57 clinic filler story - episode 5 : คุณหมอคะฟิลเลอร์ Juvederm หรือ Restylane อันไหนดีกว่ากัน?
สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับหมอเบนซ์จาก 57 clinic กันอีกครั้งนะคะ
วันนี้หมอไม่ได้จะมาเล่าถึงเคสฟิลเลอร์เหมือนตอนก่อนๆ แต่จะมาพูดถึงความรู้พื้นฐานของตัวฟิลเลอร์เองค่ะ เพราะทุกวันนี้หมอมักจะเจอคำถามเหล่านี้อยู่บ่อยๆ
ที่คลินิกใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้ออะไรคะ ?
คุณหมอคะฟิลเลอร์ Juvederm หรือ Restylane อันไหนดีกว่ากัน ?
ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีข่าวสารและโซเชียลเน็ตเวิร์คสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าในอดีตมาก เพียงแค่โพสคำถามไปตามเว็บบอร์ดต่างๆก็มักจะมีคนมาช่วยตอบหรือเสนอแนะวิธีต่างๆมาให้มากมาย แต่หมอก็ยังคิดว่าการได้รับข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องเชื่อถือได้จากแพทย์ก็น่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่าการปล่อยให้คนไข้ไปหาข้อมูลด้วยตัวเองจากพวกสื่อโซเชียลหรือจากเพื่อนที่บอกต่อๆกันมาอีกที เพราะข้อมูลที่ได้มานั้นอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องจริงๆตามหลักวิชาการหรือแม้แต่อาจเป็นการแฝงโฆษณาก็เป็นได้มาเข้าเรื่องที่หัวข้อคำถามกันเลยดีกว่าค่ะ
ที่ถามว่า คุณหมอคะฟิลเลอร์ Juvederm หรือ Restylane อันไหนดีกว่ากัน ? หมอขอตอบสั้นๆเลยนะคะว่า ทั้ง Juvederm และ Restylane เป็น HA(Hyaluronic acid) fillers ที่ดีพอสำหรับคนไข้ทั้งคู่ หากฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และเทคนิคที่ดี อันที่จริงแล้วฟิลเลอร์ทั้ง 2 ยี่ห้อนี้ได้รับการศึกษาพัฒนาเพื่อรับรองถึงความปลอดภัย และมีที่ใช้กันมายาวนานหลายสิบปี หมอบางคนชอบที่จะใช้Juvederm แต่หมอบางคนชอบใช้Restylane หรือบางคนอาจจะชอบยี่ห้ออื่นๆนอกจากนี้อีก ซึ่งความชอบความถนัดที่จะเลือกใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อต่างๆเหล่านี้ก็คล้ายๆกับที่บางคนชอบดื่มโค้ก/บางคนชอบดื่มเป็ปซี่ บางคนชอบเที่ยวลอนดอน/บางคนชอบเที่ยวปารีส แต่ในบางเหตุผลบางสถานการณ์บางคนอาจชอบดื่มโค้กและเที่ยวลอนดอน ในขณะที่คนอื่นๆชอบดื่มเป็ปซี่และเที่ยวปารีสมากกว่า
จากประสบการณ์การทำงานทาด้านนี้ของหมอเอง จะพบว่าฟิลเลอร์ของJuvedermเป็นที่นิยมมากในประเทศไทย แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า Juvederm จะดีกว่า Restylane นะคะ เพราะถ้าลองเปรียบเทียบด้วยเหตุผลนี้กับประเทศเกาหลีซึ่งเป็นประเทศที่มีการฉีดฟิลเลอร์มากที่สุดในทวีปเอเชียในปี2015 จะพบว่า Restylane นิยมนำมาใช้กันมากกว่า Juvederm เกือบ3เท่า ซึ่งความแตกต่างตรงจุดนี้หมอคิดว่าน่าจะเป็นผลจากการตลาดของบริษัทขายฟิลเลอร์ในแต่ละประเทศมากกว่าความแตกต่างของคุณภาพฟิลเลอร์จริงๆค่ะ
ตัวหมอเองไม่สามารถฟันธงได้เลยว่าฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีกว่ากัน แต่ความแตกต่างระหว่าง Restylane กับ Juvederm ก็คือ
Restylane เป็นฟิลเลอร์แบบ biphasic เช่นเดียวกับอีกยี่ห้อคือ Perfectha ในขณะที่ Juvederm เป็นฟิลเลอร์แบบ monophasic
Monophasic filler คือฟิลเลอร์ที่ทำจากสารที่เป็นเนื้อเดียว ส่วน biphasic filler นั้นประกอบไปด้วยสารที่มี2เนื้อ(เนื้อแข็งและเนื้ออ่อนผสมกัน)
บอกเป็นคำวิชาการแบบนี้อาจฟังดูเข้าใจยากใช่ไหมคะ ถ้าอย่างงั้นมาดูที่รูปและคำอธิบายเปรียบเทียบกับบ้านน้ำแข็งและตุ๊กตาหิมะกันค่ะ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ในการผลิต HA fillers จะเริ่มจากตัว HAที่เป็นสารประกอบตามธรรมชาติของผิวหนังคนเราซึ่งจะคงตัวอยู่ได้เพียง 1~3 วัน. จึงต้องมีกระบวนการใส่สาร crosslinking เข้าไปให้คงรูปได้นานขึ้น คล้ายๆกับการทำน้ำเปล่า (free HA) ให้กลายเป็นน้ำแข็ง (crosslinked HA) : เพื่อให้เกิดการคงรูปและอยู่ได้ยาวนานกว่า
แต่ในการผลิตฟิลเลอร์นั้นหากจบแค่ที่ crosslinked HA มันจะไม่สามารถฉีดผ่านเข็มเข้าไปในผิวหนังได้ ซึ่งก็เหมือนกับการที่เราไม่สามารถกลืนก้อนน้ำแข็งใหญ่ๆ (crosslinked HA)ที่ทำมาจากน้ำเปล่าธรรมดา (free HA)ลงไปได้
ดังนั้นจึงต้องมีขั้นตอนเพื่อให้ตัว crosslinked HA ผ่านรูเข็มเข้าไปในชั้นผิวหนังได้
โดยในขั้นตอนนี้จะมี 2 วิธีให้เลือกใช้
วิธีที่ 1 ทำให้น้ำแข็งก้อนใหญ่กลายเป็นก้อนเล็กๆ(crosslinked HA) แล้วผสมกับน้ำ(free HA) ให้น้ำทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นหรือตัวทำละลายให้กลืนได้ง่ายขึ้น(ฉีดผ่านเข็มได้ง่ายขึ้น) หลังจากฉีดฟิลเลอร์นี้เข้าไปในผิวแล้ว ตัว free HA จะสลายไป แต่อานุภาคของ crosslinked HA จะยังคงอยู่และขึ้นเป็นรูปร่างตามที่ฉีด HA fillersที่ผ่านกระบวนการแบบนี้เรียกว่า Biphasic fillers ได้แก่ยี่ห้อ Restylane, Perfectha
วิธีที่ 2 ทำให้น้ำแข็งก้อนใหญ่กลายเป็นน้ำแข็งไสที่เป็นเนื้อเนียนละเอียดสามารถกลืนเข้าไปได้เลย(ฉีดผ่านเข็มเข้าไปได้ง่ายๆเลย) โดยวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องผสมกับน้ำ(free HA)อีก HA fillersที่ผ่านกระบวนการแบบนี้เรียกว่า Monophasic fillers ได้แก่ยี่ห้อ Juvederm ซึ่งถือเป็นเจ้าแรกที่ทำวิธีนี้และมีชื่อเสียงมาก
เมื่อเทียบผลที่ได้หลังการฉีดฟิลเลอร์แต่ละแบบแล้วจะพบว่า... การขึ้นรูปของbiphasic filler ก็เหมือนการสร้างบ้านน้ำแข็งของเอสกิโม- ที่ทำได้ยาก แต่เป็นรูปร่างแข็งแรงทนทาน และมีโอกาสมากที่พื้นผิวจะไม่เรียบเนียน ในขณะที่การใช้ monophasic filler ก็เหมือนการสร้างตุ๊กตาหิมะ- ที่ทำได้ง่าย และผื้นผิวเรียบเนียนมากกว่า แต่ก้ไม่ทนทานแบบบ้านน้ำแข็ง
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่เปรียบเทียบ biphasic filler เป็นเหมือนผนังที่สร้างจากอิฐและปูน ในขณะที่ monophasic filler เป็นเหมือนผนังที่สร้างจากปูนซีเมนต์อย่างเดียว
ดังนั้นจะเห็นว่าการสร้างตุ๊กตาหิมะไม่จำเป็นต้องมีทักษะความชำนาญเหมือนการสร้างบ้านน้ำแข็ง... ในทำนองเดียวกัน monophasic filler จะให้ผลการฉีดที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติเรียบเนียนได้ง่ายกว่า แม้ว่าจะฉีดโดยหมอมือใหม่ที่ยังไม่ชำนาญ แต่ biphasic filler จะให้ผลหลังฉีดที่ขึ้นรูปร่างได้ดี สวยงามและคงทนมากกว่า หากฉีดโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มาก
( จากภาพจะเห็นได้ว่า monophasic filler(ซ้าย) ให้ผลที่ดูเรียบเนียนระหว่างส่วนที่ฉีดและไม่ได้ฉีดมากกว่าในขณะที่ biphasic filler(ขวา) ให้ผลการขึ้นรูปและ lifting effect ที่มากกว่าในบริเวณที่ฉีด...อย่างไรก็ตาม หากแพทย์ผู้ฉีดมีความรู้ความชำนาญมากพอ ก็จะสามารถฉีดฟิลเลอร์ให้ดูธรรมชาติเรียบเนียนได้แม้ว่าจะใช้แบบ biphasic filler ดังนั้นแล้วการเปรียบเทียบหรือข้อแตกต่างของทั้ง monophasic และ biphasic ก็อาจไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญหากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ)
จริงๆแล้วมีเพียงแต่บริษัทผู้ผลิตฟิลเลอร์เท่านั้นที่รู้จริงๆเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของฟิลเลอร์นั้นๆ... ดังนั้นแต่ละบริษัทจึงพยายามพัฒนาข้อดีและแก้ไขข้อเสียโดยการผลิตฟิลเลอร์ เป็นหลายๆชนิดตามระดับความแข็งจากอ่อนที่สุดไปจนแข็งที่สุด Biphasic filler ชนิดที่เป็นแบบอ่อน(soft grade)ก็มีความอ่อนเพียงพอที่จะฉีดให้สวยได้ และmonophasic filler ที่เป็นแบบแข็ง(hard grade)ก็มีความแข็งมากพอเช่นเดียวกัน แพทย์ผู้ฉีดที่มีประสบการณ์ความชำนาญจะสามารถเลือกชนิดของฟิลเลอร์ให้เหมาะสมตามแต่ละปัญหาและบริเวณที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดดังนั้นจะเห็นได้ว่าไม่จำเป็นต้องคิดมากในเรื่องยี่ห้อของฟิลเลอร์เลยค่ะ เพราะสิ่งที่ควรพิจารณาให้ความสำคัญในการเลือกฉีดฟิลเลอร์จริงๆนั้นก็คือ คลินิกที่น่าเชื่อถือ ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ และทำโดยแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญมากพอจริงๆดีกว่าค่ะ การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือแล้วมารับการปรึกษากับแพทย์ที่มีความรู้และประสบการณ์จริงๆน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการที่คนไข้ไปเรียนรู้ด้วยตัวเองจากรีวิวโฆษณาตามอินเตอร์เนตหรือถามจากคนอื่นมาอีกทีแน่นอนค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร : 02-714-9292/ 096-919-2957