Neuroscience of free will: ฤาเจตจำนงเสรีไม่มีอยู่จริง
เจตจำนงเสรี (Free will) คือ คุณสมบัติของสิ่งที่มีสติสำนึกอันสามารถเลือกกระทำสิ่งใดๆจากความต้องการแท้จริงของตนเอง โดยปราศจากปัจจัยแวดล้อมเป็นเครื่องชี้นำ แนวคิดเรื่องเจตจำนงเสรีนั้นมีการถกเถียงกันมาช้านานในเชิงปรัชญาว่าดำรงอยู่จริงหรือไม่ หรือทุกการกระทำของเราเป็นผลมาจากปัจจัยแวดล้อมอันหลากหลายทั้งภายในและภายนอก กำหนดให้เรามีให้เราเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความรู้อันก้าวหน้าทางประสาทวิทยาอาจให้คำตอบข้อถกเถียงทางปรัชญาอันมาแต่ช้านานนี้ได้ การศึกษาหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Neuroscience (Soon CS., 2008) นักวิทยาศาสตร์ได้จัดการทดลองให้อาสาสมัครเลือกกดปุ่มระหว่างซ้าย-ขวา และทำการวัดการทำงานของสมองในขณะนั้น ผลการทดลองที่ได้นั้นน่าตะลึง เมื่อพบสัญญาณของสมองที่คาดการณ์ผลลัพธ์ในการเลือกล่วงหน้าก่อนอาสาสมัครทำการเลือกด้วยสติสัมปัญชัญญะถึง 7 วินาที การทดลองดังกล่าวอาจบอกเป็นนัยยะว่า เจตจำนงเสรีที่เราเชื่อโดยสามัญนั้นอาจไม่มีอยู่จริงและเป็นเพียงภาพลวงตา การเคลื่อนไหวโดยสำนึกของคนเรานั้นเกิดจากวงจรประสาทหลักในบริเวณ motor cortex ของสมองส่วนหน้า ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญคือ primary motor area (M1) เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวที่เป็นไปโดยสำนึก, supplementary motor area (SMA) และ pre-supplementary motor area (preSMA) เกี่ยวข้องกับการวางแผนกล้ามเนื้อสำหรับการเคลื่อนไหวโดยสำนึก จากการศึกษาหนึ่ง (Libet B., 1983) พบว่าสมองส่วน preSMA ให้สัญญาณของการเคลื่อนไหว 'ก่อน' ที่ผู้ถูกทดลอง 'ตัดสินใจ' ที่จะเคลื่อนไหวมากกว่า 1 วินาทีขึ้นไป (Readiness potential) การศึกษาดังกล่าวอาจเป็นงานวิจัยแรกๆที่พิสูจน์ว่าเจตจำนงเสรีนั้นไม่มีจริง แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันอย่างมากในวิธีการทดลองก็ตาม
วงจรการทำงานสมองที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวโดยสำนึก
Readiness potential จากการศึกษาโดย Libet B., 1983
การศึกษาล่าสุดโดย Soon และคณะแสดงให้เห็นว่านอกจากสมองส่วนที่เกี่ยวกับเคลื่อนไหว motor cortex แล้ว ยังมีสมองส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นๆที่มีส่วนร่วมในการกำหนดผลลัพท์ของการเคลื่อนไหวก่อนที่จะมีการตัดสินใจใดๆ เป็นผลให้ระยะเวลาของการเลือกอย่าง 'ไร้จิตสำนึก' ยาวนานขึ้นเกือบ 10 วินาที ในการศึกษาดังกล่าว อาสาสมัครถูกวัดการทำงานของสมองด้วยเครื่อง fMRI (functional magnetic resonance imaging) และถูกขอให้เลือกกดปุ่มซ้ายหรือขวาตามความต้องการของตนเองในเวลาใดก็ได้(ตามต้องการเช่นกัน) ในขณะเดียวหน้าจอที่ปรากฏเบื้องหน้าอาสาสมัครจะมีตัวอักษรเปลี่ยนไปเรื่อยๆทุกครึ่งวินาที อาสาสมัครต้องจำตัวอักษรที่ปรากฏบนหน้าจอในขณะที่ตนเอง 'รู้สึก' ต้องการกดปุ่มซ้าย-ขวาอย่างใดอย่างหนึ่ง จากการทดสอบด้วยตัวอักษรจะทำให้ผู้ทดลองตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าอาสาสมัครเกิดสำนึกที่จะเลือกกดปุ่มที่เวลาใดก่อนกดปุ่มจริง (ค่าเฉลี่ยของผลที่ได้คือประมาณ 1 วินาที)
Behavioral paradigm ในการศึกษาโดย Soon CS., 2008
หากแต่ผลการทดลองที่น่าตกใจกว่า นอกจากสมองส่วน SMA และ preSMA ที่ทำงานล่วงหน้าก่อนการตัดสินใจราว 5 วินาที สมองส่วน frontopolor cortex (Broadmann area 10) และ precuneus/posterior cingulate cortex ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผนและการประมวลความรู้สึกตามลำดับ มีสัญญาณของการทำงานก่อนหน้าที่อาสาสมัครเกิดสำนึกที่จะเลือกกดปุ่มอย่างจำเพาะเจาะจงว่าซ้ายหรือขวาถึง 7 วินาที ซึ่งหากนับรวมความล่าช้าทางเมทาบอลิสมโดยหลักการของการตรวจวัดด้วย fMRI แล้ว นับว่าสัญญาณดังกล่าวเกิดล่วงหน้าจิตสำนึกถึง 10 วินาที สิ่งที่แสดงให้เห็นคือ การตัดสินใจโดยสำนึกแท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงผลลัพท์ของสัญญาณไร้สำนึกอันเป็นลำดับของสมอง ซึ่งมีสมองหลายส่วนหลายบริเวณทำหน้าที่เกี่ยวข้อง การตัดสินใจใดๆแท้จริงแล้วล้วนเกิดขึ้นในระดับไร้สำนึก จากนั้นสมองจึงใส่สำนึกตามมาทีหลัง ประหนึ่งการให้เหตุผลกับการกระทำไร้ความหมายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ก่อให้เกิดคำถามตามมามากมายว่า เพราะเหตุใด? สมองจึงต้องหลอกเราว่าเจตจำนงเสรีนั้นมีอยู่ ทั้งที่จริงการกระทำถูกกำหนดไว้แล้วก่อนหน้าที่เราจะตัดสินใจเลือก? อย่างไรก็ดี การตอบคำถามว่าเจตจำนงเสรีนั้นมีจริงหรือไม่อาจยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เนื่องจากการศึกษาเกี่ยวกับจิตสำนึกของมนุษย์นั้นมีความซับซ้อนและถูกรบกวนได้ง่ายจากวิธีการทดลองนั้นเอง สักวันในอนาคตเมื่อคำตอบของปริศนานั้นมาถึง อาจทำให้เราเข้าใจในธรรมชาติของตัวเรามากขึ้น และอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมเราอย่างสิ้นเชิง อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเจตจำนงเสรีไม่มีจริง และหากเป็นเช่นนั้นความรับผิดชอบเชิงจริยธรรมจะมีความหมายหรือไม่?*
*หมายเหตุ ความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม (moral responsiveness) ตั้งอยู่ในพ์้นฐานของการกระทำ (actus reus) และสำนึกของการกระทำนั้น (mens rea) หากการกระทำใดที่ปราศจากสำนึก ผู้กระทำย่อมไม่ต้องรับผิดชอบในการกระทำนั้น (มีข้อยกเว้นในบางกรณี) หลักการดังกล่าวเป็นแนวคิดพื้นฐานในการตัดสินพิพากษาทางกฎหมาย
Reference
Libet B, Gleason CA, Wright EW, Pearl DK. Time of conscious intention to act in relation to onset of cerebral activity (readiness-potential). The unconscious initiation of a freely voluntary act. Brain. 1983 Sep;106 (Pt 3):623-42. Haggard P. Human volition: towards a neuroscience of will. Nat Rev Neurosci. 2008 Dec;9(12):934-46. Review. Soon CS, Brass M, Heinze HJ, Haynes JD. Unconscious determinants of free decisions in the human brain. Nat Neurosci. 2008 May;11(5):543-5.
Create Date : 29 ธันวาคม 2553 | | |
Last Update : 29 ธันวาคม 2553 18:15:33 น. |
Counter : 6255 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Bioethics : ชีวิตอันยืนยาวทำให้มนุษย์มีความสุขมากขึ้นหรือไม่
มนุษย์ต่างปรารถนาชีวิตอันยืนยาวมาช้านาน การมีชีวิตยืนยาวหมายความว่าเราจะมีประสบการณ์ในโลกมากขึ้น ย่อมเพิ่มโอกาสที่จะไขว่คว้าหาความสุขตามลัทธิสุขนิยม (hedonism) หรือมีเวลายาวนานมากขึ้นในการค้นคว้าแก่นสารในชีวิตปัจเจกชน มุ่งมั่นทำสิ่งที่ใฝ่ฝันอย่างอัตถิภาวะนิยม (existentialism) หรือใช้เวลาครุ่นคิดหาความจริงแท้ของชีวิตตามหลักศานตินิยม (non-hedonism) ไม่ว่าจะดำรงชีวิตโดยหลักปรัชญาใด ชีวิตอันยืนยาวก็คงเป็นสิ่งพึงปรารถนา และมนุษย์ต่างทำทุกวิถีทางให้อยู่บนโลกนี้ได้ยาวนานยิ่งขึ้น นับแต่อดีตกาลก่อนประวัติศาสตร์ อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์มีค่าประมาณ 25-40 ปี ด้วยความก้าวหน้าทางอารยธรรม ปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับต่อวันจึงเพิ่มขึ้น สวัสดิภาพความปลอดภัยในชีวิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้ ณ ปัจจุบันมนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้นถึงประมาณ 80 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆในอนาคต
อนาคตที่มนุษย์จะมีอายุขัยเฉลี่ยเกินร้อยปีหรือมากยิ่งขึ้นไปกว่านั้นเป็นอนาคตที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความก้าวหน้าทางการแพทย์จะช่วยขจัดโรคร้ายที่คุกคามเมื่อเราชราภาพ อวัยวะที่เสื่อมตามกาลจะถูกปลูกถ่ายแทนที่ เทคโนโลยีทางชีวภาพและทางเภสัชกรรมจะช่วยให้เราสามารถหยุดยั้งหรือชะลอความแก่ชราของเซลล์ หรือแม้แต่เทคโนโลยีทางวิศวกรรมในการทดแทนอวัยวะของมนุษย์ด้วยจักรกล (Bionics) ดังนั้นคำถามเกี่ยวกับวิทยาการเพิ่มอายุขัยของมนุษย์จึงไม่ใช่ มันจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่เป็น จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น และเป็นคำถามสำคัญทางชีวจริยศาสตร์ข้อหนึ่งในปัจจุบัน ดังที่กล่าวข้างต้น การมีชีวิตยืนยาวดูเหมือนจะเป็นสิ่งพึงปรารถนา เมื่อเรามีเวลาเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนโลกได้ยาวนานขึ้น แก้ไขสิ่งผิดพลาดในอดีตได้มากยิ่งขึ้น แต่แท้จริงแล้ว การมีชีวิตที่ยืนยาวจะทำให้สังคมมนุษย์โดยรวมมีความสุขมากขึ้นหรือไม่ เป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหาคำตอบ และแน่นอนว่ารูปแบบสังคมมนุษย์ย่อมเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง การมีชีวิตอันยืนยาวอาจเป็นสวรรค์ของนักปราชญ์ เมื่อเวลาอีกมากมายมหาศาลให้ค้นคว้าหาความรู้ บุคคลหนึ่งๆอาจเลือกที่จะศึกษาหาความรู้ในหลายด้านหลากมิติ นักกรีฑา-พ่อครัว-นักดนตรี-ศาสตราจารย์ด้านวรรณคดี ทั้งหมดนี้อาจเป็นบุคคลเดียวในต่างช่วงเวลาของชีวิต หรือบุคคลหนึ่งอาจเลือกศึกษาความรู้ในเรื่องหนึ่งเรื่องเดียวอย่างลึกซึ้ง จนเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างที่สุดในรายละเอียดปลีกย่อยของสาขาที่ตนศึกษา การศึกษาค้นพบสิ่งใหม่ๆอาจเป็นไปอย่างก้าวกระโดด นิยามของความรักจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ บุคคลหนึ่งจะสามารถครองคู่กับคู่รักของตนได้ยาวนานสักเพียงไหน... 80 ปี... 100 ปี... 200 ปี เมื่อมนุษย์รู้ว่าเวลาในชีวิตของตนเองเหลืออีกมากมายนัก ระยะเวลาในการสมรสอาจสั้นลงไปกว่าปัจจุบันเสียอีก เนื่องจากเราไม่ต้องอดทนอยู่ร่วมกันจนตายจาก ไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาอยู่กับความเบื่อหน่าย เมื่อรู้ว่ายังมีเวลาอีกมากในชีวิตเพื่อลองสิ่งแปลกใหม่ การหย่าร้างจักเป็นสิ่งธรรมดาสามัญเสียยิ่งกว่าก่อน นักจิตวิทยาเชื่อว่าในสถานการณ์ดังกล่าว รูปแบบการแต่งงานจะเปลี่ยนจากสิ่งยืนยาวเป็นสิ่งชั่วคราว หากการมีชีวิตอันยืนยาวนั้นเกิดควบคู่กับการชะลอความเสื่อมความสามารถในการสืบพันธุ์ (โดยเฉพาะในเพศหญิง) อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพ่อ-แม่-ลูกมีอายุต่างกันมาก เป็นต้นว่า 70-80 ปี หรือพี่น้องร่วมสายเลือดที่อายุต่างกันกว่า 50 ปี หรือพี่น้องต่างพ่อแม่อันไม่รู้จบที่เกิดจากการสมรสใหม่-ซ้ำแล้วซ้ำเล่า-ของบุพการี ความสัมพันธ์ทางเครือญาติคงซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ความแตกต่างระหว่างวัยจะทำให้เกิดความเหินห่าง ความขัดแย้งในวงศาคณาญาติ...เมื่อทุกการตัดสินใจในตระกูลมีการตัดสินใจก่อนหน้า และคำเสนอแนะอันไม่รู้จบระหว่างเครือญาติ ในด้านการงาน บริษัทต่างๆจะมีที่ว่างให้บัณฑิตจบใหม่ไฟแรงหรือไม่ เมื่อมีตัวเลือกของผู้สมัครที่อายุมากกว่าแต่มีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า 50 ปี หรือพนักงานเก่าที่ครองตำแหน่งในที่ทำงานมากว่า 100 ปี โลกนี้อาจหมุนไปด้วยบุคคลเพียงไม่กี่คน เนื่องจากผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ลงจากตำแหน่งหรือตายจากไป ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาในแต่ละคณะของมหาวิทยาลัยไม่เกษียณให้ใครเข้ามาแทนที่ ผู้นำศาสนาครองตำแหน่งยาวนานไม่มีใครสืบทอด นักสังคมวิทยาต่างเชื่อว่าสังคมที่ผูกติดกับบุคคลเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแทนที่ เป็นสัญญาณของความเสื่อมถอยของสังคมนั้น การมีชีวิตอันยืนยาวอาจไม่ช่วยแก้ไขปัญหาสังคมที่สำคัญใดๆ ตัวอย่างเช่นสงคราม ความขัดแย้งระหว่างบุคคลนั้นไม่ถูกกำจัด หรืออาจยิ่งขยายภาพลักษณ์มากขึ้น เมื่อบุคคลที่เป็นอริกันไม่ตายจากกันไป และยังคงแพร่ขยายความเกลียดชังในระหว่างผู้มีชีวิต หรือปัญหาความยากจนและคุณภาพชีวิต การมีชีวิตอันยืนยาวอาจยิ่งขยายช่องว่างทางฐานะของปัจเจกชนยิ่งขึ้น เมื่อผู้มีฐานะมีอายุยืนยาว สะสมสินทรัพย์ทิ้งห่างผู้อื่นไปอย่างไม่รู้จบสิ้น ณ เวลาปัจจุบัน เราอาจมองไม่เห็นภาพของปัญหาดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากอนาคตนั้นยังอีกไกลนักกว่าจะถึง และเมื่อเวลานั้นเราอาจไม่อยู่ทันเห็นปัญหา เพราะเราอาจจัดเป็นมนุษย์ยุคเก่าที่มีอายุขัยสั้น ขณะที่คนที่ประสบปัญหาคือทายาทของเรา มนุษย์ยุคใหม่ที่อายุขัยยืนยาว บางทีอาจเป็นหน้าที่ของทายาทของเราเหล่านั้นที่จักต้องแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
เนื้อหาบางส่วนเรียบเรียงจาก Ker Than. Toward Immortality: The Social Burden of Longer Lives. LiveScience. 2006
Create Date : 06 ธันวาคม 2553 | | |
Last Update : 6 ธันวาคม 2553 19:05:49 น. |
Counter : 2966 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Neurocosmetics - การปรับแต่งอารมณ์: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและประเด็นทางจริยธรรม
ในนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง Do Androids Dream of Electric Sheep? (หรือเป็นที่คุ้นเคยกว่าในฉบับภาพยนตร์ไซไฟที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง Blade Runner เมื่อประมาณยี่สิบปีที่แล้ว) เล่าเรื่องของโลกอนาคต มนุษย์มีวิทยาการก้าวหน้าถึงขั้นประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่เหมือนสิ่งมีชีวิตแทบจะทุกประการ ทุกครัวเรือนมี"เครื่องปรับอารมณ์"ส่วนบุคคล แต่โลกกำลังล่มสลาย เต็มไปด้วยกัมมันตภาพรังสี มนุษย์ส่วนใหญ่อพยพไปอยู่ดาวเคราะห์อื่นและหลงเหลือประชากรส่วนหนึ่งบนโลก ในบทแรกพระเอกของเรื่องซึ่งเป็นนักล่ามนุษย์หุ่นยนต์มีปากเสียงเล็กน้อยกับภรรยาเกี่ยวกับภาวะความแปรปรวนทางอารมณ์ของเธอ เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ภรรยาใช้เครื่องปรับอารมณ์"ปรุงแต่ง"อารมณ์ให้เธอรู้สึกดี ไม่เบื่อหน่าย หรืออารมณ์เสียง่าย ในการ"ปรุงแต่ง"อารมณ์ที่ว่าก็ทำได้แสนง่ายแค่หมุนเครื่องไปยังช่องสัญญาณที่ต้องการเหมือนปรับคลื่นวิทยุ และผู้ใช้ก็จะได้สัมผัสกับอารมณ์ตามที่ตนเองต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์สนุกสนาน รื่นเริง ตื่นเต้น สงบนิ่ง หรือแม้แต่เร่าร้อนไปด้วยอารมณ์ทางเพศ เครื่องมือในนิยายวิทยาศาสตร์ดังกล่าวอาจฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินจินตนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ฟิลิป เค ดิค ผู้แต่งนิยายดังกล่าวเขียนเรื่องนี้ขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่มนุษย์จะสามารถปรุงแต่งอารมณ์ ความรู้สึกของตนได้ตามต้องการ หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพ พฤติกรรมของบุคคลหนึ่งๆไปโดยสิ้นเชิง (ซึ่งมักปรากฏในนิยายวิทยาศาสตร์อีกหลายเรื่องเช่นกัน เช่นชุดหุ่นยนต์ของไอแซค อาสิมอฟ) ด้วยความรู้ทางประสาทวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าในเวลาปัจจุบัน คงไม่ผิดที่กล่าวว่าเป็นไปได้อย่างมาก นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษามาช้านานแล้วเกี่ยวกับบริเวณของสมองที่เกี่ยวข้องอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ อาจกล่าวได้ว่าอารมณ์และความรู้สึกแต่ละชนิดเกิดจากการทำงานของสมองในบริเวณที่เฉพาะเจาะจง สารสื่อประสาทในกลุ่มที่แตกต่าง และวงจรกระแสประสาทที่เป็นระบบ ด้วยความรู้ที่ก้าวหน้า การปรับเปลี่ยน ปรุงแต่งอารมณ์จึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป อันที่จริงแล้ว มันไม่ใช่สิ่งใหม่โดยสิ้นเชิง ในอดีตที่ผ่านมา มีวิทยาการสำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคระบบประสาทเช่นโรคพาร์กินสัน ลมชัก หรือแม้แต่โรคทางจิตเวชอย่างเช่นโรคย้ำคิดย้ำทำ ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Deep Brain Stimulation (DBS) ซึ่งคือการฝังแท่งอิเล็คโทรดเข้าไปในเนื้อสมองเพื่อใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นสมองในบริเวณที่เฉพาะเจาะจงและระงับอาการของโรคที่เป็นอยู่ ผลข้างเคียงที่พบระหว่างการรักษาคือ การเปลี่ยนแปลงอารมณ์หรือแม้แต่บุคลิกภาพของผู้ป่วย ด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้น เราอาจเลือกกระตุ้นสมองส่วนที่เฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้อารมณ์และความรู้สึกที่ต้องการ ด้วยวิธีการที่เจ็บตัวน้อยลง สะดวกสบายและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ภาพสแกนสมองในภาวะอารมณ์แตกต่าง แสดงการทำงานของสมองในบริเวณที่แตกต่างกัน (Moser E. et al., J Neuro Met, 2006.)
จากแนวคิดดังกล่าวทำให้เกิดศาสตร์ความรู้ใหม่ที่มีแนวโน้มจะเติบโตในอนาคตกาลข้างหน้าคือ Neurocosmetics มนุษย์รู้จักการปรุงแต่งตนเองให้สวยงามเป็นเวลาช้านานมาแล้ว เราปรับเปลี่ยน ปรุงแต่งร่างกายภายนอกให้เป็นไปตามที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องสำอาง การทำศัลยกรรม การใช้ยาและสารเคมีเพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานของร่างกาย แล้วการปรับเปลี่ยนอารมณ์และความรู้สึกเล่า? ทำไมเราถึงจะทำไม่ได้ หากเราสามารถปรับเปลี่ยนความรู้สึกให้อารมณ์ดีอย่างสม่ำเสมอ ร่าเริงแจ่มใส บุคลิกน่าคบหา ไม่มีความคิดในแง่ลบ จะเป็นไปได้หรือไม่ ในนิยายเรื่องข้างต้น เครื่องปรับแต่งอารมณ์ดูเหมือนจะมีกลไกที่ง่ายไม่ซับซ้อน โดยอาศัยหลักการของคลื่นไฟฟ้า(?)ในรูปแบบสัญญาณต่างๆเพื่อปรับเปลี่ยนอารมณ์ของบุคคล แต่ในความเป็นจริงอาจไม่ง่ายอย่างนั้น สมองของมนุษย์ไม่มีตัวรับคลื่นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อแปลงเป็นข้อมูลโดยตรง เหมือนการมองเห็น การรับกลิ่น การรับรส การได้ยิน และการสัมผัส หากเราจะกระตุ้นสมองให้สามารถทำงานได้จากคลื่นไฟฟ้าจากภายนอก หนทางที่อาจเป็นไปได้คือการผ่าตัดฝังไมโครชิปเข้าไปในสมองบริเวณต่างๆเพื่อรับสัญญาณไฟฟ้าดังกล่าว แต่ถ้าวิธีดังกล่าวฟังดูน่าเจ็บตัวไปหน่อย อีกหนทางที่น่าจะเป็นไปได้คือ นาโนแมชชีน ที่เมื่อรับเข้าสู่ร่างกายแล้วสามารถเดินทางไปยังบริเวณที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเราอาจได้รับมันเข้าไปโดยการฉีดหรือแม้แต่การกิน ไมโครชิปหรือนาโนแมชชีนที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อสมอง (ถึงตอนนี้เราอาจจะมองข้ามเรื่องผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น โดยตีความเสียว่าในอนาคตข้างหน้า อุปสรรคความเข้ากันไม่ได้ของเนื้อเยื่อและวัสดุแปลกปลอมล้ำยุคจะถูกพิชิตในที่สุด) จะทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณไฟฟ้าจากภายนอกที่เข้ารหัสไว้ และตอบสนองโดยการกระตุ้นการทำงานของสมองในบริเวณที่เฉพาะเจาะจง อย่างเช่นรหัส A สำหรับอารมณ์สนุกสนานในวันปีใหม่ รหัส U สำหรับความรู้สึกอยากดูรายการตลกอย่างแรงกล้า หรือรหัส Y สำหรับความรู้สึกสงบราวกับนั่งสมาธิในป่าลึก เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างเป็นระบบยังทำให้เกิดบุคลิกภาพหลากหลายที่เราสามารถเลือกได้ คำตอบสำหรับความเป็นไปได้สำหรับเทคโนโลยีการปรับแต่งคือใช่ คำถามต่อมาคือแล้วเราควรจะทำมันหรือไม่? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ประเด็นทางจริยธรรมและปรัชญาจะเข้ามาเกี่ยวข้อง พิจารณาถึงการปรุงแต่งร่างกายแต่ภายนอก สังคมมนุษย์ได้ยอมรับการกระทำดังกล่าวมาตั้งแต่อดีตกาล การปรุงแต่งร่างกายให้สวยงามเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว ทำไมเล่า? มนุษย์ทุกคนก็อยากเห็นแต่สิ่งสวยงาม ทั้งยังอยากให้ตัวเองสวยงาม ดูดี มีสเน่ห์ ความสวยงามของร่างกายภายนอกทำให้เกิดประโยชน์ของมนุษย์ในเชิงสังคม ถึงแม้การกระทำบางกรณีจะดูน่ากังขาและควรถามถึงความเหมาะสมอย่างเช่นการผ่าตัด (เช่นศัลยกรรมใบหน้า ผ่าตัดแปลงเพศ) การใช้ยาหรือสารเคมี (เช่นฉีดฮอร์โมน โบท็อกซ์) แต่หากเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ ทั้งสังคมก็ยอมรับได้ (เฉกเช่นเรายอมรับการศัลยกรรมใบหน้าของดาราเกาหลี) ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ผิด หากพิจารณาด้วยตรรกะเดียวกัน ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลใดที่จะทำให้การปรุงแต่งอารมณ์และความรู้สึกเป็นเรื่องไม่น่าอภิรมย์ หากเรามีความรู้สึกที่ดี อารมณ์ดี ปราศจากความคิดในแง่ลบตลอดเวลาก็น่าจะดีไม่ใช่หรือ? แม้แต่ดาไล ลามะองค์ปัจจุบันก็ยังเห็นด้วยในข้อนี้(1) การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวน่าจะเป็นผลดีต่อบุคคลนั้นๆเอง และสังคม เมื่อสังคมเต็มไปด้วยคนที่ปราศจากความรู้สึกในแง่ลบ ปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรมต่างๆอาจจะลดลงอย่างมากก็เป็นไปได้ และคุณภาพชีวิตมนุษย์ก็คงสูงขึ้นมากเมื่อถึงเวลานั้นปัญหาก็คือ การปรับเปลี่ยน ปรุงแต่งอารมณ์และความรู้สึกที่ว่าจะลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเราหรือไม่? นับแต่อดีตกาล เราเชื่อว่าบุคลิกภาพ อารมณ์และความรู้สึกที่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ผู้ที่เจริญคือผู้ที่สามารถควบคุมความรู้สึกและอารมณ์ให้ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม บุคลิกภาพทำให้เราเป็นตัวของตัวเอง ทำให้เรามีเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจากผู้อื่น แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราสามารถ"ประดิษฐ์"อารมณ์ตามต้องการได้โดยไม่จำเป็นว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เราสามารถร่าเริงได้อย่างสุดขีดในงานศพที่คนที่เรารัก หรือตื่นเต้นอย่างขีดสุดในภาวะที่ร่างกายเหน็ดเหนื่อยไม่พร้อมจะทำสิ่งใด หรือเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพไปเรื่อยๆทุกครั้งที่เปลี่ยนงานใหม่ เทคโนโลยี Neurocosmetics จะทำให้แก่นสารความเป็นมนุษย์ของเราลดลงหรือไม่ อีกคำถามหนึ่งคือ Neurocosmetics ทำให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดี และลดปัญหาสังคมได้จริงหรือไม่ เมื่อถึงวันหนึ่งที่เทคโนโลยีนี้เป็นความจริง คำถามคือใครบ้างที่มีสิทธิเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ วิทยาการดังกล่าวอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากจนกระทั่งเฉพาะชนชั้นสูงและอภิมหาเศรษฐีเท่านั้นที่มีสิทธิได้รับบริการ ขณะที่คนชนชั้นล่างก็ยังคงต้องผจญกับความรู้สึกในแง่ลบ อารมณ์ที่แปรปรวนในชีวิตประจำวัน ความไม่เท่าเทียมทางสังคมคงยิ่งขยายกว้างขึ้นกว่าเดิม (นอกจากชนชั้นสูงจะได้รับบริการทางวัตถุที่ดี พวกเขายังมีคุณภาพทางจิตที่ดีกว่า) และหากแม้เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถเข้าถึงทุกคน เรามีสิทธิหรือไม่ที่จะ"ไม่เลือก"ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว และการ"ไม่เลือก"ของเราจะส่งผลกับเราหรือไม่ เราจะถูกกีดกันเป็นคนนอกคอก ถูกจัดกลุ่มเป็นผู้มีความเสี่ยงที่จะมีความคิดในแง่ลบและพร้อมจะก่ออาชญากรรมหรือไม่ ดูเหมือนเป็นปัญหาทางศีลธรรมที่ดูไกลตัว และเราไม่มีทางรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่จนกว่าเทคโนโลยีนี้จะมาถึง... ...ผู้เขียนขอทิ้งท้ายบทความนี้โดยย้อนกลับไปยังนิยายวิทยาศาสตร์ต้นเรื่อง การถกเถียงในประเด็นเล็กๆน้อยๆของตัวเอกในเรื่องกับภรรยาจบลงที่ฝ่ายชายเสนอให้ฝ่ายหญิงปรับแต่งอารมณ์ของตนเองให้ดีขึ้น โดยเริ่มต้นจากการปรับแต่งอารมณ์ให้อยากดูโทรทัศน์แก้เบื่อ ภรรยาของเขากล่าวอย่างเหนื่อยหน่ายว่าเธอไม่มีความปรารถนาจะตั้งเครื่องให้เกิดอารมณ์ใดๆเลย ตัวเอกจึงย้อนกลับไปว่าถ้าอย่างนั้นก็ตั้งเครื่องปรับอารมณ์ให้เกิดความรู้สึก"อยากปรับอารมณ์"สิ เธอก็ย้อนกลับไปอีกว่า "ฉันไม่ต้องการตั้งเครื่องให้สมองของฉันเกิดความอยากที่จะตั้งเครื่องหรอก! ถ้าฉันไม่เกิดความรู้สึกที่จะตั้งเครื่อง ฉันก็ไม่ต้องการตั้งเครื่องไปที่เลขนั้นมากที่สุด เพราะถ้าฉันทำ ฉันก็จะเกิดความต้องการที่จะตั้งเครื่องอีก และความรู้สึกแบบนั้นสำหรับฉันแล้วนับว่าเป็นแรงกระตุ้นที่ประหลาดที่สุดเท่าที่ฉันนึกได้ ฉันเพียงแต่อยากนั่งบนเตียงและจ้องมองพื้นห้อง"(2)
หมายเหตุ (1)If it were possible to become free of negative emotion by a riskless implantation of an electrode - without impairing intelligence and the critical mind - I would be the first patient. -The Dalai Lama, address, "On the Neuroscience of Meditation," 2005 Society of Neuroscience Annual Meeting. (2)จากหนังสือ หุ่นสังหาร, ฟิลิป เค ดิค เขียน, ฤดีดวง แปลและเรียบเรียง, พิมพ์ครั้งที่สอง 2540, สำนักพิมพ์เพื่อนหนังสือ.
Create Date : 04 พฤศจิกายน 2553 | | |
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2553 20:54:32 น. |
Counter : 3744 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ยีนที่เห็นแก่ตัวและอาณาจักรมด
ไม่นานมานี้ อ่านหนังสือ The selfish gene มาถึงบทที่ 10 ซึ่งอธิบายพฤติกรรมการอยู่ร่วมเป็นกลุ่มหรือสังคมของสิ่งมีชีวิตด้วยทฤษฎียีนที่เห็นแก่ตัว มีการยกตัวอย่างที่สำคัญคืออาณาจักรมดแล้ว รู้สึกว่ามันน่าสนใจมากๆ จึงอยากเรียบเรียงเอาไว้ให้เป็นความทรงจำระยะยาวสำหรับตนเองและแบ่งให้คนอื่นๆลองอ่านดู ก่อนที่จะพูดถึงอาณาจักรมด คงต้องกล่าวถึงทฤษฎียีนที่เห็นแก่ตัวเสียก่อน Richard Dawkins ผู้แต่งหนังสือ The selfish gene ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับยีนที่เห็นแก่ตัวอันมีชื่อเสียงอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็ถูกต่อต้านเช่นเดียวกัน ยีน(ในความหมายรวมทั้งเอกพจน์และพหูพจน์)ในมุมมองของดอว์กิ้นคือสิ่งที่ดำรงอยู่โดยเพิ่มจำนวนสำเนาของตนเอง และมีวัตถุประสงค์ในการดำรงอยู่เพื่อการณ์นั้น เพื่อเป้าหมายดังกล่าว ยีนจะกระทำทุกสิ่งอย่างให้ได้มาโดยมีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก(ซึ่งก็คือยีนอื่นๆที่ไม่เหมือนกัน) โดยยีนอาศัยร่างกายของสิ่งมีชีวิตเป็นเครื่องมือในการเพิ่มสำเนาของตนเอง ยีนเปรียบเสมือนผู้ออกคำสั่งให้ร่างกายมีชีวิต หาอาหาร สืบพันธุ์ เพื่อตนเอง ดังนั้นจึงอาจกล่าวว่ายีนนั้นเห็นแก่ตัว (แน่นอนว่าคำว่า เห็นแก่ตัว อาจฟังดู anthropomorphic แต่ดอว์กิ้นก็ย้ำหลายรอบในหนังสือของเขาว่า การใช้คำว่าเห็นแก่ตัวไม่ได้หมายความว่ายีนนั้นมีสำนึก ความรู้สึก แต่เป็นการใช้คำเพื่อสื่อความหมายให้เข้าใจง่ายที่สุดสำหรับการสื่อสารระหว่างมนุษย์) ด้วยเหตุที่ยีนเห็นแก่ตัว ความรักของพ่อแม่ พี่น้อง เครือญาติจึงถูกตีความหมายเป็นความเห็นแก่ตัวของยีน ที่ต้องการปกป้อง รักษาสำเนาที่คล้ายกับตนเองมากที่สุดให้ดำรงอยู่ต่อไปและเพิ่มจำนวนถัดไปจากรุ่นสู่รุ่น แม่ห่วงใยลูก เพราะลูกมีพันธุกรรมที่เหมือนกับแม่ 50% แต่ห่วงมากกว่าที่ห่วงใยหลาน ที่มีพันธุกรรมเหมือนกับตนเอง 25% เป็นต้น ในบทที่ 10 ผู้เขียนได้พยายามอธิบายโครงสร้างสังคมมดด้วยทฤษฎียีนที่เห็นแก่ตัว สังคมมดอันซับซ้อนดำรงอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องอาศัยสำนึกระดับสูงเพราะอะไร ก็เพราะว่ามดทุกตัวในสังคมมีความเกี่ยวข้องพันธุกรรมกันอย่างมาก มดทุกตัวเกิดมาจากนางพญาตัวเดียวกัน แต่ระดับความสัมพันธ์ของมดนั้นไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด มดมีระบบเพศและรูปแบบพันธุกรรมที่ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูง นางพญาหนึ่งตัวเกิดจากมดเพศเมียที่ได้รับการผสมพันธุ์จากเพศผู้หนึ่งตัว เมื่อมันกลายสภาพเป็นนางพญา มันเก็บอสุจิของมดเพศผู้ไว้ในร่างกายเพื่อปฏิสนธิกับเซลล์ไข่ไว้ได้นานถึงสิบปี แต่กระนั้น นางพญาจะออกไข่สองชนิด ชนิดที่ได้รับการปฏิสนธิและชนิดที่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิจะเจริญเป็นมดเพศเมีย มดเพศเมียส่วนใหญ่จะเป็นหมันและเป็นมดงาน มดเพศเมียที่ไม่เป็นหมันไม่ได้ถูกกำหนดโดยพันธุกรรมแต่โดยการเลี้ยงดูโดยเฉพาะอาหารที่ได้รับ ส่วนไข่ที่ไม่ได้รับการปฏิสนธิจะเจริญเป็นมดเพศผู้ ดังนั้นมดเพศผู้จึงมีโครโมโซมครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับเพศเมีย แถมโครโมโซมดังกล่าวยังมาจากนางพญาหรือแม่ของมันล้วนๆ หากมดเพศผู้มียีน A แน่นอนว่ายีน A นั้นมาจากแม่ของมัน 100% จึงอาจกล่าวได้ว่ามดเพศผู้มีความสัมพันธ์กับนางพญา 100% ขณะที่นางพญาสัมพันธ์กับลูกเพศผู้ 50% (เพราะเกิดจากเซลล์ไข่ที่แบ่งตัวแบบ meiosis) และมดเพศผู้สัมพันธ์กันระหว่างพี่น้อง 50% ความประหลาดดังกล่าวส่งผลให้ทุกเซลล์อสุจิของมดเพศผู้หนึ่งตัวมียีนเหมือนกันทุกประการ กลับมาที่มดเพศเมียซึ่งเกิดจากไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ มดเพศเมียจึงมียีนครึ่งหนึ่งได้จากแม่และอีกครึ่งได้จากพ่อ ดังนั้นมดเพศแม่จึงสัมพันธ์กับนางพญาเช่นเดียวกับนางพญาสัมพันธ์กับลูกเพศเมียคือ 50% แต่เมื่อเราพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเพศเมีย...สมมติว่ามดเพศเมียตัวหนึ่งมียีน B หากยีนดังกล่าวมาจากแม่ พี่น้องเพศเมียของมันมีโอกาสที่จะมียีน B อยู่ 50% แต่หากยีนดังกล่าวมาจากพ่อ พี่น้องของมันมีโอกาสครอบครองยีนดังกล่าว 100% เมื่อเฉลี่ยแล้ว มดเพศเมียจึงสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเพศเดียวกันถึง 75% มากกว่าที่สัมพันธ์กับนางพญาหรือพี่น้องเพศผู้ด้วยกัน!!
ดังนั้น ในมุมมองของมดงาน ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอาณาจักร ย่อม"อยาก"ให้มีพี่น้องเพศเดียวกันมากที่สุด (เนื่องจากมีสำเนายีนเหมือนกัน 75%) มดงานเสมือนว่าไม่ได้มีชีวิตเพื่อตนเองแต่เพื่อราชินี เป็นเพราะว่าตัวมันนั้นเป็นหมัน ไม่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มจำนวนสำเนายีนที่ครอบครองโดยตรง แต่นางพญาต่างหากสำคัญเพราะเป็นเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสำเนาที่เหมือนกับตัวมัน และสำเนาดังกล่าวมีโอกาสเป็นราชินีตัวต่อไป ส่วนมุมมองของนางพญา เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นลูกเพศผู้หรือเพศเมียก็ต่างสัมพันธ์กับมัน 50% เท่ากัน ดังนั้นมันจึง"อยาก"ได้ลูกทั้งสองเพศในอัตราส่วนเท่าๆกัน
ดังนั้นจึงเกิด conflict of interest ระหว่างมดนางพญาและมดงาน (เราละเลยมดเพศผู้และมดเพศเมียที่ไม่เป็นหมันเนื่องจากมีบทบาทควบคุมอาณาจักรน้อยกว่า) จากคำนวณ มดนางพญาควรจะต้องการลูกเพศผู้และเพศเมียในสัดส่วน 1:1 ในขณะที่มดงานจะต้องการพี่น้องเพศผู้และเพศเมียในอัตราส่วน 1:3 และเนื่องจากมดงานมีบทบาทเหนือกว่าในแง่ที่ว่ามันทำหน้าที่เลี้ยงดู คัดเลือกตัวอ่อนตั้งแต่นางพญาออกไข่ มันจึงสามารถกำหนดเพศประชากรในอาณาจักรได้ ถึงแม้ว่ามดนางพญาจะพยายามออกไข่ในสัดส่วนที่เท่ากัน มดงานเป็นฝ่ายชนะ และสัดส่วนเพศในอาณาจักรมดจึงเป็น 1:3 และจากการสำรวจมดมากกว่า 20 สปีชี่ส์พบว่าสัดส่วนเพศใกล้เคียงกับตามทฤษฎีอย่างมาก สำหรับมุมมองของมดงานนั้นมีหลักฐานเชิงประจักษ์ แล้วเราจะพิสูจน์มุมมองของนางพญาได้อย่างไร? ดอว์กิ้นขยายการอธิบายต่อด้วยอาณาจักรแบบใช้งานทาส ในกรณีดังกล่าว มดเพศเมียที่เป็นหมันส่วนใหญ่จะเป็นมดทหาร ทำหน้าที่บุกเข้าไปยังอาณาจักรอื่นแล้วขโมยตัวอ่อนกลับมาที่รังเพื่อเป็นทาสมดงาน ตัวอ่อนที่ถูกลักพาจะเป็นทาสด้วยความยินยอมเนื่องจากมันถูกเลี้ยงดูในอาณาจักรใหม่ตั้งแต่เกิด เสมือนหนึ่งว่ามันเกิดจากอาณาจักรนั้นๆ มันดำรงสัญชาตญาณเดียวกับมดงานทั่วไปคือต้องการเพิ่มประชากรเพศเมียให้มากที่สุด ทั้งที่มันไม่รู้(และไม่มีโอกาสรู้)ว่าประชากรที่มันเลี้ยงดูนั้นแทบไม่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมต่อกัน
สำหรับนางพญา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มประชากรเพศผู้และเพศเมียในอัตราส่วนเท่ากัน นางพญาจะมีการใช้กลยุทธต่างๆเพื่อหลอกลวงมดงานเช่น ออกไข่มดเพศผู้ให้มีกลิ่นคล้ายมดเพศเมีย ในกรณีของอาณาจักรที่มีมดงานของตนเอง มดงานก็จะหากลยุทธในการจับผิดนางพญาและเอาชนะได้ในที่สุด ยีนของการแข่งขันระหว่างนางพญาและมดงานจะดำเนินไปจากรุ่นสู่รุ่น ในกรณีของอาณาจักรที่ใช้มดทาส เนื่องจากมดทาสทำงานฟรี ไม่สามารถถ่ายทอดยีนของตนจากรุ่นสู่รุ่นได้ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ดังนั้นมดทาสจึงไม่สามารถแข่งขันกลยุทธกับนางพญาได้ นางพญาเป็นฝ่ายชนะ และสัดส่วนเพศผู้:เพศเมียในอาณาจักรดังกล่าวจะเป็น 1:1 ซึ่งจากการสำรวจมดที่มีการใช้แรงงานทาสอย่างน้อย 2 สปีชี่ส์ พบว่าสัดส่วนใกล้เคียงกับ 1:1 จริงๆ ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างหนึ่งในการพยายามอธิบายระบบสิ่งมีชีวิตด้วยทฤษฎียีนที่เห็นแก่ตัว ซึ่งยังคงมีข้อโต้แย้งอย่างมาก และต้องการหลักฐานสนับสนุนครับ เรียบเรียงจากบท You scratch my back, I'll ride on yours, Richard Dawkins, The selfish gene, 2009.
Create Date : 13 ตุลาคม 2553 | | |
Last Update : 13 ตุลาคม 2553 18:32:38 น. |
Counter : 7013 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
มีชีวิตบนดาวอังคารหรือเปล่านะ
|
|
|
|
|
|
|
|
|