักงูทองสัมฤทธิ์ซึ่งโมเสสสร้างขึ้นนั้นเสีย
เพราะว่าประชาชนอิสราเอลได้เผาเครื่องหอมให้แก่งูนั้นจนถึงวันเหล่านั้นเขาเรียกงูนั้นว่าเนหุชทาน..

****

"หลงไป"

งานอย่างนึงของซาตานก็คือ ทำให้คน "หลงไป"
ถ้านับจากบันทึกในไบเบิ้ล

ครั้งแรกมันได้ทำกับอาดัมและเอวา
มันเริ่มจากทำให้ "สิ่งต้องห้าม" กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจให้ลิ้มลอง ...
เมื่องานชิ้นแรกสำเร็จ ...เมื่อนั้นมนุษยืก็ตกอยู่ใต้อานุภาพของมัน ...

ลำดับที่สอง ..มันได้ทำให้เรื่องที่ "ปกติธรรมดา" กลายเป็นเรื่อง "น่าอาย"

----

ปฐมกาล 3:7 ตาของเขาทั้งสองคนก็สว่างขึ้นจึงสำนึกว่าตนเปลือยกายอยู่ก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้..

ปฐมกาล 3:10-11
ชายนั้นทูลว่า
"ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในสวนก็เกรงกลัวเพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่จึงได้ซ่อนตัวเสีย"..

พระองค์จึงตรัสว่า
"ใครเล่าบอกเจ้าว่าเจ้าเปลือยกายเจ้ากินผลไม้ที่เราห้ามมิให้กินนั้นแล้วหรือ"..

----

ทำให้หลงไป สร้างความสับสนทางความคิด สลับร้ายให้ดี ทำให้เรื่องที่ไม่มีอะไรเป็นเรื่องขึ้นมาได้ ....เหตผลจอมปลอม ...ทำทุกอย่างให้คนเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าผู้เป็นสัจจะ .... "คลาดเคลื่อน"

ยกตัวอย่างเรื่องนึง ซึ่งเห็นชัดมากๆ "sex"
มารได้ทำเรื่องsexปกติๆและเป็นธรมชาติ ซึ่งพระเจ้าตั้งไว้สมัยสร้างอาดัมกับเอวา ..
..กลายเป็นเรื่องลี้ลับ...

......

"sex"

พอมันกลายเป็นเรื่องลี้ลับปุ้บ นานไปมันก็กลายน่าสนใจมากๆทุกยุคทุกสมัย ..จากที่คนไม่ต้องใส่เสื้อผ้า ก็ต้องมาใส่เสื้อผ้า ..ภาพโป้ แค่ผู้หญิงโชว์ท่อนบน ก็ กลายเป็น "ภาพลามก" ได้ ทั้งๆที่จริงๆถ้านึกถึงสมัยที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มาดีๆ มันก็ไม่มีอะไร

มารทำให้ เรื่องปกติ ไม่ปกติ ซึ่งความปกติที่กลายเป็นว่าไม่ปกตินี้ อยู่ในมนุษย์ทุกๆคน
..นับว่าเป็นงานชิ้นโบแดง ของมันเลยก็ว่าได้


"ใครเล่าบอกว่าเจ้าเปลือยกาย" พระเจ้าตรัสดังนี้

ไม่มีเลย สัจจะไม่เคยบอกว่ามนุษย์เปลือยกาย แตมาร ได้พยามหาช่องทุกทาง ที่จะทำให้มนุษย์
"ใจเป็นทุกข์โดยไม่มีเหต"

"sex"
คงเป็นเรื่องนึง ที่น่าเล่นมากๆ ในสายของมาร ยิ่งมันทำให้เรื่องปกติๆ ยิ่งลี้ลับ คนก็ยิ่งสนใจ จากเรื่องไม่มีอะไร เลยกลายเป็นมีอะไรขึ้นมา

พัฒนา กลายเป็นบาป..... ในที่สุด

จาก sex เพื่อการสืบพันธุ์ ก้กลายเป็น sex ที่ลี้ลับ เป็นเรื่องน่าค้นหาของมนุษยชาติ
..ใครเจอ ใครรู้จัก ใครได้ลิ้มลอง ก็กลายเป็น "ผู้ค้นพบ" สิ่งลี้ลับ...ไปซะงั้น....

ยิ่งมารทำให้เรื่องsex เป็นเรื่องลี้ลับ ก็ยิ่งไปกระตุ้นคนให้แสวงหา ...พอคนแสวงหาเจอสิ่งที่เขาเชื่อกันว่าลี้ลับ ก็ดันไปภูมใจ ..เอาโว้ย ข้าเจอสิ่งที่ลี้ลับแล้ว ข้าอัพเกรดแล้วโว้ยยยย ....ปัญญาอ่อน ..รึเปล่า....

มาร ได้ทำให้ ความปัญญาอ่อนนี้ กลับกลายเป็น ความน่าไปให้ถึงจุดนั้น ..คือค้นพบเรื่องที่เชื่อกันว่า ลี้ลับ...
และให้ภูมใจถ้าเจอ...

แผนการตลาดของมาร ซับซ้อน และฝังรากลึกอย่างมากในเร่องsex

มันได้ขโมยของของพระเจ้าไปปู้ยี่ปู้ยำ สนุกสนานกับความหายนะของมนุษย์ นั่งหัวเราะชอบใจกับมนุษย์ที่หลงกลเดินไปตมแผนการตบาดของมัน

มันนั่งหัวเราะมนุษย์หลายๆประเภท อาจจะมีบางประเภท เกิดขึ้นโดยที่มันก็ไม่คาดคิดมาก่อน ..แต่ก็ถือเป็นผลงานของมัน เกี่ยวกับการทีมันสามารถ ทำให้คน เข้าใจเรื่อง sex เพี้ยนไป ได้

มันแค่เริ่มจาก ทำให้อาดัมกับเอวา อายที่ ไม่ใส่เสื้อผ้า ..ซึ่งคำว่าเสื้อผ้าสมัยนั้น คืออะไร ยังไม่ถูกบัญญัติด้วยซ้ำ

เพราะจะเห็นว่า จริงๆแล้ว คนที่ให้เสื้อผ้ากับมนุษย์เพื่อให้พวกเค้ากล้าออกจากหลังต้นไม้ก็คือ "พระเจ้า" ซึ่งในขณะนั้น อาดัมกับเอวา ทำเป็นแค่ หา "อะไรก้ได้" มาปิดๆร่างกายไว้

.....


คนหลายประเภทเกิดขึ้น จากผลงานของมาร
คนหลายประเภท พัฒนาขึ้นจากคนยุคก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลงานของมาร

กลุ่มที่1-บ้างก็ รังเกียจ sex บอกว่าเป็นเรื่องสกปรก ...ไม่งาม
...เสร็จแล้วตัวเอง ก้ไปมั่วเsex ซะเอง....
...เสร็จแล้ว ตัวเองก็ไปกระหายใคร่sex ซะเอง
...เสร็จแล้วลับหลังคน ตัวเองก็ไป หมกมุ่นซะเอง....

กลุ่มที่2-บ้างก็ตรงกัข้าม sex เป็นเรื่องธรรมชาติ ..เอนเตอเทนมันให้เต็มที่
คนพวกนี้ก็จะกลายเป็น เพลย์บอย เพลย์เกิล .. sex หรรษา ปาตี้sex รักข้ามคืน สารพัดจะตามแตต่จะหาเอาได้

แล้วปากก็บอกว่า "ธรรมชาติ"
...บ้ารึเปล่า ..ธรรมชาติ แต่ทำไมบ้ากามผิดปกติ...

พวกนี้ก็เข้าข่าย "อ้างไปข้างๆคูๆ" เพื่อให้ตัวเองที่บ้ากาม ..ดูดีขึ้นมา

....

บรรดากลุ่ม2 ก็เมามันออกหน้าออกตาไปในเรื่องsex
และก็มีข้ออ้างที่ดูดี เรื่องธรรมชาติ ใครๆเขาก็ทำ ..เป็นความภูมิใจเฟร้ย ...รับน้องต้องเที่ยวซ่อง อะไรพรรณนี้

บรรดากลุ่มที่1 ก็มาเลย ประนามกลุ่มที่2จัง
ไอพวกสกปรก ..ไอพวกไม่รู้จักคิด ..ไอพวกไม่มีศีลธรรม
พวกข้านี่โว้ย ..สูงส่ง ..ละแล้วซึ่ง sex...
...แต่พอลับหลัง...ก้ .....

....
กลุ่มสอง ก็sex กันเปิดเผยว่าsex
กลุ่มหนึ่ง ก็แอนตี่sex แต่ก็ยังแอบ sex แบบหน้าชื่นอกตรม

วนเวียนในวังวนกันไป ตราบเท่าที่อวัยวะและฮอร์โมนมันยังมี .. รอคอยหวังใจว่า อวัยวะเสื่อมเจ๊งหมดฮอรืโมน ..คงหลุดได้เอง....


แต่
กลุ่มคนทั้งสองกลุ่ม ก้ "น่าสงสาร"
ในสายพระเนตรพระเจ้า เสมอ.....

เพราะว่า

พวกเค้ากำลังโดนหลอกให้อยู่ในความบาป และความทุกข์ทรมาน ...กันทั้งสองกลุ่ม...

....



ทัศนคติของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ"บาปทางเพศ"
คริสเตียน

"ต้อง" ถือข้อนี้วางไว้เป็นมารฐาน คือว่า
*****
มัทธิว 5:27-28
ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่าอย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา..

ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่าผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้นผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว..

****

นี่คือมาตรฐาน ซึ่งพระเจ้าวางใว้

อาจจะมีบางคนเกิดความขัดแย้งขึ้นในใจว่า
ในเมื่อพระเจ้า ตั้วงsex ขึ้นมา แล้วทำไมกลับมี ข้อห้ามเรื่องsex
เกี่ยวกับเร่องนี้ อุปมาก็เหมือนกับตอนที่พระเจ้าให้เสื้อผ้ากับอาดัม-เอวา ทั้งๆที่พระองค์ตรัสว่า "ใครเล่าบอกว่าเจ้าเปลือยกาย" .นั่นเอง


พระเจ้าต้องทำอะไรหลายอย่างมากมาย เพียงเพราะว่า บุตรของพระองค์ ไปหลงกลซาตาน
พระเจ้าต้องตามแก้ไข ในสิ่งที่พระองค์ไม่จำเป็นต้องแก้ไข

พระองค์ทรงรักสิ่งที่ผิดพลาดมากถึงขนาด ยอมให้พระองค์เอง ลงมามีสภาพที่อ่อนแออย่างมนุษยื คือพระเยซูคริสต์
ถูกตรึงตาย ....เพื่อเป็นการทำลาย การตกเป็นทาสของมาร ...โดยการับผลของ"ความบาป" ไว้ที่พระองคืเองซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์

เพื่อนำให้มนุษยชาติ กลับมามี "ความเข้าใจที่ถูกต้อง" ในหลายๆเรื่อง ที่มารมันป่วนซะเละ แม้แต่เรื่องธรรมดาๆ มันก็ทำให้เป็นเรื่องร้ายๆได้ ทำให้กลายเป็นเหตแห่งหายนะได้



****


"หลงไป"

ในความเป็นคริสเตียน
เราควรต้องเรียนรู้ทั้งจากเรื่อง ความอายในการเปลือยกายอย่างไม่เหตผลจากบรรพบุรุษทางเนื้อหนังของเรา
และทั้งจากเรื่องงูทองนั้นด้วย

"ความคิดจากมาร"
เตรียมพร้อมแสตนบายไว้เสมอ ..ที่จะแทรกแซง แอบเข้ามาในจิตใจเรา เพื่อเปลี่ยนเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่องได้

...




ท้ายนี้ขอฝากเพลงชีวิตคริสเตียนไว้เพลงนึง ซึ่งเราคงต้องร้องไว้ให้ขึ้นใจ.....

"มีสหายเลิศคือพระเยซู"


1.มีสหายเลิศคือพระเยซู ผู้ได้แบกบาปทุกข์ของเรา
มีอะไรรบกวนให้โศกเศร้า จงรีบเร่งนำมาเข้าเฝ้า

เหตุไฉนเราลืมพระเจ้าบ่อย ใจเป็นทุกข์โดยไม่มีเหตุ
เพราะการไหว้วอนเราได้ท้อถอย ไม่ได้ทูลผู้ทรงฤทธิ์เดช

2.เราเป็นทุกข์เพราะถูกล่อลวงหรือ เคยเดือดร้อนลำบากหรือเปล่า
ไม่ควรย่อท้อหรือใจห่อเหี่ยว แต่เร่งนำทุกสิ่งเข้าเฝ้า

เราจะหาสหายที่วางใจ แก้ความทุกข์ลำบากเราได้
เพราะพระเยซูทราบความทุกข์นั้น จงทูลทุกสิ่งต่อพระองค์

3.เมื่อเหน็ดเหนื่อยเพราะแบกภาระหนัก เหลือกำลังและเราหมดแรง
ผู้ประเสริฐทรงช่วยศิษย์ที่รัก ให้เราอ้อนวอนต่อพระองค์

ถ้าสหายดูหมิ่นเกลียดชังท่าน จงเร่งนำทุกสิ่งเข้าเฝ้า
แล้วทรงยื่นพระหัตถ์รับท่านไว้ ท่านจึงได้รับความบรรเทา


..ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์คุ้มครองเราครับ
อาเมน




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2549   
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2549 5:09:23 น.   
Counter : 336 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

เดียวดาย9อักษร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เดียวดาย9อักษร's blog to your web]