32Then you will know the truth, and the truth will set you free." 32 你 們 必 曉 得 真 理 , 真 理 必 叫 你 們 得 以 自 由 。

ทุกทาง

สุภาษิต 3:5-7

จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า
และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง..
จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า
และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น..

อย่าคิดว่าตนฉลาด
จงยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย..

***

"ทุกทาง"

เลือกที่รักมักที่ชัง เกลีดปลาไหลกินน้ำแกง อยากกินกลัวเสาะท้อง ดีใส่ตัวชั่วใส่เขา รับแต่ชอบผิดไม่รับ...

เป็นนิสัยพื้นฐานอย่างนึงของมนุษย์ ไม่ว่าจะจิตสูงหรือต่ำแค่ไหนก็ตาม นั่นคือ "เลือก" เอาแต่ที่พอใจ หรือ "ยอมรับร้" เอาแต่ที่พอใจ

ในแง่หนึ่ง ลักษณะนิสัยนี้ก็ดี คือหากว่าจะใช้ไปในทางที่ว่า
"มองแต่ส่วนดีของคนอื่น"
อย่างที่บันทึกไว้ว่า



..........ความรักนั้น
ก็อดทนนานและกระทำคุณให้
ความรักไม่อิจฉาไม่อวดตัว..

ไม่หยิ่งผยองไม่หยาบคาย
ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว
ไม่ฉุนเฉียวไม่ช่างจดจำความผิด..

ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด
แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ..

ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น
และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ
และมีความหวังอยู่เสมอและทนต่อทุกอย่าง..
...1โครินธ์ 13:4-7


....
ฟังดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันเอง แต่จริงๆแล้วปล่าวเลย
และอันที่จริงแล้ว บันทึกที่ยกมาทั้งสองส่วนนั้น ก็พูดกันคนละเรื่อง...

ในระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ ...นั่นเป็นการดีที่จะเชื่อแต่ในสว่นดี และมองข้ามส่วนที่ไม่ได้หรือแกล้งๆลืมไปบ้าง

แต่

ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
เหมาะสมหรือไม่ ...ที่มนุษย์จะเลือกเอาเฉพาะส่วนที่มนุษย์เห็นว่า "ดี" ของพระเจ้า "ในสายตามนุษย์"



....เพราะว่าพระเจ้าเป็นสัจจะ....

ฉะนั้น การที่เราจะมาทำเป็น"เลือกเชื่อ"แต่เฉพาะ ในส่วนที่เราพอใจในพระเจ้านั้น ...
เข้าท่าหรือไม่ ...

ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ อาจฟังดู เข้าข่ายงมงาย

เราลองเปลี่ยนคำศัพท์หรือลองมองด้วยมุมมมองกว้างๆดู อาจจะยอมรับได้ง่ายขึ้น

....ดึงคำบางคำออกมา ให้ดูเป็นกลางๆ....จะได้ความว่า...



"เหมาะสมหรือไม่ ที่เราจะเลือกยอมรับสัจจะเพียงบางข้อ?"

อาจจะยังมองไม่เห้นภาพ

ลองโยงเรื่องนี้เข้าไปสู่เรืองการทดลองวิทยาศาสต์ หรือกระบวนการทางปฏิกิริยาเคมี

ในห้องแลป ...
เหมาะสมหรือไม่ ที่เราจะเลือกจำเลือกยอมรับ หรือเลือกระวังเฉพาะ"กฏบางข้อ" ของปฏิกิริยาทางเคมี หรือกฏทางฟิสิกส์ก็ตาม

แน่นอน คำตอบคือ

"ไม่"

ในห้องแลป หรือกระบวนการมากมายทางวิทยาศาสตร์
เรา "จำเป็นต้อง" ระลึกและยอมรับในกฏทุกๆกฏ ที่เป็นจริง
ในทุกขณะจิต ที่เราทำการกับกรบวนการเหล่านั้น เพราะว่า หากเราไม่ใส่ใจในทุกๆ สัจจะ ของวิทยาศาสร์ หรือเพิกเฉยต่อข้อหยุมหยิมที่เราไม่ค่อยชอบ

...ความหายนะ ย่อมมาเยือน การระเบิดอาจเกิดขึ้น อาจมีคนล้มตายจากผลงานที่ละเลยสัจจะบางข้อของเรา
ความ "สะเพร่า" ของเรา อาจนำความพินาศมาสู่เราเอง...

ถึงตรงนี้ เราน่าจะเริ่มยอมรับได้ว่า
เรา "จำเป็นต้อง" ยอมรับรู้
ใน"ทุกๆทางของสัจจะ"
ไม่ใช่เพื่อใคร ไม่ใช่เพื่อให้สัจจะพอใจ แต่

"เพื่อสวัสดิภาพของตัวเราเอง...."


....
หรือหากจะมองในแง่ของ นักแสงหาควมจริง
เขาเหล่านั้นก็จะต้องทิ้งนิสัย เลือกที่รักมักที่ชังให้ได้โดยสมบูรณ์
เพราะว่า

ไม่ใช่ทุกๆความจริง จะทำให้เค้าพอใจแน่นอน
ในคนหนึ่งคน ทันทีที่เค้า ลเอกจะเป็นนักแสวงหาความจริง
เค้าจะเริ่ม รับรู้ถึงความเจ็บปวดมากมาย ที่จิตของเค้าในอดีต เคยไม่ยอมรับ และบ่ายเบี่ยงปฏิเสธมาตลอด
หากแต่ขั้นตอนนี้ มีความจำเป็นอย่างมาก

เพราะว่า ในอดีต จิตพื้นฐานได้พยามปกป้องให้ตัวจิตเอง พอใจมาตลอด
ระบบ และตรรกกะหลายอย่างถุกสรางขึ้นในจิตของคนคนนั้น เพื่อ "สรางความพอใจ" ให้กับจิต

แต่เมื่อ คนคนนั้นเลือกจะเข้สู่การเป็นนักแสวงหาความจริง
เค้าก็จะต้องต่อสู้กับจิตลักษณะนี้ในตัวของเค้าเอง
และเมื่อเค้าชนะ

ความจริงมากมาย ที่จิตลักษณะนั้นเคยปกปิดไว้เพื่อสรางความพอใจ ก็จะเผยออกมา
..และสร้างความเจ็บปวด ให้กับคนคนั้น ในระยะแรก
...เมื่อเค้าเริ่มอยู่กับ "ความจริงในทุกๆทาง"

มิได้อยู่ใน
"ความจริงเฉพาะที่พอใจ"
..อีกต่อไป....


****


ในความเป็นคริสเตียน
พระเจ้าเป็นผู้ใด พระเยซูคริสต์เป็นผู้ใด

เราคงประจักษ์มามากแล้วจากประสบการณ์ตรงหลายๆอย่าง

ฉะนั้น เราก็จะกลับมาใช้คำเดิมๆของเราคือ

"จงยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทางของเรา"

มิใช่เพื่อพระเจ้า แต่เพื่อตัวเราเอง....
อาจมีบางมุมของพระเจ้า ที่เราไม่อาจเข้าใจ และมักจะไม่ยอมรับในขั้นต้น ..หากแต่เรารอคอยการเปิดเผยจากพระองค์ที่จะเปิด "ตาใจ"ของเราเข้าสู่มิติที่สูงขึ้น
..ที่สุด เราจะเข้าใจ ว่า "ทำไม" สำหรับหลายๆอย่างที่เราเคยไม่ยอมรับ

เราต้องยอมรับความจริงข้อนี้ก่อนนี้ก่อนว่า
เรา "เข้าใจและรู้จักพระเจ้า"น้อยมากๆ

และในความเป็นจริง เรไม่สามารถเข้ใจได้ทั้งหมด
แต่
เฉพาะในสว่นที่พระองค์เปิดเผยในขั้นต้นแก่เรานั้น

เราจำเป็นต้องยอมรับรู้ ทั้งหมด

......

อุปมาเหมือนเรื่องนี้ที่พระเยซูทรงเปรียบเทียบไว้...


มัทธิว 25:14-30
และยังเปรียบเหมือนชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไปจึงเรียกพวกทาสของตนมาฝากทรัพย์สมบัติไว้..

คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์{เงินหนึ่งตะลันต์มีค่าประมาณสองหมื่นบาท}คนหนึ่งสองตะลันต์และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียวตามความสามารถของแต่ละคนแล้วท่านก็ไป..

คนที่ได้รับห้าตะลันต์นั้นก็เอาเงินนั้นไปค้าขายทันทีได้กำไรเท่าตัว..

คนที่ได้รับสองตะลันต์นั้นก็ได้กำไรเท่าตัวเหมือนกัน..

แต่คนที่ได้รับตะลันต์เดียวได้ขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้..

ครั้นอยู่มาช้านานนายจึงมาคิดบัญชีกับทาสเหล่านั้น..

คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินกำไรอีกห้าตะลันต์มาชี้แจงว่า'นายเจ้าข้าท่านได้มอบเงินห้าตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้าดูเถิดข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์'..

นายจึงตอบว่า'ดีแล้วเจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อเจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อยเราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมากเจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด'..

คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า'นายเจ้าข้าท่านได้มอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้าดูเถิดข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์'..

นายจึงตอบว่า'ดีแล้วเจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อเจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อยเราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมากเจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด'..

ฝ่ายคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงด้วยว่า'นายเจ้าข้าข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านเป็นคนใจแข็งเกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่านเก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย..

ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดินดูเถิดนี่แหละเงินของท่าน'..

นายจึงตอบว่า'อ้ายข้าชั่วช้าและเกียจคร้านเจ้าก็รู้หรือว่าเราเกี่ยวที่เรามิได้หว่านเก็บส่ำสมที่เรามิได้โปรย..

เหตุฉะนั้นเจ้าควรเอาเงินของเราไปฝากไว้ที่ธนาคารเมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย..

เพราะฉะนั้นจงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้คนที่มีสิบตะลันต์..

ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือแต่ผู้ที่ไม่มีแม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา..

เอาอ้ายข้าชาติชั่วช้าไปทิ้งเสียที่มืดภายนอกซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน'

..........

ถ้าเรา
สัตย์ซื่อจะยอมรับรู้ ในทุกทางแค่เฉพาะตอนนี้ที่เรารู้ในทางของพระเจ้า

พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มเติมควมเข้าใจให้แก่เรา

แต่

หากเราเลือกที่รักมักที่ชัง จะยอมรับรู้แค่เฉพาะในส่วนที่ "ถูกใจเรา"

..ที่สุด..

แม้แต่ความรู้ในสัจจะแค่ส่วนที่เราพอใจ ...ก็จะค่อยๆเสื่อมหายไปด้วย

เมื่อถึงตอนนั้น เราจะไม่เหลืออะไรเลย ในทางของสัจจะ

เรากลับจะกลายเป็นผู้ที่ตกอยู่ในโลกแห่ง "ความเชื่อของตัวเอง"
อย่างที่พระคัมภีร์ว่าไว้ว่า...


"เพระว่าเขาไม่รู้จักทางชอบธรรมของพระเจ้า เขาจึงอุตส่า ตั้งความชอบธรรมของเขาขึ้นมาเอง..."


๐๐๐๐๐๐



เมื่อเราเลือกจะเดินตามองค์พระเยซูคริสต์
เราจะมา "เสียเวลา" เลือกที่รักมักที่ชังให้มันได้อะไรขึ้นมา

ในเมื่อพระเจ้าตรัสว่า.....

"เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้าเป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพไม่ใช่เพื่อทุกขภาพเพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า"
..... เยเรมีย์ 29:11


ขอพระเจ้าในพระนามพระเยซูคริสต์คุ้มครองและทรงนำเราไปในทางชอบธรรม ให้แจ้งถึงสัจจะของพระองค์มากๆยิ่งขึ้นทุกๆวัน
อาเมน



Create Date : 07 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2549 5:07:46 น. 0 comments
Counter : 359 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เดียวดาย9อักษร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เดียวดาย9อักษร's blog to your web]