32Then you will know the truth, and the truth will set you free." 32 你 們 必 曉 得 真 理 , 真 理 必 叫 你 們 得 以 自 由 。

ปีกกล้าขาแข็ง

“ปีกกล้าขาแข็ง”
อ่าน 1 พงศ์กษัตริย์ 8: 27-30

...ขอทรงสดับเสียงร้องและคำอธิษฐาน
ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์ อธิษฐานต่อพระองค์ในวันนี้
เพื่อว่าพระเนตรของพระองค์
จะทรงลืมอยู่เหนือพระนิเวศนี้ทั้งกลางคืนและกลางวัน.... 1 พกษ.8: 28-29

ผมได้ระลึกถึงความรู้สึกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในวัยเด็ก ตอนนั้นจะนอนห้องเดียวกับพ่อและแม่ จำได้ว่า ทุกครั้งที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ผมจะไม่สามารถวางใจหลับต่อได้ถ้ายังไม่ได้สำรวจให้แน่ใจว่าแม่ยังนอนอยู่ข้างๆ... ยี่สิบกว่าปีผ่านไป ผมใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในการเลี้ยงดูหลานสาววัยแรกเกิดของผม เมื่อใดก็ตามที่ผมสามารถกล่อมให้เธอหลับกลางวันได้ นั่นก็จะเป็นเวลาได้พักของผมในวันนั้น เมื่อคิดย้อนหลังไปถึงเหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์ ผมได้สังเกตความเหมือนกันอย่างหนึ่งระหว่างผมกับแม่ และหลานสาวกับผม ในวัยเด็ก ผมจะไม่สามารถหลับต่อได้ถ้าไม่แน่ใจว่าแม่ยังนอนอยู่ข้างๆ หลานสาวผมก็มักจะร้องไห้ออกมาทันที ถ้าตอนที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วบังเอิญว่าผมไม่ได้อยู่ใกล้ๆกับเปลที่เธอนอน
โซโลมอน ถือว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ฉลาดที่สุดซึ่งพระคัมภีร์ระบุว่าไม่มีใครจะฉลาดกว่านี้อีกได้อีกแล้ว ผมเองสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในคำอธิษฐานนี้ เป็นความอบอุ่นซึ่งเกิดจากสายสัมพันธ์ของพ่อกับลูก เกิดภาพของพ่อที่เพียบพร้อมเต็มด้วยพลังที่ปกป้องลูกได้ในทุกกรณี เกิดภาพลูกซึ่งไว้วางใจในศักยภาพของคุณพ่อคนนี้ ว่าพ่อจะปกป้องและช่วยเขาได้ในทุกเรื่อง ขอเพียงแค่สายตาของพ่อยังมองอยู่ที่ลูกคนนี้ตลอดเวลาทั้งกลางคืนและกลางวัน ...ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่มีอะไรต้องกังวล

ทุกวันนี้ หลานสาวแปดขวบกว่าแล้ว เธอไม่ได้มีความหวาดกลัวหรือรู้สึกว่าต้องพึ่งพาเราตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลาตื่นนอนเหมือนเมื่อก่อน เหมือนกันกับผมเองและเหมือนใครหลายๆคน ที่เข้าสำนวนที่ว่า ปีกกล้าขาแข็ง พ่อแม่ที่เคยเป็นที่พึ่งทุกอย่าง ค่อยๆกลายเป็นเพียงบุคคลซึ่งมีบุญคุณล้นพ้น แต่ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาอะไรมาก ...คริสเตียนกับพระเจ้าเป็นแบบเดียวกันนั้นรึเปล่า
พระธรรมที่ยกมานั้นเป็นคำอธิษฐานที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของโซโลมอนตอนที่เขาได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ใหม่ๆ เขายังอ่อนประสบการณ์ เขายังต้องพึ่งพาพระเจ้ามาก เขาขอแม้กระทั่งสติปัญญาที่จะใช้ปกครองประเทศเพราะเขารู้ว่าเขาไม่มีสติปัญญาพอ แต่ชีวิตบั้นปลายของโซโลมอนกลับเต็มไปด้วยการไม่พึ่งพาพระเจ้า เต็มไปด้วยท่าทีของเด็กที่ปีกกล้าขาแข็ง และเห็นพระเจ้าเป็นเพียงผู้ยิ่งใหญ่ทรงฤทธิ์ ...แต่ไม่ต้องไปพึ่งพาอะไรมาก เพราะเก่งแล้ว ประสบการณ์เยอะแล้ว และเราก็ได้เห็นแล้วว่าชีวิตบั้นปลายของโซโลมอนที่ปีกกล้าขาแข็งนั้น ...มีสภาพที่ไม่สง่างามนัก
เรากำลังเป็นอย่างโซโลมอนรึเปล่า ทุกวันนี้เราเริ่มนึกว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งรึเปล่า ...

ลูกสำนึกในความอ่อนแอ และยิ่งได้เห็นว่าพระองค์แข็งแรงเพียงใด
ขอทรงช่วยลูก อย่าให้ลูกเจิ่นไปจากอ้อมแขนของพระองค์
ลูกหลงไปในความเข้มแข็ง และจึงรู้ว่าขาดพระองค์ไม่ได้
ขอทรงช่วยลูก อย่าให้ลูกใช้ปีกของลูก.... บินไปไกลจากพระองค์


วันนี้คุณยังอยู่ในอ้อมแขนของพระเจ้าซึ่งทรงรักเรา รึเปล่า?




 

Create Date : 28 ธันวาคม 2551   
Last Update : 28 ธันวาคม 2551 5:47:24 น.   
Counter : 708 Pageviews.  

บังเกิดใหม่?

การบังเกิดใหม่?


ก่อนอื่นลองฝึกตอบคำถามเหล่านี้ดูนะครับ
1-คุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
2-วันนี้คุณลืมอะไรรึเปล่า
3-วันนี้คุณกินอาหารเช้ารึยัง
4-เช้านี้ฝนตกรึเปล่า
5-ราคาน้ำมันเบนซิน95วันนี้ เท่าไหร่
6-คุณเกิดวันอะไร
7-คุณชื่ออะไร
8-คุณทำบัตรประชาชนรึยัง
9-คุณมีใบขับขี่กี่ใบ
10-คุณเคยไปประเทศญี่ปุ่นมั้ย
11-คุณเคยไปประเทศไทยมั้ย
12-ตอนนี้คุณอยู่ประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศไทย

---


มัทธิว 7:21 มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า'พระองค์เจ้าข้าพระองค์เจ้าข้า'จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้..

บทที่ / ข้อที่ : มัทธิว 7:22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า'พระองค์เจ้าข้าพระองค์เจ้าข้าข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ'..

บทที่ / ข้อที่ : มัทธิว 7:23 เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า'เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลยเจ้าผู้กระทำความชั่วจงไปเสียให้พ้นหน้าเรา'..


""""
จากข้อพระคัมภีร์ที่ยกมานั้น
นี่คือความจริงที่เราต้องยอมรับก่อนว่า

ประสบการณ์ต่างๆที่เราเคยมีกับพระเจ้า หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือการออกพระนามของพระองค์ ในการกระทำการอัศจรรย์ต่างๆ
การมีชัยชนะเหนือวิญญาณชั่วหรือวิญญาณทั่วสากลโลก



ไม่ได้เป็นหลักฐานอะไรเลยว่า

...เรารอด


ตัวผมเอง ต้องขอสารภาพว่า ครั้งหนึ่ง โดยที่ไม่รู้ตัว ผมทเองก็ได้ใช้หลักฐานจากประสบการณ์ต่างๆที่ผมเคยมีกับพระเจ้า เป็นพยานหลักฐานว่า ผมรอด และบังเกิดใหม่แล้ว

นี่เป็นประสบการณ์ต่างๆเหล่านั้นที่ผมเชื่อไปว่าเป็นหลักฐานความรอดของผม
1-ผมเคยขับผี ในพระนามพระเยซูคริสต์ หรือถ้าจะพูดให้ถูก พระเยซูคริสต์ได้ทรงมาช่วยผมให้พ้นอำนาจผี
2-ผมเคยประทับใจและสำนึกเสียใจในความเลวของผมและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระเยซูคริสต์ จนร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต และหนักกว่าตอนที่พ่อกับแม่เสีย (โดยไม่ต้องมีนักเทศน์ฟื้นฟู หรือทีมนมัสการที่ไหนมาบิ้วท์อารมณ์ผม )
3-ผมสามารถวางมือรักษาโรค และเกิดผลต่อหน้าค่อตา ไม่น้อยกว่าสองรายในช่วงปีแรกของการต้อนรับพระเยซูคริสต์
4-ผมสามารถมีคำพูดที่ พระเจ้าใช้ให้พูดเป็นการเฉพาะเจาะจงกับใครบางคน เพื่อคนคนนั้น หลายครั้งจนนับไม่ได้
5-ผมเคยมีประสบการณ์กับทูตสวรรค์ ทั้งในระดับนิมิต และในระดับเป็นตัวเป็นตน
6-ผมสามารถเอาชนะความบาปหลายๆอย่างได้ทันที โดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์
7-ผมมีชีวิตที่เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากที่รับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
8-ผมร้อนรนทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างทุ่มเทและเสียสละมากมาย จนผู้รับใช้บางประเภทน่าจะต้องละอายแก่ใจ
9-ผมสรรเสริญพระเจ้า และชื่นชมยินดีในการนมัสการพระองค์
10-พระเจ้ายังคงสำแดงบางอย่างกับผมเป็นการส่วนตัวทางนิมิต
11-ผมเคยโดนเจิมโดยไฟพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างน้อย2ครั้งในช่วง2ปีแรก


....ที่ผมกล่าวจนเหมือนอวดตัวข้างบนนั้น เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 25 เดือน7 ปี2007



และประเด็นสำคัญก็คือ



ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่หรือจะคิดอย่างไร แจ่ผมยืนยัน และต้องพูดอย่างไม่อายเลยว่า


ผมพึ่งจะมา"บังเกิดใหม่"จริงๆ ก็ในคืนวันที่ 25เดือน7 ปี 2007
ผมซึ่งเชื่อจริงๆมาตลอด ว่าผมรอดแล้ว ในคืนวันนั้น ก่อนที่ผมจะบังเกิดใหม่ ผมกลับมั่นใจ100% ว่าหากผมตายไปคืนนั้น ที่เดียวที่ผมจะไปก็คือ "นรก"


-------



มัทธิว 19:16 "ดูเถิดมีคนหนึ่งมาทูลพระองค์ว่าท่านอาจารย์ข้าพเจ้าจะต้องทำดีประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์"..

บทที่ / ข้อที่ : มัทธิว 19:17 "พระเยซูตรัสตอบเขาว่าท่านถามเราถึงสิ่งที่ดีทำไมผู้ที่ดีมีแต่ผู้เดียวแต่ถ้าท่านปรารถนาจะเข้าในชีวิตก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้"..

บทที่ / ข้อที่ : มัทธิว 19:18 "คนนั้นทูลถามว่าคือพระบัญญัติข้อใดบ้าง"พระเยซูตรัสว่า"คือข้อที่ว่า'อย่าฆ่าคนอย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขาอย่าลักทรัพย์อย่าเป็นพยานเท็จ..

บทที่ / ข้อที่ : มัทธิว 19:19 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตนและจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง..

บทที่ / ข้อที่ : มัทธิว 19:20 "คนหนุ่มนั้นทูลพระองค์ว่าข้อเหล่านั้นข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ทุกประการข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง"..

บทที่ / ข้อที่ : มัทธิว 19:21 "พระเยซูตรัสแก่เขาว่าถ้าท่านปรารถนาเป็นผู้ที่ทำจนครบถ้วนจงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถาแล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา"..

...

ที่ยกมาข้างบนนั้นคือพระคัมภีร์ตอนที่แตะใจของผมเป็นการเฉพาะเจาะจงว่า

จริงๆแล้วแม้ผมจะรับใช้ ถวายตัว และมีประสบการณ์กับพระเจ้ามากกว่าคริสเตียนบางคนที่เชื่อมาเป็นสิบๆปี
แต่ผม ยัง ไม่ บังเกิดใหม่.....


....การบังเกิดใหม่ ผมพึ่งจะมาเข้าใจในภายหลังว่า ดูเรียบง่าย แต่สำหรับในบางคนก็ซับซ้อน เพราะเขามีปมบางอย่างที่มีปัญหาสำหรับ การรับพระสัญญาทางพระโลหิตพระเยซูคริสต์

ในที่นี้ผมจขอพูดแต่เฉพาะกรณีที่ผมรู้ดีที่สุด นั่นคือกรณีของผม

กรณีของผม แบ่งเป็นสามจุด
1-ผมยอมรับว่าผมเป็นคนบาป แต่บาปเพราะความเลวต่างๆที่ผมเคยทำ ไม่ใช่บาปเพราะที่ผมเกิดมาพร้อมเชื้อของบาป
2-ผมยังคิดว่าผมยังมีความดี ที่สามารถเอาไปอวดอ้าง หรือเบ่งกับพระเจ้าได้
3-ผมไม่ได้เห็นคุณค่าของความรอด ย่างที่ควรจะเห็น


พระเยซูคริสต์ได้ทำส่วนของพระองค์ และสำเร็จแล้ว โดยการเอาพระองค์เองมาตายไถ่บาปให้เรา

และพระองคต์ก็ทำได้เท่านั้น แม้พระองค์จะเป็นพระเจ้า โดยที่สิ่งที่มำให้พระองค์ทำให้เราได้เท่านั้น ก็คือ ความเที่ยงธรรมของพระองค์เอง

ที่เหลือ จึงขึ้นอยู่ที่เรา และสัญญาความรอดจะเกิดผลกับเราหรือไม่ก็อยู่ที่เราทำในส่วนของเราครบ รึเปล่า



-----

1-ผมยอมรับว่าผมเป็นคนบาป แต่บาปเพราะความเลวต่างๆที่ผมเคยทำ ไม่ใช่บาปเพราะที่ผมเกิดมาพร้อมเชื้อของบาป...นี่เป็นความเข้าใจผิด

*ถ้าความชั่วทั้งหมดที่เราได้ทำเป็นผล กิ่งก้าน ใบ เมล็ด

รากของทั้งหมดก็คือ "เชื้อบาป" แต่กำเนิด
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาตลอด ว่าบาปกำเนิดนั้นเป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้ เด็กๆเกิดมาใสซื่อบริสุทธิจะบาปได้อย่างไร

จริงอยู่ เด็กๆนั้นจิตใจบริสุทธิ์ แต่บาปที่เรากำลังพูดถึงนี้คือ "เชื้อบาป" ไม่ใช่ "ผลของบาป"
เด็กๆยังไม่เคยทำอะไร ฉะนั้น เขาจะมีแค่เชื้อที่พร้อมจะทำบาป และทันทีที่โอกาสอำนวยแก่เชื้อนั้น เขาก็จะบาป

เหมือนกันกับที่ถ้าเราเอาคนมาร้อยคน แล้วสืบประวัติอาชญากรรมดู ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีประวัติอาชญากรรม
แต่ถ้าเอาร้อยคนนี้ มาทดสอบทางจิตวิทยา ถึงพฤติกรรมความก้าวร้าวและขีดจำกัดในการควบคุมตนเอง

เราจะพบว่า ทั้งคนที่มีประวัติอาชญากรรม และคนที่ไม่มีประวัติ จะมีค่าทดสอบที่ไม่ต่างกันนัก


นั่นคือ คนส่วนใหญ่แล้วมีความก้าวร้าวและมีขีดจำกัดในการควบคุมตนเองในระดับหนึ่ง ซึ่งเมื่อสถานการรืบีบีบังคับ หรือถูกยั่วเย้าจนถึงจุดจุดหนึ่ง
ก็จะเกิดการสูญเสียการควบคุมตนเอง และเกิดความก้าวราวได้


ไม่มีใครสอนให้เด็กโกหก แต่เด็กก็โกหกเป็นเมื่อเขาต้องเริ่มหาทางหลบเลี่ยงความผิด
ไม่มีใครสอนให้เด็กโกรธ แต่เด็กก็โกรธเป็นตั้งแต่ยังไม่สามารถพูดได้
ไม่มีใครสอนให้ขโมย เด็กๆก็ขโมยเป็น แม้เขาอาจะไม่รู้ว่าน่นคือการขโมย

จะเห็นว่า เด็กเริ่มทำบาปได้ แม้ไม่ต้องมีใครสอน โดยสัญชาติญาณ หรือเชื้อบาปที่ติดตัวเขามาแล้วแต่แรกที่เขาเกิดมา

--

สำคัญมากที่เราจะต้องเข้าใจจุดนี้ และตระหนักว่าเราเอง เกิดมาพร้อมเชื้อบาป และสิ่งสำคัญที่ต้องขอให้โลหิตพระเยซุคริสต์ชำระก็คือ เชื้อบาป หรือรากของบาป
เพราะหากรากตาย กิ่งผล ก้านใบที่เหลือก็ตายหมด

แต่หากเราแค่สารภาพและยอมรับแค่บาปที่เราทำแต่ยังไม่ยอมรับหรือเข้าใจว่าเราเกิดมาเป็นคนบาป
บาปที่ทำลายไปก้เป็นแค่กิ่งผล ก้านใบ แต่รากของบาปยังอยู่และพร้อมจะเติบโตขึ้นอยู่เสมอ




และเราจะไม่สามารถเป็นอิสระจากบาปได้เลย



-------


2-ผมยังคิดว่าผมยังมีความดี ที่สามารถเอาไปอวดอ้าง หรือเบ่งกับพระเจ้าได้
..เป็นความเข้าใจที่ผิด


เพราะที่รารอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ และความเชื่อ มิใช่โดยการกระทำ


ฉะนั้นหากเรายังเข้าใจว่า เรายังมีความดีที่ช่วยให้เรารอดหรืออวดอ้างได้นั้น
ก็ชัดเจนเลยว่า เรายังไม่รอด


3-ผมไม่ได้เห็นคุณค่าของความรอด อย่างที่ควรจะเห็น

พระเยซูคริสต์ได้ยกอุปมาเรื่องแผ่นดินสวรรค์ไว้หลายอุปมา เราจะสังเกตได้ว่า จุดมุ่งหมายของอุปมาเหล่านั้นก็คือ ให้เราเห้นให้ได้ว่า จริงๆแล้ว แผ่นดินสวรรค์มีค่าและจำเป็นกับแค่ไหน


เชื่อว่าหลายคนคงเคยรุ้สึกอย่างที่ผมรู้สึก


เชื่อไว้ก็ไม่เสียหลาย สวรรค์นรกมีจริงข้าก็รอด เพราะข้าเชื่อ
และถึงมันไม่จริง ทุกอย่างเป็นแค่วิทยาศาสตร์ ข้าก็ไม่ได้เสียหายอะไร
..เห้นได้ว่าเป็นความคิดที่ "ดูถูกแผ่นดินสวรรค์" อย่างมาก

ครั้งนึงที่ผมมีความเชื่อสนิทใจเรื่องพระเจ้าแล้ว แต่สำหรับแผ่นดินสวรรค์ ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องกระพี้ แค่ของแถม ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วแต่พระเจ้า
ผมมิได้มีความปรารถนาที่จะรอด อย่างแรงกล้าเลย
ตรงข้ามกับคืนนั้นที่ผมบังเกิดใหม่จริงๆ ที่ผมพึ่งจะตระหนักว่า บึงไฟนรกและความพินาศกำลังรอผมอยู่ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมพึ่งจะตระหนักในเรื่องนี้ เหมือนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา


...

การอัศจรรย์ที่จับต้องได้ในชีวิตเราทั้งหมดนั้น ไม่ใช่สาระสำคัญของการที่พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเลย แต่พระองค์มา เพื่อเราได้รับแผ่นดินสวรรค์เป็นมรดก





เราต้องดูดีๆ มองให้เห็นความจริงว่า



อะไรกันแน่เป็นแก่น อะไรกันแน่เป็นของแถม


------


หากใครได้ลองตอบคำถาม12ข้อตรงหัวกระทู้

ลองนึกย้อนกลับไปอีกครั้งนะครับ ว่าความรู้สึกเวลาตอบแต่ละข้อ เป็นอย่างไรบ้าง

แน่นอนว่าแต่ละข้อ เราจะมีความรู้สึกแตกต่างกันในการตอบ


1-คุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
**เอ้า ก็.... ไงยากตรงไหน
**เอ.... ไม่แน่ใจแฮะ พักนี้ชอบอะไรแปลกๆ

2-วันนี้คุณลืมอะไรรึเปล่า
**นึกแปปนะ....
** ไม่ ข้าพเจ้าความจำดี เป็นนิสัยต้องเชคตัวเองก่อนออกจากบ้านอยู่แล้ว


3-วันนี้คุณกินอาหารเช้ารึยัง
**นึกแปปนะ...
**กินแล้วสิ ปลาร้ายังหึ่งอยู่เลย


4-เช้านี้ฝนตกรึเปล่า
**ไม่เห็นแฮะ ตื่นสาย
**ไม่ตก ผมนั่งมองฟ้ามาตั้งแต่เช้า
**ไม่รู้เลยครับ ไม่ได้สนใจ
**น่าจะตกนะ พื้นมันเปียกๆชอบกล


5-ราคาน้ำมันเบนซิน95วันนี้ เท่าไหร่
**ไม่รู้สิ
**เกี่ยวอะไรกับผม
**แปปนะ เชคก่อน
**อ๋อ ลิตรละ30.00บาท เพิ่งเติมตะกี้เอง

6-คุณเกิดวันอะไร
** (ตอบได้เลย)

7-คุณชื่ออะไร
**(ตอบได้เลย)

8-คุณทำบัตรประชาชนรึยัง
**(ตอบได้เลย)
9-คุณมีใบขับขี่กี่ใบ
**(ตอบได้เลย)
10-คุณเคยไปประเทศญี่ปุ่นมั้ย
**เคย
**ไม่เคย
11-คุณเคยไปประเทศไทยมั้ย
**เคย
**ไม่เคย
**ถามอะไรโง่ๆวะ
12-ตอนนี้คุณอยู่ประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศไทย
**ไทย
**ญี่ปุ่น
**ไม่ใช่ทั้งสองที่
**ถามอะไรของมันวะ


.....

สังเกตไหมครับ?

ว่า

คำตอบมันจะมีหลายลักษณะ
บางแบบต้องคิดก่อนตอบ บางแบบตอบได้เลย
บางแบบต้องหาข้อมูล+เหตุผลสนับสนุน
บางแบบทั้งๆที่ตอบไปแล้วแต่ก็ยังไทม่ค่อยแน่ใจ ..ยังมีบางอย่างติดอยู่เล็กๆในใจ อธิบายไม่ถูก
บางแบบก็ไม่อยากตอบ เลยไปตอบเลี่ยงๆ




ต่อไป เป็น .....คำถามที่13








พร้อมนะ














"คุณบังเกิดใหม่ รึยังครับ?"



-----


ต้องบอกก่อนว่า ที่ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ก็เพราะความปรารถนาดี ไม่ได่มีเจตนาจะ พิพากษาใคร เพราะจริงๆแล้วผมเองไม่มีสิทธิ


สิ่งที่ผมทำนั้น ก็คือกาสรแบ่งปัน สิ่งที่ผมประสบมา และหวังใจว่า คนอื่นจะได้นำไปเป็นบานข้อมูลหนึ่ง ที่จะยอมรับหรือไม่ยอมรับนั่นก็แล้วแต่
แต่หาก สิ่งีท่ผมนำเสนอนี้มีเหตผลอยู่บ้าง อยากหใท่นลองเก้ยบไปใคร่ครวญดูว่า



ท่านรอดหรือบังเกิดใหม่แล้วรึยัง ......


สาเหตที่ผมแต่งคำถาม12ข้อนั้นขึ้นมา ก้เพื่อจะให้เราได้เห็นความแตกต่าง หรือการทำงานของ "ความแน่ใจ" ต่อสิ่งที่เราตอบไป



..
จากที่ได้สรุปไว้ในโพสที่8 คือ

คำตอบมันจะมีหลายลักษณะ
บางแบบต้องคิดก่อนตอบ บางแบบตอบได้เลย
บางแบบต้องหาข้อมูล+เหตุผลสนับสนุน
บางแบบทั้งๆที่ตอบไปแล้วแต่ก็ยังไทม่ค่อยแน่ใจ ..ยังมีบางอย่างติดอยู่เล็กๆในใจ อธิบายไม่ถูก
บางแบบก็ไม่อยากตอบ เลยไปตอบเลี่ยงๆ


..โดยประสบการร์ส่วนตัวที่อยากแบ่งปันให้ฟัง ก็คือจากผมซึ่งเคยเข้าใจผิดไปว่ารอดแล้ว และรอดจริงๆนั้นแตกต่างกัน ในตอนที่เราตอบคำถาม
ผมคงไม่รู้ว่ามีความแตกต่าง ..ถ้าผมไมผ่านคืนวันที่25 ที่ได้กลาวไว้ข้างต้น

แต่เมื่อผมผ่านตรงนั้นมา ผมจึงรู้ว่า มันมีความแตกต่าง
ระหว่างความเข้าใจ ความไม่แน่ใจ และความแน่ใจ



....

ผู้ที่รอดและแน่ใจจริงๆนั้น จะไม่มีเสียงฟ้องในใจเลย ไม่มีแม้แต่เหตุผลสนับสนุน
เพราะพระคัมภีร์ยืนยันว่า "พระวิญญาณจะเป็นพยานร่วมกับเราไว่าเรารอดแล้ว

แต่หากเราต้องหาเหตผล หาข้อมูล หาหลักศาสนศาสตร์มารับรองความรอดของเรา เพื่อลบล้างเสียงฟ้องแปลกๆในใจที่เราตอบไปว่า "เรารอดแล้ว"


นั้นก็แปลว่า

"เรายังไม่รอด"




...

ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่เราจะลองเชคตัวเองดีๆอีกครั้งนึง ว่าที่เรารับใช้มาตลอดนั้น สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราจะได้รับตอบแทนคือบึงไฟนรกหรือไม่

อาจารย์เคยเล่าเรื่องจริงเรื่องหนึ่งให้ฟัง



มีอาจารย์สอนพระคัมภีร์คนหนึ่งเก่งมากๆเป็นที่ยอมรับ เค้าได้สอนและสร้าง ผู้รับใช้ที่เกิดผลมากๆคนหนึ่ง ในนักเรียนของเขามากมาย
มีวันหนึ่ง
ท่านอาจารย์ไปเยี่ยมศิษย์ ซึ่งกำลังเทศนาฟื้นฟุอยู่บนธรรมมาส

ในช่วงท้ายของการเทศนา ศิษย์คนนั้นได้ท้าทายและเชิญชวนให้คนที่สนใจอยากได้รับความรอดทางพระเยซูคริสต์ให้ก้าวออกมาข้างหน้า เพื่อเขาจะได้มีส่วนช่วยในการนำอธิษฐานต้อนรับ

มีคนหลายคนเดินกันออกมาข้างหน้า มีอยู่คนนึงที่เขาคุ้นเคยดีเดินปะปนมากับกลุ่มคนที่ต่องการต้อนรับพระเยซูคริสต์ด้วย ...อาจารย์ของเขานั่นเอง





"อาจารย์สวัสดีครับ ดีใจมากที่พบอาจารย์วันนี้ ขอบคุณมากครับที่จะออกมาช่วยผมในการนำอธิษฐานพี่น้องเหล่านี้ที่จะต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา"

อาจารย์คนนั้นยิ้มอย่างสุภาพ และตอบว่า
"เปล่าเลย ผมไม่ได้ออกมาช่วยคุณ วันนี้คุณเทศน์ได้ดีมากขอบคุณพระเจ้า ผมเป็นคริสเตียนมาหลายสิบปีแล้ว ผมรับใช้มานาน สร้างผู้รับใช้มาก็หลายปี แต่วันนี้กลับเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมอยากต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของผมจริงๆซะที"


อาจารย์ยังคงเดินเข้าไปหาศิษย์อย่างสุภาพ และกล่าว
"ขอรบกวนคุณ ช่วยนำอธิษฐานผมในการต้อนรับพระเยซูคริสต์ด้วย"




....


วันนี้เรารอดรึยัง

ชีวิตที่เรากำลังอยู่นี้ เป็นชีวิตที่บังเกิดใหม่แล้วจริงๆหรือเปล่า




อย่าให้วันนึงพระเจ้าจะตรัสกับเราว่า "เราไม่รู้จักเจ้า"

แก้ไขทุกอย่างซะขณะที่ยังมีโอกาส อย่าอาย อย่าทะนง ตน อย่ายึดศักดิ์ศรีไว้
นรก ไม่ได้มีค่าให้เราแลกด้วยสิ่งเหล่านี้เลย




ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์คุ้มครองเราด้วยครับ
อาเมน





 

Create Date : 09 ตุลาคม 2550   
Last Update : 9 ตุลาคม 2550 18:11:35 น.   
Counter : 473 Pageviews.  

"ใต้ปีก"





...

พระองค์จะปกท่านไว้ด้วยปีกของพระองค์
และท่านจะลี้ภัยอยู่ใต้ปีกของพระองค์

ความสัตย์สุจริตของพระองค์ เป็นโล่และเป็นดั้ง

สดุดี บทที่91 ข้อ4....



-----



ลองสำรวจดูนะครับ เราอาจจะเคยมีอาการอย่างนี้รึเปล่า

ไม่สามารถ แสดง ความสามารถหรือศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้ ในหลายๆกรณี
ไม่สามารถพูดความในใจที่แท้จริงออกมาได้ ในหลายๆกรณี
ไม่สามารถยืนกรานในความถูกต้องและคุณธรรมได้ในหลายๆกรณี

สาเหตเพราะว่า เราอยู่ใต้"ปีก" ของอะไรบางอย่าง




ปีก มีหลายชนิด มีหลายระดับ มีสูงต่ำ แคบ และกว้าง
บางปีกขังเราไว้อย่างทาส
บางปีกยิ่งใหญ่ จนแม้จะปกเราไว้ เราก้กลับเต้มด้วยพื้นที่มากมายเพียงพอที่จะวิ่งเล่น


บางทีจิตใจที่เป็นอิสระ อาจจะขึ้นกับว่า คนคนนั้น อยู่ใต้"ปีก" ของอะไร
ยกตัวอย่างเช่น เด้กบางคนอยุ่ใต้ปีกของพ่อเลี้ยงใจร้าย ชีวิตของเขาจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับเด็กที่อยู่ใต้ปีกของพ่อที่รักเด็กคนนั้นอย่างแท้จริง






.....

ด้วยความมนุษย์ เราคงปฏิเสธไม่ได้ ว่าเราต้องพึ่งพาปัจจัยอื่น นอกจากตัวเราเองในการดำเนินชีวิต

อย่างน้อยๆ ก้ล้วนอยู่ใต้กฏของธรรมชาติ หรือธรรมะ หรือกรรม ซึ่งก็ถือเป็นปีกที่สูง ที่มีอิสระ และมองเห้นท้องฟ้ากว้างใหญ่ได้
แต่ก้มีคนมากมาย ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ปีกแห่งกิเลสตัณหา ซึ่งมืดมนกว่า ปีกแห่งธรรม

และคนจำนวนมาก อยู่ภายใต้ปีกของความชั่ว ที่ปกคลุมเขาไว้ในที่แคบๆ ไม่ให้ได้วิ่งเล่นในทุ่งกว้าง ไม่ให้เห็นแสงสว่างใดๆเลย

....




จากที่ให้เราลองสำรวจใจเราเองว่าเรามีอุปสรรคในการเปิดเผยตัวเองหรือไม่
เช่น คุณอาจจะเป้นคนร้องเพลงดีมากๆ แต่คุณไม่กล้าร้องให้ใครฟัง เพราะคุณอายอย่างไม่มีสาเหต เพราะคุณอยุ่ใต้ปีกของอะไรบางอย่าง
เวลาอยู่คนเดียว คุนจะกล้าร้อง เวลาอย่กับเพื่อนฝูง คุณจะกล้าร้อง ..แต่ ทันที ที่มีใครบางคน ซึ่งมีอำนาจเหนือคุณด้วยปีกบางอย่างอยุ่ด้วย ..คุณจะไม่กล้าร้อง หรือไม่กล้าให้ใครรู้ว่าคุณร้องเพลงเพราะ

ความอึดอัด ความรู้สึกถึงการถูกจองจำ จะสรางอาการมากมาย ให้คุณไม่สามารถผ่อนคลายจะแสดงตัวตนแท้จริงของคุณออกมา

เมื่อลองพิจารณาเรื่องต่างๆที่คุณมีอาการลักาณะนี้
ลองหาสาเหต ว่าคุรมักจะเป้นอย่างนั้นตอนไหน ตอนที่อยุ่ใกล้ใคร หรือในเหตการณ์ไหน





มีเด็กบางคน จะไม่สามารถแสดงความสามารถแท้จริงออกมา หากพ่อแม่ ที่ชอบดูถูกเขามานั่งดุอยู่ด้วย
ไม่ว่าเด็กจะเคยเซ็นสัญญา หรือเคยยินยอมด้วยปากหรือไม่ว่า พวกเขาจะต้องอยู่ใต้ปีกของพ่อแม่ .แต่พวกเขาก้อยู่ใต้ปีกของพ่อแม่อยู่ดี



มีปีกหลายๆชนิด ที่อยู่ใต้ปีกแห่งองค์พระผู้เป้นเจ้า
บ้างเล็กบ้างใหญ่ บ้างพอจะมีแสงผ่านบ้าง บ้างก็ทึบสนิท ไม่สามารถมีแสงลอดผ่านได้เลย


.....


เราจะเห้นพระคุณและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้อย่างไร ถ้าเราไม่เห้นแสงสว่างที่พระองค์ส่องลงมายังเราเพราะเรามัวเสียเวลาหลบอยู่ใต้ปีกของอะไรบางอย่าง



มีเหตผลอะไรหรือ ที่เราต้องหลบอยู่ใต้ปีกอื่นๆ นอกจากปีกขององค์พระผู้เป้นเจ้า
หากจะมีเหตผล ก็เป้นเหตผลเดียวกับตอนที่ อาดัมและเอวาวิ่งไปหลบหลังอะไรบางอย้าง เมื่อพระเจ้าเสด็จมา


ไม่ว่าเหตผลนั้นจะคืออะไรก็ตาม
มันคือ "เหตผลจอมปลอม"


ปีกแห่งเหตผลจอมปลอม ได้กักขังวิญญาณของมนุษย์ ไม่ให้มีเสรีภาพ ที่จะแสดง ตัวตนที่แท้จริงออกมา
บางคนอยากเปนคนดี แต่ต้องทำชั่ว เพราะเหตผล
บางคนอยากเปนคนดี แต่ไม่กล้าดี เพราะอยู่ในสังคมที่ชั่ว
บางคนอยากเปนคนดี แต่ต้องชั่ว เพราะเอาชนะใจชั่วในตัวเองไม่ได้


เหตผลทั้งหมดที่ว่ามา ล้วนแต่เป้นปีกของเหตผลจอมปลอม ที่ปกคลุมมนุษย์อยู่




...ทางออกล่ะ....


ไม่ได้กวนหรือกำปั้นทุบดินนะครับ แต่สิ่งที่จะบอกนั่นคือเคล็ดสุดยอด

นั่นคือ


จงรู้ซะ ว่ามันเป้นเหตผลจอมปลอม
แล้วคุณก็แค่ตัดสินใจที่จะออกมาจากปีกเดิมๆ ปีกปลอมๆ เท่าน้นเอง...

คุณก้จะมีอิสระ
และแค่เงยหน้าขึ้น คุณก็จะเห้นความยิ่งใหญ่ของการมีอิสระภายใต้ปีกของพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องของเหตผลที่จะมาจำกัดพระองค์






คุณอาจจะไม่สามารถมีสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าได้ เพราะคุณเอาแต่อยู่ใต้ปีกของอะไรบางอย่าง
คุณอาจจะไม่สามารถร้องเพลงเพราะๆให้ใครฟังได้ ด้วยเหตผลเพียงแค่ ใครบางคนที่มีอำนาจเหนือคุณ นั่งใช้ปีกของเขาข่มคุนอยู่ โดยที่ทั้งคุนและเขาไม่เคยรู้ตัว




...


ในฐานะคริสตชน

พิจารณาตัวเราเอง ว่าเรามีอิสระที่จะสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าหรือไม่
พิจารณา ว่าเราสัมผัสได้หรือไม่ ว่าเราอยู่ใต้ปีกของพระองค์
เงยหน้ามองขึ้น จากที่เคยเอาแต่ก้มหน้า เงยหน้าดูว่า เมื่อมองขึ้นไป คุณเห็นปีกของพระเจ้าหรือไม่




ถ้าคำตอบคือ "ไม่"


ก้จงพิจารณา ว่าถ้านึกถึงคำว่าอยู่ภายใต้ปีก
คุนนึกถึงเรื่องอะไรบ้างนอกจากพระเจ้า รีบจดมันออกมา

แล้วออกมาจากมันซะ
ฟังดุง่ายครับ แต่เชื่อเถอะ และคุนก้น่าจะรู้ว่ามัน แสนยากเย็นเข็ญใจ

คุนอาจทำไม่ได้
แต่คุณต้องทำ แม้ว่าคุณทำไม่ได้

แต่เมื่อคุนเริ่มทำ ทั้งๆที่ทำไมได้ คุนก็จะเริ่มพึ่งพาพระเจ้า ที่จะช่วยให้คุนออกมาจากสิ่งเหล่าน้นได้

และด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้าสูงสุด
ไม่มีอะไรที่คุนจะออกมาจากมันไม่ได้



และเมื่อคุนออกมาจากมันได้

เมื่อนั้นคุนก้จะรู้ว่า พระเจ้าที่คุนเคยเชื่อ หรือเชื่ออยู่นั้น
เป้นอะไรมากมายยิ่งกว่าที่คุนเคยคิดว่าคุนรู้ หรือคุนจะรู้ได้



.....


ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์เสริมกำลังเราที่เราจะออกมาจาก ปีกเดิมๆทั้งหลาย และอยู่ภายใต้ปีกของพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

อาเมน




 

Create Date : 20 เมษายน 2550   
Last Update : 20 เมษายน 2550 5:59:44 น.   
Counter : 379 Pageviews.  

ฤดูของการเปลี่ยนแปลง



นั่งดูไอทีวีมาตั้งแต่ประมานสองทุ่ม สงสัยว่าวันนี้จะเป้นวันที่ไอทีวีเรทติ้งดีที่สุดวันนึงก้ว่าได้

ได้ยินว่ามีถึงขนาดประชาชนจะช่วยเหลือในเรื่องยานพาหนะ หรือสถานที่ในการทำงาน แบบไม่ง้อ ....(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)
นั่งคุยกับพี่สาวเล่นๆว่า

เป้นไปได้มั้ยว่า เราอาจจะได้เห้น "ระบบ" ของงานข่าว ระบบใหม่ที่อาจจะไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย

เหมือนอย่างที่สมัยนึง ประมานสิบปีก่อน
เคยเกิด ระบบเพลงใต้ดิน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับดียิ่งกว่า เพลงบนดิน ....

....


การถูกบีบคั้นมากๆ จากสภาพรอบด้าน
บ่อยครั้งถ้าสิ่งที่ถูกบีบคั้นนั้น มี "แรงดัน" ของตัวเอง


ก้จะเกิด การระเบิด

พลังงานบางอย่าง ที่ถูกจำกัดอาณาบริเวณจากสภาพแวดล้อ ใหก้จำกัดจำเขี่ยนในการเป้นอิสระ

ในที่สุด แทนที่ผลจะเป้นว่าสามารถจำกัดพลังงานนั้นได้ กลับกลายเป้นยิ่งเพิ่มแรงระเบิดให้กับพลังงานนั้น



.....

ไม่ได้มาพูดการเมือง หรือการข่าว เพราะภูมิไม่มี และไม่ถึง และก้ไม่ได้สนใจนัก


แต่กำลังเริ่มกลับมาย้อนมองตัวเอง และเพื่อนๆ ที่ร่วมรับใช้กันมา ในช่วงปีสองปีนี้

แม้จะเป้นเวลาสั้น แต่ก็เกิดความผูกพันธ์กันมากเสียยิ่งกว่าคนที่เคยรู้จักกันมาเป้นสิบๆปี



..ฤดูของการเปลี่ยนแปลง...

จะด้วยอะไรไม่รู้ แต่ทุกอย่างประจวบเหมาะ ให้เกิดขึ้นในช่วงนี้พร้อมๆกัน

เพื่อนๆที่ร่วมรับใช้กันมา ดันต้องแยกย้ายกันไป ในช่วงนี้พอดี พร้อมๆกัน แม้แต่ตัวผุ้เขียนเอง ก็เป้นหนึ่งในคนที่ต้องโยกย้ายไปยังที่ที่ไม่คุ้นเคย


ส่วนนึงก้รู้สึกใจหาย แต่ส่วนนึงกลับรู้สึกว่าท้าทาย


รู้สึกว่า ยุคใหม่สำหรับเรา กำลังจะมา

แม้จะรู้สึกใจหาย แต่ใจที่ปรารถนาจะแยกย้ายกันไป มันก้ยังอยู่

และทุกคนที่แยกย้ายกันไป สิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกคนจะเหงาขึ้น ลำบากขึ้น
...แต่เราก้ยังเลือกจะไป...



เมื่อผ่านฤดูกาลนี้ไป

โบสที่ผู้เขียนอยู่ จะเปลี่ยนไปจากช่วงสองปีนี้ ซึ่งมีแก๊งเราป้วนเปี้ยนเป้นเจ้าถิ่น
เด็กรุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าเค้าจะอบยากรับใช้หรือไม่ก็ตาม

เค้าก็ต้องทำ ...เพราะว่าคนรุ่นก่อนเค้าที่เคยทำ จะหายไป เกือบหมด ซึ่งอาจหมายถึงถาวร



....

นึกถึงหอบาเบล

พระเจ้ามีเจตนาให้มนุย์กระจายออกไป
แต่มนุษย์กลับพอใจจะย่ำอยู่ที่เดิม
ยังไม่พอ ยังอวดดีและท้าทายพระเจ้าด้วยการสรางสิ่งที่สูงเสียดฟ้า



.....
ถ้าเราต้องไป เราก้คงต้องไป


คริสตจักร

ไม่ใช่การสร้าง ที่ใดที่หนึ่งให้ยิ่งใหญ่ แล้วหลงภูมิใจไปกับมัน ยึดติดกับมัน จนกลายเป้นสถาบัน หรือจนกลายเป้นบาเบล


คริสตจักร คือพระกายพระคริสต์ และพระองค์ประสงค์ ให้เรา "เดินทาง"


.....

เมื่อฤดูแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึง เราคงต้องเข้มแข้งที่จะยอมรับ

และเดินหน้าต่อไป ด้วยโลกทัสน์ใหม่ ที่เติบโตมากกว่าเดิม

บาเบลไม่เคยถูกอนุญาติให้ใหญ่พอที่จะรองรับการเติบโต....


การขยาย บาเบล ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่เพียงพอจะรองรับการเติบโตของเรา


หากแต่สิ่งที่จะรองรับการเติบโตของเรานั้น
อยู่ที่การเดินทางออกจาก บาเบล


สู่...โลกกว้าง....

.....

สมัยเด็ก ผู้เขียนเคยสงสัยว่า ทำไมคนบางคน ต้องเดินทางไปลำบากด้วย เงินก็มี บ้านดีๆก้มีอยู่ ไปแล้วก็ไม่ได้รวยขึ้น รู้ทั้งรู้ว่าไปแล้วลำบาก


แม้ตอนนี้อาจจะยังให้คำตอบกับคำถามแบบเด็กๆของตัวเองไม่ได้ แต่ก็รู้สึกว่า กำลังจะได้รับคำตอบในไม่ช้าซึ่งอาจมีหน่วยเป้นหลายปี

....


ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์เสริมกำลังพี่น้องในพระคริสตืทุกท่านในการรับใช้อย่างเข้มแข็งและเต็มด้วยสติปัญญาที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

อาเมน




 

Create Date : 28 มีนาคม 2550   
Last Update : 28 มีนาคม 2550 8:06:36 น.   
Counter : 345 Pageviews.  

เริ่มด้วยความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ

วิวรณ์ 21:6

พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า
สำเร็จแล้ว

เราเป็นอัลฟาและโอเมกา
เป็นปฐมและอวสาน

ผู้ใดกระหายเราจะให้ผู้นั้นดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย..

โรม 1:17
เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น
ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดย

เริ่มต้นก็ความเชื่อสุดท้ายก็ความเชื่อ

ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ..

...



พระเจ้าเป็นปฐม และ อวสาน
เราดำรงอยู่ เริ่มโดยความเชื่อ สุดท้าย ก้โดยความเชื่อ




....

ขอบคุนพระเจ้าสำหรับคำเทศนาวันนี้ของผู้เทศนา



....


มีอาจารย์ที่สอนดนตรีท่านนึง เคยสอนว่า
เวลาคุนเล่นโซโล่เร้วๆ คุนสามารถใส่ "อะไรก็ได้" ลงไป หรือจะเรียกว่า มั่ว ก้ได้ ไม่ต้องไปสนใจ

แต่

แค่เริ่มสวย และจบสวย อยู่ในคีย์ ถูกที่ถูกทาง

..มันก้สามารถเป็นลูกโซโล่ ที่ดีได้ ส่วนตรงกลาง จะใส่อะไรก็ยังไง ...ไม่มีผลเท่าไหร่


ตรงกลางมั่วได้ แต่หัวกับตอนจบ มั่วไม่ได้เลย....

.....

ในการเขียนเรื่องราว หรือนิยาย ส่วนที่สำคัญที่สุดและเป้นการโชว์ศักยภาพทั้งหมดของคนเขียนได้ชัดที่สุดก็คือ "ตอนจบ"

ตัวอย่างเช่น ภาพยนต์ ซิ้กเซ็น มีดีที่ตอนจบ...

....




ครั้งนึง

เปโตรเห้นพระเยซูคริสต์เสด้จเดินมาบนทะเล เปโตรขอให้พระเยซูคริสต์ทำให้เขาเดินบนทะเลได้อย่างพระองค์
พระเยซูคริสต์อนุญาตให้เป็นไปตามนั้น

แต่เมื่อเปโตรเดินไปได้ สักพัก หันมองดูความแปรปรวนของ "คลื่นในทะเล"

เปโตร ก้จมน้ำ...

...พระเยซูคว้ามือเปโตรไว้ ตรัสถามว่า



"ท่านสงสัยทำไม"

.....



เริ่มโดยความเชื่อ จบก้ขอให้จบด้วยความเชื่อ
พระเจ้าทรงเป็นปฐมและอวสาน


ในบางสถานการณ์ ที่บีบคั้น เราอาจจะจำเป้นต้องอธิษฐานอะไรบางอย่าง ที่มันเป้นไปไม่ได้เด็ดขาด ซึ่งการตอบคำอธิษฐานนั้น ถ้าพระองค์ตอบ ก็ "เลิกสงสัยได้เลยว่ามาจากไหน"


นับจากการเริ่มอธิษฐาน "ด้วยความเชื่อ" และรอ
แน่นอนว่า

เราจะต้อง สงสัย และเริ่มคิดว่า เป้นไปไมได้แน่ๆ จะเป้นไปได้อย้างไร เพราะว่าเราเริ่มใช้ "เหตผล"


เริ่มโดยความเชื่อ แล้วก้ตามมาด้วยเหตผล ตามมาด้วยตรรกกะ ตามมาด้วย ความเคยชิน เก้ารอเก้า สารพัดจะเกิดขึ้น เพื่อจะบอกว่า เป็นไปไม่ได้

"แต่"

เมื่อเริ่มโดยความเชื่อแล้ว ไม่ว่าเหตผลอะไรก็ตาม จะมาขัดขวางว่าเป้นไปได้ ก็ขอให้ "จบลงด้วยความเชื่อ"
ว่า "พระเจ้าทำได้" แม้จะไม่สมเหตสมผลก้ตาม


เหตผล ไม่ได้ครอบคลุมหรือจำกัดพระเจ้า
พระเจ้าต่างหาก ผุ้เป้นปฐมและอวสาน ซึ่งครอบคลุมเหตผล และตรรกกะ


....

เรามักจะเผลอ ...ประเมินพระเจ้าน้อยกว่าที่พระองค์ทรงเป็น ว่าพระองค์อยู่ใต้เหตผล

แต่เมื่อเราหยุดคิดสักนิด ก้จะพบว่า ความเป้นเหตเป้นผลทั้งหมดนั้น เป้นแค่การสังเกตของมนุย์ ดูความเป้นไปของบรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างส่วนนึงเท่านั้น

....



เป็นเรื่องน่าเสียดาย

ถ้าเราจะเริ่มต้นด้วยความเชื่อ แต่กลับถูกคลื่นในทะเล ซัดให้หลงไป และไมได้จบลงด้วยความเชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า....



ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซุคริสต์อวยพระพรเราครับ
อาเมน




 

Create Date : 28 มีนาคม 2550   
Last Update : 28 มีนาคม 2550 8:03:22 น.   
Counter : 1294 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

เดียวดาย9อักษร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เดียวดาย9อักษร's blog to your web]