หากโลกนี้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม... (2)
21 พ.ย. ยุคออร์โดวีเชียน (Ordovician period) 510 ล้านปีที่แล้ว
ถึงแม้บรรยากาศจะเริ่มมีก๊าซออกซิเจนแล้ว ก็ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตอาจหาญขึ้นบก เนื่องจากผนังโอโซนที่ยังบางเบาไม่สามารถกรองรังสี UV ได้มากพอ ต้องรอไปถึงปลายยุคดีโวเนี่ยนนู่นเลยครับ กว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่ซ่าขึ้นตะลุยแผ่นดิน ดังนั้นทะเลก็ยังคงเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
ต้นยุคออร์โดวีเชียนเกิดเหตุการณ์สำคัญคือการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกอันเนื่องมาจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นจนเกิดพื้นที่ตื้นเขินจำนวนมาก ซึ่งสิ่งมีชีวิตก็ไม่รอช้าที่จะแพร่ขยายไปครอบครองพื้นที่ดังกล่าว เกิดแนวปะการังทั่วทุกชายฝั่งทะเล
สัตว์จำพวกหนอนทะเลต่างพากันสูญพันธุ์ไปจนหมดสิ้น ขณะที่ตัวไทรโบไลต์ยังคงมีให้เห็นเต็มไปหมด และยังวิวัฒนาการเพิ่มขนาดตัวเองให้ใหญ่โตขึ้นอีกต่างหาก
ออร์โดวีเชียนเป็นยุคของหอยและปลาหมึก (Cephalopods) และสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลังครับ
วันที่ 27 พ.ย. ยุคไซลูเรียน (Silurian period) 439 ล้านปีที่แล้ว
ปลาไม่มีขากรรไกรและมีเกราะหุ้มหัว (ostracoderm) เกิดขึ้นครั้งแรกในยุคนี้ สัตว์อีกตัวที่น่าสนใจก็คือแมงป่องยักษ์แห่งท้องทะเล (Eurypterids) ซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง 2 เมตรและใช้ก้ามขนาดมหึมาในการล่าเหยื่อ นับเป็นฝันร้ายของปลาขนาดเล็กในยุคนั้น
ostracoderm ไม่มีขากรรไกรและมีเกราะหนา ปากที่ไม่มีขากรรไกรใช้วิธีดูดหาอาหารตามพื้นท้องทะเล
Eurypterids แมงป่องยักษ์นักล่าแห่งท้องทะเล
ปลาไม่มีขากรรไกรเป็นสัตว์ที่ดูเทอะทะ เนื่องจากมันต้องแบกเกราะหนักเหมือนนักรบติดตัวไปด้วย เพื่อประโยชน์ในการป้องกันแต่ก็เป็นข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว ทำให้เคลื่อนที่ได้ช้ามาก อีกทั้งยังไม่มีครีบข้างด้วย (ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหลายล้านปีกว่าจะวิวัฒนาการมันขึ้นมา)
ในปลายยุคนี้ ปลามีขากรรไกร (placoderm) วิวัฒนาการขึ้นมาแทนที่ ขากรรไกรได้เปลี่ยนลักษณะการกินอาหารของปลาจากเดิมที่เคย ดูด ก็เปลี่ยนเป็น งับ แทน เกราะที่เคยหนาหนักก็เปลี่ยนเป็นเกราะเบาซึ่งจะเป็นต้นแบบของเกล็ดปลาในเวลาต่อมา
ที่น่าสนใจคือ ในยุคนี้พืชได้พัฒนาระบบท่อลำเลียง (psilopid) และรุกคืบไปบนบก ซึ่งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของโลกในเวลาต่อมาครับ
วันที่ 30 พ.ย. ยุคดีโวเนี่ยน (Devonian period) 408 ล้านปีที่แล้ว
ยุคดีโวเนี่ยนคือยุคแห่งปลาอย่างแท้จริง เนื่องจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกทำให้พื้นทะเลถูกดันขึ้นสูงเป็นภูเขา ในขณะที่พื้นดินทรุดตัวกลายเป็นก้นทะเล พวกปลาจึงได้วิวัฒนาการแตกแขนงออกไปมากมายทั้งปลาน้ำจืดและน้ำเค็ม ปลามีขากรรไกรเข้ามาแทนที่ปลาไม่มีขากรรไกร และยังปรากฏปลากระดูกอ่อน (chondrichthyes) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของปลาฉลาม และปลากระดูกแข็ง (osteichthyes) ตามมาอีกด้วย
บรรยากาศโลกที่ร้อนมากขึ้นทำให้แม่น้ำบางแห่งเหือดแห้งลง ปลาบางชนิดพัฒนาถุงลมเพื่อช่วยในการหายใจและการลอยตัวในน้ำ ปลาบางชนิดพัฒนาครีบเพื่อเคลื่อนไหวบนพื้นดินซึ่งจะวิวัฒนาการเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในเวลาต่อมา
ขณะเดียวกัน ปริมาณรังสีที่ลดลงเนื่องจากชั้นโอโซนที่หนาแน่นมากขึ้น ทำให้เหล่าพืชเริ่มก้าวขึ้นไปบนบกตามเห็ดราที่ได้บุกเบิกไปก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่ใช่ของง่าย พวกมันต้องพัฒนาผนังเซลล์ที่หนาเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ พัฒนาระบบค้ำจุนเพื่อต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลก พัฒนาใบเพื่อให้รับแสงแดดได้เต็มที่ พัฒนายุทธวิธีหายใจ (Stomata--รูปากใบ) เพื่อควบคุมอุณหภูมิภายในโครงสร้าง และพัฒนาระบบรากที่สลับซับซ้อนเพื่อค้ำจุนและเจาะทะลุพื้นดินเพื่อหาแหล่งน้ำและแร่ธาตุ เหล่าพืชยุคบุกเบิกที่มีพลังชีวิตที่เข้มแข็งและผ่านการปรับตัวต่างๆนานาเท่านั้นที่จะผงาดยืนอยู่บนบกได้ อย่างไรก็ตาม พืชในยุคดีโวเนียนยังคงเป็นพืชโบราณที่แพร่พันธุ์โดยใช้สปอร์เป็นหลัก ขณะที่พืชมีเมล็ดก็พบได้บ้างและมีข้อได้เปรียบในการสืบพันธุ์มากกว่าครับ
ท้องทะเลในยุคดีโวเนี่ยนถูกครอบครองด้วยปลา
ขณะที่ในทะเลถูกเหล่าปลามีขากรรไกรยุคแรกยึดครอง ชายทะเลที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยเศษซากอินทรีย์ต่างๆก็เรียกให้เหล่าแมลง (Arthropods) หรือสัตว์ที่มีข้อปล้องรุกคืบขึ้นบนบก กิ้งกือ ตะขาบ ปู กุ้ง แมงดาทะเล เป็นสิ่งมีชีวิตทัพแรกที่อาจหาญขึ้นบก เก็บกินซากสวะที่ถูกพัดพามาด้วยลมทะเล ขยะที่เปียกชุ่มทำให้พวกมันไม่ต้องกลัวว่าผิวหนังจะหแง และค่อยๆวิวัฒนาการให้ร่างกายทนต่อความแห้งแล้งบนบกได้มากขึ้น ขาแบบข้อปล้องทำให้มันรับน้ำหนักของร่างกายได้โดยไม่ต้องอาศัยน้ำในการพยุงตัว
ในทะเลเต็มไปด้วยปลาที่แก่งแย่งอาหารกัน ส่วนบนบกเต็มไปด้วยแมลง กดดันให้เกิดสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำวิวัฒนาการขึ้นมาหาอาหารจำพวกแมลงบนบก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในยุคแรกยังคงมีร่องรอยของปลาเหลืออยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นช่องเหงือก ครีบหาง ขาที่พัฒนามาจากครีบข้าง
วันที่ 2 ธ.ค. ยุคคาร์บอนิเฟอรัส (Carboniferous period) 362 ล้านปีที่แล้ว
ยุคคาร์บอนิเฟอรัสรู้จักกันดีในชื่อ ยุคถ่านหิน เนื่องจากโลกในขณะนั้นเต็มไปด้วยป่าไม้สูงผงาด (lepidodendron สูงถึง 50 เมตร) เต็มไปหมด ซึ่งเป็นพวก คลับมอส (clubmoss) และแส้หางม้า (horse tail) เสียส่วนใหญ่ พืชเหล่านี้ยังคงขยายพันธุ์ด้วยวิธีโบราณคือใช้สปอร์
ในแต่ละครั้งที่เกิดพายุหรือแผ่นดินไหว พืชเหล่านี้จะโค่นล้มลงมาและถมทับ ย่อยสลายภายใต้แรงอัดจากพืชที่อยู่ด้านบนแปรสภาพเป็นถ่านหินและน้ำมันเชื้อเพลิงที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน เหล่าแมลงก็วิวัฒนาการขึ้นมากมายทั่วผืนป่าทั้ง แมงมุม แมงป่อง ตะขาบ ตั๊กแตน แมลงปอ (ใช่แล้ว แมลงเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่เอาชนะแรงโน้มถ่วงโลก มันบินได้) และแมลงสาป (สัตว์เลี้ยงแสนรักของห้องหว้ากอ) ที่น่าประหลาดคือแมลงเหล่านี้มีขนาดมหึมาเช่นเดียวกับเหล่าพืช แมลงสาปตัวยาวเป็นฟุต แมลงปอมีปีกกว้าง 2 ฟุต ตะขาบตัวยาวกว่า 2 เมตร
สมมติฐานที่เป็นไปได้คือ ยุคคาร์บอนิเฟอรัส บนบกมีความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากสัตว์ที่จะมาแก่งแย่งอาหาร อีกทั้งบรรยากาศโลกในขณะนั้นน่าจะมีก๊าซออกซิเจนหนาแน่นกว่าปัจุบัน ทำให้เหล่าแมลงเผาผลาญพลังงานได้อย่างสมบูรณ์
เหล่าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำก็ไม่ยอมแพ้ พวกมันวิวัฒนาการให้อยู่บนบกและทนต่อความแห้งแล้งมากขึ้น สุดท้ายก็แตกแขนงแยกสายวิวัฒนาการออกไปเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งมีชัยชนะอย่างสมบูรณ์ในการอาศัยบนบก การออกไข่เป็นฟองที่มีเปลือกหุ้มแข็งแรงเก็บกักความชื้นไว้ได้เป็นข้อได้เปรียบในการสืบพันธุ์บนบกเมื่อเทียบกับการกลับไปวางไข่บนแหล่งน้ำของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
วันที่ 8 ธ.ค. ยุคเปอร์เมี่ยน (Permian period) 290 ล้านปีที่แล้ว
ยุคนี้มีความผันแปรทางกายภาพของโลกอย่างมาก มีทั้งความแห้งแล้ง และความหนาวเย็นเป็นช่วงๆ ผืนโลกเคลื่อนที่มาประกบกันเป็นแผ่นเดียวคือ แพนเจีย (Pangea) การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ สัตว์กว่า 90 เปอร์เซ็นต์หายไปจากโลกนี้ ทั้งพืช สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเช่น ไทรโลไบต์ ดอกไม้ทะเล สัตว์มีกระดูกสันหลังเช่น ปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอีกหลายชนิด
สิ่งมีชีวิตที่เหลือต้องปรับตัวให้เข้ากับความแปรปรวนของโลก แมลงปรับตัวให้มีขนาดที่เล็กลง มีวงจรชีวิตที่สั้นแต่ซับซ้อนเช่น metamorphosis สัตว์เลื้อยคลานวิวัฒนาการขึ้นหลากหลายมากในช่วงนี้
นักชีววิทยาได้แบ่งสัตว์เลื้อยคลานในยุคนี้ออกเป็น 4 กลุ่มคือ
(1) Anapsids เป็นพวกโบราณที่สุด ไม่มีช่องเปิดหลังดวงตา ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเต่า ตะพาบในปัจุบัน (2) Synapsids มีช่องเปิดหลังดวงตาหนึ่งช่องและส่วนใหญ่มีแผงกระโดงที่หลัง ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นต้นกำเนิดของสัตว์ที่มีขนปกคลุม (สัตว์เลือดอุ่น) ในเวลาต่อมา (3) Diapsids มีช่องเปิดหลังดวงตาสองช่อง คือพวกจระเข้และไดโนเสาร์ซึ่งยึดครองโลกในมหายุคมีโซโซอิก (4) Euryapsids มีช่องเปิดส่วนบนกะโหลกหนึ่งช่อง สูญพันธุ์ไปหมดสิ้นหลังจากเฟื่องฟูอย่างมากในยุคไทรแอสซิค
Create Date : 03 มกราคม 2552 |
Last Update : 3 มกราคม 2552 15:06:44 น. |
|
1 comments
|
Counter : 6433 Pageviews. |
|
|
|
โดย: แม่ภูมิไทย (Artagold ) วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:20:47:30 น. |
|
|
|
| |
|
มีชีวิตบนดาวอังคารหรือเปล่านะ
|
|
|
|
|
|
|
|
|