คนเกิดวันพุธ ความทุกข์โถมทับทวี

อุปทานหมู่

อุปทานหมู่ (collective hysteria, collective obsessional behavior, mass hysteria หรือ mass psychogenic illness) เป็นปรากฏการณ์ทางจิตสังคมอย่างหนึ่ง มีลักษณะเป็นการแสดงออกอย่างเดียวกับโรคฮิสเตอเรีย หรือโรคผีเข้า (อังกฤษ: hysteria) แต่อุปาทานหมู่นั้นเป็นอาการสมดังชื่อ คือ เกิดขึ้นในคนหมู่ โดยมักมีสาเหตุจากการที่คนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าตนกำลังประสบภาวะเจ็บป่วยหรืออาการอื่นอย่างเดียวกัน

ปรากฏการณ์อุปาทานหมู่นั้นเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งเกิดป่วยหรือมีอาการของโรคฮิสเตอเรียอันเป็นผลมาจากภาวะเครียด และเมื่อผู้ป่วยคนนั้นเริ่มแสดงอาการ คนอื่น ๆ รอบข้างก็เริ่มแสดงอาการด้วยเพราะเชื่อว่าตัวเองก็ประสบภาวะอย่างเดียวกัน อาการที่แสดงเช่นว่ามักได้แก่ อาการคลื่นไส้ (nausea), อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง (muscle weakness) การชัก (fit) หรืออาการปวดศีรษะ (headache)

อุปาทานหมู่มีลักษณะเด่นตรงที่ไม่อาจหาสาเหตุแน่ชัดได้ อาการที่เกิดก็มักมีความคลุมเครือ แต่มักเชื่อกันว่ามีสาเหตุมาจากอำนาจเหนือธรรมชาติหรือเป็นทางทางศาสนา โดยว่ากันทางประชากรศาสตร์ อุปาทานหมู่เกิดมากในเพศเมีย และในหมู่ผู้ที่รับบริการทางการแพทย์บ่อย ๆ คือพวกที่รับประทานยาหรือใช้ยามาก ๆ เป็นต้น

อาการตื่นตระหนกทางใจ (moral panic) มีอาการแสดงคล้ายกับอุปาทานหมู่มาก

อย่างไรก็ตาม เจอโรม คลาร์ก (Jerome Clark) นักวิจัยเรื่องเหลือเชื่อและจานผี ชาวอเมริกัน กล่าวว่า อุปาทานหมู่เป็นคำอธิบายอันไร้มูลฐานเมื่อเจ้าหน้าที่หรือผู้เชี่ยวชาญไม่อาจหาคำอธิบายได้สำหรับกรณ์อันยุ่งเหยิงหรือน่าตระหนกใจ(1)

ต่อจากนี้ไปจะเป็นตัวอย่างปรากฏการณ์อุปทานหมู่(2), (3)ที่มีชื่อเสียงครับ


สาวปากฉีก

สาวปากฉีกเป็นตำนานเมือง (urban legend) ของญี่ปุ่นที่มีการแพร่ระบาดเป็นระยะๆ ตามตำนานกล่าวไว้ว่า สาวปากฉีก หรือ คุชิซาเกะอนนะ เป็นผีญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง ลักษณะของสาวปากฉีกคือ ปากจะฉีกถึงใบหู เรื่องเล่าของสาวปากฉีกมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน ตำนานสาวปากฉีกในสมัยเฮอันเล่ามาว่า มีหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน เป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ สงสัยว่าเธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า อย่างนี้แล้วใครจะคิดว่าเธองดงามอีก

สาวปากฉีกเมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญญาณพยาบาท มีพฤติกรรมที่น่ากลัว คือ มักจะยืนอยู่ตรงริมถนน ในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยไหม? ถ้าตอบกลับไปว่าก็สวยแล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ล่ะ? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี

สาวปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ แล้วแต่สถานการณ์ เธอมีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย ชื่นชอบเวลาได้รับคำชม หรือรู้สึกว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหก และคนที่กลัวเธอ(1) เมื่อตำนานดังกล่าวเผยแพร่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเด็กทุกคนรวมถึงผู้ใหญ่ ประชาชนทุกคนในประเทศญี่ปุ่นต่างเตรียมมาตรการป้องกันกันอย่างจริงจัง ถึงขนาดรัฐบาลออกโฆษณามาเลยนะ เด็กทุกคนจะต้องพกลูกกวาดติดกระเป๋า (พ่อแม่บางคนถึงกับต้องเช็คกระเป๋าลูกทุกครั้งก่อนออกจากบ้านว่ามีลูกกวาดอยู่หรือไม่) หากเดินในที่เปลี่ยวๆก็ต้องท่องคาถา บทสวดมนต์ไปตลอดทาง มีคนอ้างว่าเจอสาวปากฉีกไม่น้อยรายและมาออกรายการสยองขวัญตามทีวีจนเป็นที่โด่งดัง อุปทานหมู่ดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 1979 จากนั้นค่อยๆซาลง และกลับมาระบาดอีกครั้งในปี 2004 และ 2007 ตามลำดับ




รูปประกอบจากภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง Carved ปริศนาสาวปากฉีก



อุกกาบาตในเปรู

ปี 2007 ประชาชนในท้องถิ่นของเปรูเผยว่ามีลูกไฟหล่นลงมาจากท้องฟ้าและพุ่งชนพื้นที่ราบของเมืองคารานคัส (Carancus) ในรัฐแอนดร์ (Andre) บริเวณชายแดนใกล้กับประเทศโบลิเวีย ซึ่งทำให้เกิดหลุมกว้างประมาณ 30 เมตร และลึกประมาณ 6 เมตร และหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็มีผู้คนเจ็บป่วยนับร้อย นักธรณีวิทยาได้ยืนยันจากการวิเคราะห์องค์ประกอบของลูกไฟดังกล่าวพบว่าเป็น "หินอุกกาบาต" อย่างแน่นอน และความร้อนจากอุกาบาตอาจต้มน้ำในหลุมอุกาบาตดังกล่าวได้นาน 10 นาทีจนเกิดไอที่ทำให้ผู้คนในละแวกใกล้เคียงเจ็บป่วย

ประชาชนราว 200 คน เจ็บป่วยจากอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน และมีปัญหาในการหายใจ ซึ่งคาดว่ามีสาเหตุจากการได้รับไอสารพิษที่ปนเปื้อนในหลุมอุกกาบาต

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญไม่เชื่อว่าอุกกาบาตเป็นสาเหตุในอาการเจ็บป่วยของร่างกาย แต่คิดว่าปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดจากการกระทบพื้นดินของอุกกาบาตอาจปลดปล่อยสารพิษอย่าง "ซัลเฟอร์" และ "อาร์เซนิก" (สารหนู) ทั้งนี้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับหลุมอุกกาบาตกล่าวว่าพวกเขาได้กลิ่นของซัลเฟอร์อย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังอุกกาบาตกระแทกพื้น ซึ่งกระตุ้นให้รู้สึกปวดท้องและปวดศรีษะ แต่นักธรณีจากยังรู้สึกกังขากับรายงานเกี่ยวกับกลิ่นของซัลเฟอร์

อย่างไรก็ตาม ทีมแพทย์ที่เข้าตรวจสอบพื้นที่อุกาบาตเผยว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอุกกาบาตได้ทำให้ผู้คนล้มเจ็บ และคาดว่าอุกกาบาตอาจกระตุ้นโรคทางจิตวิทยาให้กับคนในพื้นที่ โดยขณะที่อุกกาบาตตกได้ทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูเลวร้ายเมื่อสัมผัสชั้นบรรยากาศและเสียงนั้นก็ได้เขย่าขวัญผู้คน




ภาพประกอบ ณ สถานที่เกิดเหตุ



น้ำทะเลรสหวาน

ปี 2006 ประชาชนเมืองมุมไบ ประเทศอินเดียต่างพบว่าน้ำทะเลจากหาดมาฮิมจู่ๆก็เกิดมีรสหวาน หาดมาฮิมเป็นหนึ่งในหาดที่มีมลพิษทางน้ำมากที่สุดจากของเสียที่โรงงานต่างๆปล่อยลงสู่ท้องทะเล ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป ประชาชนเมืองกูจารัตที่อยู่ใกล้ๆกันก็รายงานว่าน้ำทะเลจากชายหาดในตัวเมืองกลับมีรสหวานเช่นกัน หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องต่างพากันวิตกกังวลกับปรากฏการณ์ดังกล่าว และคาดว่าอาจจะมีโรคระบาดทางน้ำเกิดขึ้น จึงนำตัวอย่างน้ำทะเลไปตรวจวิเคราะห์และเตือนไม่ให้ประชาชนดื่มน้ำจากทะเลจนกว่าจะได้ผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากต่างพากันเก็บน้ำทะเล “รสหวาน” ใส่ภาชนะด้วยเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ที่ควรบูชานับถือ พอหนึ่งวันผ่านไป น้ำทะเลก็กลับมามีรสเค็มเหมือนเดิมครับ




ต้นน้ำชายหาดมุมไบ สกปรกแค่ไหนคงไม่ต้องบรรยาย



โรคหัวเราะไม่หยุด

เหตุเกิดขึ้นเมื่อปี 1962 ณ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในประเทศแทนแกนนิยา (แทนซาเนีย ในปัจจุบัน) ทวีปแอฟริกา นักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งในโรงเรียนแห่งหนึ่งพูดคุยและเล่าเรื่องตลกกัน (เรื่องตลกที่ว่า มีเนื้อหาใจความอย่างไรก็ไม่ได้มีบันทึกไว้) ทำให้เพื่อนๆต่างพากันหัวเราะ และการหัวเราะนั้นก็ไม่ได้หยุดลงแค่นั้นแต่กลับระบาดไปทั่ว จากนักเรียนกลุ่มเล็กๆก็ขยายวงไปยังคนอื่นที่อยู่รอบข้าง คนที่เดินผ่าน คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ทุกคนต่างพากันหัวเราะโดยไม่ทราบเหตุผลเริ่มต้นด้วยซ้ำ สุดท้ายโรงเรียนถึงกับต้องปิดกะทันหัน เด็กนักเรียนต่าง(หัวเราะ)กลับบ้านไป และก็นำเอาโรคหัวเราะไม่หยุดไปติดพ่อแม่ ผู้ปกครองอีก การหัวเราะไม่หยุดขยายเป็นวงกว้างจากหมู่บ้านดังกล่าวไปยังหมู่บ้านอื่น ชุมชนรอบข้าง กระทบกับคนเป็นพันๆ หกเดือนผ่านไปมันจึงยุติลง เมื่อหยุดหัวเราะได้ยังทิ้งผลข้างเคียงบางประการไว้ ชาวบ้านต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญ เป็นลมหมดสติ ผื่นขึ้น เจ็บปวด และมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

ปล.โรคนี้ คุณแทนไทก็เอาไปเขียนโลกจิต ว่าด้วยโรคทางสมองประหลาดๆที่อธิบายไม่ได้ครับ





เทวรูปดื่มนม

เดือนกันยายน ปี 1995 ผู้นับถือศาสนาฮินดูในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ได้ประกอบพิธีกรรมบางอย่างโดยการป้อนนมให้เทวรูปในวัด เมื่อนมบนช้อนสัมผัสกับริมฝีปากเทวรูป ปรากฏว่าน้ำนมค่อยๆอันตรธานหายไป ปรากฏการณ์ดังกล่าวแพร่สะพัดไปโดยปากต่อปากในทันใด ในวันรุ่งขึ้น เหล่าผู้ศรัทธาศาสนาฮินดูทุกๆเมืองในตอนเหนือของประเทศอินเดียต่างพากันป้อนนมเทวรูปและได้ผลเช่นเดียวกัน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นร่วมสัปดาห์ตามวัดต่างๆ (จำได้ลางๆว่าตอนเกิดเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์ไทยก็เอามาลงข่าวนะครับ เป็นที่ฮือฮามากด้วย มีนักวิทยาศาสตร์ต่างพากันให้สมมติฐานและทำการทดลองต่างๆนานา เพื่อพิสูจน์ว่าการดื่มนมของเทวรูปนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์)





แมลงกับสาวโรงงาน

ปี 1962 โรคระบาดประหลาดเกิดขึ้นกับสาวโรงงานกว่าหกสิบคนในแผนกตัดเย็บเสื้อผ้า โรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา อาการที่เกิดขึ้นจากโรคดังกล่าวได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน เป็นลมหมดสติ บางรายถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล มีใครสักคนหนึ่งอ้างว่าอาการดังกล่าวเกิดจากการถูกแมลงชนิดหนึ่งกัด ภายหลัง แพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานสาธารณสุขได้ออกมาตรวจสอบและสรุปว่าเป็นปรากฏการณ์อุปทานหมู่ จากการตรวจสอบ ไม่พบว่ามีแมลงที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว และในบรรดาคนงานทั้งหมดที่ป่วยเข้าโรงพยาบาล ไม่มีใครเลยที่มีแผลถูกแมลงกัด แพทย์เชื่อว่ามีคนงานบางคนถูกแมลงกัดแต่เพียงเล็กน้อย แต่กลับเกิดความกังวลเกินกว่าเหตุจนแสดงออกมาเป็นอาการประหลาดดังกล่าว





อุปทานจากละคร

Morangos com Acucar เป็นละครน้ำเน่าเกี่ยวกับชีวิตของเด็กในวัยทีนที่ได้รับความนิยมสูงมากในประเทศตุรกี โดยเฉพาะเด็กและวัยรุ่นที่พากันติดงอมแงม

เดือนพฤษภาคม ปี 2006 โรคระบาดที่มีชื่อว่า ‘Morangos com Acucar virus’ เกิดขึ้นครั้งแรกในโรงเรียน 14 แห่ง นักเรียนมากกว่า 300 คน เกิดอาการประหลาดๆซึ่งคล้ายคลึงกับอาการของตัวละครหนึ่งในละคร อาการดังกล่าวได้แก่ ผื่นขึ้น หายใจลำบาก วิงเวียนศีรษะ รุนแรงถึงขนาดบางโรงเรียนต้องปิดลง หน่วยสาธารณสุขได้ออกมาตรวจสอบและสรุปว่าเป็นปรากฏการณ์อุปทานหมู่ซึ่งเกิดจากละคร บรรดาผู้ปกครองต่างพากันวิตกกังวล เพราะละครน้ำเน่าดังกล่าวไม่ได้ฉายทางทีวีอย่างเดียว มันยังตีพิมพ์เป็นตอนๆในหนังสือพิมพ์และนิตยสารอีกด้วย (ฟังคนในอินเตอร์เน็ตวิจารณ์เกี่ยวกับดารา หรือละครกันรุนแร๊ง รุนแรง ก็น่าสงสัยนะครับว่าเป็นอุปทานหมู่หรือเปล่า)




ละครตัวต้นเหตุ



หญิงสาวผู้มีเลือดเป็นพิษ

Gloria Ramirez หญิงสาวที่อาศัยยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ถูกขนานนามว่า ‘หญิงสาวผู้มีเลือดเป็นพิษ’ เนื่องจากใครก็ตามที่ได้สัมผัสร่างกายหรือเลือดของเธอต่างพากันป่วยไข้กันไปหมด

ปี 1994 Gloria ถูกพามาส่งโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บปวดจากโรคมะเร็งปากมดลูกกำเริบ พนักงานโรงพยาบาลที่ดูแลเธอต่างพากันล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ จากรายงานกล่าวว่า ร่างกายของ Gloria มีกลิ่นแปลกๆคล้ายผลไม้และกระเทียม ส่วนเลือดของเธอก็มีวัสดุประหลาดๆคล้ายเศษกระดาษอยู่ภายใน สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ในบรรดาพนักงานที่ล้มป่วยจากการสัมผัสคุณ Gloria เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายครับ และจากผลการตรวจเลือดผู้ป่วยทั้งหมดก็พบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆเลย หน่วยงานทางสาธารณสุขจึงสรุปปรากฏการณ์ที่ไม่ทราบสาเหตุนี้ว่าเป็นอุปทานหมู่ (อีกตามเคย)





The War of the Worlds

The War of the Worlds เป็นละครวิทยุที่ดัดแปลงโดย Orson Welles จากนิยายวิทยาศาสตร์ของ H.G.Wells ออกอากาศในวันฮาโลวีน ปี 1938 ภายหลังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ถึงสองครั้ง (ครั้งที่สองก็ครั้งที่พี่ทอม ครูซเป็นพระเอก มีน้องหนูดาโกต้า เฟนนิ่งมาเล่นเป็นลูกสาวที่ร้องกรี๊ดๆแสบแก้วหูตลอดทั้งเรื่อง) ในครั้งแรกที่ออกอากาศนั้น สร้างความโกลาหลให้กับผู้คนนับล้านในหลายมลรัฐทางตะวันออก

เนื้อหาของละครดังกล่าวเกี่ยวกับหายนะวันสิ้นโลกเนื่องจากการบุกรุกของมนุษย์ต่างดาว ผู้ฟังรายการหลายคนที่ไม่ได้ฟังประกาศจากสถานีในตอนต้นของรายการ (ว่าเป็นละคร) ต่างพากันตื่นตระหนก หนีตายกันออกจากบ้าน (ทั้งนี้เนื่องจากความตึงเครียดว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองในขณะนั้นด้วย) ประชาชนหลายคนอุปทานว่าตนเองได้กลิ่นก๊าซลึกลับ เห็นวัตถุประหลาด เห็นแสงวูบวาบ เกิดการชุมนุมจนตำรวจต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์ เอ๊ะ คล้ายเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน หรือว่าเป็นอุปทานหมู่เหมือนกัน ความโกลาหลที่เกิดขึ้น เมื่อพิจารณาดูแล้วกคล้ายคลึงกับที่บรรยายในนิยายไม่มีผิด สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์สงบลง มีผู้วิจัยว่า จากจำนวนผู้ฟัง 6 ล้านคน มี 1.7 ล้านคนคิดว่าเป็นเรื่องจริง และ 1.2 ล้านคนจากจำนวนนี้เกิดความตื่นตระหนก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเสพสื่ออยู่ที่บ้านเฉยๆก็ทำให้เกิดอุปทานหมู่ได้เช่นกัน





มนุษย์ลิงแห่งนิวเดลี

เดือนพฤษภาคม ปี 2001 เหตุเกิดที่ประเทศอินเดีย(อีกแล้ว) มีรายงานจากกรุงนิวเดลีเกี่ยวกับมนุษย์ลิงลึกลับที่ออกทำร้ายผู้คนยามค่ำคืน พยานผู้พบเห็นต่างให้การไม่สอดคล้องกันเท่าไรนัก ลักษณะที่บรรยายได้แก่ เจ้าสัตว์ลึกลับนั้นสูงประมาณ 120 เซนติเมตร ผมหนาสีดำ ใส่หมวกโลหะ สวมกงเล็บโลหะ ใบหน้าเหมือนลิง ตาลุกวาวแดงโรจน์ มีตราสามดวงบนไหล่ กระโดดจากสูงได้และวิ่งเร็วมาก (นี่มันตัวอะไรกันแน่ฟะ) มีทฤษฎีมากมายที่ถูกยกขึ้นมาอธิบาย บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในตำนานของฮินดู บ้างก็ว่าเป็นบิ๊กฟุตเวอร์ชั่นอินเดีย บ้างก็ว่าเป็นไซบอร์กที่สามารถหยุดการทำงานมันได้โดยการเอาน้ำสาดไปที่หน้าอก

มีรายงานว่าผู้คนจำนวนมากถูกทำร้ายโดยสัตว์ดังกล่าว มากกว่า 15 คนมีรอยแผลฟกช้ำ รอยกัด ข่วนเป็นหลักฐาน มีอย่างน้อยสองคนตายเนื่องจากกระโดดลงมาจากที่สูงเมื่อคิดว่าตัวเองเห็นมนุษย์ลิงลึกลับนั้น และมีการเรียกร้องให้ทางการส่งเจ้าหน้าที่มากำจัดมนุษย์ลิง(4)




คำให้การที่ไม่ตรงกัน



องคชาติหาย

ความวิตกเกี่ยวกับองคชาติมีการแพร่ระบาดเป็นระยะๆในหมู่เพศชายทั่วโลก อุปทานดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อผู้คนเชื่อว่าจู่ๆองคชาติของตนเองจะหดสั้นลงหรือหายไปทั้งแท่งโดยไม่มีสาเหตุใดๆนำทั้งสิ้น แม้ว่าอุปทานดังกล่าวจะพบได้ทั่วโลก แต่มีรายงานมากที่สุดในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ความกลัวดังกล่าวเป็นผลจากอาการทางจิตซึ่งไม่ได้รับการบำบัดอย่างเหมาะสม บางรายที่เข้าขั้นหนักอาจถึงกับสอดวัสดุบางอย่างเช่นเข็ม ตะขอ เบ็ดตกปลา เข้าไปในองคชาติเพื่อยึด คงรูปให้แน่ใจว่าองคชาติจะไม่หายไป อุปทานดังกล่าวเคยระบาดครั้งใหญ่ในประเทศสิงคโปร์เมื่อ ปี 1967 ซึ่งมีรายงานกว่าพันราย จนทางการต้องออกแคมเปญตามสื่อต่างๆ ประกาศให้ทุกคนเชื่อว่าการหดหายไปขององคชาติเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทางการแพทย์

อนึ่ง มีการรายงานเกี่ยวกับอุปทานดังกล่าวที่คล้ายคลึงกันในเพสหญิง แต่เปลี่ยนจากความกังวลเกี่ยวกับองคชาติจะสูญหายเป็นกังวลว่าเต้านมของตนจะหดหายไปแทน





เต้นรำระบาด

โรคเต้นรำประหลาดมีบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี 1518 เมือง Strasbourg ประเทศฝรั่งเศส เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งออกมาเต้นรำบนท้องถนนเป็นเวลาเกือบสัปดาห์ ต่อจากนั้นผู้คน 30 กว่าคนก็ออกจากบ้านมาร่วมเต้นรำด้วย เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน จำนวนคนเต้นรำก็เพิ่มขึ้นเป็นสี่ร้อยคน ถนนทุกสายแน่นเนืองไปด้วยผู้คนที่ออกมาเต้นรำ ทุกคนเต้นรำ-เต้นรำ-เต้นรำกันโดยไม่มีการหยุดพัก บางคนตายไปเนื่องจากหัวใจวาย หรือด้วยเหนื่อยเกินไป เหตุการณ์ดังกล่าวมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้อย่างชัดเจน ทั้งในบันทึกแพทย์ บันทึกเหตุการณ์ระดับท้องถิ่นและภูมิภาค กระทั่งในบันทึกของสภาเมือง แต่สิ่งที่ไม่มีใครให้คำอธิบายไว้คือ ทำไมผู้คนต่างพากันออกมาเต้นรำจนกระทั่งถึงแก่ความตาย และผู้คนเต้นรำจากความปรารถนาส่วนตัวหรือมีอำนาจลึกลับมาบังคับกันแน่





จะเห็นว่าถ้าสังเกต ปรากฏการณ์หลายๆอย่างในสังคมที่อธิบายไม่ได้ นักวิชาการก็เล่นง่ายโบ้ยให้เป็นอุปทานหมู่ซะเยอะนะครับ สำหรับตัวอย่างของอุปทานหมู่ความจริงก็มีมากกว่านี้ อย่างเช่น แจ็คจอมกระโดด (Spring-heeled Jack) ที่เป็นอุปทานหมู่ในยาวนานกว่าร้อยปีในประเทศอังกฤษ ส่วนในไทยก็มีข่าวอุปทานหมู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆนะครับ และในพันทิปก็สังเกตพฤติกรรมดังกล่าวได้ในบางห้อง อุ๊บส์! ไม่พูดต่อดีกว่า เดี๋ยวโดนอุ้ม





references

(1) wikipedia
(2) listverse
(3) webcoist
(4) BBC news




 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 3 พฤษภาคม 2552 10:49:59 น.
Counter : 3893 Pageviews.  

Cryptomnesia

Cryptomnesia (also called hidden memory) is the appearance in consciousness of memory images which are not recognized as such but which appear as original creations.

Cryptomnesia
(คริป-โตม-นี-เชีย) คือการระลึกได้ถึงความทรงจำที่ซ่อนเร้นและคิดว่าความทรงจำนั้นเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งเคยอุบัติขึ้น...

เคยไหมครับ....

----------------------------------------------------------------------

จู่ๆคุณก็มีไอเดียบางอย่างที่รู้สึกว่ามันเจ๋งสุดๆ ยอดเยี่ยมมากๆ เป็นไอเดียที่น่าประทับใจและคุณรู้สึกภูมิใจมากที่คิดมันขึ้นมาได้ อย่ากระนั้นเลย เอาไปเล่าให้เพื่อนฟังดีกว่า หลังจากที่คุณใช้เวลาทั้งหมดร่วมครี่งชั่วโมงเล่าไอเดียดังกล่าวที่คุณคิดว่ามันโคตร “cool” ให้เพื่อนตัวแสบฟังจนจบ มันกลับหันมามองหน้าคุณด้วยสายตางงสุดขีด

“ครือ...ไอเดียที่เอ็งพล่ามมาให้ข้าฟังทั้งหมดเนี่ย ข้าเป็นคนเล่าให้เอ็งฟังเมื่อเดือนที่แล้วไงล่ะเฟ้ย!!”

คุณควรยอมรับความหน้าแตกไม่มีชิ้นดีครั้งนี้หรือไม่


----------------------------------------------------------------------

คุณมีพล็อตดีๆเก๋ๆที่จะเขียนนิยายเรื่องใหม่ผุดขึ้นมาในสมองอย่างต่อเนื่อง คุณไม่รอช้าที่จะพิมพ์พล็อตดังกล่าวออกมาเป็นนิยายเรื่องยาวอย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด...แหม เราช่างเก่ง มีจินตนาการล้ำเลิศ...คุณกล่าวชมตัวเองในใจ หลังจากที่พิมพ์นิยายจนจบก็ไม่รอช้า นำนิยายขึ้นโพสในเว็บเด็กดีทันที...

วันต่อมา นิยายของคุณกลายเป็นประเด็นร้อน มีผู้อ่านรุมประณามหยามเหยียดกันห้าร้อยความเห็นว่า นิยายของคุณมันลอกคนอื่นมาชัดๆเหมือนกันทั้งเนื้อหาและตัวละคร แต่คุณไม่ยอมรับ! คุณยืนยันว่าไม่ได้ลอกผลงานของนักเขียนดังกล่าว! พล็อตทั้งหมดในนิยายคุณเป็นคนคิดขึ้นมาเองล้วนๆ ส่วนนิยายที่ถูกกล่าวหาว่าลอกมาคุณก็จำได้ว่าไม่เคยอ่าน

...แต่พอกลับมานึกดูดีๆ...เอ...คุณเคยอ่านนิยายเรื่องนั้นมาแล้วนะ แต่นานมากๆแล้ว นานมากจนจำแทบไม่ได้ สรุปว่าคุณผิดจริงๆหรือ


----------------------------------------------------------------------

พรุ่งนี้มีสอบฟิสิกส์ ดังนั้นเวลาตีหนึ่งของวันนี้คุณจึงยังไม่ได้นอน ด้วยติดพันโจทย์อยู่ข้อหนึ่งที่จะว่ายากก็ยากอยู่ แต่คุณรู้สึกว่าคุณใกล้พบกุญแจที่จะไขวิธีทำโจทย์ข้อนั้นได้แล้ว คุณคิดว่าคุณรู้วิธีทำโจทย์ข้อนั้นได้แล้ว แต่พอเริ่มลงมือคำนวณก็กลับลืมวิธีนั้นไป คุณเสียเวลาไปกับโจทย์ปัญหานั้นนานมากจนเริ่มอารมณ์เสีย เวลาล่วงเลยไปถึงตีสาม ในที่สุดก็พิชิตได้...พิชิต...ความง่วงงุนพิชิตคุณได้ คุณหลับผล็อยไปในที่สุด

ในความฝัน คุณฝันว่าอาจารย์ฟิสิกส์ใจโหดส่วนหัวเป็นวัวแต่ตัวยังเป็นคนเรียกให้คุณออกมาทำโจทย์หน้าชั้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของเพื่อนที่มีใบหน้าเป็นสัตว์ต่างๆ คุณออกไปยืนหน้ากระดานดำและพบว่าโจทย์ที่อยู่บนกระดานนั้นช่างโหดมหาหินสุดๆ คุณกัดฟันทำโจทย์ข้อนั้นจนจบ แล้วตื่นมาจากความฝัน...

...เมื่อตื่นขึ้นมาก็เปิดโจทย์ข้อเจ้าปัญหานั้นขึ้นมาดู เป็นข้อเดียวกับที่คุณเห็นในความฝัน! และในความฝันคุณแก้โจทย์ข้อนี้ได้ โอ้! มันน่าอัศจรรย์สุดๆ ความฝันช่วยให้คุณแก้ปัญหาโจทย์ได้... แต่มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ


----------------------------------------------------------------------

ใช่แล้วครับ ปรากฏการณ์ Cryptomnesia คือปรากฏการณ์ที่ความทรงจำเล่นตลกกับเรา เราเคยจำเรื่องหนึ่งได้...เราลืมมันไป...แล้วพอนึกได้อีกครั้งก็คิดว่าเป็นของใหม่หรือขี้ตู่ไปว่าตัวเองเป็นคนคิดขึ้นมาเอง

คำว่า Cryptomnesia บัญญัติขึ้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่คนที่นำมาใช้จนเป็นที่รู้จักมากคือ Carl Gustav Jung (1875 –1961) นักจิตวิทยา ศิษย์เอกคนหนึ่งของ Sigmund Froyd ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางจิตต่างๆที่น่าพิศวงและหาคำตอบไม่ได้เช่น การโจรกรรมทางวรรณกรรมอย่างไม่ได้ตั้งใจ (Unintentional Plagiarism) การระลึกชาติ (Reincarnation) ความคิดจากความฝัน (Sleeper effect)




Carl Gustav Jung ผู้ที่นำชื่อผม...เอ๊ย...คำว่า cryptomnesia มาใช้บ่อยๆ



Cryptomnesia แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ ทั้งสองประเภทอาจเกิดพร้อมๆกันก็ได้
1. คิดว่าความทรงจำนั้นเป็นสิ่งใหม่ (The plagiarizer regenerates an idea that was presented earlier, but believes the idea to be an original creation.)
2. คิดว่าความทรงจำนั้นเป็นของตนเอง (An error of authorship whereby the ideas of others are remembered as one’s own.)


ลองมาดูตัวอย่างของ Cryptomnesia ในกรณีเด่นๆดังๆดีไหมครับ

Friedrich Nietzsche (1844 – 1900) ชื่อนี้คงเป็นของแสลงสำหรับนักศึกษาเอกปรัชญา (“พระเจ้าตายแล้ว!”) ได้เขียนผลงานที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่งอันมีคุณค่าทั้งในแง่ปรัชญาและในแง่วรรณกรรมเมื่อเขาอายุราว 40 ปี





Thus Spoke Zarathustra: คือพจนาซาราทุสตรา (สาบานได้ว่านี่คือชื่อหนังสือ) มหากาพย์ของศาสดาผู้หนึ่งที่พยายามพร่ำสอนผู้คน ซึ่งสอนแนวปฏิบัติที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างปัญญา และให้คนตัดสินใจเลือกดำเนินชีวิตเองด้วยสำนึกผิดชอบชั่วดี โดยให้เลิกละความเชื่องมงายเรื่องไสยศาสตร์และสิ่งที่มองไม่เห็น บรรยายถึงตัวเอกที่มีบุคลิกโดดเด่น แบกรับภารกิจยิ่งใหญ่ เน้นการผจญภัยในจิตใจอันเป็นการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ

คุณจุง (Carl G. Jung) ได้วิจารณ์หนังสือเล่มนี้ช่วงหนึ่งว่าไม่ได้เขียนจากประสบการณ์ของนิชเช่เอง หากแต่เป็นประสบการณ์ของผู้อื่นที่ตีพิมพ์ก่อนหน้าในปี 1835 (Blatter aus Prevorst) ซึ่งเขียนบรรยายเหมือนกันแทบจะเป็นตัวอักษรต่อตัวอักษร มีข้อโต้แย้งกันมากในประเด็นดังกล่าวว่าเป็นการโจรกรรมทางวรรณกรรมหรือความบังเอิญ จนกระทั่งน้องสาวของนิชเช่ออกมายืนยันว่านิชเช่เคยอ่าน Blatter aus Prevorst เมื่อตอนที่เป็นเด็กอายุประมาณ 11 ปี

George Harrison (1943-2001) หนึ่งในสมาชิกวงบีเทิลส์ มือกีต้าร์คนดัง เคยถูกฟ้องร้องในข้อหาลอกเลียนเพลง โดยเพลงที่ลุงจอร์จแต่ง ‘My Sweet Lord’ มีท่วงทำนองคล้ายเพลง He’s so Fine ที่แต่งโดย Ronald Mack อย่างมาก ลุงจอร์จแพ้คดีโดยถูกศาลตัดสินว่าเขาโจรกรรมผลงานเพลงในระดับจิตใต้สำนึก (subconsciously plagiarized) มีข้อหานี้ด้วยแฮะ และต้องจ่ายเงิน 587,000 เหรียญให้กับบริษัท Bright Tunes Music




ลุงจอร์จตอนหงำเหงือกแล้ว (ตอนหนุ่มๆหล่อกว่านี้มาก) 500000 กว่าเหรียญ ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงนะ



กรณีของนักสะกดจิตมือสมัครเล่น บริดี เมอร์ฟี ( Bridey Murphy) ในปี ค.ศ. ๑๙๕๐ ซึ่งเป็นหนังสือและภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง ตามเรื่องกล่าวถึง เวอร์จิเนีย ติก (Virginia Tighe) สุภาพสตรีจากโคโลราโด ที่ถูกสะกดจิต แล้วได้ "ระลึก" ชีวิตของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ ๑๙ ณ เมืองคอร์ค (Cork) ในไอร์แลนด์ ๙๒ ในระหว่างที่ถูกสะกดจิตอยู่นั้น เธอจะพูดภาษาไอริชท้องถิ่น ร้องเพลงไอริช และจำได้ว่าถูกดึงตัวไว้เมื่อเธอก้มลงจูบบลาร์นี สโตน (Blarney Stone)

ต่อมาปรากฏว่าไม่เคยมีการชี้ชัดว่ามีสตรีชาวไอริชในศตวรรษที่ ๑๙ ที่ตรงกับบรินี เมอร์ฟีเลย แต่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้พบว่ามีสตรีผู้หนึ่งชื่อว่า บรินี เมอร์ฟี คอร์เคลล์ (Bridie Murphy Corkell) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ ๒๐ ที่วิสคอนซิน(Wisconsin) และปรากฏว่าสตรีผู้นี้อาศัยอยู่ในบ้านตรงข้ามกับบ้านที่เวอร์จิเนีย ติก เติบโตมา เรื่องที่เวอร์จิเนียรายงานเมื่อถูกสะกดจิตนั้นไม่ใช่เรื่องชีวิตในชาติก่อนที่ระลึกได้ แต่เป็นเรื่องที่ปะติดปะต่อขึ้นจากความจำในสมัยที่เธอเป็นเด็กนั่นเอง เรื่องการระลึกชาติย้อนหลัง เป็นเรื่องที่ไม่สามารถชี้ให้เห็นความจริงที่ถูกต้องตามที่เป็นจริงได้โดยง่าย แต่เรื่องเช่นนี้ แม้เรื่องที่ดูน่าเชื่อที่สุดก็ตาม ก็มักจะเป็นการบรรยายเรื่องราวของชีวิตซึ่งไม่ค่อยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ นี่ย่อมหมายความว่าเรื่องชีวิตในชาติก่อนตามคำบอกเล่าของผู้ระลึกชาตินั้น ส่วนมากเป็นเรื่องที่พิสูจน์ความจริงไม่ได้

บทที่ 10 ของหนังสือ "กรรมและการเกิดใหม่ในสังคมร่วมสมัย" เขียนโดย นคปริย (Nagapriya) แปลโดย พล.ร.อ.จินดา ไชยอุดม ร.น. สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา




The search for Bridey Murphy กลายเป็นหนังสือและภาพยนตร์ในภายหลัง



ในบางกรณีความทรงจำที่ซ่อนเร้นอาจผุดขึ้นมาอีกครั้งในรูปความฝันก็ได้ครับ

August Kekule (1829-1896) เป็นนักเคมีชาวเยอรมัณในศตวรรษที่ 19 เขาเป็นผู้ค้นพบสูตรโครงสร้างเคมีของเบนซีนริง ตอนแรกเขาพยายามคิดครับว่า C6H6 เนี่ยจะมีสูตรโครงสร้างเป็นอย่างไร คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกเพราะคาร์บอนแขนไม่ครบสักที (เนื่องจากสมัยก่อนไม่มีเครื่อง UV, IR, Mass spectrometry อย่างเช่นทุกวันนี้ การพิสูจน์โครงสร้างสารเคมีจากจำนวนอะตอมของธาตุประกอบและข้อมูลทางเคมีกายภาพอื่นๆจึงเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญครับ)

วันหนึ่งเขาก็ฝันเห็น งูโอโรบอรอส (Ouroboros-สัตว์ประหลาดตามตำนานของกรีก เป็นงูยักษ์ที่พยายามกินหางของตนเอง) ตื่นขึ้นมาจึงนึกออกว่าโครงสร้างของเบนซีนควรเป็นอย่างไร





หากอธิบายตามทฤษฎี Cryptomnesia จะบอกว่า คุณเคคูเล่เนี่ยเคยคิดสูตรโครงสร้างเบนซีนออกมาก่อนแล้วครับ แต่เขากลับจำไม่ได้ว่าตัวเองคิดออกไปแล้ว (คงเพราะช่วงนั้นคงมันเครียดมาก วันๆนั่งคิดแต่สูตรโครงสร้างเคมี )

Giuseppe Tartini (1692-1770) นักไวโอลินชาวอิตาเลียนในศตวรรษที่ 18 แต่งบทเพลง the Devil's Trill Sonata ที่มีท่วงทำนองร้อนแรงจากความฝันว่าได้ทำสัญญากับซาตาน ซึ่งบรรเลงไวโอลินโซนาต้าที่มีความไพเราะมากบทหนึ่งให้แก่เขา แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเขาไม่สามารถจดจำบทเพลงนั้นได้เลย ตาร์ตินี่จึงลองแต่งโซนาต้าเพื่อเลียนแบบเพลงในฝันของซาตาน ความพิเศษของ Devil’s Trill sonata อยู่ในท่อนสุดท้าย นักไวโอลินต้องเล่นรัวสาย (Trill) บนสายหนึ่ง ในขณะนิ้วอื่นๆ ต้องเล่นบนสายที่เหลืออย่างรวดเร็ว

ตาร์ตินี่บอกว่า ซาตานตนนั้นบรรเลงเพลงด้วยฝีมือชั้นยอด ด้วยจินตนาการในแบบที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีใครทำได้ เขาฟังอย่างหมดเรี่ยวแรงแทบจะลืมหายใจ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ เขาเริ่มจับไวโอลินทันทีโดยหวังว่าจะจดจำบางเสี้ยวของสิ่งที่พึ่งได้ยินมาได้ แต่กลับจำไม่ได้เลย นั่นคือเพลง Devil's Sonata แต่มันยังห่างไกลจากสิ่งที่ทำให้เขาตะลึงงัน ตาร์ตินี่กล่าวว่า เขายอมพังไวโอลินทิ้งและเลิกเล่นดนตรีอย่างเด็ดขาดหากได้เป็นเจ้าของเพลงนี้






The Devil's Trill Sonata แบ่งเป็นสองคลิป



ตัวอย่างสุดท้าย...Robert Louis Stevenson (1850-1894) ใช้เวลาหลายปีในการศึกษาเรื่องบุคคลสองบุคลิกภาพเพื่อนำมาเป็นพล็อตนิยาย ไอเดียดังกล่าวแจ่มชัดที่สุดเมื่อมันปรากฏขึ้นในรูปแบบของความฝัน และทำให้เขาแต่งนิยายเรื่อง “Dr. Jekyll and Mr. Hyde” จนเป็นที่โด่งดัง เกี่ยวกับการทดลองเพื่อแยกความดีกับความชั่วออกจากมนุษย์ให้เด็ดขาด เป็นผลให้ผู้ทดลองการเป็นคนสองบุคลิกภาพ ยามกลางวันเป็นบุคคลน่านับถือ ยามกลางคืนเป็นฆาตกรผู้ชั่วร้าย





Cryptomnesia ยังไม่ถือเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากไม่มีคำอธิบายถึงกลไกการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวในเชิงประสาทวิทยา และยังไม่สามารถตรวจความถูกต้อง (Validity) ดังนั้น หากคุณไปเกรียนโพสนิยายลอกเลียนชาวบ้านแล้วอ้างว่าผมโดนปรากฏการณ์ Cryptomnesia เล่นงานก็ไม่รอดโดนยำครับ


นามนั้นสำคัญฉะนี้.




 

Create Date : 24 มกราคม 2552    
Last Update : 24 มกราคม 2552 22:18:55 น.
Counter : 4110 Pageviews.  


มีชีวิตบนดาวอังคารหรือเปล่านะ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 21 คน [?]






....โลกมนุษย์นี้ไม่มีที่แน่นอน
ประเดี๋ยวเย็นประเดี๋ยวร้อนช่างแปรผัน
โชคหมุนเวียนเปลี่ยนไปได้ทุกวัน
สารพันหาอะไรไม่แน่นอน
ชีวิตเหมือนเรือน้อยล่องลอยอยู่
ต้องต่อสู้แรงลมประสมคลื่น
ต้องทนทานหวานสู้อมขมสู้กลืน
ต้องจำฝืนสู้ภัยไปทุกวัน
เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน
เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์
แต่คนที่ควรชมนิยมกัน
ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา


พันตรีหลวงวิจิตรวาทการ





เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา
จงเลือกเอาสิ่งที่ดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู
เรื่องที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
จะหาคนที่มีดีเพียงส่วนเดียว
อย่าเที่ยวเสาะหาสหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเล่าเอย
ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง

หลวงพุทธทาส





ชีวิตใกล้ปัจฉิมวัย ไม่เป็นไปตามแผนการเมื่อปฐมวัย อะไรที่ยิ่งใหญ่เมื่อเช้า เป็นของเล็กน้อยเมื่อเย็น อะไรที่เป็นสัจจะเมื่อแดดจ้า กลายเป็นมายาเมื่อยามพลบ

We cannot live the afternoon if life
according to the program on life’s morning; for what was great in the morning will be little at evening, and what in the morning was true will at evening have become a lie.



C.G. Jung.




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มีชีวิตบนดาวอังคารหรือเปล่านะ's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.