ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 
เปิดตำนาน แวมไพร์ ผีดิบฆ่าไม่ตาย

แวมไพร์



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก paranormalhaze.com


หากจะพูดถึงเรื่องราวของผีที่กำลังเป็นกระแสยอดนิยมในขณะนี้ เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องราวของ แวมไพร์ ผีดิบดูดเลือดไม่มีวันตาย โดยเรื่องราวของแดร็กคิวล่าถูกเปิดตัวให้เป็นที่รู้จักเมื่อร้อยกว่าปีก่อน และดูเหมือนว่าเรื่องราวของผีดูดเลือดนี้จะเป็นผีที่ถูกนำมาสร้างเป็น ภาพยนตร์ ละคร และนิยายมากที่สุดเลยทีเดียว เช่นในปัจจุบันนี้ ก็มีภาพยนตร์แวมไพร์เรื่อง ทไวไลท์ ออกมาสร้างกระแสแวมไพร์ไปทั่วโลกตั้งแต่ปีก่อน และไม่ทันที่กระแสแห่งแวมไพร์ทไวไลท์จะหายไป เมืองไทยเราก็มีการหยิบยกเรื่องราวของแวมไพร์ขึ้นมาสร้างเป็นละครคือรักไม่ มีวันตาย ที่กำลังออนแอร์ทางช่อง 3 ในขณะนี้ จนทำให้กระแสแวมไพร์แบบไทย ๆ ได้รับความสนใจในขณะนี้ วันนี้ เราจึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับผีดิบอมตะ ตำนานที่ไม่เคยตกยุคมาฝากกันอีกครั้ง


แวมไพร์


เรื่องราวของแวมไพร์ หรือผีดูดเลือด เป็นเรื่องราวที่มีการบอกเล่าต่อกันมานานหลายร้อยปี และปรากฏอยู่ในตำนานของหลายประเทศทั่วโลก มีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น แวมไพร์ตามตำนานเม็กซิโกจะมีกระโหลกมนุษย์วางอยู่บนศีรษะ แวมไพร์แถบเทือกเขาร็อกกี้จะดูดเลือดทางจมูก แวมไพร์ตามตำนานโรมาเนียจะมีร่างกายผอมซีดและไว้เล็บยาว เป็นต้น แต่ ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น แวมไพร์ทั่วโลกก็มีวิถีชีวิต รูปแบบการดูดเลือด และการสืบทายาทแวมไพร์ที่ไม่ต่างอะไรกันเลย ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

1. แวมไพร์เป็นผีดิบในร่างของมนุษย์ มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงให้มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย

2. แวมไพร์ถูกนำมาเปรียบเทียบเป็นมนุษย์ค้างคาวผีดิบ เนื่องจากแวมไพร์หากินกลางคืนต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงแวมไพร์ ก็มักจะนึกถึงผีดิบผิวซีดในชุดสีดำคล้ายค้างคาว

3. ในตอนกลางวันแวมไพร์จะนอนนิ่งอยู่ในโลงศพ ในสภาพที่ตาข้างหนึ่งเปิดอยู่ มีเลือดติดอยู่ตามปากหรือจมูก

4. ในตอนกลางคืนแวมไพร์จะออกหาเหยื่อ เพื่อดูดเลือดบริเวณคอของเหยื่อ โดยเหยื่อมักจะเป็นเพศตรงข้ามเสมอ

5. แวมไพร์ ถ่ายทอดเชื้อสายด้วยการกัด แต่ผู้ที่ถูกกัดทุกคนอาจเสียชีวิตและไม่ได้ถูกปลุกขึ้นมาเป็นแวมไพร์ตัวใหม่ก็ได้

6. ศพของแวมไพร์จะไม่เน่าเปื่อย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ใบหน้าจะยังดูมีเลือดไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา เพราะได้เลือดของเหยื่อหล่อเลี้ยงไว้

7. แวมไพร์ สามารถสยบได้ด้วยกระเทียม ซึ่งเป็นพืชที่มีกลิ่นฉุนมาก หรือไม้กางเขน และน้ำมนต์

ในแถบประเทศตะวันตก แวมไพร์ เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในประเทศอังกฤษ หลังจากมีการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่า อาร์โนลด์ เปาเล ชาวเซอร์เบีย เป็นผู้ที่ได้รับการสืบเชื้อสายจากแวมไพร์ หลังจากที่เขากลับมาจากการปฏิบัติหน้าที่ทางการทหารในกรีซ และเขาก็ได้สารภาพกับภรรยาว่าถูกแวมไพร์ดูดเลือดและได้รับการถ่ายทอดเป็นแวม ไพร์ ต่อมาไม่นานเขาได้เสียชีวิตลง แต่คนในหมู่บ้านยังเห็นเขาวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านในยามค่ำคืน จึงมีการขุดเอาศพเขาขึ้นมาดูอีกครั้ง และพบว่า เขานอนนิ่งเป็นศพแต่กลับมีรอยเลือดติดอยู่ที่ปากของเขา ชาวบ้านจึงพิสูจน์ด้วยการตอกหมุดลงไปที่หัวใจ ปรากฎว่ามีเลือดไหลทะลักออกมาตามด้วยเสียงกรีดร้อง จากนั้นศพของเขาก็ถูกนำไปเผาและก็ไม่มีใครพบเขาปรากฎตัวในหมู่บ้านอีกเลย หลังจากนั้น แต่ต่อมาไม่นาน ก็พบแวมไพร์อีกหลายตัวอยู่ในหมู่บ้าน จึงเชื่อว่าแวมไพร์เหล่านั้นเป็นเชื้อสายของเปาเล และพวกเขาก็คงถูกเปาเลกัด ซึ่งพ้องกับสิ่งที่เปาเลได้เคยบอกภรรยาไว้ก่อนตาย

หลังจากนั้นก็มีเรื่องเล่า และตำนานแวมไพร์ถูกเล่าขานกันต่อมาเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นเรื่องราวที่โด่งดังอีกครั้ง เมื่อ บราม สโตกเกอร์ นักเขียนชาวไอริชได้แต่งนิยายเรื่อง แดร็กคิวล่า ขึ้นมา โดยนำข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเจ้าชายนักรบแห่งวาลาเซีย ประเทศโรมาเนีย นามว่า วล้าด เทเปส หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วล้าด แดร็กคูล ที่แปลว่ามังกรวล้าดสุดผยอง มาเขียนเป็นนิยาย ซึ่งเจ้าชายแห่งวาลาเซียคนนี้ เป็นที่เลื่องลือมากในเรื่องของความเก่งกล้า และเหี้ยมโหดต่อศัตรูผู้รุกรานอย่างมาก เขามักจะสั่งให้ทหารนำศพศัตรูมาเสียบให้เลือดไหลทะลักออกมา ขณะที่เขาก็มีความสุขไปกับการเห็นภาพสุดสยองตรงหน้าแล้วมองดูมันด้วยความ สะใจ และมักจะนั่งทานอาหารโดยมีศพนับสิบเสียบเลือดนองอยู่ตรงหน้าเสมอจากความโหด เหี้ยมดังกล่าว บราม สโตกเกอร์ เลยนำเรื่องราวของ วล้าด แดร็กคูล มาเชื่อมโยงกับตำนานแวมไพร์ เนื่องจากเห็นว่า วล้าด แดร็กคูล มีคุณสมบัติและอุปนิสัยหลายอย่างที่พ้องกับแวมไพร์เป็นอย่างมาก จึงเสกสรรปั้นแต่งให้ วล้าด แดร็กคูล หรือที่เรียกในนิยายว่า แดร็กคิวล่า กลายเป็นผีดูดเลือดไป และต่อมาผู้คนก็เข้าใจว่าเรื่องราวที่ บราม สโตกเกอร์ เขียนนั้นอ้างอิงมาจากเรื่องจริงทุกประการ แดร็กคิวล่า จึงได้รับความสนใจและกลายเป็นเรื่องราวของแวมไพร์ที่โด่งดังมากที่สุดมาจน ปัจจุบันนี้ และ นิยายดังกล่าวก็ส่งผลให้โบสถ์ออร์โธดอกซ์ ที่วล้าด แดร็กคูล เคยสร้างไว้และใช้เป็นที่ฝังศพของตัวเอง กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในโรมาเนีย เพราะผู้คนมักจะเชื่อตามเรื่องราวในนิยายว่า นั่นคือปราสาทที่อยู่ของแดร็กคิวล่า และเป็นสุสานผีดูดเลือดจริง ๆ อีกทั้งเชื่อว่า วล้าด แดร็กคูล เป็นผีดูดเลือดจริง ๆ อีกด้วย


แวมไพร์


ส่วนในโลกของความเป็นจริงนั้น เรื่องราวของแวมไพร์ก็ดูเหมือนจะปรากฏให้เห็นจริงในหลายสังคมตะวันตก โดยมีการเล่าขานกันอย่างไม่สร่างซาว่า มีคนที่ดูดเลือดคนด้วยกันเองอยู่หลายคน และพวกเขาก็คือแวมไพร์อย่างแท้จริง ขณะที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ได้มีการอธิบายว่า แวมไพร์ในโลกของความเป็นจริงนั้น อาจไม่ใช่ "ผี" อย่างที่ปรากฎในเรื่องเล่า แต่เป็นคนธรรมดาที่ป่วยเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง ที่ผู้ป่วยจะชื่นชอบการดูดเลือดคนด้วยกันเอง โดยมีปมมาจากการจมอยู่ในความแค้นในอดีตก็เป็นได้

อย่างไรก็ดี แม้จะมีคำบอกเล่า และการสันนิษฐานหลายอย่าง แต่ตำนานแวมไพร์ก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้คนเชื่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ และก็เป็นที่น่าสังเกตว่า เรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์หรือผีดูดเลือด ก็ยังเป็นที่สนใจของผู้คนไม่หาย มันยังคงถูกนำมาสร้างเป็นนิยาย ภาพยนตร์ และละครอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ และน่าแปลกที่เรื่องราวของผีดิบมักจะน่าติดตาม และมีความน่าสนใจในเรื่องราวของมันเองไม่ว่าจะสมัยไหน ก็เรียกว่าเรื่องราวของแวมไพร์ได้กลายเป็น "ตำนานผีดิบ" ที่ฆ่าไม่ตายไปแล้ว


Create Date : 10 มีนาคม 2554
Last Update : 10 มีนาคม 2554 8:33:05 น. 0 comments
Counter : 1814 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.