Jennifer A. Graves ศาสตราจารย์ด้านพันธุศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงแห่ง Australian National University ผู้มีชื่อเสียงได้ออกมาประกาศอย่างกล้าหาญว่า Chromosome Y จะสูญหายไปจากโลกนี้ในอีก 14 ล้านปีข้างหน้า
มนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดมีระบบเพศที่ กำหนดโดยโครโมโซมเพศ X/Y (XY sex-determination system) ในระบบดังกล่าว สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซม XX จะเป็นเพศหญิง และโครโมโซม XY เป็นเพศชาย ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า โครโมโซม Y เป็นตัวกำหนดความเป็นเพศชาย
โครโมโซม X และโครโมโซม Y มีความแตกต่างกันอย่างมาก โครโมโซม X ของมนุษย์มีขนาดใหญ่กว่า (165 Mb) และประกอบด้วยยีนมากกว่า 1000 ยีน ในขณะที่โครโมโซม Y ที่มีขนาดเล็กกว่ามาก (~60 Mb) มียีนเพียง 45 ยีน อย่างไรก็ตามเพียง 45 ยีนของโครโมโซม Y ก็ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างเพศชายและหญิง ทั้งนี้เนื่องจาก Sex-determining Region Y (SRY) บนโครโมโซม Y (สำหรับในมนุษย์คือ testis determining factor (TDF)) เป็นปัจจัยกำหนดให้สิ่งมีชีวิตแสดงลักษณะทางเพศชายแทนที่จะเป็นเพศหญิง
เมื่อราว 300 ล้านปีก่อน เชื่อว่าระบบโครโมโซมเพศ XY ได้อุบัติขึ้นจากโครโมโซมร่างกาย (autosomal chromosome) คู่หนึ่ง ในสิ่งมีชีวิตที่มีการกำหนดเพศโดยปัจจัยอื่นเช่น อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม (temperature-dependent sex determination) จากนั้นมี การสะสม ยีน SRY บนโครโมโซมเส้นหนึ่งแล้วมีการขาดออกเป็นเส้นสั้นที่มียีน SRY ติดอยู่ด้วยจึงกลายเป็นโครโมโซม Y ส่วนโครโมโซมอีกเส้นหนึ่งที่เป็นคู่กันก็เป็นโครโมโซม X
การสะสมยีน ที่ เป็นประโยชน์ เฉพาะเพศชายในโครโมโซม Y เกิดจากโครโมโซมทั้งสองเส้นมีการวิวัฒนาการร่วมกันจนกระทั่งไม่อาจเกิด genetic recombination ได้ในบางบริเวณ การยับยั้งการเกิด genetic recombination ดังกล่าวเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือทำให้โครโมโซม Y ยังคงสามารถเก็บรักษายีนที่เป็นประโยชน์ต่อเพศชายไว้ได้ (male specific region) แต่ข้อเสียก็คือทำให้โครโมโซม Y มีการสูญสลายอย่างต่อเนื่อง (ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะพูดถึงต่อไป)
ทุกสิ่งมีชีวิตมีการดิ้นรน เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ตนเอง สัตว์โลกหลายชนิดมีการย้ายยีนกำหนดเพศไปอยู่บนโครโมโซมร่างกายอื่น เช่นแมลงหวี่ (D. melanogaster) ตัวผู้จะมีโครโมโซมเป็น XY หรือเป็น XO ก็ได้ ยีนกำหนดเพศได้ย้ายไปอยู่ที่โครโมโซมคู่อื่นๆ โครโมโซม Y จึงไม่มีความสำคัญต่อแมลงหวี่
เช่นเดียวกันกับ mole vole (Ellobius) และ Japanese spinous country rat (Tokudaia) ที่ทั้งสองเพศมีโครโมโซมเป็น XO ปัจจัยกำหนดเพศผู้ถูกย้ายไปอยู่ที่โครโมโซมคู่อื่นๆ
และการใช้ประโยชน์จาก HeLa cell ก็ส่งผลให้เกิดการพัฒนาทางการแพทย์อย่างก้าวกระโดดดังที่ Dr.Gey คาดคะเน มีงานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาชีววิทยาระดับเซลล์โดยใช้ HeLa cell และทำให้เกิดการค้นพบ ความเข้าใจสิ่งใหม่ๆ เป็นต้นว่า กลไกการเกิดเซลล์มะเร็ง กลไกการติดเชื้อ HIV ผลของรังสีและสารพิษต่อเซลล์ การทำแผนที่ยีน (gene mapping) และความสำเร็จที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ การผลิตวัคซีนโปลิโอแบบฉีดใน HeLa cell โดย Dr.Jonas Salk (ดังนั้นวัคซีนดังกล่าวจึงถูกเรียกว่า Salk polio vaccine)
แต่กระนั้น Henrietta Lacks ก็ไม่ได้รับการอ้างถึงใดๆในฐานะที่เป็นเจ้าของเซลล์แม้แต่น้อย (ในเวลาดังกล่าว HeLa cell ถูกเข้าใจผิดว่ามาจากชื่อเต็ม HeLen Lane หรือ Harriet Lane ด้วยซ้ำ) อันที่จริงแล้ว เซลล์มะเร็งของเธอถูกนำไปใช้โดยปราศจากความยินยอมของเธอ (inform consent) และแม้แต่ญาติพี่น้องของเธอก็ไม่ได้รับรู้การกระทำดังกล่าวด้วยซ้ำจนกระทั่ง เวลาผ่านไปหลายต่อหลายปีหลังจากที่ Dr.Gey เสียชีวิตไปนานแล้ว และความพยายามที่จะปกปิดชื่อแท้จริงของ HeLa นั้นต้องเป็นอันสิ้นสุด
บางคนอาจเกิดคำถามในใจว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องผิดจริยธรรมหรือไม่ ประเด็นดังกล่าวถูกนำมาพิจารณาครั้งหนึ่งในศาลแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียและได้รับ การตัดสินว่า ชิ้นส่วนเนื้อเยื่อของบุคคลใดๆที่ถูกทิ้ง ไม่ถือเป็นสมบัติของผู้นั้นอีกต่อไป และสามารถถูกนำมาใช้ในเชิงการค้าได้ ดังที่กล่าวมา ต้นกำเนิดของ HeLa นั้นเป็นเพียงชิ้นส่วนเนื้อเยื่อที่หลงเหลือจากการผ่าตัด แน่นอนว่าจากคำตัดสินดังกล่าวคงสร้างความกังขาแม้กระทั่งผู้อ่านที่กำลังอ่านบล็อกนี้ ประเด็นหนึ่งที่น่าคิดคือโรงพยาบาล John Hopkins เป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงระดับโลก และ HeLa cell ก็ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล หากลองพิจารณาตามทฤษฎีประโยชน์นิยม ก็ อืม นะ (อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าลูกหลานของ Henrietta Lacks ไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไรนัก และพวกเขาก็ค่อนข้างเจ็บปวดกับการปิดบังความลับนานนับสามสิบปีดังกล่าว)
รูปโรงพยาบาล John Hopkins วิทยาลัยทางการแพทย์ชื่อดังระดับโลก
ในเซลล์มะเร็งหลายชนิดรวมถึง HeLa cell จะมีเอ็นไซม์ telomerase ซึ่งไม่พบในเซลล์มนุษย์ปกติ (ยกเว้นเซลล์สืบพันธุ์ เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ในบางระยะ) ทำหน้าที่ต่อสายเทโลเมียร์ที่หดสั้นลงแต่ละรอบของการแบ่งเซลล์ ทำให้เทโลเมียร์มีความยาวคงที่ และกระบวนการแก่ชราของเซลล์ทุกยับยั้ง นี่เป็นสาเหตุที่ HeLa cell สามารถแบ่งตัวได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
และเนื่องจาก HeLa cell ถูกส่งต่อและมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลกจวบจนปัจจุบัน อาจกล่าวว่า HeLa cell มีอายุมากกว่าเจ้าของร่างของมันเสียแล้ว จำนวนเซลล์ทั้งหมดก็คงมากกว่าเซลล์ที่ประกอบเป็นร่างกายของ Henrietta Lacks ไม่รู้กี่ร้อยที่พันเท่าเช่นกัน (เป็นเรื่องยากมากที่จะคำนวณว่า HeLa cell มีการแบ่งตัวมาแล้วกี่ครั้งนับจากวันแรกที่ถูกแยกออกจากเจ้าของร่าง นอกจากต้องนับห้องปฏิบัติการที่มีอยู่ทั่วโลกแล้วยังต้องรวมถึงการส่งต่อ HeLa cell อย่างไม่เป็นทางการ-ให้เปล่าจากมือหนึ่งไปยังอีกมือหนึ่ง-ด้วยไมตรีต่อกัน ของนักวิจัยในห้องปฏิบัติการเดียวกันอีกด้วย) ซ้ำร้าย HeLa cell ได้ก่อปัญหาสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ คือ การปนเปื้อนระหว่างเนื้อเยื่อ (tissue culture contamination)
การปน เปื้อนระหว่างเนื้อเยื่อ คือ การปนเปื้อนของเนื้อเยื่อชนิดหนึ่งในเนื้อเยื่อชนิดหนึ่ง โดยอาจเป็นสปีชี่ส์เดียวกันหรือไม่ก็ได้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์และเป็นปัญหาที่สำคัญมากในการศึกษาวิจัย ที่มีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ อันเกิดขึ้นได้ในห้องปฏิบัติการที่ไม่มีการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพหรือ เกิดจากเทคนิคอันสะเพร่าของผู้วิจัย หรือแม้จะระวังสักเพียงใดก็ตามการปนเปื้อนก็ยังอาจเกิดขึ้นได้อยู่ดี! การปนเปื้อนของเนื้อเยื่อจะทำให้ผลการศึกษาที่ได้นั้นไม่ถูกต้องและไม่น่า เชื่อถือ (ต้องการผลการทดลองในเซลล์ชนิดหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นผลการทดลองในเซลล์อีกชนิดหนึ่ง) ในยุคที่ HeLa cell มีการใช้อย่างแพร่หลาย cell line อื่นๆจำนวนมากในยุคดังกล่าวจึงถูกปนเปื้อนไปด้วย HeLa เช่นเดียวกัน การปนเปื้อนดังกล่าวเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง ทั่วโลกนี้
ในปี 1967 Stanley Gartler ได้พัฒนาวิธีตรวจสอบการปนเปื้อน HeLa cell ใน cell line อื่นๆ เขาทำการตรวจสอบโปรตีน 2 ชนิดคือ glucose-6-phosphate dehydrogenase (G6PD) และ phosphoglucomutase (PGM) ซึ่งมีความแปรผันทางพันธุกรรมอันมีลักษณะจำเพาะในสตรีชาวแอฟริกัน-อเมริกัน Henrietta Lacks เป็นลูกครึ่งแอฟริกัน-อเมริกัน ดังนั้นฟีโนไทป์ของโปรตีนทั้งสองชนิดในเซลล์ของเธอจึงมีความจำเพาะ และสามารถใช้เป็น marker ตรวจวัดการปนเปื้อนใน cell line อื่นๆได้ การ ปนเปื้อน HeLa ส่งผลกระทบต่อวงการวิทยาศาสตร์หลากหลายแขนงที่มีการใช้เซลล์เป็นเครื่องมือ ศึกษา ตัวอย่างหนึ่งคือการศึกษาด้านรังสีวิทยา เมื่อนักรังสีวิทยาทำการทดสอบความสัมพันธ์ของขนาดของรังสีกับการตายของเซลล์ มนุษย์ โดยใช้เซลล์ไตมนุษย์ในการศึกษา เขามีอันต้องประหลาดใจเมื่อเซลล์เพาะเลี้ยงดังกล่าวปนเปื้อน HeLa ผลการทดลองที่ได้จำเป็นต้องถูกโยนทิ้ง เพราะแทนที่จะได้ผลของรังสีต่อเซลล์มนุษย์ปกติ กลับได้ผลของรังสีต่อเซลล์มะเร็ง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการปนเปื้อน HeLa ในปัจจุบันเป็นที่น่าวิตกกังวลน้อยลง เนื่องจากความก้าวหน้าทางวิธีการตรวจสอบซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตรวจฟีโน ไทป์ เทคนิคอื่นๆอย่าง karyotyping และ chromosome band analysis ก็ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตรวจสอบเช่นกัน ร่วมกับการควบคุมการปนเปื้อนในห้องปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบันพบว่า 42 ใน 252 human cell lines (18%) มีการปนเปื้อน HeLa
คุณสมบัติและความเป็นอมตะของ HeLa cell ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งพิจารณาว่ามันไม่ใช่ เซลล์มนุษย์ อีกต่อไป นักวิทยาศาสตร์นามว่า Leigh Van Valen พยายามกำหนดให้มันเป็นสิ่งมีชีวิตสปีชี่ส์ใหม่ (Helacyton gartleri) ด้วยเหตุผลดังนี้
- โครโมโซมของ HeLa cell มีความแตกต่างจากโครโมโซมมนุษย์ปกติ (HeLa มีโครโมโซม 82 แท่ง และมีชิ้นส่วนของจีโนมไวรัส HPV18 แทรกอยู่ด้วย) - HeLa cell มีความสามารถในการเจริญเติบโต ซึ่งเหนือยิ่งกว่าการควบคุมของมนุษย์ที่ทำการเพาะเลี้ยง
อย่างไรก็ตาม การระบุสปีชี่ส์ใหม่ของ HeLa cell นั้นไม่ได้รับการยอมรับในแวดลงนักวิทยาศาสตร์สากล แม้ว่าจะมีการใช้อย่างแพร่หลายในกลุ่มคนจำนวนหนึ่งก็ตาม
ลองพิจารณาอีกมุมองหนึ่ง โดยย้อนรอยกลับไปที่ชื่อของกระทู้นี้ เราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า HeLa ก็ยังคงเป็น Henrietta Lacks และ Henrietta Lacks ยังคงมีชีวิตเป็นอมตะตราบเท่าที่ HeLa cell ยังแบ่งตัวต่อเนื่องอย่างไม่สิ้นสุด เพราะว่า HeLa cell นั้นครั้งหนึ่งก็เป็นเซลล์ในร่างกายของเธอ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอมิใช่ หรือ คำถามนี้อาจเป็นคำถามปรัชญาที่ต้องขอยกคำพูดของนายแพทย์ Sir William Oslar ที่เคยปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก่อนที่ Henrietta Lacks จะเกิดด้วยซ้ำว่า
the individual is nothing more than the transient off-shoot of a germ plasm, which has an unbroken continuity from generation to generation, from age to age . . . the individual organism is transient, but its embryonic substance, which produces the mortal tissues, preserves itself imperishable, everlasting, and constant.
Holt ES, Wright EW, Shay WJ. Regulation of Telomerase Activity in Immortal Cell Lines. Molecular and Cellular Biology. 1996; 16(6): 2932-2939
Smith Van. Wonder Woman: The Life, Death, and Life After Death of Henrietta Lacks, Unwitting Heroine of Modern Medical. [Online], Accessed 13 December, 2009 at //www.citypaper.com/news/story.asp?id=3426
สำหรับในมนุษย์ที่โครโมโซมเพศเป็นระบบ X-Y เราแต่ละคนได้รับโครโมโซมเพศแต่ละแท่งจากพ่อและแม่ เพศของเราถูกกำหนดโดยโครโมโซมในอสุจิของพ่อที่เข้ามาผสมกับไข่สำเร็จ ว่าเป็นโครโมโซม X หรือ Y (เนื่องจากโครโมโซมในไข่จากแม่เป็นโครโมโซม X เสมอ) โครโมโซม X และ Y มียีนเป็นองค์ประกอบที่แตกต่างกัน โดยโครโมโซม X มี 1,000 ยีน โครโมโซม Y มีเพียง 45 ยีน ความแตกต่างของยีนดังกล่าวทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างเพศชายและหญิง
ประเด็น ที่น่าสนใจคือ ในเมื่อเพศหญิงมีโครโมโซมเป็น XX และเพศชายมีโครโมโซมเป็น XY ดังนั้นเพศหญิงจะมีการแสดงออกของยีนบนโครโมโซม X เป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับเพศชาย (เพราะมีโครโมโซม X มากกว่าอยู่หนึ่งแท่ง) ถูกต้องหรือไม่? คำตอบคือไม่ใช่
แม้เพศหญิงจะมีโครโมโซม X อยู่ถึงสองแท่ง แต่แท่งหนึ่งในสองนั้นจะไม่ทำหน้าที่หรืออยู่ในสภาพ inactive ระหว่างการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอ ดังนั้นทั้งเพศชายและหญิงจึงเท่าเทียมกันในแง่นี้ กล่าวคือทั้งสองเพศมีโครโมโซม X ที่ทำงานเพียงแท่งเดียว หรือมองกลับกันคือ เพศหญิงเสียเปรียบ มีโครโมโซม X สองแท่งแต่กลับทำงานแค่แท่งเดียว แต่ความจริงไม่ใช่หรอกครับ การที่มียีนทำงานมากเกินไปก็ใช่ว่าจะดี หากโครโมโซม X ทำงานทั้งสองแท่งเท่ากับต้องใช้ทรัพยากรในการแสดงออกของยีนเป็นสองเท่า โปรตีนผลผลิตที่ได้ก็เป็นสองเท่าซึ่งอาจไม่จำเป็นและทำให้เกิดความไม่สมดุล ระหว่างเพศชาย-หญิง
กระบวนการที่ทำให้โครโมโซม X แท่งหนึ่งหมดหน้าที่ไปเรียกว่า X chromosome inactivation (XCI) ซึ่งควบคุมด้วยยีนสองชนิดคือ XIST และ TSIX (ชื่อกลับด้านกันเนื่องจากยีนทั้งสองมีลำดับพันธุกรรมกลับกันจากหน้าไปหลัง) โครโมโซมแท่งที่ไม่ทำงานจะถูกกำจัดออกมองเห็นเป็นจุดดำตรงขอบด้านในของ นิวเคลียสเรียกว่า Barr body ยีนที่อยู่ใน Barr body นี้จะไม่ทำหน้าที่ (มีข้อยกเว้น บางยีนจะแสดงออกได้ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า escape X inactivation ซึ่งซับซ้อนและไม่กล่าวถึงในที่นี้) แต่จะ active ขึ้นมาอีกครั้งในเซลล์ที่จะเจริญไปเป็นไข่ในรังไข่
ถึงตอนนี้หลายๆท่านคงเริ่มงงแล้วว่าที่พูดมาทั้งหมด นี้มันเกี่ยวอะไรกับแมวสามสี ใจเย็นๆครับเรากำลังเข้าประเด็นแล้วการศึกษาของ Mary Lyon, 1961 แสดงให้เห็นว่าในกระบวนการ X chromosome inactivation นั้น โครโมโซม X แท่งใดจะ inactive หรือกลายเป็น Barr body เกิดขึ้นแบบสุ่ม (Random X inactivation) ในแต่ละเซลล์ในช่วงแรกของการเจริญพัฒนาของเอ็มบริโอ
ดัง นั้นโครโมโซม X ที่ไม่ทำงานอาจเป็นโครโมโซมที่มาจากอสุจิของพ่อหรือโครโมโซมจากไข่ของแม่ก็ ได้ นอกจากนี้ เซลล์ที่เกิด X chromosome inactivation เมื่อมีการแบ่งตัวแบบไมโทซิส (mitosis-การแบ่งเซลล์ที่จำนวนชุดโครโมโซมยังคงเท่าเดิม) ต่อไป กลุ่มเซลล์ต่อมาจะมี inactive X chromosome แท่งเดียวกันทั้งหมด
เนื่องจากกระบวน การ X chromosome inactivation ทำให้โครโมโซม X แท่งหนึ่งไม่ทำงาน ดังนั้นน้องแมวจึงควรจะมีเพียงสีใดสีหนึ่งระหว่างสีดำกับสีส้มถูกไหมครับ? คำตอบคือไม่ถูก(อีกแล้ว)
ดังที่กล่าวมาแล้ว ตามการศึกษาของ Lyon การที่โครโมโซม X แท่งหนึ่งจะไม่ทำงานในเซลล์หนึ่งนั้นเป็นไปแบบสุ่ม และเซลล์ที่แบ่งตัวมาจากเซลล์ที่เกิด X chromosome inactivation ก็จะมี inactive X chromosome แท่งเดียวกันทั้งหมด ดังนั้นเซลล์ในร่างกายของน้องแมวจึงมีการผสมปนเปกันระหว่างเซลล์ที่มี โครโมโซม X ควบคุมสีดำและเซลล์ที่มีโครโมโซม X ควบคุมสีส้ม น้องแมวจึงมีสีออกกระดำกระด่างดังรูป (แต่สำหรับจขกท.เห็นว่าน่ารักที่ซู้ด ถ้าเห็นเมื่อไรต้องรีบวิ่งเข้าไปอุ้มอย่างแน่นอน)
ทั้งนี้กรณีที่ กล่าวมาทั้งหมดคือกรณีของแมวสามสีเพศเมีย ถามว่าแมวสามสีเพศผู้ล่ะมีบ้างไหม ก็ตอบว่ามีเช่นกันครับ ตามหลักการ แมวเพศผู้จะมีโครโมโซมเพศเป็น XY โดยได้รับโครโมโซม X จากแม่และโครโมโซม Y จากพ่อ ดังนั้นมันควรจะมีสีใดสีหนึ่งเท่านั้นระหว่างสีดำกับสีส้ม สำหรับแมวสามสีเพศผู้นั้นนับว่าเป็นกรณีที่หาได้ยากยิ่งจะมีโครโมโซมแบบ XXY ครับ ซึ่งถือเป็นความผิดปกติ แต่ยังคงแสดงออกลักษณะทางเพศผู้ได้
อีก ปรากฏการณ์หนึ่งที่อธิบายได้ด้วย Random X inactivation ก็คืออาการต่อมเหงื่อไม่เจริญในคน ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรม โรคดังกล่าวถูกควบคุมโดยยีนบนโครโมโซม X แต่พบว่าผู้หญิงที่เป็น heterozygous จะมีทั้งต่อมเหงื่อที่ทำงานได้และทำงานไม่ได้
- อัจฉริยะหลายคนในศตวรรษที่ 19 ถึง 20 มักมีชื่อเสียงอื้อฉาวเรื่องเพศ เช่น Richard Feynman, Albert Einstein และ Bertrand Russell ทั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของสถิติ มีสมมติฐานหนึ่งที่ว่า อัจฉริยะมีส่วนสัมพันธ์กับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (ฮอร์โมนเพศชาย ความก้าวร้าว และการชอบเสี่ยงภัย)
- ในปี 1981 Shockley (คนเดียวกับอีตาข้างบน) และนัก eugenicist (นักชาติพันธุ์วิทยา พวกที่เชื่อว่ามนุษย์สามารถจัดลำดับความสามารถได้จากพันธุกรรม-หาคำแปลไทยไม่ถูก, จขบ.) นามว่า Robert Klark Graham ร่วมกันก่อตั้งสถาบันเก็บเชื้อพันธุ์อัจฉริยะในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ เป้าประสงค์หนึ่งคือการขายอสุจิของบุรุษที่ได้รับรางวัลโนเบลและบุรุษผู้ที่มีไอคิวสูงอีกเป็นจำนวนมาก
- Graham ตายในปี 1997 และสถาบันสติเฟื่องข้างบนนั้นก็ปิดลงในอีกสองปีถัดมา
- การศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอพบว่า คนที่มีไอคิวปกติหรือแม้กระทั่งต่ำกว่าปกติมักมีความสามารถการบริหารหรือออมเงินได้ดีกว่าคนที่มีไอคิวสูง ตัวอย่างเชิงประจักษ์หนึ่งคือ Albert Einstein ผู้ผลาญเงินที่ได้จากรางวัลโนเบลไปเกือบหมดสิ้นโดยแทบไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆกลับมาจากการลงทุน
- กุมารแพทย์ชาวออสเตรเลีย Hans Asperger เป็นผู้ค้นพบโรคAsperger's syndrome ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของออทิสติกที่มีความสนใจและความสามารถเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ คุณหมอเชื่ออย่างฝังใจว่าโรคดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ และสรุปออกมาว่า "ภาวะออทิสติกมีความจำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จด้านวิทยาศาสตร์หรือศิลปะใดๆ"
- เหนือไปกว่าเจ้าลิงชิมป์ไม่ทราบชื่อตัวข้างต้น เจ้านกแก้วสีเทาชื่อ Alex ซึ่งตายไปเมื่อปีที่แล้ว ถูกบันทึกว่าเป็นนกที่ฉลาดที่สุดในโลก มันสามารถจดจำวัตถุได้ถึง 50 อย่าง ซึ่งมีสีและรูปร่างแตกต่างกันเจ็ดรูปแบบ อย่างละ 6 ชิ้นขึ้นไป (50 x 7 x 7 x 6)